Saturday, December 6, 2025

การจัดการความทรงจำวันรัฐธรรมนูญ ภายใต้รัฐบาลอนุทิน และกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร

การจัดการความทรงจำวันรัฐธรรมนูญ ภายใต้รัฐบาลอนุทิน และกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร

การจัดการความทรงจำวันรัฐธรรมนูญ ภายใต้รัฐบาลอนุทิน และกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร

ผู้เขียน: คันฉ่องส่องไทย (เรียบเรียงเพื่อการศึกษาและอภิปรายเชิงสาธารณะ)

ร่าง ณ: ธันวาคม พ.ศ. 2568

บทคัดย่อ

บทความเชิงวิชาการฉบับนี้วิเคราะห์กรณีการจัดตารางวันหยุดราชการในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2568 ภายใต้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยเฉพาะกรณีที่ข้าราชการสังกัดรัฐสภาต้องมาปฏิบัติงานในวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ และได้รับวันหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม แทน พร้อมเชื่อมโยงเข้ากับกระแสการลบเลือน (erasure) และการเขียนซ้ำ (rewriting) ความทรงจำทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับคณะราษฎรที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนรัฐบาลชุดนี้

บทความชี้ให้เห็นว่า แม้ในทางกฎหมาย วันรัฐธรรมนูญยังคงเป็นวันหยุดราชการระดับชาติ แต่การตัดสินใจเชิงสัญลักษณ์ โดยเฉพาะในองค์กรที่ควรเป็น “หัวใจของระบอบรัฐสภา” เช่น รัฐสภาไทย สะท้อนรูปแบบการจัดการความทรงจำที่ทำให้ความหมายดั้งเดิมของวันรัฐธรรมนูญและบทบาทของคณะราษฎรค่อย ๆ เลือนหาย และถูกแทนที่ด้วยวาทกรรมราชาชาตินิยมและแนวโน้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบใหม่ ซึ่งผสานทั้งกลไกรัฐ การศึกษา และสื่อมวลชน

ข้อเสนอหลักของบทความคือ การตีความกรณีวันหยุดรัฐธรรมนูญในปี 2568 ควรไม่ถูกมองอย่างแยกส่วนจากประวัติศาสตร์การทำลายหมุดคณะราษฎร การรื้อถอนอนุสาวรีย์ การเขียนตำราเรียนประวัติศาสตร์ใหม่ และบรรยากาศการดำเนินคดีทางการเมือง หากแต่ต้องมองเป็น “จิ๊กซอว์หนึ่งชิ้น” ของโครงสร้างทางอำนาจที่มุ่งสร้างสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญที่ถูกทำให้ไร้พลังและไร้อำนาจของประชาชนตัวจริง

คำสำคัญ: วันรัฐธรรมนูญ, คณะราษฎร, ความทรงจำทางการเมือง, สมบูรณาญาสิทธิราชย์, รัฐบาลอนุทิน, ไทยร่วมสมัย

1. บทนำ: วันรัฐธรรมนูญในฐานะสนามรบของความทรงจำ

วันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการเพื่อน้อมรำลึกถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกในปี 2475 และการเปลี่ยนผ่านจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ในเชิงหลักการ วันดังกล่าวจึงเป็น “วันของพลเมือง” ที่ระลึกถึงช่วงเวลาที่ อำนาจอธิปไตยถูกย้ายจากองค์พระมหากษัตริย์มาสู่ประชาชนโดยรวม

อย่างไรก็ดี ในโครงสร้างการเมืองไทยหลังสงครามเย็นเป็นต้นมา การเฉลิมฉลองวันรัฐธรรมนูญถูกทำให้ “เบาบาง” ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และในพื้นที่สาธารณะ เมื่อเทียบกับวันสำคัญอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกัน วาทกรรมกระแสหลักในตำราเรียนและสื่อของรัฐ มักเน้นภาพของ “พระมหากษัตริย์พระราชทานรัฐธรรมนูญ” มากกว่าการมองว่าเป็นการต่อสู้ของประชาชนและคณะราษฎรในการจำกัดอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์

การเปลี่ยนแปลงล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับวันรัฐธรรมนูญในปี 2568 ภายใต้รัฐบาลอนุทิน จึงถูกวิพากษ์ในเชิงโครงสร้างว่า เป็นส่วนหนึ่งของ “การจัดการความทรงจำ” ของชนชั้นนำที่ต้องการลดทอนอัตลักษณ์ประชาธิปไตยแบบคณะราษฎร และเสริมสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รูปแบบใหม่ที่อาศัยเครื่องมือรัฐสภา พรรคการเมือง และระบบราชการเป็นฐานรองรับ

2. ข้อเท็จจริงเรื่องวันหยุด 10 ธันวาคม 2568 ภายใต้รัฐบาลอนุทิน

2.1 สถานะของวันรัฐธรรมนูญในเชิงกฎหมายและปฏิทินวันหยุด

ฐานข้อมูลวันหยุดทางการทั้งของรัฐไทยและสื่อระหว่างประเทศยังระบุให้วันที่ 10 ธันวาคม เป็นวันรัฐธรรมนูญและเป็นวันหยุดราชการ/วันหยุดนักขัตฤกษ์ระดับชาติ โดยในปี 2568 วันดังกล่าวยังปรากฏอยู่ในปฏิทินวันหยุดอย่างเป็นทางการเคียงคู่กับวันสิ้นปี 31 ธันวาคม และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม ไม่ได้มีการ “ยกเลิก” สถานะวันหยุดในระดับชาติ

2.2 การย้ายวันหยุดของข้าราชการรัฐสภา: สัญลักษณ์ในหัวใจของระบอบรัฐสภา

กรณีที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์อย่างกว้างขวาง คือหนังสือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภา ซึ่งสรุปในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า ข้าราชการสังกัดรัฐสภา “ต้องมาปฏิบัติงานตามปกติในวันที่ 10 ธันวาคม 2568” เพื่อรองรับภารกิจในวันรัฐธรรมนูญ และจะได้รับวันหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 แทน

แม้เอกสารชี้ชัดว่าเป็นเพียงการจัดตารางวันหยุด “เฉพาะข้าราชการสังกัดรัฐสภา” และไม่ได้มีผลต่อสถานะวันหยุดของข้าราชการอื่นหรือเอกชนทั้งหมด แต่ในเชิงสัญญะ การที่ “หัวใจของระบอบรัฐสภา” ต้องทำงานในวันรัฐธรรมนูญ แต่ได้หยุดในวันที่ไม่มีความหมายทางประชาธิปไตยโดยตรง ย่อมเปิดพื้นที่ให้ถูกตีความว่า เป็นการทำให้ “สาระทางการเมือง” ของวันรัฐธรรมนูญถูกกลบด้วยความสะดวกด้านวันหยุดปลายปีในมิติอื่น

หมายเหตุ: การวิเคราะห์นี้ไม่ได้ปฏิเสธเหตุผลด้านการบริหารงานบุคคลหรือการจัดกิจกรรมในวันรัฐธรรมนูญ หากแต่ชี้ให้เห็นว่า การบริหารเช่นนี้มีนัยยะทางสัญลักษณ์และการเมืองของความทรงจำ ที่จำเป็นต้องพิจารณาควบคู่กัน

3. กรอบแนวคิด: ความทรงจำทางการเมืองและสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย

แนวคิดเรื่อง “การเมืองของความทรงจำ” (politics of memory) ชี้ให้เห็นว่ารัฐและชนชั้นนำไม่ได้ควบคุมเพียงกฎหมายหรือสถาบันทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังควบคุม “สิ่งที่สังคมจำ” และ “สิ่งที่สังคมถูกทำให้ลืม” ผ่านการเลือกวันสำคัญ การตั้งชื่อสถานที่ อนุสาวรีย์ ตำราเรียน สื่อมวลชน และการขีดเส้นว่าเนื้อหาประวัติศาสตร์ใดพูดได้และพูดไม่ได้

ในบริบทไทยหลังปี 2475 เป็นต้นมา คณะราษฎรเคยใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการยุติสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และสร้างความทรงจำใหม่เกี่ยวกับ “ชาติที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย” เช่น การเปลี่ยนพระราชวังบางแห่งเป็นหน่วยงานรัฐ การสร้างหมุดและอนุสาวรีย์ 2475 และการออก ประกาศคณะราษฎร เป็นวัตถุแห่งความทรงจำ

หลังจากนั้น เมื่อระบอบอำนาจเก่าค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นโดยอาศัยกองทัพ สงครามเย็น และพันธมิตรสหรัฐฯ การเมืองของความทรงจำถูกใช้ย้อนกลับ เพื่อยกบทบาทสถาบันกษัตริย์ขึ้นเหนือรัฐธรรมนูญและประชาชน โดยทำให้คณะราษฎรกลายเป็นตัวละครรองหรือ “ผู้ทำลายความสงบ” ในขณะที่พระมหากษัตริย์ถูกวาดภาพเป็น “ผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญ”

เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 “สมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย” ไม่จำเป็นต้องประกาศตัวด้วยรถถัง หากแต่แทรกซึมผ่านกลไกรัฐสภา พรรคการเมือง ศาล องค์กรอิสระ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตลอดจนการจัดการวันสำคัญและสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ ให้สังคมเชื่อว่าระบอบที่มีอยู่คือ “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” ทั้งที่ในสาระ พลเมืองแทบไม่มีอำนาจจริงในการกำหนดอนาคตของตนเอง

4. รูปธรรมของการลบเลือนคณะราษฎรและการเขียนซ้ำประวัติศาสตร์

4.1 การหายไปของหมุดคณะราษฎรและการแทนที่ด้วยหมุดราชาชาตินิยม

กรณีหมุดคณะราษฎรบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าที่ “หายไป” ในปี 2560 และถูกแทนที่ด้วยหมุดใหม่ที่ไม่มีข้อความเกี่ยวกับอำนาจของราษฎร เป็นตัวอย่างคลาสสิกของการลบเลือนความทรงจำทางการเมืองอย่างเป็นระบบ สื่อมวลชนและนักวิชาการจำนวนมากชี้ว่า นี่ไม่ใช่เพียงการปรับภูมิทัศน์ แต่เป็นการทำลายหลักฐานเชิงวัตถุของการปฏิวัติ 2475

ความสำคัญของหมุดดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่ราคาโลหะ หากแต่อยู่ที่ข้อความเชิงอุดมการณ์ ที่ยืนยันว่า “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้ไว้ว่า ประเทศนี้เป็นของราษฎร มิใช่ของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว” การทำลายหมุดนี้และแทนที่ด้วยข้อความที่เชิดชูระบอบเก่าจึงสะท้อนความพยายามจะกลับไปสู่กรอบคิดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในระดับเชิงวาทกรรมและความทรงจำ

4.2 การรื้อถอนอนุสาวรีย์และมรดกสถาปัตยกรรมของคณะราษฎร

งานข่าวและงานวิชาการหลายชิ้นได้ติดตาม “ชะตากรรม” ของอนุสาวรีย์ และอาคารที่เกี่ยวพันกับคณะราษฎร ตั้งแต่สะพาน พระที่นั่ง ไปจนถึงอาคารที่ถูกสร้างขึ้นในยุคหลัง 2475 ซึ่งถูกดัดแปลง รื้อถอน หรือทำให้ความหมายเดิมเลือนหายไป

การเปลี่ยนสถานะของอาคารเหล่านี้จาก “หลักฐานการสิ้นสุดสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ไปเป็นเพียงอาคารราชการทั่วไป หรือการปล่อยให้ทรุดโทรมโดยไม่มีการบูรณะเชิงสัญลักษณ์ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการลบเลือนประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติ 2475 โดยมิได้ใช้ความรุนแรงทางกายภาพอย่างโจ่งแจ้ง แต่ใช้ ความเฉยเมยเชิงโครงสร้าง

4.3 การเขียนตำราเรียนและวาทกรรมสาธารณะใหม่

ตำราเรียนประวัติศาสตร์ระดับโรงเรียนส่วนใหญ่ให้พื้นที่กับเหตุการณ์ 2475 และคณะราษฎรเพียงเล็กน้อย ขณะที่ให้พื้นที่อย่างกว้างขวางกับบทบาทกษัตริย์ในฐานะ “ผู้พระราชทานประชาธิปไตย” การเลือกเล่าเรื่องเฉพาะบางส่วนของประวัติศาสตร์ ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากเติบโตขึ้นโดยไม่เคยรับรู้ว่า การมีรัฐธรรมนูญและรัฐสภาในวันนี้เกิดจากการต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนและคณะราษฎร

ภายหลังรัฐประหาร 2557 และการก่อตัวของบรรยากาศกดดันทางกฎหมาย การทำงานของนักวิชาการ สื่ออิสระ และขบวนการนักศึกษา ที่พยายามรื้อฟื้นความทรงจำคณะราษฎร กลายเป็นทั้ง “เป้าหมายของการสอดส่อง” และ “แรงต้านเชิงสร้างสรรค์” ผ่านการผลิตวัตถุ การทำซ้ำหมุด และการจัดงานรำลึกทางเลือก

5. การจัดการวันรัฐธรรมนูญในรัฐบาลอนุทิน: ความต่อเนื่องและความแปรผัน

5.1 รัฐบาลอนุทินในฐานะรัฐบาลอนุรักษ์นิยม–จารีตนิยมยุคใหม่

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ในปี 2568 ภายใต้ข้อตกลงทางการเมืองที่ซับซ้อนระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ แม้เขาจะเคยอยู่ในรัฐบาลพลเรือนหลากหลายชุด แต่ภาพลักษณ์ของพรรคภูมิใจไทย และตัวนายกรัฐมนตรีเองในสายตานักวิเคราะห์การเมือง มักถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอนุรักษ์นิยม–จารีตนิยมที่มีจุดยืนชัดเจนในการปกป้องโครงสร้างอำนาจเดิม และไม่สนับสนุนการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

การที่รัฐบาลอนุทินต้องเผชิญทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสิ่งแวดล้อม และแรงกดดันทางการเมืองเรื่องการยุบสภาและร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ทำให้การส่งสัญญาณ “ความจงรักภักดีต่อระบอบเดิม” ผ่านนโยบายเชิงสัญลักษณ์ยิ่งมีน้ำหนักในเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมือง

5.2 วันหยุด 10 ธันวาคมสำหรับรัฐสภา: เมื่อ “หัวใจของรัฐธรรมนูญ” ทำงานในวันรัฐธรรมนูญ

การจัดให้ข้าราชการสังกัดรัฐสภาทำงานในวันที่ 10 ธันวาคม 2568 และหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม แม้สามารถอธิบายเชิงเทคนิคได้ว่า เพื่อให้สามารถจัด “งานวันรัฐธรรมนูญ” ได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ในเชิงสัญลักษณ์ มีนัยยะสำคัญอย่างน้อยสามประการ คือ

  • (1) การลดทอนวันรัฐธรรมนูญจาก “วันหยุดแห่งพลเมือง” เหลือเพียง “วันจัดงานพิธีการ”
    เมื่อหัวใจของระบอบรัฐสภาซึ่งควรเป็นสัญลักษณ์ของการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน ต้องทำงานเชิงพิธีการในวันดังกล่าว แทนที่จะเปิดพื้นที่ให้เป็นวันหยุดเพื่อการเรียนรู้ สนทนา และวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญของพลเมืองโดยกว้าง
  • (2) การแปลงสาระทางการเมืองให้กลายเป็น “ภารกิจราชการ”
    วันรัฐธรรมนูญจึงถูกบรรจุอยู่ในกรอบความคิดแบบ “งานรัฐพิธี” มากกว่าการเป็นวันของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และถูกจัดการโดยระบบราชการและกลุ่มชนชั้นนำเป็นหลัก
  • (3) การเลื่อนคุณค่าทางสัญลักษณ์ไปสู่วันหยุดปลายปี
    การให้วันหยุดชดเชยในวันที่ 30 ธันวาคม ซึ่งไม่มีความหมายทางประวัติศาสตร์-การเมือง ช่วยตอกย้ำว่า สิ่งที่ระบบให้ความสำคัญคือ “ความสะดวกด้านวันหยุดยาว” มากกว่าการรักษาความทรงจำเกี่ยวกับการยุติสมบูรณาญาสิทธิราชย์และการสถาปนารัฐธรรมนูญ

เมื่อมองร่วมกับกระบวนการลบเลือนคณะราษฎรในมิติอื่น ๆ การตัดสินใจเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคของการจัดวันหยุด แต่เป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนการลดทอนและปรับกรอบความหมายของวันรัฐธรรมนูญ จาก “พิธีกรรมของพลเมือง” ไปสู่ “พิธีกรรมของรัฐ”

6. วันรัฐธรรมนูญในฐานะสนามรบระหว่างสองระบอบ

หากสรุปในเชิงโครงสร้าง วันรัฐธรรมนูญในประเทศไทยร่วมสมัยคือสนามรบระหว่างสองระบอบ ได้แก่

  • (ก) ระบอบที่เห็นว่าประเทศไทยเป็นของพลเมืองทุกคน ซึ่งยึดถือหลักการว่ารัฐธรรมนูญคือสัญญาทางการเมืองระหว่างประชาชน และผู้ใช้อำนาจรัฐ ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนสากล การแบ่งแยกอำนาจ และหลักความรับผิดชอบ
  • (ข) ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัย ที่ยืนยันว่าแหล่งที่มาของอำนาจสูงสุดยังคงอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์และกลุ่มชนชั้นนำ โดยรัฐธรรมนูญถูกลดสถานะให้เป็นเพียงเอกสารที่ “พระราชทาน” หรือเป็นข้อจำกัดเชิงพิธีการมากกว่าจะเป็นเครื่องมือของประชาชนในการควบคุมอำนาจรัฐ

การทำให้วันรัฐธรรมนูญเงียบลง การลบหมุดคณะราษฎร การเปลี่ยนชื่ออาคารหรือค่ายทหาร ตลอดจนการจัดการวันหยุดเฉพาะในหัวใจของระบอบรัฐสภา จึงต้องถูกอ่านในฐานะ “กลยุทธ์ระยะยาว” ของระบอบหลังสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พยายามทำให้คนไทยลืมไปว่า ประเทศนี้เคยถูกเขียนใหม่ด้วยมือของราษฎร

7. ข้อเสนอเชิงพลเมือง: ฟื้นความทรงจำ แทนการรอคำอนุญาต

เมื่อรัฐใช้อำนาจในการจัดการความทรงจำ พลเมืองจำเป็นต้องสร้าง “ความทรงจำจากเบื้องล่าง” (counter-memory) ของตนเอง ผ่านการศึกษา การสนทนาในพื้นที่ครอบครัว ชุมชน โรงเรียน มหาวิทยาลัย และพื้นที่สาธารณะทั้งออฟไลน์และออนไลน์

การปกป้องวันรัฐธรรมนูญในฐานะวันสำคัญ ไม่จำกัดอยู่แค่การรักษา “วันหยุด” แต่หมายถึงการฟื้นความหมายดั้งเดิมว่า รัฐธรรมนูญมีไว้เพื่อจำกัดอำนาจของผู้ปกครอง และรับรองศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เอกสารประกอบพิธีการ ที่จะเรียบหรือหนาตามอารมณ์ของชนชั้นนำในแต่ละยุคสมัย

ในโลกที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัยสามารถสวมหน้ากาก “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” ได้อย่างแนบเนียน การมองเห็น “รอยเล็ก ๆ” เช่น การจัดวันหยุด การรื้อหมุด หรือการเปลี่ยนชื่ออาคาร จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการใช้วิจารณญาณ และการยืนยันว่าประเทศนี้เป็นของพลเมืองทุกคน ไม่ใช่ของใครเพียงไม่กี่คน

8. บทสรุป

บทความนี้มิได้อ้างว่าการจัดวันหยุดของข้าราชการรัฐสภาในปี 2568 เป็นหลักฐานเดียวที่ยืนยันการสร้างสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ หากแต่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อประกอบเข้ากับกระบวนการลบเลือนคณะราษฎร การเขียนซ้ำประวัติศาสตร์ การทำลายสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม และบรรยากาศการดำเนินคดีทางการเมือง เราจะเห็น “แบบแผน” ที่มีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

ในสถานการณ์เช่นนี้ การเตือนสติคนไทยให้มองเห็นการเมืองของความทรงจำ จึงไม่ใช่การกล่าวหาเกินเลย หากแต่เป็นการทำให้เราเถียงกับความจริงไม่ได้ว่า หากปล่อยให้การจัดการความทรงจำดำเนินต่อไปโดยไม่มีการตรวจสอบและตั้งคำถาม ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมสมัยย่อมหยั่งรากลึกลงในจิตสำนึกของคนรุ่นต่อไป โดยไม่ต้องใช้รถถังเพียงคันเดียว

ภารกิจของพลเมืองไทยจึงไม่ใช่แค่การเรียกร้อง “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” แต่คือการฟื้นความทรงจำว่า เราเคยลุกขึ้นยุติสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาแล้วครั้งหนึ่ง และไม่มีสิ่งใดในโลกการเมืองที่ “ลบไม่ได้” หากประชาชนไม่ยอมลืมตัวเอง

บรรณานุกรม

  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (2567). การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ประจำปี 2568 และ 2569. (เอกสารราชการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ราชการ).
  • สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และข่าวสรุปผ่านสื่อสังคมออนไลน์. (2568). การย้ายวันหยุดข้าราชการรัฐสภาจากวันที่ 10 ธันวาคม เป็นหยุดชดเชยวันที่ 30 ธันวาคม 2568.
  • Office Holidays. (n.d.). Public Holidays in Thailand – Constitution Day. สืบค้นจาก officeholidays.com
  • timeanddate.com. (n.d.). Constitution Day in Thailand.
  • Ivarsson, S., & Prakitnonthakan, C. (2025). “Banal revolutionary objects: Counter-memory and the materialization of Khana Ratsadon in Thailand.” Modern Asian Studies. (ออนไลน์ก่อนตีพิมพ์).
  • The Nation Thailand. (2020). The history and significance of the Khana Ratsadon plaque.
  • Prachatai English. (2019). Remembering Khana Ratsadon: erasing historical memory. สืบค้นจาก prachataienglish.com
  • Bangkok Post. (2017). You say you want a revolution plaque – well, it’s gone.
  • Strangio, S. (2020). “Thai Monuments Are Disappearing in the Dead of Night.” เผยแพร่บนบล็อกส่วนตัวเกี่ยวกับการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.
  • Revolutionary Objects Project. (n.d.). People’s Party Plaque. สืบค้นจาก revolutionaryobjects.org
  • Anutin Charnvirakul. (2025). ประวัติและเส้นทางการเมือง. สืบค้นจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลไทยและสารานุกรมออนไลน์สากล.
  • Time Magazine. (2025). Thai Lawmakers Elect a New Prime Minister: What to Know About Anutin Charnvirakul.
  • Reuters & AP. (2025). ข่าวต่างประเทศเกี่ยวกับการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอนุทิน และวิกฤตการเมือง–เศรษฐกิจในช่วงรัฐบาลสั้นอายุ.

หมายเหตุ: บรรณานุกรมข้างต้นคัดเฉพาะแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงและกรอบแนวคิดหลัก เพื่อให้ผู้อ่านสามารถสืบค้นต่อได้ตามสมควร