Monday, November 24, 2025

"พระเจ้าตากสินก็ฆ่ากษัตริย์อื่นแล้วขึ้นเป็นเจ้า": ความมั่วของข้อมูลคือสิ่งต้องช่วยกันแก้

ไทม์ไลน์สำคัญของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ไทม์ไลน์สำคัญของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (เดิมชื่อ “สิน”) เป็นกษัตริย์องค์เดียวของราชอาณาจักรธนบุรี ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2311–2325 (ค.ศ. 1768–1782) ต่อไปนี้คือไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ ตั้งแต่ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์จนถึงสิ้นรัชกาล โดยระบุทั้ง พ.ศ. และ ค.ศ. เพื่อความชัดเจน

ปี (พ.ศ./ค.ศ.) เหตุการณ์สำคัญ
2277 / 1734 ประสูติที่กรุงศรีอยุธยา พระราชบิดาคือนายไหฮอง (ชาวจีน) พระราชมารดาคือนางนกเอี้ยง (ชาวไทย) เดิมชื่อ “สิน” ได้รับการอุปการะจากขุนนางไทย เข้าเรียนหนังสือในวัด ก่อนเข้าสู่ราชการทหาร [1],[3]
2300s / 1750s–1760s รับราชการเป็นนายทหารในสมัยอยุธยา มีผลงานหลายครั้งในการรบกับพม่า ได้รับแต่งตั้งเป็น “พระยาวชิรปราการ” และเป็นผู้ว่าราชการเมืองกำแพงเพชร [2]
2310 / 1767 (เมษายน) กรุงศรีอยุธยาแตก พระยาวชิรปราการนำกำลังราว 500 คนฝ่าวงล้อมพม่า ไปยังหัวเมืองตะวันออก เช่น ชุมพร ระยอง เพื่อรวบรวมกำลังใหม่ [2],[6]
2310 / 1767 (มิ.ย.–ธ.ค.) ตีกองทัพพม่าตามหัวเมืองต่าง ๆ กลับมายึดกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ ขับไล่ทัพพม่าออกจากแผ่นดิน และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่ [7]
2310–2311 / 1767–1768 ปราบปรามกลุ่มอำนาจที่แตกแยกหลังอยุธยาแตก เช่น เจ้าพระฝาง และเวียงจันทน์ รวมชาติให้กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง [2]
2311 / 1768 (28 ธันวาคม) ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ วัดอินทาราม กรุงธนบุรี [10]
2311–2318 / 1768–1775 ทำศึกกับพม่าหลายครั้ง ยึดเชียงใหม่–ล้านนาได้สำเร็จ และขับไล่พม่าออกจากหัวเมืองเหนือ [2]
2318–2321 / 1775–1778 ขยายอิทธิพลทางการเมืองและการทหารไปยังลาวและเขมร ทำให้อาณาจักรธนบุรีมีอำนาจกว้างขวาง [6]
2321–2324 / 1778–1781 สงครามกับเวียดนามเพื่อช่วยเขมร แต่ไม่สำเร็จเต็มที่เพราะปัญหาภายในประเทศ ระหว่างนี้ ทรงฟื้นฟูเศรษฐกิจ การค้า และพระพุทธศาสนา [2]
2325 / 1782 (ต้นปี) เกิดความไม่พอใจในราชสำนักและในเมือง ประกอบกับพระอาการประชวร พระยาสรรค์และกองกำลังยึดอำนาจจนราชบัลลังก์ล่ม [1]
2325 / 1782 (7 เมษายน) สิ้นพระชนม์โดยถูกปลงพระชนม์ (บันทึกบางฉบับระบุวิธีตีด้วยท่อนจันทน์) สิ้นสุดอาณาจักรธนบุรี และราชวงศ์จักรีเริ่มต้นรัชสมัยใหม่ [1],[8]

คำตอบเกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่า “พระเจ้าตากสินฆ่ากษัตริย์องค์ก่อน”

พระเจ้าตากสินไม่ได้ทรงฆ่าสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา หลังกรุงศรีอยุธยาแตกใน พ.ศ. 2310 พระเจ้าเอกทัศน์ถูกพม่าจับตัวไป และสิ้นพระชนม์จากการอดพระกระยาหารหรือถูกประหารตามบันทึกบางฉบับ ไม่พบหลักฐานประวัติศาสตร์ใดระบุว่าพระเจ้าตากสินมีส่วนเกี่ยวข้อง

ภายหลังจากรวมแผ่นดิน พระเจ้าตากสินยังทรงประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เพื่อแสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์องค์ก่อน ดังนั้น การขึ้นครองราชย์ของพระองค์จึงเกิดจากการกู้แผ่นดินที่ “ไร้กษัตริย์” และแตกสลาย มิใช่การโค่นล้มกษัตริย์โดยพระองค์เอง

Bibliography

  1. วิกิพีเดีย: สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
  2. ลำดับเหตุการณ์สำคัญ – ศิลปวัฒนธรรม
  3. ลำดับเหตุการณ์สมัยกรุงธนบุรี
  4. KMUTT – พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสิน
  5. สารคดี “เส้นทางกู้ชาติ”
  6. บทความ TUTOR VIP
  7. กรมศิลปากร – วันกอบกู้เอกราชไทย
  8. พระราชประวัติ – อีจัน
  9. THE STANDARD – สถาปนากรุงธนบุรี
  10. องค์ความรู้วันพระเจ้าตากสินมหาราช

ประกาศยุทธศาสตร์อภิวัฒน์ปวงชนมดแดงล้มช้าง 2026

ว่าด้วยการอภิวัฒน์ปวงชน: ศักยภาพประชาชน ระบอบ และระเบียบโลกใหม่ (ฉบับวิเคราะห์ 2026)

ว่าด้วยการอภิวัฒน์ปวงชนมดแดงล้มช้าง: ศักยภาพประชาชน ระบอบ และระเบียบโลกใหม่ (ฉบับวิเคราะห์ 2026)

เรียบเรียงใหม่จากแนวคิดเดิมเมื่อปี 2554–2559 ให้สอดคล้องกับบริบทปี 2026 โดยเน้นการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง บทบาทประชาชน และพลวัตภูมิรัฐศาสตร์ร่วมสมัย

1) การพัฒนาศักยภาพประชาชน: รากแก้วของการเปลี่ยนผ่านระบอบ

แก่นของการอภิวัฒน์ที่ยั่งยืน ไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนผู้นำ แต่อยู่ที่การเปลี่ยน “คุณภาพของประชาชนทั้งแผ่นดิน”

เมื่อมองย้อนจากประวัติศาสตร์การเปลี่ยนผ่านระบอบในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ไต้หวัน ชิลี หรือบางประเทศในยุโรปตะวันออก จะพบว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่ได้มาจาก “ผู้นำฮีโร่” เพียงคนเดียว แต่อยู่ที่ระดับศักยภาพของประชาชนจำนวนมากที่ค่อย ๆ สั่งสมกันมา ทั้งด้านความรู้ทางการเมือง ความเข้าใจสิทธิของตนเอง และความสามารถในการรวมตัวเคลื่อนไหวอย่างมีวินัย

ศักยภาพประชาชนในบริบทนี้จึงมิใช่เพียงการมีจำนวนมากหรือมีอารมณ์ร่วมเท่านั้น แต่รวมถึงความกล้าหาญที่จะไม่ยอมรับความอยุติธรรม การคิดวิเคราะห์จนมองเห็นกลไกที่กดทับอยู่เบื้องหลัง และการใช้ “ข้อได้เปรียบทุกอย่างที่มี” ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ภาษา เทคโนโลยี เครือข่ายสังคม เพื่อขยายพื้นที่ความจริงในทุกมิติของชีวิตสาธารณะ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวปลอมและการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (information operations) ถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐและทุน การพัฒนาศักยภาพประชาชนจึงหมายถึง การสร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญา ให้สามารถแยกแยะระหว่างข่าวจริง ข่าวลวง และข่าวที่ถูกบิดเบือนเพื่อประโยชน์ของผู้มีอำนาจ เมื่อประชาชนจำนวนมากเข้าถึงระดับนี้ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างย่อมไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

2) จากจุดแข็งของประชาชน สู่จุดอ่อนของเผด็จการ

ในระบอบเผด็จการสมัยใหม่ จุดอ่อนแท้จริงไม่ได้อยู่ที่อาวุธ แต่อยู่ที่ “ความชอบธรรม” และ “ความกลัวประชาชน”

ระบอบอำนาจนิยมไม่ว่าจะในเอเชีย ยุโรปตะวันออก หรือแอฟริกา มักมีรูปแบบคล้ายกันคือ มีการผูกขาดอำนาจรัฐ กองทัพ และทรัพยากรทางเศรษฐกิจไว้ในมือของกลุ่มเล็ก ๆ พร้อมทั้งอ้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย หรือสถาบันบางอย่างเพื่อสร้างภาพความชอบธรรมให้ตนเอง อย่างไรก็ตาม ระบอบแบบนี้มีจุดอ่อนเชิงโครงสร้างอยู่เสมอ นั่นคือ ไม่สามารถอยู่รอดได้หากปราศจากการยอมรับหรือยินยอมเชิงจำนนของประชาชนส่วนใหญ่

ตรงกันข้าม ฝ่ายประชาชนมีข้อได้เปรียบที่สำคัญอย่างน้อยสี่ประการ คือ

  • จำนวนและความหลากหลาย – ประชาชนส่วนใหญ่คือผู้แบกรับผลของนโยบายทุกอย่าง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิทธิมนุษยชน หากพวกเขาเห็นตรงกันว่าระบอบหนึ่งหมดความชอบธรรม ระบอบนั้นย่อมได้รับแรงกดดันมหาศาล
  • ฐานของความชอบธรรม – ในหลักการประชาธิปไตยสมัยใหม่ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ภาครัฐและกองทัพมีหน้าที่รับใช้ มิใช่ยืนอยู่เหนือประชาชน
  • เครื่องมือสื่อสารยุคดิจิทัล – อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ทำให้การผูกขาดข้อมูลของรัฐเสื่อมลงอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐจะพยายามจำกัด แต่ก็ไม่อาจควบคุมได้เบ็ดเสร็จเหมือนในศตวรรษก่อน
  • ชัยภูมิด้านความเห็นประชาคมโลก – ในโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงยากจะถูกปิดบัง และแรงกดดันจากนานาชาติอาจกลายเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงในบางจังหวะ

การวิเคราะห์เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าการเปลี่ยนผ่านเป็นเรื่องง่าย แต่ชี้ให้เห็นว่า หากประชาชนสามารถใช้ข้อได้เปรียบเหล่านี้อย่างมีสติและเป็นระบบ จุดอ่อนของเผด็จการจะชัดเจนยิ่งขึ้น และเปิดพื้นที่สำหรับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีความหวัง

3) หลักสากล 4 ประการ: ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สันติวิธี และความจริง

ระบอบที่ยั่งยืนต้องมีทั้ง “กลไกทางการเมืองที่ดี” และ “หลักศีลธรรมสาธารณะ” ที่รองรับอำนาจรัฐ

การอภิวัฒน์หรือการเปลี่ยนผ่านระบอบใด ๆ ที่หวังจะยืนยาวในศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องวางอยู่บนหลักสากลที่พิสูจน์แล้วในบริบทต่าง ๆ ทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือหลักประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงการเลือกตั้งที่ควบคุมได้ แต่คือระบบที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างสมเหตุสมผล มีการตรวจสอบถ่วงดุล และปกป้องเสียงข้างน้อย

หลักสิทธิมนุษยชนก็เป็นอีกเสาหลักหนึ่ง เพราะในระบอบที่มองประชาชนเป็นเพียง “ราษฎร” หรือ “ทรัพยากร” ของรัฐ ความรุนแรงสามารถถูกทำให้เป็นเรื่องปกติได้อย่างง่ายดาย การมีหลักสิทธิมนุษยชนในฐานะมาตรฐานขั้นต่ำในการปฏิบัติต่อกัน ทำให้แม้ในยามความขัดแย้ง ประชาชนก็ยังมองเห็น “เส้นที่ห้ามข้าม” เพื่อไม่ให้สังคมถลำไปสู่ความป่าเถื่อนแบบถอนตัวไม่ขึ้น

สันติวิธีและความจริงจึงเข้ามาเสริม–สอดประสานกัน สันติวิธีไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือการใช้อำนาจศีลธรรมและความชอบธรรม กดดันระบอบเก่าโดยไม่เปิดช่องให้เกิดสงครามกลางเมือง ส่วนความจริงคือพื้นที่ร่วมที่ทุกฝ่ายควรจะกลับมายืนบนมันให้ได้ ไม่ปล่อยให้ข้อเท็จจริงถูกแทนที่ด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว

4) การเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้าง: จากคนเลว สู่ระบบที่ผลิตความอยุติธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าเห็นเพียง “ตัวละคร” แต่ไม่เห็น “เวทีและบท” การเปลี่ยนผ่านระบอบจะวนกลับมาติดกับดักเดิม

หลายสังคมเริ่มต้นจากความโกรธเคืองต่อผู้นำบางคน เจ้าหน้าที่บางกลุ่ม หรือองค์กรบางหน่วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปจึงตระหนักว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลเท่านั้น แต่อยู่ที่โครงสร้างของอำนาจและสถาบัน ที่เปิดช่องให้การกดขี่และการเอารัดเอาเปรียบเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยแทบไม่ต้องเปลี่ยนชื่อผู้เล่นบนเวที

การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา ศาสนา สาธารณสุข และการต่างประเทศ ล้วนเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายระบอบ ที่มีทั้งกลไกอย่างเป็นทางการ (เช่น กฎหมาย รัฐธรรมนูญ ศาล กองทัพ) และกลไกไม่เป็นทางการ (เช่น เครือข่ายอุปถัมภ์ วัฒนธรรมการเชื่อฟัง หรือความเชื่อบางอย่างที่ไม่เปิดให้ตั้งคำถามได้)

การทำให้ประชาชนเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงไม่ใช่การชี้นิ้วไปที่ “คนเลว” เพียงรายบุคคล แต่คือการช่วยให้มองเห็นว่า เหตุใดคนในตำแหน่งเดียวกัน ถึงสามารถทำในสิ่งที่คล้ายกันได้ แม้จะเปลี่ยนตัวคนไปกี่รุ่นก็ตาม เมื่อมวลชนเห็นภาพเช่นนี้ชัดเจน การเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลง จึงจะไม่ติดอยู่แค่การสลับตัวบุคคล แต่รวมถึงการตั้งคำถามต่อโครงสร้างทั้งระบบด้วย

5) เงื่อนไขความพร้อมของการเปลี่ยนผ่าน: มวลชน ขบวนนำ สถาบันหลัก และบริบทโลก

การเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน ไม่ใช่เรื่อง “ใจร้อน” หรือ “ใจเย็น” แต่คือเรื่อง “จังหวะ” และ “ความพร้อมขององค์ประกอบ”

การศึกษาทฤษฎีการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยชี้ว่า ความสำเร็จมักเกิดขึ้นเมื่อองค์ประกอบสำคัญหลายอย่างเดินทางมาบรรจบกัน ไม่ว่าจะเป็นมวลชนที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพ ขบวนนำที่มีวิสัยทัศน์และความชอบธรรม สถาบันหลักบางส่วนที่พร้อมจะปรับตัว รวมทั้งบริบทระหว่างประเทศที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง

มวลชนต้องพัฒนาจากการเป็น “ฝูงชนฉุกเฉิน” ที่เคลื่อนไหวเฉพาะเหตุการณ์ ไปสู่การเป็น “พลเมือง” ที่มีความสม่ำเสมอในการตั้งคำถามและปกป้องสิทธิของตนเอง ขบวนนำต้องหลีกเลี่ยงการกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่ที่ไม่ต่างจากระบอบเก่า ส่วนกองทัพและสถาบันหลักอื่น ๆ หากไม่มีการปรับตัวหรือยอมรับหลักการใหม่เลย การเปลี่ยนผ่านมักเผชิญกับความเสี่ยงสูงต่อความรุนแรง

ขณะเดียวกัน บริบทของระเบียบโลกใหม่ที่แบ่งขั้วอย่างชัดเจน ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบอำนาจนิยม ทำให้การเลือกทิศทางของประเทศหนึ่ง ๆ ไม่ได้สะท้อนเพียงการจัดวางอำนาจภายในเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การลงทุน เทคโนโลยี และความมั่นคงในระยะยาวด้วย

6) ยุทธศาสตร์ “รับ–ยัน–รุก–รุกฆาต”: กรอบคิดสำหรับอ่านเกมการเปลี่ยนแปลง

กรอบคิดนี้อธิบาย “ลำดับชั้นของการเคลื่อนไหว” มากกว่าจะเป็นสูตรสำเร็จสำหรับลงมือปฏิบัติ

การแบ่งระยะเป็น “รับ–ยัน–รุก–รุกฆาต” ช่วยให้เข้าใจพลวัตทางการเมืองในระยะยาวได้ชัดขึ้น ระยะ “รับ” คือการสั่งสมทั้งองค์ความรู้ เครือข่าย และการเรียนรู้จากความผิดพลาด ระยะ “ยัน” คือการไม่ยอมถอยให้กับมาตรการหรือกฎหมายที่ละเมิดหลักพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ทั้งสองระยะนี้มักยืดเยื้อและอาจดูไม่หวือหวา แต่เป็นฐานรากสำคัญของการเปลี่ยนผ่านที่มั่นคง

ระยะ “รุก” คือช่วงที่ประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ เริ่มเสนอทางออก เริ่มสร้างพื้นที่ทางเลือก ทั้งในระบบและนอกระบบ ขยายการมีส่วนร่วม และเสนอรูปแบบการจัดระเบียบสังคมใหม่อย่างเป็นรูปธรรม หากผ่านระยะนี้ไปอย่างมีกลยุทธ์ ระยะ “รุกฆาต” จึงจะมาถึง ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีความรุนแรงทางกายภาพ หากแต่เป็นการยุติความชอบธรรมของระบอบเก่าในสายตาประชาชนส่วนใหญ่ และค่อย ๆ สถาปนาระบอบใหม่ที่ได้รับการยอมรับแทน

ในหลายประเทศ การ “รุกฆาต” เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ เมื่อกองกำลังความมั่นคงปฏิเสธที่จะเริ่มใช้ความรุนแรงกับประชาชน หรือเมื่อชนชั้นนำบางส่วนตัดสินใจเจรจาเปลี่ยนผ่าน เพราะมองเห็นว่าการดื้อดึงไปต่อจะมีราคาที่สูงเกินไป ทั้งต่อประเทศชาติและต่อกลุ่มตนเอง

7) พลังธรรม vs อธรรม: ทำไมสันติวิธีจึงสำคัญต่ออนาคตของประเทศ

ความสำเร็จที่แลกมาด้วยซากปรักหักพังและสงครามกลางเมือง มักทิ้งรอยแผลลึกที่รักษานานหลายทศวรรษ

ตัวอย่างจากพม่า ซีเรีย หรือบางประเทศในแอฟริกา แสดงให้เห็นอย่างเจ็บปวดว่า เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองลุกลามไปสู่สงครามกลางเมือง สังคมต้องเผชิญกับความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และทุนทางสังคมอย่างที่ยากจะฟื้นคืน แม้ระบอบเผด็จการบางรูปแบบจะถูกโค่นล้มได้ แต่สิ่งที่ตามมาอาจเป็นระบอบที่สับสนวุ่นวาย หรือการสถาปนาอำนาจใหม่ที่แข็งกร้าวกว่าเดิม

ในทางกลับกัน การเคลื่อนไหวบนฐานสันติวิธีที่ชัดเจน แม้ใช้เวลานานกว่าและดูไม่สะใจ แต่มักสร้างรอยต่อที่ดีกว่าในการเยียวยา ฟื้นฟู และสร้างความไว้วางใจใหม่ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่คนจำนวนมากยังเป็นญาติพี่น้องกันอย่างแน่นแฟ้น และมีประวัติศาสตร์ร่วมกันยาวนาน

“พลังธรรม” ในที่นี้จึงไม่ได้หมายถึงศาสนาอย่างแคบ ๆ แต่หมายถึงการยืนหยัดบนหลักการที่มองเห็นความเป็นมนุษย์ของทุกฝ่าย และพยายามลดความจำเป็นในการใช้ความรุนแรงลงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อไม่ให้การเปลี่ยนผ่านระบอบกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความแตกแยกที่ลึกกว่าเดิม

8) การมองฝ่ายตรงข้ามในฐานะ “มนุษย์ร่วมชาติ” แทน “ศัตรูที่ต้องทำลาย”

การอภิวัฒน์ที่เคารพศักดิ์ศรีของทุกชีวิต ย่อมมีโอกาสสูงกว่าที่จะไม่กลับไปผลิตความเกลียดชังรุ่นต่อรุ่น

ในทุกความขัดแย้งทางการเมือง มักมีคนจำนวนหนึ่งอยู่ในสภาวะ “สองจำเป็น” คือจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งเพื่อรักษาชีวิตและปากท้องของตนเอง และจำเป็นต้องอยู่ในโครงสร้างที่ตนไม่ได้เลือกเข้ามาอย่างเสรี หากการเปลี่ยนผ่านระบอบไม่เผื่อพื้นที่ให้คนกลุ่มนี้ได้กลับตัว หรือได้อธิบายสถานการณ์ของตน การสร้างสังคมใหม่ย่อมเต็มไปด้วยความระแวงและความแค้น

หลายประเทศที่สามารถผ่านการเปลี่ยนผ่านได้อย่างมั่นคง จึงใช้แนวทางที่เรียกว่า “ความยุติธรรมในช่วงเปลี่ยนผ่าน” (transitional justice) คือการจัดการกับความผิดในอดีตด้วยหลักการ ทั้งการแสวงหาความจริง การเยียวยา การให้อภัยในบางกรณี และการเอาผิดกับผู้สั่งการในระดับสูงตามหลักกฎหมาย โดยไม่ตีตราทุกคนในระบบเก่าให้กลายเป็น “ศัตรูของประชาชน” ทั้งหมด

มิติด้านจิตสำนึกและวัฒนธรรมจึงมีความสำคัญไม่แพ้มิติด้านกฎหมายและสถาบัน การยืนยันตัวตนของประชาชนในฐานะผู้เรียกร้องความถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนความปรารถนาจะทำลายล้างอีกฝ่ายจนหมดสิ้น แต่ตั้งอยู่บนการสร้างเงื่อนไขให้ทุกคนค่อย ๆ เดินออกจากอดีตที่อยุติธรรมด้วยกัน

9) “วันดีเดย์” ในความหมายใหม่: เมื่อความชอบธรรมเก่าหมดลงในใจผู้คน

ในมุมมองเชิงโครงสร้าง วันเปลี่ยนผ่านที่แท้จริงเริ่มจากการเปลี่ยนใน “จิตสำนึกของผู้คน” ก่อนจะปรากฏในถนนและรัฐสภา

“ดีเดย์” ในเชิงสัญลักษณ์มักถูกจินตนาการเป็นวันที่มวลชนออกมาชุมนุม แต่ในความเป็นจริง วันดังกล่าวมักเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการยาวนานก่อนหน้านั้น ที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากค่อย ๆ ถอนความยินยอมเชิงจำนนออกจากระบอบ วันดีเดย์จึงไม่ใช่เพียงวันออกถนน หากแต่เป็นวันที่ประชาชนจำนวนมาก ไม่ยอมจ่าย “ความชอบธรรม” ให้กับอำนาจที่ตนเห็นว่าไม่ชอบธรรมอีกต่อไป

ในหลายกรณี การหยุดให้ความชอบธรรมอาจปรากฏในรูปแบบที่เงียบกว่า เช่น การปฏิเสธร่วมมือกับความอยุติธรรม การเลือกไม่เชื่อการโฆษณาชวนเชื่อ การตั้งคำถามต่อพิธีกรรมที่เคยเชื่อกันว่าต้องทำโดยไม่กล้าถาม หรือการสร้างพื้นที่ใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าสังคมสามารถเดินไปอีกทางหนึ่งได้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินตามแบบเดิม

เมื่อมองจากมุมนี้ การ “รุกฆาต” ต่อระบอบเผด็จการจึงไม่ใช่การล้มโดยฉับพลันเพียงวันเดียว แต่คือกระบวนการที่ทำให้ระบอบเก่าเหลือเพียง “เปลือกของอำนาจ” ที่ไม่มีหัวใจและไม่มีความยินยอมของประชาชนค้ำยันอีกต่อไป

10) ชัยชนะที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน: การแปร “ราษฎร” ให้เป็น “พลเมือง”

เมื่อประชาชนทำตัวสอดคล้องกับหลักการของการปกครองโดยประชาชนในชีวิตประจำวัน ชัยชนะเชิงโครงสร้างก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว

แนวคิด “มดแดงล้มช้าง” อาจถูกเข้าใจได้ในอีกระดับว่า คือการเปลี่ยนสถานภาพเชิงสำนึกจาก “ราษฎร” ที่รอรับคำสั่งจากผู้มีอำนาจ ไปสู่ “พลเมือง” ที่ตระหนักว่าตนเองคือเจ้าของอำนาจอธิปไตยร่วมกัน การเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเวลามีการชุมนุมหรือเลือกตั้งเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในทุกช่วงเวลาที่ประชาชนตัดสินใจ:

  • ตั้งคำถามต่อข่าวสารและคำกล่าวอ้างของผู้มีอำนาจ
  • ตรวจสอบผู้แทนที่ตนเองเลือก และกล้ายอมรับเมื่อเลือกผิด
  • ร่วมปกป้องสิทธิของผู้อื่น แม้ตัวเองจะไม่ได้ถูกละเมิดโดยตรง
  • ไม่ปล่อยให้ความเกลียดชังบดบังความเป็นมนุษย์ของฝ่ายตรงข้าม

ชัยชนะที่แท้จริงของการอภิวัฒน์จึงอาจมองได้ว่า ไม่ใช่เพียงวันที่ระบอบเก่าถูกปลดออกอย่างเป็นทางการ แต่คือวันที่นิสัยการเป็นพลเมืองหยั่งรากอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก เมื่อถึงจุดนั้น แม้จะมีกองกำลังหรือกลไกใดพยายามหวนคืนสู่ระบอบเผด็จการ ก็จะเผชิญกับสังคมที่ “ไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ง่าย ๆ” อีกต่อไป

บทส่งท้าย: การอภิวัฒน์ในฐานะกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของทั้งสังคม

การมองการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองผ่านกรอบคิด “อภิวัฒน์ปวงชนมดแดงล้มช้าง” ในฉบับวิเคราะห์นี้ จึงมิได้เน้นการโค่นล้มฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเฉียบพลัน หากแต่มุ่งชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืนต้องอาศัยทั้งการยกระดับศักยภาพประชาชน การอ่านเกมโครงสร้างอำนาจอย่างเท่าทัน และการเข้าใจบริบทของระเบียบโลกใหม่ไปพร้อมกัน

ในท้ายที่สุด ความหวังของการอภิวัฒน์ไม่ได้อยู่ที่การมี “ฮีโร่” มาชี้นำเท่านั้น แต่อยู่ที่การทำให้ผู้คนจำนวนมากตระหนักถึงพลังของตนเองในฐานะพลเมือง และเลือกใช้พลังนั้นอย่างมีสติ มีความรับผิดชอบ และมองเห็นคุณค่าของมนุษย์ทุกฝ่ายในสังคมร่วมกัน

บทความนี้จึงอาจใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการสนทนา การศึกษา และการออกแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในอนาคต โดยเปิดพื้นที่ให้ความคิดที่แตกต่างได้แลกเปลี่ยนกันบนฐานข้อมูลและเหตุผล มากกว่าบนความกลัวหรือการโฆษณาชวนเชื่อเพียงด้านเดียว

คันฉ่องส่องไทย: ชุดคำถามที่คนไทยควรถามเกี่ยวกับอำนาจและสถาบันกษัตริย์

คันฉ่องส่องไทย: ชุดคำถามที่คนไทยควรถามเกี่ยวกับอำนาจและสถาบันกษัตริย์

คันฉ่องส่องไทย: 13 คำถามที่คนไทยควรถามเกี่ยวกับอำนาจและสถาบันกษัตริย์

บทความชุดนี้ไม่ได้เขียนเพื่อยัดเยียดคำตอบให้ใคร แต่ตั้งใจทำหน้าที่เป็น “คันฉ่อง” ให้คนไทยได้มองโครงสร้างอำนาจของบ้านเมืองอย่างตรงไปตรงมา ด้วยคำถามที่สุภาพ กึ่งวิชาการ และหวังดีต่อทั้งประชาชนและประเทศ

หมายเหตุ: ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยทุกข้อ แต่หากคำถามเหล่านี้ช่วยให้เรากล้าคิด กล้าตั้งคำถาม และกล้าใช้ข้อมูลมากกว่าความเคยชิน ประเทศไทยก็ได้ก้าวไปอีกหนึ่งก้าวแล้ว

ถ้าไม่มี “อำนาจพิเศษ” ให้อ้างได้อีก – เรากลัวอะไรจริง ๆ ?

หากวันหนึ่งไม่มีใครอ้าง “อำนาจเหนือกฎหมาย” หรือ “อำนาจพิเศษ” ใด ๆ ได้อีกเลย และทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมายเดียวกันอย่างแท้จริง – เรากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น?

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเต็มไปด้วยการอ้าง “ความมั่นคง” เพื่อให้บางกลุ่มมีอำนาจเหนือกฎหมาย ตั้งแต่รัฐประหารนับครั้งไม่ถ้วน ไปจนถึงการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 และกฎหมายความมั่นคงอื่น ๆ ที่เปิดช่องให้ตีความกว้างเป็นพิเศษ แต่เมื่อเราลองตั้งคำถามกลับ:

  • ถ้าไม่มีอำนาจพิเศษเหนือศาล เหนือรัฐสภา เหนือเสียงประชาชน – ประเทศจะ “พัง” หรือจะ “ปกติขึ้น” ?
  • เรากลัว “ความวุ่นวาย” จริง ๆ หรือเรากลัว “การเปลี่ยนสมดุลอำนาจของคนไม่กี่กลุ่ม” ?

หากมองประเทศที่ลดบทบาทอำนาจพิเศษ เช่น สเปน ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ จะพบว่าไม่มีประเทศไหน “ล่มสลาย” จากการทำให้ทุกคนอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน แต่กลับสร้างเสถียรภาพระยะยาวได้มากขึ้น

อำนาจกษัตริย์มาจากไหน ทำไมเราต้องยอมรับ?

ในรัฐสมัยใหม่ อำนาจกษัตริย์มาจาก รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ “ฟ้าลิขิต” แต่เหตุใดเราจึงถูกทำให้รู้สึกว่า การตั้งคำถามต่อสถาบันเป็นเรื่องต้องห้าม?

หากอ่านประวัติศาสตร์อย่างเย็น ๆ จะพบว่า สถาบันกษัตริย์ในไทยไม่ได้ “อยู่เหนือรัฐ” มาแต่เดิม แต่อำนาจถูกออกแบบและขยายผ่าน:

  • รัฐธรรมนูญที่ใช้วาทกรรม “องค์อธิปัตย์–พระราชอำนาจ”
  • หลักสูตรการศึกษาที่สอนให้รักเจ้า แต่ไม่สอนให้ตั้งคำถามเชิงโครงสร้าง
  • สื่อของรัฐ พิธีกรรม และการโฆษณาชวนเชื่ออย่างต่อเนื่อง

นักวิชาการอย่าง ธงชัย วินิจจะกูล และ Benedict Anderson ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่า “ราชาชาตินิยมไทย” ไม่ใช่ธรรมชาติ แต่คือผลผลิตของรัฐสมัยใหม่ ที่ใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นแกนในการควบคุมความคิดของประชาชน

คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “อำนาจมาจากไหน” แต่คือ “เราได้เคยมีโอกาสเลือกอย่างเสรีจริง ๆ หรือไม่ ว่าจะยอมรับอำนาจนี้?”

คนไทยขาดกษัตริย์ไม่ได้จริงหรือ? – มองทีละมิติ

หากไม่มีสถาบันกษัตริย์ ประเทศไทยจะ “เดินไม่เป็น” จริงหรือ? ลองแยกทีละด้าน: การปกครอง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา และชีวิตประจำวัน

3.1 การปกครองและการเมือง

ประเทศที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ล้วนไม่มีสถาบันกษัตริย์ แต่กลับสร้างรัฐสภา พรรคการเมือง และระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็ง ในขณะที่ไทยมีรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมักอ้าง “สถาบัน” เป็นข้ออ้างทางศีลธรรม

3.2 เศรษฐกิจ

งานด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองพบว่า ประเทศที่ลดอภิสิทธิ์ชนกลุ่มน้อย และเพิ่มการตรวจสอบผู้มีอำนาจมักมี GDP ต่อหัว และคุณภาพชีวิตสูงขึ้นในระยะยาว ไทยกลับอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางเป็นเวลาหลายสิบปี ทั้งที่มีทรัพยากรและศักยภาพทางภูมิศาสตร์สูง

3.3 สังคม วัฒนธรรม และการศึกษา

วัฒนธรรมไทยจำนวนมาก – เพลง ศิลปะ อาหาร ภาพยนตร์ – เติบโตจากความคิดสร้างสรรค์ของประชาชน ไม่ใช่พระราชโองการ ระบบการศึกษาก็เดินด้วยครู งบประมาณ และนโยบาย ไม่ใช่ด้วยรูปในหนังสือเรียนเพียงอย่างเดียว

3.4 ชีวิตประจำวันและระบบราชการ

เมื่อเราต่อใบขับขี่ รับวัคซีน ส่งลูกไปโรงเรียน ทำธุรกรรมกับธนาคาร เราปฏิสัมพันธ์กับ “ระบบราชการ–กฎหมาย–โครงสร้างพื้นฐาน” ไม่ใช่กับตัวบุคคลในราชวงศ์

หากแยกภาพลักษณ์ออกจากโครงสร้างจริง ๆ เราจะเห็นว่า สิ่งที่คนไทย “ขาดไม่ได้” อาจไม่ใช่กษัตริย์ แต่เป็นรัฐที่เป็นธรรมและระบบที่ทำงานจริง

ถ้าอำนาจกษัตริย์ลดลง หรือหมดไป – ใครได้ ใครเสีย?

คำตอบที่ถูกทำให้เชื่อคือ “กษัตริย์เสีย ประชาชนเสีย ประเทศล่มสลาย” แต่หากมองแบบโครงสร้าง ใครกันแน่ที่เสียประโยชน์มากที่สุด?

4.1 ใครได้ประโยชน์สูงสุด?

  • ประชาชนส่วนใหญ่ – เมื่อทุกคนอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน ตรวจสอบได้มากขึ้น
  • ประเทศชาติ – ลดช่องโหว่งบลับ งบที่อ้างสถาบัน แต่ไม่ต้องเปิดเผยรายละเอียด
  • สถาบันเอง – หากลดบทบาททางการเมือง สถาบันจะไม่ถูกนักการเมืองใช้เป็นเครื่องมือห้ำหั่นกัน

4.2 ใครเสียประโยชน์สูงสุด?

  • กลุ่มข้าราชการระดับสูงและรัฐราชการที่อาศัย “ความจงรักภักดี” เป็นทุนทางการเมือง
  • กลุ่มทุนผูกขาดที่ได้รับสัมปทานหรือดีลพิเศษโดยใช้เครือข่ายทางสังคมที่อ้างสถาบัน
  • กลุ่มการเมืองอนุรักษ์นิยมที่ใช้ “รักเจ้า–ไม่รักเจ้า” เป็นเครื่องมือแบ่งแยกประชาชน

เมื่อถามว่า “ใครเสียประโยชน์” อย่างซื่อ ๆ เราจะพบว่า ความกลัวการลดอำนาจสถาบัน มักไม่ได้มาจากประชาชนส่วนใหญ่ แต่มาจากชนชั้นนำที่มีอะไรต้องเสีย

“พระปรีชาสามารถ” ตรวจสอบได้แค่ไหน – มีหลักฐานอะไรบ้าง?

สิ่งที่ถูกสอนคนไทยคือ “ทรงพระปรีชาสามารถรอบด้าน” ตั้งแต่น้ำ ดนตรี กีฬา การแพทย์ การพัฒนา แต่คำถามเชิงวิชาการคือ – มีข้อมูลอะไรยืนยันได้บ้าง?

โดยหลักการแล้ว ความสามารถด้านวิศวกรรม เกษตร การจัดการน้ำ ฯลฯ ควรถูกตรวจสอบด้วยข้อมูล เช่น:

  • มีเอกสารวิชาการอธิบายโครงการอย่างเป็นระบบหรือไม่?
  • มีเปรียบเทียบก่อน–หลังอย่างเป็นตัวเลข (พื้นที่ชลประทาน ผลผลิต รายได้เกษตรกร) หรือไม่?
  • มีกระบวนการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ไม่อยู่ใต้ระบบอุปถัมภ์หรือไม่?

หากคำตอบส่วนใหญ่คือ “ไม่มีข้อมูลสาธารณะที่ตรวจสอบได้” เราก็ควรถามอย่างสุภาพว่า:

เราชื่นชมด้วยข้อมูล หรือเราชื่นชมด้วยเรื่องเล่าที่ถูกผลิตซ้ำจนกลายเป็น “ความจริงทางความรู้สึก” ?

ทำไมเส้นทางการศึกษาของราชวงศ์ จึงไม่สะท้อนภาพ “ความเป็นเลิศ” อย่างที่ถูกเล่า?

ในยุโรป เจ้าชาย–เจ้าหญิงจำนวนมากเรียนจบปริญญาตรี–โทจากมหาวิทยาลัยระดับโลก แต่ในไทย กลับพบว่ากษัตริย์และรัชทายาทหลายพระองค์ไม่ได้จบปริญญาในระดับเดียวกันกับคำยกย่องที่สังคมได้รับรู้

รัชกาลที่ 9 และพระราชินีสิริกิติต์ในรัชกาลก่อนก็ไม่ได้จบปริญญาตรีแบบที่คนทั่วไปคาดหวังจาก “ผู้นำสูงสุดของชาติ” ลูก ๆ หลายพระองค์ก็ไม่ได้มีผลงานทางวิชาการ หรือวุฒิการศึกษาในระดับที่สะท้อน “ความเป็นเลิศเหนือคนทั่วไป”

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบการให้ปริญญากิตติมศักดิ์ในไทยและต่างประเทศ มักมีปัจจัยเรื่องการทูตและภาพลักษณ์แฝงอยู่ จึงเกิดคำถามว่า:

เราแยกออกหรือไม่ ระหว่าง “ความเกรงใจและการอวยเชิงพิธีการ” กับ “ความรู้และความสามารถที่พิสูจน์ได้จริง” ?

คนที่ประกาศว่าตน “จงรักภักดีเหนือใคร” – เขารู้ได้อย่างไร และได้อะไรตอบแทน?

ความรักเป็นสิ่งวัดไม่ได้ แต่ “ผลประโยชน์” วัดได้ เมื่อใครสักคนประกาศว่าตนรักเจ้ายิ่งกว่าคนอื่น – เราควรถามว่า เขาได้อะไรจากการประกาศเช่นนั้น?

งานศึกษาด้านรัฐศาสตร์ในระบอบอำนาจนิยมพบว่า “การแสดงความจงรักภักดี” มักเชื่อมโยงกับ:

  • ตำแหน่งในระบบราชการและการเมือง
  • การเลื่อนขั้น โอกาสรับตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการต่าง ๆ
  • การคุ้มครองจากการถูกตรวจสอบในประเด็นอื่น

คำถามที่ยุติธรรมต่อทุกฝ่ายคือ:

ถ้าวันหนึ่ง “ความจงรักภักดี” ไม่ให้ผลตอบแทนใด ๆ เพิ่มเติมเลย – คนกลุ่มเดิมยังจะเสียงดังเท่าเดิมหรือไม่?

ทำไมต้องบังคับให้ยืนในโรงหนัง?

ถ้าเรารักจากใจจริง การนั่งอยู่เฉย ๆ ขณะเพลงสรรเสริญฯ ดังขึ้น จะทำให้ความจงรักภักดีนั้นหายไปจริงหรือ? หรือพิธีกรรมนี้มีหน้าที่ทางการเมืองมากกว่าทางศีลธรรม?

หลายประเทศที่เป็นราชอาณาจักร เช่น อังกฤษ สวีเดน หรือญี่ปุ่น ไม่มีการบังคับยืนในโรงหนังหรือลงโทษคนที่ไม่ทำพิธีกรรม การบังคับจึงสะท้อนความไม่มั่นใจในความสมัครใจของประชาชน มากกว่าความเข้มแข็งของสถาบัน

จากมุมจิตวิทยาการเมือง พิธีกรรมที่ถูกบังคับซ้ำ ๆ มีหน้าที่สำคัญคือ:

  • สร้างความเคยชินจนกลายเป็น “ความปกติ” ที่ไม่มีใครกล้าฝืน
  • ทดสอบว่าใคร “อยู่ข้างเดียวกัน” และใคร “กล้าแตกต่าง” เพื่อใช้เป็นสัญญาณทางการเมือง

ทำไมต้องมีซุ้ม ภาพ และงานเชิดชูยิ่งใหญ่ไปทั่วประเทศ?

ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ป้าย ภาพขนาดใหญ่ และงานเฉลิมฉลองที่ใช้งบประมาณมากมาย ทำหน้าที่เพียงสวยงามทางใจ หรือมีหน้าที่ด้านการเมืองแฝงอยู่ด้วย?

เมืองไทยมีรูป กรอบทอง ซุ้มหลวง และกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเต็มพื้นที่สาธารณะ ตั้งแต่สนามบิน ถนนหลวง สะพาน โรงเรียน ไปจนถึงหมู่บ้านห่างไกล

แม้ตัวเลขงบประมาณที่แท้จริงมักไม่โปร่งใส แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ:

  • งบเหล่านี้แทบไม่ถูกตั้งคำถามในสภาอย่างจริงจัง
  • ไม่มีระบบติดตามผลประโยชน์เชิงสังคมหรือเศรษฐกิจอย่างจริงจัง เช่น ถามว่าซุ้มหนึ่งซุ้มช่วยอะไรคนจนหรือระบบสาธารณสุขได้แค่ไหน

คำถามเชิงโครงสร้างคือ: ถ้าเราแปลงงบประมาณเชิงสัญลักษณ์เหล่านี้ ไปเป็นงบโรงพยาบาล โรงเรียน หรือระบบขนส่งสาธารณะ คนไทยจะได้ประโยชน์มากกว่าหรือไม่?

ทำไมต้องบริจาคผ่านกษัตริย์ – โปร่งใสแค่ไหน?

การบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือ “เสด็จพระราชกุศล” ดูงดงามและน่าประทับใจ แต่ในฐานะเจ้าของภาษี เรามีสิทธิ์ถามหรือไม่ว่า เงินเหล่านั้นไหลไปอย่างไร?

ในทางหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย ผู้นำทุกคน – นายกฯ รัฐมนตรี ผู้ว่าฯ ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและการเงิน เพื่อให้สังคมตรวจสอบ แต่เมื่อเงินบริจาคจำนวนมากไหลผ่านชื่อของสถาบันกษัตริย์:

  • ไม่มีการเปิดบัญชีสาธารณะอย่างละเอียด
  • ไม่มีระบบตรวจสอบโดยองค์กรอิสระอย่างแท้จริง
  • ไม่มีรายงานแบบที่นักการเมืองต้องยื่น

คำถามที่สุภาพแต่สำคัญคือ: เหตุใด “ผู้นำสูงสุด” ของชาติ จึงเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกบังคับให้เปิดเผยข้อมูลทางการเงินอย่างละเอียดต่อประชาชน?

ทำไมจึงวิจารณ์สถาบันไม่ได้เลย – ทั้งที่ความมั่นคงจริงต้องทนคำวิจารณ์ได้?

ระบอบที่มั่นคงที่สุดในโลก ไม่ใช่ระบอบที่ไม่มีใครกล้าวิจารณ์ แต่คือระบอบที่ทนต่อคำวิจารณ์ได้ และใช้คำวิจารณ์มาปรับปรุงตนเอง

ในอังกฤษ ญี่ปุ่น สเปน – สื่อมวลชน นักวิชาการ และประชาชน สามารถตั้งคำถามและวิจารณ์บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในระดับหนึ่งได้โดยไม่ต้องกลัวโทษจำคุกยาวนาน แต่ในไทย ความพยายามวิจารณ์มักถูกตีความเป็นการ “ล้มล้าง” ทันที

หากสถาบันมั่นคงและมีความชอบธรรม (legitimacy) สูงจริง การยอมรับทั้งคำชมและคำวิจารณ์อย่างสงบเยือกเย็น ย่อมทำให้สถาบันน่าเคารพมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง

การห้ามวิจารณ์อย่างเด็ดขาด บอกเรากลาย ๆ ว่า “อำนาจนี้ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตัวเอง จนต้องปิดปากประชาชน”

เมื่อมีเหยื่อจากความป่าเถื่อนของมาตรา 112 – ทำไมกษัตริย์ไม่เคยปรากฏบทบาทในการเยียวยา?

ถ้ามาตรา 112 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ “ชื่อของพระมหากษัตริย์” เมื่อมีคนจำนวนมากต้องติดคุก ถูกคุมขังระยะยาว หรือไม่ได้สิทธิประกันตัว คำถามคือ – สถาบันมีท่าทีอย่างไรต่อความทุกข์ของประชาชนเหล่านี้?

ข้อมูลจากองค์กรสิทธิและผู้ติดตามกฎหมายชี้ว่า:

  • มีคดี 112 จำนวนมากหลังปี 2557 และเพิ่มสูงหลังปี 2563
  • โทษจำคุกขั้นต่ำ 3–15 ปีต่อข้อหา ทำให้คดีหนึ่งคดีสามารถเป็นโทษรวมที่ยาวมาก
  • หลายคนไม่ได้สิทธิประกันตัว ทั้งที่ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหา ไม่ใช่ผู้กระทำผิดโดยคำพิพากษาถึงที่สุด

ในมุมมนุษยธรรม หากชื่อของพระองค์ถูกใช้ในกฎหมายที่สร้างความทุกข์ทรมานแก่ประชาชนจำนวนมาก การนิ่งเฉยต่อความอยุติธรรมย่อมถูกเห็นว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย

คำถามง่าย ๆ แต่ลึกมากคือ: ถ้ากษัตริย์ทรงรักประชาชนจริง – เหตุใดจึงไม่มีการเรียกร้องให้ปฏิรูปหรือยกเลิกกฎหมายที่ทำร้ายประชาชนในนามของพระองค์?

เราอยากได้ประเทศไทยแบบไหนกันแน่?

ปลายทางของคำถามทั้ง 12 ข้อ ไม่ได้อยู่ที่ “รักเจ้า–ไม่รักเจ้า” แต่อยู่ที่ว่า – เราต้องการประเทศที่ประชาชนทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน หรือประเทศที่บางคนอยู่เหนือกฎหมายตลอดไป?

ถ้าเราเชื่อว่าคนไทยเป็นเจ้าของประเทศ – ย่อมไม่มีใครอยู่เหนือการตั้งคำถามของประชาชน ถ้าเราเชื่อว่าประชาธิปไตยคือระบอบที่ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ – ย่อมไม่มีใครได้รับ “ใบอนุญาตทางศีลธรรม” ให้ทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องถูกตรวจสอบ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตระหนักคือ คำถามไม่ใช่อาวุธทำลายชาติ แต่คือยารักษาชาติ

คำถามที่อยู่ในบทความนี้อาจทำให้ใครบางคนไม่สบายใจ แต่ความไม่สบายใจจากการเผชิญความจริง เป็นคนละอย่างกับความเกลียดชังหรือการล้มล้างอย่างมุ่งร้ายหรือไร้สติ

ประเทศไทยจะเข้มแข็งขึ้นในวันที่คนไทยสามารถตั้งคำถามเช่นนี้ได้ โดยไม่ต้องกลัวคุก กลัวตราหน้า หรือกลัวถูกทำลายชีวิต และในวันที่อำนาจทุกระดับ – รวมถึงอำนาจสูงสุด – กล้าหันหน้ามาตอบคำถามเหล่านี้ด้วยข้อมูล เหตุผล และความรับผิดชอบ

หากคำถามชุดนี้ทำให้ท่านหงุดหงิด ให้ลองถามตนเองอีกชั้นหนึ่งว่า: ท่านไม่สบายใจเพราะคำถาม “ไม่จริง” หรือเพราะคำถาม “จริงเกินไป” สำหรับสภาพโครงสร้างอำนาจที่เราคุ้นชิน?

หากท่านอยากศึกษาเพิ่มเติม ผู้อ่านที่สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมจากงานของนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไทย เช่น ธงชัย วินิจจะกูล, พวงทอง ภวัครพันธุ์, ใจ อึ๊งภากรณ์, Benedict Anderson, Andrew Walker ฯลฯ เพื่อเปรียบเทียบมุมมองและข้อมูลอย่างรอบด้าน

Sunday, November 23, 2025

Avoiding Extremism: A Call for Balance in American Politics

|||

Avoiding Extremism: A Call for Balance in American Politics

Why America Must Reclaim the Center Before the Center Collapses

American democracy stands at a dangerous crossroads. Political polarization has escalated from spirited disagreement into a cold civil war of narratives, identities, and moral certainties. Each side increasingly sees the other not as a rival to debate, but as an existential threat to be defeated. In this climate, both major parties — Democrats and Republicans — are tempted to drift toward their loudest, most uncompromising voices.

Passion for justice, liberty, and reform is necessary in a free society. But when passion hardens into absolutism, it begins to corrode the very foundations of democracy: pluralism, tolerance, and the willingness to compromise. Extremism — whether draped in the language of “revolution” or “restoring greatness” — can erode democratic norms, paralyze governance, and deepen social fractures. For the health of the nation, both parties must consciously steer away from their fringes and reclaim the responsible, principled center.

This article explores the perils of extremism on both sides of the political spectrum, draws lessons from history, and proposes a path forward rooted in balance, humility, and democratic resilience.


I. When Ideals Turn into Idols: The Costs of Extremism

Every democratic experiment wrestles with the same paradox: how to allow passionate disagreement without letting that passion burn the system down. When politics becomes a battle of absolutes, the following patterns emerge:

  • Institutions are delegitimized. Courts, elections, the press, universities, and even basic facts become “weaponized” or dismissed as corrupt whenever they contradict one’s side.
  • Compromise is demonized. Leaders who reach across the aisle are branded as traitors, sellouts, or cowards, making problem-solving nearly impossible.
  • Citizens turn into tribes. People self-sort by media, geography, and identity, hearing only what confirms their fears and resentments.
  • Violence becomes thinkable. When the other side is portrayed as evil or subhuman, political violence shifts from “unthinkable” to “regrettable but understandable.”

History is full of democracies that did not die overnight, but slowly suffocated under the weight of mutual hatred, economic anxiety, and political extremism. The United States is not magically exempt from these dangers.


II. Left-Wing Overreach: When Justice Loses Its Balance

The Democratic Party has long stood for civil rights, social safety nets, and environmental protection. These goals have expanded freedom and opportunity for millions. Yet certain currents within the modern left risk pushing the party toward positions that are unsustainable, divisive, or detached from everyday realities.

1. Immigration Without Guardrails

A humane immigration policy is in line with American values, but policies perceived as “open borders” — lax enforcement, broad amnesties without clear criteria, or weak interior enforcement — can strain public services, overwhelm border communities, and trigger a harsh political backlash. Compassion without structure invites chaos; chaos invites demagogues.

When leaders dismiss legitimate concerns about integration, labor competition, or local capacity as mere “bigotry,” they drive many citizens toward more hardline alternatives. A serious left-of-center approach must pair generosity with enforceable rules, clear pathways, and the expectation that newcomers integrate into the civic and legal framework of the nation.

2. Populism Without Fiscal Reality

Proposals such as universal basic income, sweeping student debt cancellation, or very steep wealth taxes can respond to real inequalities. However, when framed as easy fixes or moral crusades, without honest accounting of long-term fiscal impacts, they risk becoming utopian promises that undermine economic stability. Printing money and expanding entitlements without growth-oriented reforms eventually punishes the very working and middle classes such policies claim to defend.

Sustainable social democracy requires both compassion and discipline: targeted support, efficient administration, and a strong private sector that generates innovation, jobs, and tax revenue. Ignoring the growth side of the equation allows opponents to portray the left as reckless and economically illiterate.

3. Identity Politics as Gatekeeper Rather Than Lens

Recognizing structural racism, sexism, and other injustices is necessary. But when identity becomes the main lens for all political judgment, or when individuals are reduced solely to group labels, coalition-building becomes harder. Aggressive “cancel culture,” speech codes on campuses, and social shaming can suppress open dialogue and alienate many who would otherwise support reform.

Historical movements for justice — from abolition to civil rights — succeeded not by silencing disagreement, but by persuading a broader public. When the left turns conversations into purity tests, it trades long-term persuasion for short-term satisfaction.

4. Environmental Urgency Turned Economic Shock Therapy

Climate change is real and urgent. Yet proposals that seek rapid, uncompromising phase-outs of fossil fuels without viable alternatives, transitional support, or realistic timelines can devastate workers and communities dependent on traditional energy sectors. If climate policy is perceived as a war on farmers, truckers, and blue-collar workers, it will be politically unsustainable — and ultimately self-defeating.

The transition to a green economy must be ambitious but also orderly, supporting innovation, retraining, and regional development, rather than treating certain regions as expendable in the name of a moral crusade.

If these trends go unchecked, the Democratic Party risks being seen as a party of elite urban and coastal interests, more fluent in academic jargon than in working-class concerns — a perception that populist opponents are eager to exploit.


III. Right-Wing Radicalization: When Conservatism Becomes Reaction

The Republican Party historically championed limited government, rule of law, free markets, and individual liberty. These principles have driven productivity, innovation, and constitutional stability. Yet in recent years, parts of the GOP have been captured by reactionary impulses that weaponize fear, grievance, and cultural resentment.

1. Immigration as a Cultural War

Defending borders and enforcing immigration law is legitimate. But when rhetoric portrays immigrants as “invaders,” criminals, or demographic threats, it crosses the line into xenophobia. Policies centered on mass deportations, indiscriminate bans, or collective suspicion undermine America’s identity as a nation of immigrants and fuel social tensions that can last generations.

History shows that societies which treat certain ethnic or religious groups as permanent outsiders risk entrenched segregation, radicalization, and social unrest. The United States must enforce its laws without abandoning its core principle: that individuals are judged by their character and actions, not by their ethnicity or origin.

2. Nationalism Sliding Toward Isolationism

Healthy patriotism is the love of one’s country and a desire to protect its people. Unhealthy nationalism is the belief that one’s nation is inherently superior and need not cooperate with others. When “America First” becomes an excuse to abandon alliances, undermine global institutions, or turn inward in the face of common challenges, it weakens America’s long-term strategic position.

After World War II, the United States helped build a rules-based international order that, while imperfect, prevented great-power war and enabled unprecedented global prosperity. Retreating into isolation or transactional diplomacy with authoritarian regimes risks unraveling that order and inviting more dangerous conflicts.

3. Social Absolutism and Personal Liberty

On issues such as abortion, LGBTQ rights, and education, the right increasingly hosts absolutist positions that leave little room for conscience, complexity, or pluralism. Total abortion bans without exceptions, attempts to suppress discussions of race or gender in schools, and legal attacks on personal autonomy can alienate younger generations and women, who experience these policies as direct assaults on their freedom.

A conservatism that truly respects individual liberty must distinguish between personal moral convictions and the appropriate limits of state power. Otherwise, it becomes another form of coercive social engineering.

4. Democracy Eroded Through “Legal” Means

Gerrymandering, restrictive voting laws framed as “integrity” measures, and the toleration of election conspiracy theories erode public trust. When a party cultivates the idea that elections are legitimate only when it wins, it is playing with fire — the same fire that has consumed democracies elsewhere.

The right’s strength has long rested on its defense of constitutionalism and the rule of law. Surrendering that heritage for short-term political gain is a bargain that ultimately destroys the very institutions conservatives claim to uphold.


IV. Lessons from History: Democracies That Fell — and Those That Bent but Did Not Break

The current American moment is not unique in world history. Other nations have faced polarization, extremism, and economic anxiety. Some descended into authoritarianism; others managed to pull back from the brink. The difference often came down to whether mainstream actors chose moderation and compromise — or surrendered to their radicals.

1. Weimar Germany: A Warning from the 20th Century

In the 1920s, Germany’s Weimar Republic was a fragile democracy under immense strain: war reparations, hyperinflation, humiliation, and political violence. Extreme parties on both the far left and far right gained ground by promising salvation and scapegoating enemies. Mainstream parties became weaker, fragmented, and increasingly unable to cooperate.

As parliamentary coalitions failed and street clashes intensified, many Germans lost faith in moderate politics. In this vacuum, the Nazi Party exploited despair, fear, and anti-democratic sentiment to seize power. The lesson is not that America is destined for the same fate, but that when the center fails to hold — when compromise is seen as betrayal — extremists can capture the state through democratic procedures and then dismantle democracy from within.

2. The French Revolution and the Logic of Purity

The French Revolution began with calls for liberty, equality, and fraternity. But as factions radicalized, the revolution entered the Reign of Terror, where perceived “enemies of the people” were executed by the thousands. Political life turned into a competition of purity, with each faction accusing the other of insufficient loyalty to the revolutionary cause.

The logic of “more radical is more virtuous” eventually devoured its own leaders. This historical episode illustrates what happens when ideological purity becomes more important than stable institutions, rule of law, and respect for disagreement.

3. McCarthyism in the United States: Fear as a Domestic Weapon

In the early Cold War, Senator Joseph McCarthy and others used the fear of communism to launch investigations, blacklists, and public witch hunts. Careers were destroyed based on suspicion rather than evidence. The anti-communist crusade was fueled by a genuine geopolitical threat, but its domestic expression often trampled civil liberties and due process.

Eventually, institutions pushed back; the Senate censured McCarthy, and public opinion turned against the excesses. McCarthyism is a reminder that even in the United States, fear-driven extremism can take hold — and that it takes courage from within the system to stop it.

4. American Civil Rights and Bipartisan Courage

Not all history is warning; it also offers hope. The Civil Rights Act of 1964 and the Voting Rights Act of 1965 passed only because leaders in both parties decided that the cost of inaction was too high. Democrats and Republicans alike chose to break with parts of their base to do what was morally and constitutionally right.

This bipartisan courage did not eliminate racism or division, but it showed that when mainstream leaders put principle above partisan calculation, democracy can move forward without collapsing into chaos or revolution.

The lesson from these episodes is clear: democracies survive when the center remains strong, flexible, and principled — and when enough citizens and leaders refuse to follow extremists off the cliff.


V. Reclaiming the Center: A Responsible Path Forward

Avoiding extremism does not mean abandoning conviction or pretending all policies are equally valid. It means rejecting the idea that only maximalist solutions are morally acceptable, and remembering that in a diverse nation, governing well requires building broad coalitions.

1. What Democrats Can Do

  • Marry compassion with competence.
    Advocate for social safety nets, but insist on efficient administration, fiscal responsibility, and policies that support growth and entrepreneurship.
  • Pursue immigration reform that is both humane and enforceable.
    Combine clear legal pathways with border security and realistic integration policies.
  • Champion open debate.
    Protect marginalized voices without stigmatizing dissent or using social pressure to silence uncomfortable questions.
  • Lead a just green transition.
    Invest in clean energy while supporting workers and regions in transition, so climate policy feels like shared progress, not punishment.

2. What Republicans Can Do

  • Re-center on constitutionalism.
    Defend the rule of law, election integrity based on evidence, and the peaceful transfer of power — regardless of short-term partisan advantage.
  • Practice inclusive patriotism.
    Affirm that American identity is open to all who embrace the Constitution, regardless of race, religion, or origin.
  • Address real grievances without scapegoating.
    Speak to economic decline, cultural anxiety, and community breakdown without blaming entire ethnic or social groups.
  • Embrace innovation and reality.
    Acknowledge climate science, support technological solutions, and compete to make America the leader in the next generation of energy and industry.

3. What Citizens Must Demand

  • Support leaders who solve problems, not those who simply inflame emotions.
  • Consume media that challenges your views instead of feeding only your anger.
  • Resist the urge to dehumanize neighbors who vote differently; democracy requires shared space, not total victory.

Conclusion: Saving the Beacon Before It Flickers

The United States has long been seen as a beacon of democracy, however imperfect. That beacon does not shine because Americans always agree, but because they have built institutions strong enough to hold disagreement without collapsing. Today, that strength is being tested by mutually reinforcing extremes that demand total loyalty and offer simple answers to complex problems.

Neither party holds a monopoly on virtue or vice. Both carry historic achievements and grave mistakes. The real danger now is not that one side will permanently conquer the other, but that the struggle itself will hollow out the center — the place where compromise, common sense, and shared citizenship live.

Americans still have a choice. They can reward politicians who scream the loudest and divide the deepest, or they can insist on leaders who are courageous enough to say “no” to their own extremes. They can allow history’s darker patterns to repeat, or they can learn from them and build a more resilient, balanced democracy.

Avoiding extremism is not weakness. It is the discipline that keeps freedom alive.

บันทึกบทสนทนาจากห้องลับในวังหลวง (ด่าเข้าเป้าทุกดอก แล้วบอกจงรักภักดี 555)

 

🔥 คันฉ่องส่องไทย “พลังงาน–ทุนใหญ่–จีน–การเมืองไทย: โครงข่ายใหม่ที่คนไทยต้องรู้”

 

1) ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่อำนาจไม่ได้อยู่ในสภา แต่อยู่ในไฟฟ้า–คลื่นโทรคมนาคม–เงินทุน


ในยุคประชาธิปไตยอ่อนแรง
และรัฐไทยยึดโยงกับทหาร–ระบบราชการ–กลไกพิเศษ

ผู้ที่ควบคุม ‘ไฟฟ้า–อินเทอร์เน็ต–โครงสร้างพื้นฐาน’
จึงมีอำนาจมากกว่าผู้ถือเก้าอี้รัฐมนตรี


ยิ่งถ้าทุนเหล่านั้นเชื่อมกับ

  • สถาบัน
  • พรรคการเมืองสายพลังงาน
  • กลุ่มทุนเก่าที่ใหญ่ที่สุดของไทย (CP)
  • กลุ่มทุนใหญ่ที่สุดของจีน (SOE – United Front)


อำนาจจึงไม่ได้อยู่ “เบื้องหน้า”
แต่อยู่ “เบื้องหลังลึก ๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยมองเห็น”


2) ขาแรก: Gulf – ทุนไฟฟ้า–โทรคม ที่โตพุ่งหลังรัฐประหาร


Gulf ของ สารัชถ์ รัตนาวะดี
อาจเป็นตัวอย่างชัดที่สุดของ “ทุนพุ่งแรงหลังรัฐประหาร”

ในเวลาไม่ถึง 10 ปี

  • จากไม่มีชื่อใน Forbes
  • กลายเป็นหนึ่งในสามขุนทุนที่รวยที่สุดของไทย
  • ถือไฟฟ้าหลายหมื่นเมกะวัตต์
  • เข้าถือ Intouch → AIS → iTV
  • ซื้อหุ้น KBANK
  • ผูกกับ SOE จีนในโครงการไฟฟ้า–ขยะ–โซลาร์

นี่ไม่ใช่ “เรื่องบังเอิญ”
แต่เป็นผลของ โครงสร้างสัมปทาน–สัญญาซื้อไฟระยะยาว
ที่ทำงานได้ดีที่สุดเมื่อ “รัฐรวมศูนย์อำนาจ”
ซึ่งเกิดขึ้นชัดเจนหลังปี 2006 และยิ่งชัดในปี 2014

ไฟฟ้าคือเลือดของเศรษฐกิจ—
ใครควบคุมไฟฟ้า = ควบคุมเส้นเลือดของชาติ


3) ขาที่สอง: CP – ทุนเก่า–ทุนจีน–ทุนอาเซียนที่แผ่ไปทุกทิศ


ในขณะที่ Gulf คือ “ขาใหม่ของระบอบ”
CP คือ “ขาเก่า–ขากว้าง–ขายาว” ที่ครอบทั้งอาเซียน

  • CP คือ United Front Partner ของจีน
  • มีบทบาทเป็น “สะพานอาหารของจีน”
  • คุม supply chain ไทย–ลาว–กัมพูชา–พม่า
  • มีส่วนลึกใน “ขาไก่จีน 2 ด้าน”:
    • ทางตะวันตก: พม่า–ท่าเรือ Kyaukpyu–ท่อน้ำมันจีน
    • ทางตะวันออก: ไทย–ลาว–เวียดนาม–อ่าวไทย
  • มีอำนาจต่อเนื่อง 40 ปีในฐานะทุนเลือด–เนื้อกับรัฐไทย


ถ้าจีนต้องยึดอาเซียนตอนล่าง
ทุนที่จีนไว้ใจที่สุดคือ CP


4) ขาที่สาม: พรรคการเมืองสายพลังงาน—ภูมิใจไทย และกลุ่มก่อสร้างใหญ่


กลุ่ม ชาญวีรกูล–ชิดชอบ ผ่าน Sino-Thai
เป็นผู้รับเหมา–พลังงาน–ก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของประเทศ
และเชื่อมกับ Gulf ในฐานะ “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ระดับพันล้านบาท”

สายสัมพันธ์นี้
ทำให้ “พลังงาน–ก่อสร้าง–การเมือง”
กลายเป็นสามเหลี่ยมที่แข็งมากในรัฐไทยยุคใหม่


5) ขาที่สี่: สถาบัน–ทหาร–รัฐไทยที่ทำงานผ่านสัมปทาน–การ  อนุมัติ–การผูกขาดเชิงโครงสร้าง

ไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นใคร
โครงสร้างไฟฟ้า–โครงสร้างพื้นฐาน
ต้องผ่าน…

  • กฟผ.
  • กระทรวงพลังงาน
  • ครม.
  • หน่วยงานที่อยู่ภายใต้ “ความมั่นคงของรัฐ”
  • และกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ / CSR ใต้ร่มพระราชูปถัมภ์


Gulf จึงสร้างสัมพันธ์แนบแน่นผ่าน

  • โครงการเฉลิมพระเกียรติ
  • บริจาคสาธารณประโยชน์
  • สนับสนุนหน่วยงานในพระราชูปถัมภ์

นี่คือ “ภาษีทางสังคม” เพื่อเข้าอยู่ในชั้นอำนาจลึกของไทย
โดยไม่จำเป็นต้องทำการเมืองโดยตรง


6) ขาที่ห้า: จีน—พลังอำนาจเบื้องหลังที่ต้องการไทยและพม่าเป็น ‘สองขาไก่’


จีนต้องการอาเซียนตอนล่างเพื่อ…

  • หนีสหรัฐ
  • หนีช่องแคบมะละกา
  • สร้าง OBOR ด้านพลังงาน
  • ปักหมุดกองทัพในอ่าวเบงกอล–ทะเลอันดามัน


และคู่ค้าที่จีนไว้ใจมากที่สุดคือ…

  • CP (อาหาร–ปศุสัตว์–โลจิสติกส์)
  • Gulf (ไฟฟ้า–เทคโนโลยีพลังงาน–LNG)


จีนส่ง SOE อย่าง Energy ChinaCNEEC และ CITIC
มาทำสัญญาพันล้านดอลลาร์กับ Gulf และ CP

นั่นคือ ยุทธศาสตร์สองขาที่ไทย–พม่าเป็นฐานราก


7) จุดระเบิด: iTV — บริษัทเปลือกที่กลายเป็นอาวุธทางการเมือง


แม้ iTV จะหยุดออกอากาศตั้งแต่ 2007
แต่ยังมีสถานะเป็น “บริษัทสื่อ" ตามกฎหมายบางมาตรา
เพราะวัตถุประสงค์ในเอกสารยังไม่ถูกเปลี่ยน

เมื่อ Gulf เข้าถือ Intouch
→ Intouch ถือ iTV
→ iTV มีสถานะ “สื่อที่หลับอยู่ในโลง”

จุดนี้เองที่กลายเป็น…

อาวุธทางกฎหมายใช้เล่นงานพิธาและพรรคก้าวไกลในคดีถือหุ้นสื่อ

ไม่ใช่เพราะ Gulf ตั้งใจ
แต่เพราะ “โครงสร้างสื่อ–สัมปทาน–ทุน” เชื่อมกันอยู่อย่างเสี่ยงอันตราย
จนบริษัทที่ไม่มีการออกอากาศมา 17 ปี
กลับพลิกประเทศทั้งประเทศได้ผ่านคำหนึ่งในกฎหมาย

นี่แหละประเทศไทย
ที่เกมจริงไม่ใช่ในสภา
แต่ในชั้นล่างของระบบกฎหมาย–ทุน–ทรัพย์สิน


8) ความจริงที่คนไทยต้องเห็น

ประเทศไทยกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างลับใหม่ของทุน–พลังงาน–โทรคม–สถาบัน–จีน–พรรคการเมือง


ไม่ใช่เพราะใครชั่ว แต่เพราะโครงสร้างรัฐไทยเปิดช่องให้ทุนที่เชื่อมกับอำนาจรัฐ
เข้ามาแทนที่การเมืองแบบประชาชน–รัฐสภา

และคนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยเห็น “ใยแมงมุมใหญ่” นี้เลย


เมื่อ CP คือ “ขาเก่าขาใหญ่
Gulf 
คือ “ขาใหม่ขาเร่งไฟฟ้า
จีนคือ “ลมหายใจด้านหลัง
และภูมิใจไทยคือ “ขาการเมืองสัมปทาน


ประเทศไทยจึงเดินหน้าไปบนระบบที่ประชาชนมองไม่เห็น

และทุกอย่างที่เกิดขึ้น—รวมถึงการล้มพรรคการเมือง หรือเกมเลือกตั้งในอนาคต—
คือภาพสะท้อนของโครงสร้างนี้ทั้งสิ้น