Friday, December 5, 2025

Red Ants' Revolutionary Strategy – Toggle TH/EN (ยุทธศาสตร์การอภิวัฒน์มดแดงล้มช้าง ฉบับสองภาษา)

Red Ants Strategy – Global Civic Awakening Edition

ยุทธศาสตร์มดแดงล้มช้าง – ฉบับสากลสำหรับพลเมืองโลกและคนไทย

Red Ants’ Strategy – A Global Edition for Citizens Worldwide and Thailand

ในทุกสังคมที่กำลังมองหาความเท่าเทียม ประชาชนมักค้นพบว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ได้เริ่มต้นจากผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ แต่เริ่มจากผู้คนธรรมดาที่ตื่นรู้พร้อมกันจำนวนมาก—ผู้ที่กล้าพูดว่า “ไม่” ต่อสิ่งที่ไม่ชอบธรรม ไม่ว่าใครจะเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาก็ตาม ยุทธศาสตร์ “มดแดงล้มช้าง” จึงไม่ใช่เพียงตำนานไทย แต่มันคือภาพแทนสากลของพลังร่วมกันของมนุษย์ที่ตื่นรู้

In every society striving toward justice and equality, people eventually realize that real transformation does not begin with heroic leaders, but with ordinary citizens awakening together—those who dare to say “NO” to what is unjust, regardless of who created or benefits from it. Thus, the “Red Ants” strategy is not merely a Thai metaphor; it is a universal symbol of collective human awakening.

1. รับ – การตื่นรู้ระดับปัจเจกสู่ปัญญาร่วมของสังคม

1. Awareness – From Individual Insight to Collective Understanding

การตื่นรู้ไม่ได้เกิดจากความโกรธ แต่เกิดจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า สังคมหนึ่ง ๆ ถูกกำหนดโดยโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น และมนุษย์ก็มีสิทธิเปลี่ยนมันได้เช่นกัน จังหวะนี้คือการเริ่มตั้งคำถามกับความจริงที่เคยถูกสอนให้ยอมรับโดยไม่คิด และเลือกที่จะ “ไม่หลงเชื่อ” เพียงเพราะใครบางคนสั่งให้เชื่อ รวมถึง “ไม่ถูกหลอกให้เกลียดกันเอง” เพราะความแตกต่างถูกสร้างให้เป็นเครื่องมือของผู้กุมอำนาจ

Awakening does not come from anger but from a deeper realization: that every society is shaped by man-made structures, and human beings have the right to reform them. This phase is marked by questioning narratives that people were taught to accept without scrutiny. Citizens choose to “not be deceived” simply because authority demands obedience, and “not be manipulated into mutual hatred” through divisions engineered by those in power.

2. ยัน – การยืนหยัดอย่างสงบ แต่มั่นคงดุจรากแห่งประชาธิปไตย

2. Resistance – Calm but Unyielding, Like the Roots of Democracy

เมื่อความจริงชัดขึ้น ประชาชนจะเริ่มถอนพลังสนับสนุนที่เคยหล่อเลี้ยงระบบที่ไม่เป็นธรรม การปฏิเสธที่ทรงพลังที่สุดคือการบอกตัวเองและสังคมว่า “ไม่ร่วมมือ” กับสิ่งที่บั่นทอนศักดิ์ศรี “ไม่ส่งเสริม” อำนาจที่ไร้ความรับผิดชอบ และ “ไม่เพิกเฉย” ต่อความอยุติธรรมที่เคยถูกทำให้ดูเป็นเรื่องธรรมดา นี่คือหัวใจสากลของพลเมืองที่เริ่มยืนหยัดด้วยตนเอง

As clarity increases, citizens withdraw the support that unjust systems once depended on. The most powerful civic refusals are: “not cooperating” with actions that violate human dignity, “not endorsing” unaccountable power, and “not ignoring” injustices normalized over generations. This is the universal foundation of engaged, self-respecting citizenship.

3. รุก – การก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีวิสัยทัศน์ร่วมของผู้คนทั้งประเทศ

3. Advance – Moving Forward with a Shared Vision for the Nation

เมื่อพลังของการยันมั่นคงพอ ประชาชนจะเริ่มนิยามอนาคตของตนเอง พวกเขา “ไม่ยอมรับ” ความอยุติธรรมว่าเป็นความปกติ “ไม่รับเงื่อนไขที่ลดทอนความเป็นคน” และ “ไม่ยอมให้อนาคตชาติถูกกำหนดโดยคนไม่กี่กลุ่ม” ในจังหวะนี้ พลเมืองไม่ได้เพียงปฏิเสธ แต่เริ่มสร้างสังคมที่ต้องการเห็นร่วมกัน

Once resistance becomes firm, citizens begin reshaping their own future. They “do not accept” injustice as normal, “do not accept conditions that strip away humanity”, and “do not permit a small elite to dictate the nation’s future”. In this phase, people move beyond refusal and begin constructing the society they collectively envision.

4. รุกฆาต – จุดที่พลังร่วมของสังคมทำให้โครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมอยู่ไม่ได้

4. Checkmate – When Collective Awakening Makes Unjust Power Unsustainable

ไม่มีระบบใดล้มลงเพราะความโกรธชั่ววูบ แต่ทุกระบบล้มลงเพราะผู้คนจำนวนมากพร้อมใจกันบอกว่า “ไม่ให้อำนาจใดอยู่เหนือการตรวจสอบ” “ไม่ให้คงอยู่ในรูปแบบที่กดทับคนส่วนใหญ่” และ “ไม่รับความกลัวเป็นเครื่องมือปกครองอีกต่อไป” นี่คือรุกฆาตแบบพลเมือง—การชนะด้วยแสงสว่าง มิใช่ด้วยความมืด

No system collapses from sudden anger. Every unjust system collapses when people collectively declare: “No power shall stand above scrutiny”, “No structure that harms the majority shall remain unchallenged”, and “Fear will no longer govern us”. This is civic checkmate—a victory achieved through illumination, not destruction.

บทส่งท้าย: พลังของคำว่า “ไม่”

Closing Thoughts: The Power of “NO”

คำว่า “ไม่” ไม่ได้ปฏิเสธเพียงสิ่งที่ผิด แต่ยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่การต่อต้านเพื่อทำลาย แต่คือการปฏิเสธเพื่อสร้างสังคมที่มนุษย์ทุกคนสามารถยืนบนศักดิ์ศรีเท่ากัน และเมื่อมดแดงทั้งรังตื่นขึ้น ช้างที่เคยดูใหญ่โตเกินแตะต้อง ก็จะสั่นสะเทือนด้วยพลังของความจริง และหัวใจมนุษย์ที่พร้อมเดินไปด้วยกัน

The word “NO” does not merely reject what is wrong; it affirms what is right. It is not resistance for destruction, but refusal as a creative force for a society where every human stands with equal dignity. And when all the red ants awaken together, the elephant—once thought untouchable—trembles under the weight of truth and the united heartbeat of humanity.

ยุทธศาสตร์มดแดงล้มช้าง: รับ ยัน รุก รุกฆาต ของพลเมืองตื่นรู้

ยุทธศาสตร์มดแดงล้มช้าง: รับ ยัน รุก รุกฆาต ของพลเมืองตื่นรู้

ยุทธศาสตร์มดแดงล้มช้าง: รับ ยัน รุก รุกฆาต ของพลเมืองตื่นรู้

เราส่องให้เห็นโครงสร้างที่บดบังศักยภาพของคนเดินดินทั้งแผ่นดิน

เมื่อเราพูดถึง “มดแดงล้มช้าง” หลายคนอาจนึกถึงภาพการลุกฮือแบบเร้าใจ แต่ในความเป็นจริง พลังของประชาชนไม่ได้เริ่มจากการปะทะ หากเริ่มจาก การตื่นรู้และการปฏิเสธที่จะเป็นเชื้อเพลิงให้ระบบที่ไม่เป็นธรรม ดำรงอยู่ต่อไปต่างหาก

ยุทธศาสตร์ของพลเมืองตื่นรู้จึงสามารถมองได้เป็นสี่จังหวะสำคัญ คือ รับ – ยัน – รุก – รุกฆาต ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นผ่านคำสั้น ๆ ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง คือคำว่า “ไม่” ไม่ใช่ “ไม่เอะอะโวยวาย” แต่เป็น “ไม่ให้ความชอบธรรม” แก่อำนาจที่ไม่เป็นธรรมอีกต่อไป คำว่า “ไม่” ของประชาชนจำนวนมาก ไม่ได้เป็นเพียงท่าทีทางอารมณ์ แต่เป็นการวางยุทธศาสตร์ทางสังคมและการเมืองอย่างมีสติ

1. จังหวะ “รับ”: สร้างภูมิคุ้มกันด้วยการไม่ยกสมองให้ใครครอบครอง

จุดเริ่มต้นของพลเมืองตื่นรู้ไม่ได้เริ่มที่ถนน แต่เริ่มที่ในหัวใจและในหัวของแต่ละคน จังหวะ “รับ” คือช่วงที่เราหยุดนิ่งเพื่อสังเกตโลกและสังคมรอบตัวอย่างมีสติ เรายอมรับข้อเท็จจริงว่าโครงสร้างอำนาจซับซ้อนและแยบยลกว่าที่เราถูกสอนในหนังสือเรียน และเราตัดสินใจอย่างเงียบ ๆ ว่า จะไม่ปล่อยให้ใครใช้ความไม่รู้ของเราเป็นเครื่องมืออีกต่อไป

ในจังหวะนี้ พลเมืองตื่นรู้เริ่มจาก “ไม่หลงเชื่อ” ง่าย ๆ อีกต่อไป ข่าวลือ คลิปตัดต่อ โฆษณาชวนเชื่อ คำพูดที่สวยหรูแต่ขัดกับข้อเท็จจริง เขา ไม่ยอมรับโดยอัตโนมัติ อีกต่อไป นี่คือการถอนตนออกจากฐานะ “ผู้เสพข้อมูลอย่างเชื่อฟัง” แล้วก้าวเข้าสู่ฐานะ “ผู้ใช้วิจารณญาณของตนเอง”

พร้อมกันนั้น พลเมืองตื่นรู้ยัง “ไม่ถูกหลอกให้เกลียดกันเอง” เมื่ออำนาจใดพยายามแบ่งแยกประชาชนเพื่อปกครองได้ง่ายขึ้น เขามองเห็นเกมทันทีและไม่ตกเป็นเหยื่อของกลยุทธ์นั้นอีก

2. จังหวะ “ยัน”: ยืนหยัดอย่างสงบ แต่ไม่ยอมเป็นฟันเฟืองของความอยุติธรรม

เมื่อเห็นโครงสร้างแล้ว ขั้นต่อมาคือการ ยืนหยัดไม่เติมพลังให้โครงสร้างนั้น นี่คือจังหวะที่ประชาชนค่อย ๆ ถอนฟันเฟืองออกจากเครื่องจักรความอยุติธรรมทีละซี่

พลเมืองตื่นรู้เริ่มจาก “ไม่ร่วมมือ” กับกติกาที่ไม่เป็นธรรม แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น ใต้โต๊ะ เส้นสาย หรือการโกงที่ “ใคร ๆ ก็ทำ” การไม่ร่วมมือคือการบอกว่า “เราจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของการกดทับตัวเองอีกต่อไป”

พร้อมกันนั้น เขายัง “ไม่ส่งเสริม” อำนาจหรือพฤติกรรมที่ทำร้ายส่วนรวม ไม่ช่วยเชียร์ ไม่ช่วยแชร์ ไม่ช่วยปั้นภาพให้โครงสร้างที่เอาเปรียบประชาชนดูดีเกินจริง

และในทุกวัน พลเมืองตื่นรู้เลือกที่จะ “ไม่เพิกเฉย” เมื่อพบเห็นความอยุติธรรม ไม่บอกตัวเองว่า “ไม่ใช่เรื่องของเรา” เพราะรู้ดีว่าความเพิกเฉยคือปุ๋ยของระบบที่ไม่เป็นธรรม

3. จังหวะ “รุก”: เปลี่ยนจากการไม่ยอม เป็นการลุกขึ้นกำหนดทิศทางใหม่

เมื่อการไม่หลงเชื่อ ไม่ร่วมมือ ไม่ส่งเสริม และไม่เพิกเฉยแพร่กระจายในสังคม พลังของประชาชนจะเปลี่ยนสถานะจากผู้ตั้งรับ เป็นผู้ผลักดันทิศทางใหม่อย่างสันติ

ในจังหวะนี้ พลเมืองตื่นรู้ “ไม่ยอมรับ” ว่าความอยุติธรรมคือวิถีปกติของสังคมไทย เขาไม่ยอมให้โครงสร้างเก่า ๆ ถูกทำให้ดูเหมือน “ธรรมชาติของบ้านเรา”

เขายัง “ไม่รับเงื่อนไขที่ทำให้ประชาชนต่ำต้อย” ไม่ยอมให้ภาษา สัญลักษณ์ หรือกติกาใดลดทอนความเป็นมนุษย์และศักดิ์ศรีของพลเมือง

และเหนือสิ่งอื่นใด เขา “ไม่ยอมให้ใครผูกขาดอนาคตชาติแทนเรา” เพราะประเทศคือสมบัติร่วมกันของประชาชนทุกคน ไม่ใช่อำนาจตกทอดของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

4. จังหวะ “รุกฆาต”: ทำให้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมอยู่ไม่ได้ด้วยน้ำหนักของความจริง

จังหวะสุดท้ายไม่ได้ใช้กำลัง แต่ใช้การเปลี่ยนสมดุลพลังในสังคม ทำให้อำนาจที่ไม่ชอบธรรม “อยู่ไม่ได้” โดยธรรมชาติของมันเอง

พลเมืองตื่นรู้ “ไม่ให้อยู่เหนือการตรวจสอบ” อีกต่อไป ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะอยู่ในสถานะใด ย่อมต้องตอบต่อสาธารณะ

เขายัง “ไม่ให้คงอยู่ในรูปแบบที่เอาเปรียบประชาชน” ไม่ยอมให้กฎหมาย ช่องโหว่ หรืออภิสิทธิ์ที่ขัดต่อความเสมอภาคดำรงอยู่เป็นนิรันดร์

และที่ลึกที่สุดคือ “ไม่รับความกลัวเป็นเครื่องมือปกครอง” เมื่อประชาชนจำนวนมากเลือกว่า “เราจะไม่ถูกข่มขู่ให้เงียบ” อำนาจที่ตั้งอยู่บนความกลัวจะเสื่อมพลังลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงจุดนั้น สังคมก็เดินมาถึงจังหวะ “ไม่ยอมให้อนาคตชาติถูกกำหนดโดยคนไม่กี่คนอีกต่อไป” นี่ไม่ใช่คำสโลแกน แต่คือผลรวมของพฤติกรรมเล็ก ๆ แต่มั่นคงของประชาชนทั้งแผ่นดิน

บทส่งท้ายจากใจ ดร. เพียงดิน รักไทย

คำว่า “ไม่” ของประชาชนในยุทธศาสตร์ทั้งสี่จังหวะ ไม่ใช่คำปฏิเสธเพื่อทำลาย แต่คือคำปฏิเสธเพื่อปลดปล่อย— ปลดปล่อยมนุษย์จากการถูกทำให้เชื่อฟังโดยไร้เหตุผล ปลดปล่อยสังคมจากการกดทับแบบยาวนาน และปลดปล่อยอนาคตของชาติให้กลับไปอยู่ในมือของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศตัวจริง

มดแดงตัวหนึ่งอาจทำอะไรไม่ได้ แต่มดแดงทั้งรังที่ตื่นรู้ เดินไปในทิศทางเดียวกัน สามารถทำให้ช้างที่ดูยิ่งใหญ่เกินแตะต้อง สั่นสะเทือนได้ด้วยพลังของความจริง และหัวใจของประชาชนที่ไม่ยอมก้มหน้าอีกต่อไป

ตัวอย่างที่น่าสนใจ

คันฉ่องส่องไทย: ทำไมทุนเทา–ทุนดำ และนายทุนสัมปทานแนบชิดอำนาจสูงสุด

คันฉ่องส่องไทย: ทำไมทุนเทา–ทุนดำ และนายทุนสัมปทานแนบชิดอำนาจสูงสุด

🔥 คันฉ่องส่องไทย: ทำไมทุนเทา–ทุนดำ–มาเฟีย และนายทุนสัมปทานใหญ่ จึงแนบชิดวัง–ทหาร–นักการเมือง–ข้าราชการระดับสูง

บทความสั้นนี้ผสานสามมิติไว้ด้วยกัน:
1) การมองแบบคันฉ่องส่องไทย (ตีแผ่โครงสร้างเชิงลึก)
2) การวิเคราะห์เชิงวิชาการ (รัฐศาสตร์–เศรษฐกิจการเมือง–อำนาจแบบอุปถัมภ์)
3) รูปแบบ HTML พร้อมเผยแพร่

1) แก่นโครงสร้าง: เมื่อรัฐอุปถัมภ์ต้องการ “เงินนอกระบบ” เพื่อดำรงอำนาจ

ในรัฐที่กฎหมายถูกใช้ตามเป้าประสงค์ของผู้มีอำนาจมากกว่าตามหลักนิติรัฐ ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดไม่ใช่งบประมาณของประเทศ แต่คือ เงินมืดและทรัพยากรนอกระบบ ซึ่งไม่มีการตรวจสอบและไม่มีความโปร่งใส

ทุนเทา–ทุนดำ เช่น บ่อน, ค้ามนุษย์, แรงงานเถื่อน, ยาเสพติดระดับภูมิภาค, ค้าสินค้าหนีภาษี ตลอดจนมาเฟียต่างด้าว จึงทำหน้าที่เป็น “กระเป๋าเงินลับ” สำหรับผู้กุมอำนาจ

ในเชิงวิชาการ นี่สอดคล้องกับแนวคิด Shadow State และ Patron–Client Network ที่รัฐไม่สามารถดำรงเสถียรภาพได้ หากไม่มีทรัพยากรที่ไม่ถูกตรวจสอบคอยหล่อเลี้ยงเพื่อใช้ในงานที่ “รัฐหน้าเป็น” ทำไม่ได้ เช่น

  • การควบคุมพื้นที่ทางการเมืองท้องถิ่น
  • การซื้ออิทธิพลและความภักดีของกลุ่มข้าราชการ
  • ปฏิบัติการมวลชนหรือปฏิบัติการข่าวสาร (IO)
  • การจัดการคู่แข่งทางอำนาจ

ดังนั้นรัฐอุปถัมภ์กับทุนมืดจึงพึ่งพากันเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เหตุบังเอิญ

2) ความต้องการ “ร่มเงาอำนาจ” ของทุนเทา–ทุนดำ ทำให้ต้องแนบชิดศูนย์อำนาจ

ในเชิงคันฉ่องส่องไทย เราเห็นชัดมานานว่า ทุนเทา–ทุนดำ ไม่ได้อยู่ได้ด้วยการซ่อนตัว แต่ต้องอยู่ด้วยการ ประกาศตนว่ามีผู้ใหญ่คุ้มหลัง เพื่อให้คู่แข่งยอมถอย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐ “มองผ่าน”

การถ่ายรูปคู่กับข้าราชการระดับสูง การร่วมงานพิธีของสถาบัน การสนิทสนมกับนายพล หรือนักการเมือง ทั้งหมดคือ ภาษาแห่งอำนาจ ที่ใช้สื่อสารว่า “ธุรกิจนี้ ปลอดภัย เพราะอยู่ใต้ร่มเงาที่สูงกว่าเจ้าหน้าที่ทั่วไป”

ในมุมวิชาการ ความสัมพันธ์แบบนี้เรียกว่า Mutual Shielding คือการปกป้องซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย:

  • ทุนมืดได้รับการคุ้มกันจากกฎหมาย
  • ข้าราชการ–นักการเมืองได้รับผลประโยชน์ที่ไม่สามารถขอผ่านระบบทางการได้

นี่คือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ฝังรากลึกจนกลายเป็น “ระบบ” มากกว่า “อุบัติเหตุทางการเมือง”

3) ระบบสัมปทานใหญ่: ระบบผูกขาดที่พันธนาการรัฐและทุนเข้าด้วยกัน

ประเทศไทยมีระบบสัมปทานที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจการเมือง เช่น พลังงาน โทรคมนาคม ท่าเรือ เหมือง ก๊าซ สื่อ สัมปทานเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการแข่งขันเสรี แต่เกิดจากการตัดสินใจของผู้มีอำนาจระดับบนที่ผูกโยงกับกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม

จึงเกิดการแลกเปลี่ยนแบบ:

  • ทุนต้อง “แสดงความจงรักภักดี” ต่อโครงสร้างอำนาจ
  • อำนาจต้องปกป้องผลประโยชน์ของทุน

ความแนบชิดนี้ไม่ได้เกิดเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่เป็นความจำเป็นเชิงโครงสร้างในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระยะยาว

4) รัฐไทยและดุลอำนาจกฎหมายแบบ “เลือกใช้”

ปัญหาหลักของไทยคือกฎหมายถูกบังคับใช้แบบ “เลือกใช้” หรือ Selective Enforcement ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของรัฐกึ่งเผด็จการที่ใช้กฎหมายเป็นอาวุธควบคุมศัตรู แต่ละเว้นพันธมิตร

ดังนั้นสำหรับทุนมืดและทุนใหญ่ สิ่งที่พวกเขาต้องซื้อไม่ใช่แค่เส้นทางเปิด แต่คือ การไม่ถูกปิดเกม และการไม่ถูกสร้างคดีเมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ

รูปถ่าย การร่วมงาน การไปมาหาสู่ จึงเป็นเสมือน “กรมธรรม์ประกันชีวิต” ทางธุรกิจ

5) เมื่อรัฐต้องใช้ “แขนขาเงา” ในงานที่รัฐทำเองไม่ได้

หลายกิจกรรมที่รัฐต้องการผลลัพธ์ แต่ทำเองไม่ได้เพราะผิดหลักประชาธิปไตย เช่น

  • ควบคุมพื้นที่อิทธิพล
  • กดดันคู่แข่งทางการเมือง
  • จัดการปฏิบัติการ IO
  • คุมแรงงานต่างด้าวและอุตสาหกรรมผิดกฎหมาย

ทุนเทา–ทุนดำจึงทำหน้าที่เป็น แขนขาเงาของรัฐ ทำในสิ่งที่รัฐ “ไม่อยากเปื้อนมือ” แต่ต้องการผลลัพธ์

นี่คือ symbiosis หรือการพึ่งพากันเชิงชีวภาพระหว่างรัฐกับทุนมืด

6) บทสรุปคันฉ่องส่องไทย: โครงสร้างนี้จะไม่มีวันเปลี่ยน ถ้าประชาชนไม่ลุกขึ้นเป็น “พลเมือง”

ตราบใดที่กฎหมายไทยไม่เสมอภาค ตราบใดที่ระบบราชการและกองทัพเชื่อฟังคนมากกว่ารัฐธรรมนูญ ตราบใดที่งบประมาณถูกยึดโดยคนไม่กี่กลุ่ม ตราบใดที่ประชาชนยังเป็น “ราษฎรในระบบอุปถัมภ์” เครือข่ายทุนเทา–ทุนดำ–ทุนใหญ่ และอำนาจสูงสุด จะยังดำรงอยู่เหมือนเดิมทุกยุคทุกสมัย

ประเทศไม่ถูกขายเพราะนักการเมือง แต่ถูกขายเพราะโครงสร้างที่เปิดช่องให้ทุนมืดเป็นเจ้าภาพของอำนาจ ขณะที่ประชาชนถูกกันออกจากการกำหนดอนาคตของตนเอง

นี่คือความจริงเชิงโครงสร้างที่คันฉ่องส่องไทยต้องชี้ให้เห็น

เชิงอรรถ / อ้างอิงเชิงวิชาการ (ย่อ)

– Joel S. Migdal, *State in Society* (โครงสร้างรัฐไม่ใช่สิ่งสมบูรณ์ แต่ต่อรองกับอำนาจนอกระบบ)
– Susan Strange, *The Retreat of the State* (ทุนเหนือรัฐและสร้างรัฐเงา)
– O’Donnell, *Delegative Democracy* (รัฐประชาธิปไตยที่ใช้กฎหมายเชิงเลือก)
– Scott, *Weapons of the Weak* (กลไกนอกระบบและเครือข่ายอุปถัมภ์ในสังคมเอเชีย)