Monday, March 23, 2015

คนไทยต้องอ่าน! - "ยุทธการรุมยิงนกในกรง" โดย พล.อ.อดุล อุบล



Credit: มติชนสุดสัปดาห์
ฉบับประจำวันที่ 7-13 มีนาคม 2557

ฝากไว้ ให้ตราตรึง
พล.อ.อดุล อุบล

--------------

ยุทธการ "รุมยิงนกในกรง"

--------------


ผมขออนุญาตอีกครั้งหนึ่งครับ ด้วยที่ผมคงต้องเขียนอะไรแรงๆ ลงไปในตอนนี้ เนื่องจากความรู้สึกที่อดสูและสมเพชในบุคคลหลายคนที่ไม่ควรจะเป็นได้ถึงตำแหน่งเหล่านั้น

มันเป็นเรื่องที่พวกเราคงทราบดีกันแล้วจากสื่อเป็นเรื่องที่ hot ที่สุดเรื่องหนึ่งในสังคมตอนนี้ และจะเป็นเรื่องที่มีผลในทางคดีความกันไปอีกนาน และอาจจะเป็นความแตกแยกภายในชาติอีกระดับหนึ่ง ถ้าแก้ไขกันไม่ถูกต้อง

ผมไม่ได้รับหนับสือเสนาธิปัตย์มาเป็นปี ทั้งๆ ที่จ่ายเงิน (โดนหักโดยอัตโนมัติ) มาตลอด ก็ไม่ทราบเรื่องราวอัปยศเช่นนี้ มาทราบก็ต่อเมื่อมีการออกมาวิจารณ์กันทางสื่อเรียบร้อยแล้ว และก็มีทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องโทรศัพท์มาถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย

ทั้งพี่และน้องเหล่านั้นพูดเหมือนกันว่า "มันเป็นทหารกันหรือเปล่าวะ" สามารถออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้อาวุธสงครามที่จัดหามาจากภาษีอากรของประชาชน สังหารประชาชนมือเปล่า

แล้วยังมีหน้ามาวิเคราะห์บทเรียนจากการปฏิบัติการนั้นว่าสำเร็จอย่างเลอเลิศสรรเสริญและชื่นชมกันราวกับ"วีรบุรุษสงคราม" ผู้พิชิตชัยชนะในสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชน ภายในชาติของตนเองที่มีแต่มือเปล่า และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง และคนแก่

ผมอยากจะทราบว่า ถ้าผู้ที่มาร่วมชุมนุมเหล่านั้นถืออาวุธมาจากบ้าน อย่างน้อยปืนสั้นหรือปืนยาวคนละกระบอกพร้อมกระสุนตามมีตามเกิด ภาพมันจะเป็นอย่างนี้ไหม

บางคนบอกว่า การวิเคราะห์ "บทเรียนจากการกระชับวงล้อม" (ในหนังสือเสนาธิปัตย์) ผู้วิเคราะห์ถูกสั่งให้กระทำเพื่อเป็นการเอาใจ (มันก็ประจบสอพลอนั่นแหละวะ) ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะถูกกระทำขึ้นเพื่อเป็นการเอาใจ หรือเพื่อการเป็นการนำไปใช้ฝึกและศึกษา หรือเป็นองค์ความรู้ทางวิชาการ หรือเพื่อเป็นการอยากจะบอกความจริงของผู้วิเคราะห์ก็ตาม มันก็เป็นประวัติศาสตร์อัปยศของกองทัพอยู่ดี

ผมอยากจะรู้ว่าเราจะเอาประสบการณ์ องค์ความรู้ หรือ ผลแห่งความสำเร็จนี้ไปอวดใครที่ไหน

อย่าว่าแต่กับประชาชนภายในชาติเลย ต่อให้ทหารต่างชาติและสังคมโลก เขาคงจะต้องสมเพชกองทัพไทยแน่

ผมมีความภาคภูมิใจมากในอดีตที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ทั้ง 2 หน่วยนี้ คือ อาจารย์อำนวยการส่วนวิชายุทธวิธี รร.เสนาธิการทหารบก

และก่อนหน้าที่จะเป็นพลเอกนี้ ผมเป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นตำแหน่งที่เขาขนานนามกันว่า "ครูใหญ่ของกองทัพบก"

ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าหน่วยที่ผมภาคภูมิใจจะทำเอกสารทางวิชาการออกมาได้แบบนี้

ผมอยากจะถามว่า พวกท่านมีความรู้สึกเป็นวีรบุรุษและมีความภาคภูมิใจมากนักหรือกับความเป็นจริงเหล่านี้

1. ท่านใช้กำลังทหาร 4 กองพล ซึ่งเท่ากับ 1 กองทัพน้อย (corps) ที่กองทัพ US ใช้เป็น Main effort (ME) ในการขับไล่กองทัพอิรักออกจากการยึดครองประเทศคูเวต แต่พวกท่านเอามาใช้ล้อมปราบประชาชนที่ไม่มีอาวุธ และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง และคนแก่

2. ท่านใช้พลซุ่มยิงทั้งกองทัพ รุมยิงเป้าหมายผู้ชุมนุมที่ถูกล้อมอยู่ ดุจดัง ยิงนกในกรง

3. ท่านประกาศว่าเป็นการทำสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชนภายในชาติด้วยกำลังรบผสมเหล่า ทั้งทหารราบ ทหารม้ายานเกราะ หน่วยบิน พลซุ่มยิง หน่วยรบพิเศษ หน่วยส่งทางอากาศ ขาดแต่อาวุธปืนใหญ่ นี่ยังไม่นับหน่วยข่าวกรองอีกจำนวนมาก

4. ท่านมีความภาคภูมิใจว่ามีการวางแผนประณีตมีการซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี

5. ท่านให้ข้อมูลที่ทำให้แน่ใจได้ว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารเป็นอย่างดี เพราะทั้งรัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพ มีการสั่งและควบคุมการปฏิบัติการอย่างสมบูรณ์แบบตามลำดับสายการบังคับบัญชา (Chain of Command)

6. ท่านชี้ให้เห็นถึงการใช้กระสุนจริงเป็นผลดีต่อขวัญและกำลังใจของทหาร โดยเฉพาะมีการประกาศเขตใช้กระสุนจริงใน down town ของ กทม.

แค่นี้ผมก็อยากจะอ้วกแล้วครับ

ผมคิดว่าท่านกำลังจะทำให้นายทหารรุ่นหลังๆ เข้าใจผิดไปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นบทบาทและหน้าที่ของทหารของชาติอย่างแท้จริง หรือก็เพราะไอ้ชัยชนะแบบนี้เองหรือเปล่าที่ทำให้หลงคิดว่ารบเก่งกันทั้งกองทัพอยู่ทุกวันนี้

เคยคิดในมุมมองอื่นกันบ้างหรือไม่ว่าเหตุการณ์นี้ต้องทำบทเรียน (Lesson Learn) แน่นอน

แต่ทำอีกด้านหนึ่งคือวิจารณ์ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อีก

และถ้ามันเริ่มมีอาการเราจะหยุดอาการเหล่านั้นตั้งแต่แรกอย่างไร

จะดับเหตุแห่งความขัดแย้งในสังคมตั้งแต่แรกได้อย่างไร

เมื่อถึงขั้นที่การควบคุมจะเป็นไปไม่ได้แล้วใครจะเป็นฝ่ายเสียสละระหว่างประชาชนส่วนใหญ่หรือรัฐบาล

บทวิเคราะห์ของ ยศ.ทบ. กรณีนี้ไม่ได้อะไรแก่สังคมนอกจากการขยายช่องว่างของความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมไทยให้มากขึ้นไปอีก และได้คิดกันบ้างหรือเปล่าว่าข้อเท็จจริง (Facts) ที่ท่านเอามาเป็นหลักฐานในการวิเคราะห์นั้น มันจะกลับมาเป็นพยานหลักฐานว่าบรรดาฝ่ายการเมืองและผู้นำทหารกล่าวเท็จกับสาธารณชนไว้อย่างไรบ้าง แล้วมันจะนำไปฟ้องเป็นคดีความกันได้มากน้อยขนาดไหน

ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ มันเป็นการยอมรับกับผู้ชุมนุมว่ารัฐบาลไม่เคยมีความมุ่งหมายในการเจรจานอกจากการสลายการชุมนุมเท่านั้น

จึงเท่ากับส่งสัญญาณให้ฝ่ายชุมนุมตระหนักว่าในการชุมนุมครั้งต่อไป ไม่ว่าจะชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธหรือไม่ พวกเขาจะต้องถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงและด้วยกำลังทหารแน่นอน

ดังนั้น จะเป็นอะไรไปถ้าพวกเขาจะนำอาวุธประจำบ้านตามมีตามเกิดติดตัวมาด้วยเพื่อป้องกันตนเอง แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น

ผมไม่อยากนึกถึงภาพเลย (เขียนเมื่อ 30 มิถุนายน 2554)

ปฏิบัติการ "ป้ายร้าย - ใส่สี"

ผมได้อ่านบทความเรื่อง บทเรียนจากการปฏิบัติการข่าวสาร กรณี ปปส. ในเมือง (มีนาคม-พฤษภาคม 2553) ที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือเสนาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องจากบทเรียนยุทธการกระชับวงล้อม อดไม่ได้ที่จะต้องเขียนมาเสนอความเห็นและแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนๆ และบุคคลทั่วไปครับ

ผมเชื่อว่าทุกคนเข้าใจที่มาที่ไปของเหตุการณ์ มีนาคม-พฤษภาคม 2553 และรู้ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมากมายปานใด มันส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือในสถาบันต่างๆ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม สถาบันการเมืองการปกครอง และสถาบันความมั่นคงของประเทศ (ทหาร, ตำรวจ) อย่างไร

และที่สำคัญที่สุดคือ ความแตกแยกของพลเมือง (country men) ทุกหัวระแหงอย่างที่ผมไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต จนกระทั่งวันนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับไปเหมือนเดิมได้อีกหรือไม่

เห็นไหมล่ะครับว่าการใช้กำลังทหารซึ่งเป็นของทุกคนภายในชาติไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด สีใด ยากดีมีจนเพียงใด ออกมาจัดการกับประชาชนภายในชาติอีกฟากหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามกับผู้มีอำนาจในประเทศมันมีแต่ผลเสียเกินกว่าที่จะคาดคิดนัก

เพราะเหตุว่าในท้ายที่สุดแล้ว มันจะไม่มีฝ่ายใดชนะ มันจะมีแต่ความพ่ายแพ้ของทุกฝ่ายอย่างถาวร

เมื่อนำทหารถืออาวุธออกมา ความตึงเครียดของทุกฝ่ายย่อมทวีขึ้นแน่นอน เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นจะส่งผลสำคัญให้ฝ่ายที่สูญเสียโกรธ เกลียด ชิงชัง เคียดแค้น ความต้องการหาความยุติธรรมให้ฝ่ายตนด้วยการแก้แค้นทุกวิถีทางก็จะเกิดขึ้น

สำหรับฝ่ายที่ทำให้สูญเสียจะเกิดความกลัวความผิดจากการกระทำของตนเองก็จะต้องป้องกันทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องพ้นความผิด

สถานการณ์เช่นนี้จะจบลงเมื่อใดและอย่างไรคงยากที่ผู้ใดจะตอบได้เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องแสดงให้ทุกฝ่ายได้เห็น

บรรดาประเทศที่ศิวิไลซ์เขาจึงต้องกันกองทัพประจำการของชาติของเขาไว้ไม่ให้ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เพื่อประกันไม่ให้กองทัพต้องตายไปจากหัวใจของประชาชนพี่น้องร่วมชาติ

เมื่อเรานำกองทัพถืออาวุธออกมาและสถานการณ์ได้พัฒนาตัวของมันเองไกลออกไปจนเกิดความรุนแรง กองทัพก็ต้องนำวิธีการทางทหารทุกประการออกมาใช้เพื่อให้ได้ชัยชนะ

โดยไม่ได้คิดว่าตามปกติแล้ววิธีการทางทหารนั้นเขาใช้กับข้าศึกที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาชนและประเทศชาติของเรา เดียวกับการที่กองทัพ และ ศอฉ. ได้นำการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) หรือ IO มาใช้ในการสนับสนุนการสลายมวลชนใน มีนาคม-พฤษภาคม 2553 IO นั้นเป็นกระบวนการทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้อง ใช้ทั้งความดีและความชั่วร้าย ใช้ทั้งความจริงและการโกหกหลอกลวงที่ฝ่ายเรากระทำต่อข้าศึกเพื่อให้ได้ผลทั้งทางกายภาพและทางจิตวิทยา โดยเฉพาะต่อข้าศึก ทำให้ข้าศึกตกเป็นเบี้ยล่างของฝ่ายเราในทุกด้านของการปฏิบัติการทางทหาร

เมื่อฝ่่ายเรากระทำต่อข้าศึกมันไม่เป็นอะไรหรอกครับเพราะฝ่ายข้าศึกเขาก็ยอมรับกฎกติกาในเรื่องนี้ของการทำสงครามซึ่งฝ่่ายเขาก็จะทำกับฝ่่ายเราซึ่งเป็นข้าศึกของฝ่่ายเขาเช่นกัน

เมื่อเสร็จสิ้นสงครามไม่ว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะก็จบกันไปไม่ได้มาเกี่ยวข้องกันหรือมีความสัมพันธ์กัน ต้องอยู่ด้วยกันในฐานะคนร่วมชาติเดียวกัน

แต่เมื่อฝ่ายกองทัพ และ ศอฉ. นำเรื่องของ IO ตามที่กล่าวมาแล้วมาใช้กับประชาชนซึ่งเป็นพี่น้องร่วมชาติ อะไรมันจะเกิดตามมาเมื่อจบเหตุการณ์แล้ว

และยิ่งไปกว่านั้น ผู้มีอำนาจของฝ่าย ศอฉ. ยังขยายความเจ็บแค้นต่อไปอีกด้วยการสั่งให้ฝ่ายตนเองวิเคราะห์บทเรียนแห่งความสำเร็จจากการหลอกลวงประชาชน ให้สังคมได้รับทราบอย่างภาคภูมิและมีเกียรติยิ่ง

มันเป็นเรื่องของเกียรติยศและน่าภาคภูมิใจมากนักหรือกับการที่ท่านป้ายความชั่วร้ายให้แก่อีกฝั่งฟากหนึ่งด้วยข้อหาร้ายกาจสุดโต่งที่ไม่ต้องการพิสูจน์และไม่ต้องมีหลักฐานและกับการที่ใส่สีสัน เพิ่มความรุนแรงน่ากลัวของสถานการณ์ลงไปด้วยการตัดต่อภาพนิ่งและภาพวิดีโอ (ตามที่ท่านได้ยอมรับไว้ในเอกสาร) เพื่อสร้างความเลวร้ายให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้ประชาชนในชาติยอมรับความจำเป็นในการปราบปราม

เนื่องจากสอนใน รร.เสนาธิการทหารบกมาหลายรุ่น ผมเข้าใจและรู้ว่าปัจจัยแห่งการได้รับชัยชนะในการทำสงครามนั้นประการสำคัญประการแรกคือ ความชอบธรรม (Legitimacy) ในการทำสงคราม

และสาเหตุแห่งความชอบธรรมนั้นมันสร้างกันได้ และบางครั้งก็ต้องสร้างขึ้นมาเองด้วย

ผมก็สอน นทน.รร.สธ.ทบ. ไปหลายรุ่น แต่ผมไม่เคยหวังให้พวกเขาเหล่านั้นนำมาใช้กับเพื่อนร่วมชาติ

ทหารในกองทัพชาติจะต้องเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ดี เป็นที่พึ่งของชนในชาติ ไม่มีวันที่พวกเขาจะโกหกพี่น้องร่วมชาติเพื่อความชอบธรรมได้ พวกเขาจึงจะสามารถประทับอยู่กลางใจมหาชน ไม่ใช่ตายไปแล้วจากหัวใจของประชาชนเหมือนบางคนทุกวันนี้ (เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2554)

เมื่อเวทีภาคีไทย รวมผู้กล้าท้าทาย คสช.: ท่านจารุพงศ์-ดร.สุนัย-คุณดารุณี-คุณจอม-และดร.เพียงดิน

เมื่อเวทีภาคีไทยฯ รวมผู้กล้าท้าทาย คสช.: ท่านจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ-ดร.สุนัย จุลพงศธร-คุณดารุณี กฤตบุญญาลัย-คุณจอม เพ็ชรประดับ-และดร.เพียงดิน รักไทย จึงปรากฎตัวบนเวทีเดียวกัน  ในงานประชุมใหญ่ประจำปีของภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ณ นครลอสแอนเจลีส สหรัฐอเมริกา 22 มีนาคม ศกนี้  (รายงานโดยละเอียด พร้อมภาพและวิดีโอจะตามมาเร็ว ๆ นี้)



เครดิตภาพ หนุ่มหล่อแอลเอ






"หมิ่นเบื้องสูง"... วลีที่จะต้องกำจัดไปให้สิ้นจากสังคมไทย

วลี 'หมิ่นเบื้องสูง' ดูเหมือนว่าสื่อไทยและคนไทยหัวเหลืองจำนวนมากภูมิใจเหลือเกินเมื่อได้เอ่ย ด้วยเชื่อว่าตนเองได้ทำหน้าที่พลเมืองดี คนไทยที่รักชาติ(คือต้องรักพ่อ) และเป็นคนปกป้องรักษาชาติ มีเกียรติเหนือคนที่วิพากษ์วิจารณ์เจ้า

ผมเชื่อว่า คนที่ชี้นิ้วว่าผู้อื่นด้วยความรู้สึกภูมิใจวันนี้ จะหมดไปโดยเร็ว ต่อไปนี้ การหมิ่นเจ้าแบบโจ๋งครึ่งจะเกิดขึ้น และสงครามกลางเมืองก่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่คงจะเลี่ยงไม่ได้ ก็จะนำไปสู่การล่มสลายของระบบเจ้าในที่สุด จะช้าเร็ว ใครที่คิดว่าสีม่วงจะอยู่ในใจคนไทยตลอดไปอีกนานนั้น คิดผิด เพราะผมไม่เอาทั้งนั้น ไม่ว่าเหลือง ม่วง ชมภู หรือสีไหน ๆ  เพราะระบบเจ้าไม่มีประโยชน์คุ้มค่ากับการรักษาไว้

แต่ก่อนที่ไปถึงวันนั้น ผมอยากบอกพวกที่ใช้วลี  "หมิ่นเบื้องสูง" นั้น ควรจะอายปาก อายน้ำหน้าตัวเองยิ่งนัก  เพราะทัศนะแบบพวกเขานั้น ล้าหลังสุด ๆ ดูถูกตัวเองสุด ๆ และโง่สุด ๆ เพราะยอมให้ตนเองอยู่ใต้คนอื่นอย่างไม่มีความคิด แถมจะบังคับคนอื่นให้เป็นทาสไพร่เหมือนตน



คนพวกนี้ลืมไปว่า ศาสนาทุกศาสนาสอนว่ามนุษย์ตดเหม็น มีค่าเหมือนกัน เท่ากัน คือ มีบาป หรือเป็นทาสความทุกข์ในวังวนเกิด แก่ เจ็บ และตาย  ศาสนาคริสต์ถึงกับบอกว่า ทุกคนเท่ากันในสายตาพระเจ้า อย่าบังอาจให้มนุษย์หน้าไหนยกตนเหนือมนุษย์คนอื่น และไอ้พวกที่ยกตนเป็น King เหนือมนุษย์คนอื่นนั่นแหละ จะลงนรกก่อนใคร!!

และวัฒนธรรมอารยสากลในวันนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่า ศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนของมวลมนุษย์ทุกคนนั้น เท่าเทียมกัน

แต่คนที่ถือว่าอยู่ดี มีกิน มีการศึกษา และมีอำนาจวาสนาใต้ระบอบหมอบกราบ กลับพอใจที่จะได้เป็นทาสที่ได้เปรียบคนอื่น เพียงขอให้ตนได้เป็นทาสที่เลียเจ้าของทาสแล้วรู้สึกดี หรือได้รับอภิสิทธิ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

ผมเชื่อมั่นว่า อีกไม่นานคนไทยจะเลิกใช้คำว่า "หมิ่นเบื้องสูง" แต่จะหันมาเข้าใจคำว่า equity / equality ความเสมอภาค human dignity ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  non-jugdmental attitude  ทัศนคติแห่งการไม่ตัดสินแบ่งแยกด้วยอคติ  respect ความเคารพในสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีของผู้อื่น ฯลฯ แทนวลีเหี้ย ๆ ที่ดูถูกตนเองและคนอื่น โดยไม่ดูเลยว่า เบื้องสูงที่ว่า ๆ กันนั้น ที่แท้ยิ่งกว่าเสนียดในโคลนตมเหม็นเสียอีก  เพราะนอกจากน่ารังเกียจแล้ว ยังมีพิษมากว่าจะมีคุณประโยชน์ซะอีก


หากกษัตริย์ภูมิพลวิ่งปร๋อ ในวัย 95 เหมือนในวิดีโอ คนไทยคงหนาวไปอีกหนาน ฮ่า ๆ ๆ


หากกษัตริย์ภูมิพลวิ่งปร๋อ ในวัย 95 เหมือนในวิดีโอ คนไทยคงหนาวไปอีกหนาน ฮ่า ๆ ๆ 

นี่อาจจะเป็นแรงจูงใจให้หลาย ๆ คน ดูแลตัวเอง แล้วอยู่ดูโลกไปอีกนานแสนนาน อาจจะทำให้คนแต่งงานช้า มีหวังจะได้เห็นลูกจบมหาวิทยาลัย แล้วได้ดูหน้าหลาน แต่... หากคนแก่เมืองไทยอายุยืนและปึ๋งปั่๋งขนาดนี้ ประเทศไทยคงแย่.... อิ๋บอ๋าย เพราะแค่อายุยืนอย่างที่เห็น ๆ แม้จะป่วยปางตาย แต่ก็ยังทำบ้านเมืองพินาศได้น่าใจหายแล้ว

หนุ่มอีสานฝีปากเด็ด ตัดเกรดประยุทธ์สิบเดือน... ต้องฟังเสียงคนรุ่นใหม่


หนุ่มอีสานฝีปากเด็ด ตัดเกรดประยุทธ์สิบเดือน... ต้องฟังเสียงคนรุ่นใหม่ สรุปผลงาน 10 เดือน รัฐบาลเผด็จการโจร คสช. ภาพรวม 30 ผลงาน (22 พ.ค.57 - 22มี.ค.58)


Sunday, March 22, 2015

อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เจ้าของรางวัล 2014 Ahimsa Award จากภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ทักทายสมาชิกภาคีฯ

อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เจ้าของรางวัล 2014 Ahimsa Award จากภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ทักทายสมาชิกภาคีฯ
http://youtu.be/MWIVdchpz6o








แผนล้มประยุทธ์... เริ่มคืนนี้...(โปรดใช้พิจารณญาณ)




แผน การปฎิวัติ ของทหารอีกฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามประยุทธ น่าจะเริ่มคืนนี้เพราะเตรียมกันมานานละ
บอกให้เพื่อนๆ ที่เป็น ตำรวจ ที่อยู่ กทม. ระวังตัวด้วย นับพันแผน

คำแถลงพิเศษ องค์การประชาธิปไตยไทย (อปท.) ---เป็นประโยชน์สำหรับนักปฏิบัติครับ

คำแถลงพิเศษ
องค์การประชาธิปไตยไทย (อปท.)

     เมื่อประชาธิปไตยที่มีอยู่เพียงน้อยนิดต้องปิดฉากลงอีกครั้งหลังการรัฐประหารรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามความประสงค์ของ "ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ" ที่ครอบงำเหนืออำนาจอธิปไตยในประเทศไทยมายาวนาน ระบอบเผด็จการราชาธิปไตยเต็มรูปแบบที่โบราณล้าสมัย ได้ถูกขุดขึ้นมาใช้แทนที่ พวกเขาปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นอย่างสิ้นเชิง สิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยถูกปล้นไปด้วยอำนาจปืน สิทธิมนุษยชนถูกละเมิดอย่างทั่วด้าน ไม่สนใจต่อพันธสัญญาที่มีต่อประชาคมโลก ไม่สนใจกฎกติกา เสียงท้วงติงและการต่อต้านจากทั่วโลก ยังคงจับกุมคุมขังบังคับข่มขู่คุกคามและทรมานประชาชนที่คิดต่างอย่างไร้มนุษยธรรม ยัดเยียดข้อหาร้ายแรงด้วย ม.112 ตามอำเภอใจ และตัดสินคดีความตามคำบงการของ "ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ" โดยไม่สนใจหลักนิติรัฐ นิติธรรม
     ความขัดแย้งครั้งใหม่บนแผ่นดินนี้จึงต้องเกิดขึ้น เป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่ประชาชนไทยทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะคนรากหญ้าหลายสิบล้านคนไม่ยอมก้มหัวยอมทนให้ "ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ" กดขี่ขูดรีดเหยียบย่ำอยู่บนหัวประชาชนอีกต่อไป  เป็นความขัดแย้งที่กำลังลุกลามขยายตัวแผ่ซ่านและซึมลึกอยู่ในความรู้สึกที่คับแค้นอัดอั้นรอวันประทุ
แม้วันนี้พลังแห่งการต่อสู้เปลี่ยนแปลงของประชาชนยังกระจัดกระจายไม่เข้มแข็งพอที่จะกระชากจอมมารลงจากบัลลังก์เลือด แต่บางส่วนที่สุกงอมและพร้อมกว่าได้เริ่มหลอมรวมร่วมกันทั้งใจกายและสติปัญญาในนามของกลุ่ม บุคคล และองค์กรต่าง ๆ  อุทิศตนเพื่อภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ในทุกหนแห่งทั่วประเทศและทุกทวีปทั่วโลก มุ่งมั่นแสวงหาระดมสรรพปัจจัยมาเกื้อหนุนการต่อสู้ที่ชอบธรรมนี้อย่างขมีขมัน เพื่อเร่งวันที่ระบอบประชาธิปไตยของประชาชนจะได้ฉายแสงเจิดจ้าเหนือฟ้าไทยอย่างแท้จริง
     การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จำเป็นต้องมีการจัดตั้งและการนำพาที่เข้มแข็ง  ความสำเร็จนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยการรวมตัวร่วมมือร่วมแรงและร่วมใจกันขององค์กร บุคคล และกลุ่มบุคคลที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ภายใต้หลักเกณฑ์สำคัญ อาทิ
1. สถาปนาองค์กรแนวร่วมที่เข้มแข็งขึ้นมานำพาการต่อสู้ร่วมกัน
2. องค์กรนำพาการต่อสู้นี้ ตั้งอยู่บนหลักการที่เสมอภาค เท่าเทียม เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ครอบงำซึ่งกันและกัน
3. สนับสนุน ส่งเสริม เผยแพร่ภารกิจของกันและกัน
4. แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ค่อย ๆ รวมกันให้แน่นแฟ้น ค่อย ๆ พูดคุยทำความเข้าใจในจุดที่ยังคิดเห็นแตกต่างกัน
5. ความขัดแย้งใด ๆ ที่เกิดขึ้น ต้องคุยกันภายในฉันท์มิตร ไม่โจมตีกันออกสื่อ
6. ไม่ทรยศหักหลัง ขายความลับ
     องค์การประชาธิปไตยไทย (อปท.) เป็นองค์กรของประชาชนไทยอีกองค์กรหนึ่งซึ่งขอประกาศอย่างแน่วแน่ หนักแน่นและแข็งขันด้วยคำแถลงนี้ ในการเข้าร่วมต่อสู้กับประชาชนไทยและเพื่อนมิตรทั่วโลกทั้งที่เป็นองค์กร บุคคล และกลุ่มบุคคล เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมและสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของประชาชน
     องค์การประชาธิปไตยไทย (อปท.) จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดงานประชุมใหญ่ประจำปี ณ วันที่  22 มีนาคม 2015 ที่เมืองลอสแอนเจิลลีส รัฐแคลิฟอร์เนีย ของภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่จะผลักดันให้การเปลี่ยนโครงสร้างสังคมครั้งใหญ่ให้เป็นระบอบประชาธิปไตยของประชาชน บรรลุผลสำเร็จด้วยดีทุกประการ

องค์การประชาธิปไตยไทย (อปท.)
21 มีนาคม 2015


อ่านแถลงการณ์แล้ว ทำให้นึกถึงแนวคิดของคุณจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ สำหรับการขยายเครือข่ายเสรีไทยครับ







ชอบครับ อ.ใจ กระแทกประยุทธ์ ด้วยค่านิยมหลัก 12 ประการตามสันดานเผด็จการมือเปื้อนเลือด

ค่านิยมหลัก 12 ประการของไอ้ยุทธ์มือเปื้อนเลือด



1. ก้มหัวกราบไหว้กองทัพไทย และท่านผู้นำ หัวหน้าองค์กรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล ใครวิจารณ์จะโดนกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมหาประยุทธ์
2. เคารพกฏหมายและรัฐธรรมนูญที่กูร่าง ทำตามคำสั่งกู แต่ไม่ต้องทำเหมือนกู เพราะกูเขียนกฏหมายเองก็ละเมิดเองได้เสมอ
3. ขยันเคารพผู้ใหญ่อย่างกู ที่ปลดแอกประชาชนไทยจากความเลวทรามของประชาธิปไตย และคืนความสุขให้พวกมึง
4. พวกเอ็งไม่มีพ่อ พวกเอ็งไม่มีแม่ มีแต่นายภูมิพลกับนางสิริกิติ์
5. จงท่องจำทุกอย่างที่เราป้อนให้ อย่าบังอาจคิดเอง “ความโง่เขลาคือความเข้มแข็ง”
6. จงปกป้องรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไทยแบบประยุทธ์ โดยการใช้ชีวิตในการหมอบคลาน อย่ายืนตรง และอย่ามองหน้ากูหรือตั้งคำถามกับกูมากเกินไป
7. พยายามกอบโกยให้มากที่สุด โดยไม่สนใจคนจน ตามแนวทางคิดพอเพียง
8. พยายามทำความเข้าใจว่า “ประชาธิปไตย” งอกจากกระบอกปืนรถถังเสมอ จงช่วยเหลือเหล่าสัตว์เลื้อยคลานที่กำลังออกแบบประยุทธรรมนูญฉบับใหม่
9. รักษาวินัยเชิงฟาสซิสต์เสมอ ทำตามคำสั่งทุกประการ เพราะถ้าไม่ทำจะเชิญไปกินกำปั้นและไฟฟ้า เพื่อเปลี่ยนทัศนะคติ
10.จงศึกษาคำสอนของกูที่ทุกคนรัก ตามแนวทางเกาหลีเหนือ อย่าลืมว่าคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต
11. จงต่อต้าน “อสูรทักษิณ” และพวก “มารเสื้อแดง” อย่างถึงที่สุด อย่าลืมว่าเขาไม่ใช่คน พุทธศาสนาฉบับประยุทธ์จึงสอนเราว่าเราฆ่าพวกเขาได้และเราจะเป็นคนดี
12. จงให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ชาติหมาของกูและผลประโยชน์ชาติหมาของกองทัพไทย เหนือความสุขและเสรีภาพของประชาชนตลอดกาล เพื่อความมั่นคงแห่งชาติหมา

-- 
Giles Ji Ungpakorn



Saturday, March 21, 2015

ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินหน้า ประกาศความจริง ฟ้องชาวโลก 22 มีนาคม 2558

ฝ่ายจัดนิทรรศการกำลังเตรียมงานอย่างขมักเขม้น เพื่อเผยแพร่ความจริงให้ชาวไทยและชาวโลกได้รับรู้ พร้อมให้พี่น้องส่งแถลงการณ์ร่วมฟ้องร้องและขอความช่วยเหลือจากมิตรประเทศและองค์การสากล พร้อมต้อนรับพี่น้องไทยและต่างชาตินับร้อย ที่ได้ตอบรับเข้าร่วมงาน (RSVP)

ด้านการรักษาความปลอดภัย เรามีการจ้างการ์ดมืออาชีพ พร้อมการ์ดอาสาชาวแอลเอ  ...
ติดตามรายงานได้ต่อไป ผ่านการบันทึกแบบมัลติมีเดียโดยทีมงานมืออาชีพ

แล้วพบกันนะครับ

























The 2025 Thai–Cambodian Border War: Geopolitics, Scam Networks, and the Risk of Defying the United States

The 2025 Thai–Cambodian Border War: Geopolitics, Scam Networks, and the Risk of Defying the United States The 2025 Thai–C...