🔥 คันฉ่องส่องไทย: ทำไมทุนเทา–ทุนดำ–มาเฟีย และนายทุนสัมปทานใหญ่ จึงแนบชิดวัง–ทหาร–นักการเมือง–ข้าราชการระดับสูง
บทความสั้นนี้ผสานสามมิติไว้ด้วยกัน:
1) การมองแบบคันฉ่องส่องไทย (ตีแผ่โครงสร้างเชิงลึก)
2) การวิเคราะห์เชิงวิชาการ (รัฐศาสตร์–เศรษฐกิจการเมือง–อำนาจแบบอุปถัมภ์)
3) รูปแบบ HTML พร้อมเผยแพร่
1) แก่นโครงสร้าง: เมื่อรัฐอุปถัมภ์ต้องการ “เงินนอกระบบ” เพื่อดำรงอำนาจ
ในรัฐที่กฎหมายถูกใช้ตามเป้าประสงค์ของผู้มีอำนาจมากกว่าตามหลักนิติรัฐ ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดไม่ใช่งบประมาณของประเทศ แต่คือ เงินมืดและทรัพยากรนอกระบบ ซึ่งไม่มีการตรวจสอบและไม่มีความโปร่งใส
ทุนเทา–ทุนดำ เช่น บ่อน, ค้ามนุษย์, แรงงานเถื่อน, ยาเสพติดระดับภูมิภาค, ค้าสินค้าหนีภาษี ตลอดจนมาเฟียต่างด้าว จึงทำหน้าที่เป็น “กระเป๋าเงินลับ” สำหรับผู้กุมอำนาจ
ในเชิงวิชาการ นี่สอดคล้องกับแนวคิด Shadow State และ Patron–Client Network ที่รัฐไม่สามารถดำรงเสถียรภาพได้ หากไม่มีทรัพยากรที่ไม่ถูกตรวจสอบคอยหล่อเลี้ยงเพื่อใช้ในงานที่ “รัฐหน้าเป็น” ทำไม่ได้ เช่น
- การควบคุมพื้นที่ทางการเมืองท้องถิ่น
- การซื้ออิทธิพลและความภักดีของกลุ่มข้าราชการ
- ปฏิบัติการมวลชนหรือปฏิบัติการข่าวสาร (IO)
- การจัดการคู่แข่งทางอำนาจ
ดังนั้นรัฐอุปถัมภ์กับทุนมืดจึงพึ่งพากันเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เหตุบังเอิญ
2) ความต้องการ “ร่มเงาอำนาจ” ของทุนเทา–ทุนดำ ทำให้ต้องแนบชิดศูนย์อำนาจ
ในเชิงคันฉ่องส่องไทย เราเห็นชัดมานานว่า ทุนเทา–ทุนดำ ไม่ได้อยู่ได้ด้วยการซ่อนตัว แต่ต้องอยู่ด้วยการ ประกาศตนว่ามีผู้ใหญ่คุ้มหลัง เพื่อให้คู่แข่งยอมถอย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐ “มองผ่าน”
การถ่ายรูปคู่กับข้าราชการระดับสูง การร่วมงานพิธีของสถาบัน การสนิทสนมกับนายพล หรือนักการเมือง ทั้งหมดคือ ภาษาแห่งอำนาจ ที่ใช้สื่อสารว่า “ธุรกิจนี้ ปลอดภัย เพราะอยู่ใต้ร่มเงาที่สูงกว่าเจ้าหน้าที่ทั่วไป”
ในมุมวิชาการ ความสัมพันธ์แบบนี้เรียกว่า Mutual Shielding คือการปกป้องซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย:
- ทุนมืดได้รับการคุ้มกันจากกฎหมาย
- ข้าราชการ–นักการเมืองได้รับผลประโยชน์ที่ไม่สามารถขอผ่านระบบทางการได้
นี่คือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ฝังรากลึกจนกลายเป็น “ระบบ” มากกว่า “อุบัติเหตุทางการเมือง”
3) ระบบสัมปทานใหญ่: ระบบผูกขาดที่พันธนาการรัฐและทุนเข้าด้วยกัน
ประเทศไทยมีระบบสัมปทานที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจการเมือง เช่น พลังงาน โทรคมนาคม ท่าเรือ เหมือง ก๊าซ สื่อ สัมปทานเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการแข่งขันเสรี แต่เกิดจากการตัดสินใจของผู้มีอำนาจระดับบนที่ผูกโยงกับกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม
จึงเกิดการแลกเปลี่ยนแบบ:
- ทุนต้อง “แสดงความจงรักภักดี” ต่อโครงสร้างอำนาจ
- อำนาจต้องปกป้องผลประโยชน์ของทุน
ความแนบชิดนี้ไม่ได้เกิดเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่เป็นความจำเป็นเชิงโครงสร้างในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระยะยาว
4) รัฐไทยและดุลอำนาจกฎหมายแบบ “เลือกใช้”
ปัญหาหลักของไทยคือกฎหมายถูกบังคับใช้แบบ “เลือกใช้” หรือ Selective Enforcement ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของรัฐกึ่งเผด็จการที่ใช้กฎหมายเป็นอาวุธควบคุมศัตรู แต่ละเว้นพันธมิตร
ดังนั้นสำหรับทุนมืดและทุนใหญ่ สิ่งที่พวกเขาต้องซื้อไม่ใช่แค่เส้นทางเปิด แต่คือ การไม่ถูกปิดเกม และการไม่ถูกสร้างคดีเมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ
รูปถ่าย การร่วมงาน การไปมาหาสู่ จึงเป็นเสมือน “กรมธรรม์ประกันชีวิต” ทางธุรกิจ
5) เมื่อรัฐต้องใช้ “แขนขาเงา” ในงานที่รัฐทำเองไม่ได้
หลายกิจกรรมที่รัฐต้องการผลลัพธ์ แต่ทำเองไม่ได้เพราะผิดหลักประชาธิปไตย เช่น
- ควบคุมพื้นที่อิทธิพล
- กดดันคู่แข่งทางการเมือง
- จัดการปฏิบัติการ IO
- คุมแรงงานต่างด้าวและอุตสาหกรรมผิดกฎหมาย
ทุนเทา–ทุนดำจึงทำหน้าที่เป็น แขนขาเงาของรัฐ ทำในสิ่งที่รัฐ “ไม่อยากเปื้อนมือ” แต่ต้องการผลลัพธ์
นี่คือ symbiosis หรือการพึ่งพากันเชิงชีวภาพระหว่างรัฐกับทุนมืด
6) บทสรุปคันฉ่องส่องไทย: โครงสร้างนี้จะไม่มีวันเปลี่ยน ถ้าประชาชนไม่ลุกขึ้นเป็น “พลเมือง”
ตราบใดที่กฎหมายไทยไม่เสมอภาค ตราบใดที่ระบบราชการและกองทัพเชื่อฟังคนมากกว่ารัฐธรรมนูญ ตราบใดที่งบประมาณถูกยึดโดยคนไม่กี่กลุ่ม ตราบใดที่ประชาชนยังเป็น “ราษฎรในระบบอุปถัมภ์” เครือข่ายทุนเทา–ทุนดำ–ทุนใหญ่ และอำนาจสูงสุด จะยังดำรงอยู่เหมือนเดิมทุกยุคทุกสมัย
ประเทศไม่ถูกขายเพราะนักการเมือง แต่ถูกขายเพราะโครงสร้างที่เปิดช่องให้ทุนมืดเป็นเจ้าภาพของอำนาจ ขณะที่ประชาชนถูกกันออกจากการกำหนดอนาคตของตนเอง
นี่คือความจริงเชิงโครงสร้างที่คันฉ่องส่องไทยต้องชี้ให้เห็น
เชิงอรรถ / อ้างอิงเชิงวิชาการ (ย่อ)
– Joel S. Migdal, *State in Society* (โครงสร้างรัฐไม่ใช่สิ่งสมบูรณ์ แต่ต่อรองกับอำนาจนอกระบบ)
– Susan Strange, *The Retreat of the State* (ทุนเหนือรัฐและสร้างรัฐเงา)
– O’Donnell, *Delegative Democracy* (รัฐประชาธิปไตยที่ใช้กฎหมายเชิงเลือก)
– Scott, *Weapons of the Weak* (กลไกนอกระบบและเครือข่ายอุปถัมภ์ในสังคมเอเชีย)
