-------------------------------------------
ปฏิวัติประเทศไทย#68 อ.สุรชัย แซ่ด่าน 4-10-58 รำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
YouTube http://bit.ly/1KZahkY
mp3 11.5M 1 ช.ม 7 นาที
mdf http://bit.ly/1hiTssF
2sh http://bit.ly/1FNqk8Q
4sh http://bit.ly/1hiTnFq
-------------------------------------------
โลกล้อมไทย นปช. อียูสวีเดน 3 10 2015
คุณมิดไนท์ชัน กับคุณ สุกิจ
YouTube http://bit.ly/1Of2RQH
mp3 13.4M 1 ช.ม. 18 นาที
mdf http://bit.ly/1VwEAtv
2sh http://bit.ly/1LqWJUV
-------------------------------------------
ชวนคิด ชวนลุย ดร.เพียงดิน รักไทย 3 ต.ค. 2558
สื่อตะวันตก แฉความตอแหล ในการเยือนและบทพูดของ ผู้นำโจรกบฏ ที่ UN
YouTube
http://bit.ly/1VxUEWM http://bit.ly/1LqQfp7
http://bit.ly/1FPxskP http://bit.ly/1OcC45M
http://bit.ly/1FNlVmg
mp3 9.7M 56 นาที
mdf http://bit.ly/1OQdkBS
2sh http://bit.ly/1Rovh9l
meg http://bit.ly/1Vwzopw
-------------------------------------------
กลุ่มพลเมืองต้าน Single Gateway
เตรียมถล่ม เวป ก.คลัง 9 ต.ค.นี้ หยุดอนุมัติงบปี 59
YouTube http://bit.ly/1M8CjdL http://bit.ly/1j7gWmh
mp3 5.8M 34 นาที
mdf http://bit.ly/1Ocw8Kc
2sh http://bit.ly/1PcLBe9
meg http://bit.ly/1M8HMRJ
-------------------------------------------
Jom Voice 3 ต.ค. 2558
นักรัฐศาสตร์ประเมิน"ประยุทธ์" เยือนยูเอ็น พรางคำพูดเพื่อลวงโลก
YouTube
http://bit.ly/1M2ic5j http://bit.ly/1OPTM0L
mp3 3.7M 22 นาที
mdf http://bit.ly/1FNdNCkว
2sh http://bit.ly/1VwjFXI
-------------------------------------------
Media Republic:03oct2015 จรรยา ยิ้มประเสริฐ
ชำแหละเศรษฐกิจพอเพียง-โครงการพระราชดำริ
YouTube http://bit.ly/1GpTLIQ
mp3 20.7M 2 ช.ม.
mdf http://bit.ly/1Rn5gaq
2sh http://bit.ly/1jFWjO2
4sh http://bit.ly/1VwS43a
-------------------------------------------
เสาร์เช้า ๙ ทันบอด 3-10-58
YouTube http://bit.ly/1GqHbZQ http://bit.ly/1L7vhVH
==========================================
ติดตามได้ที่
http://my.cbox.ws/redudd
http://my.cbox.ws/tprud
http://my.cbox.ws/sereethai
http://thailib.org
https://twitter.com/ClipsTasawang
facebook http://on.fb.me/1Nl2eTu
democ.thai http://bit.ly/1KdQEbU
Monday, October 5, 2015
ข่าวทหารเหี้ย เฉือนคมกัน ตามสันดาน
มันระเบิด เด้งผู้พันตัวเหี้ย มือชักรายชื่อโผโยกย้ายชื่อ"ผู้การโจ้"มือขวา"บิ๊กโด่ง"
ข่าววงในหน้าห้อง ผบ.ทบ.มีแต่คนเลว คนโง่ที่ขยันหาผลประโยชน์ กินกันหน้าตั้งทั้งกองทัพ หมดจด จนหยดสุดท้าย
อีวาสนา นาน่วม" ผู้สื่อข่าวสายเลียหน้าขานายพลทหารทหารใหญ่ส่งสำเนาเสี้ยมคำสั่งกองทัพบก ที่ 582/2558 เรื่องให้นายทหารรับราชการและปรับระดับเงินเดือน ลงวันที่ 5 ต.ค. ว่าฟ้าผ่ากองทัพบก
เมื่อ"บิ๊กหมู" พล.อ.ธีรชัย สั่งเคลียลงนามตั้ง 271 พันเอกพิเศษ รองนายพล และผู้การกรม ตั้งนายทหารระดับผบ.หน่วย ทั้ง ราบ ม้า ปืน และหน่วยอื่นๆ
สุดเจ็บกับคำสั่งเด้ง "ผู้การโจ้" พ.อ.คชาชาต บุญดี มือทำงาน"ผบ.ทบ.คนเก่า" ที่เคยเซ็นคำสั่งก่อนเกษียณออกมาได้อย่างทุเรศทุรัง ให้เป็น รอง.ผบมทบ.11 คือกลับถิ่นเก่า โยกไปเป็นฝ่ายเสธ.ทัพภาค3 สมน้ำหน้าตอนนายใหญ่กร่าง สั่งทำแต่เรื่องโง่ๆ ลือชื่อเรื่องจอมฮุบชื่อเด็กฝาก
ส่วนพวกได้ดี งาบตำแหน่งเด่น ๆ เป็น เสธ.โอรส พ.อ.กัณฑชัย ประจวบอารีย์ เป็น รอง ผบ.พล.1 รอ. พ.อ.นพสิทธิ์ สิทธิพงษ์โสภณ เป็น ผบ.ม.1รอ.
พวกร่วมฆ่าเสื้อแดง ได้ดีหมด
ท่ามกลางกระแสน้ำ 2 สายไหลเชี่ยว บิ๊กสองบิ๊ก ธีรชัย-อุดมเดช ชนกันแหลกจนไอ้หน้าหูมป้อมต้อง ตะโกนบอก "อย่าแย่งชามข้าวกัน "
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่างพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีตผบ.ทบ. และพล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. หลังพล.อ.ธีรชัยได้มีคำสั่งระงับการปรับย้ายนายทหารกองทัพบกที่พล.อ.อุดมเดช ได้ลงนามคำสั่งอัปยศก่อนเกษียณอายุราชการตั้งหลานไอ้เปรม กับเด็กล้างกระโถนของตัวเองได้ดี แต่บิ๊กตอแหลหน้าหมูยังว่า การโยกย้ายเป็นเรื่องธรรมดา เวลาใหญ่ก็ลืมตัวทั้งนั้น ไม่มีความขัดแย้งระหว่างกัน ดูรุ่น 10 ไอ้ทักษิณ ไอ้อนุพงศ์ มันไม่เผาผีกันจะเป็นเพื่อนกันมานานแค่ไหนก็เถอะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้พล.อ.อุดมเดช และพล.อ.ธีรชัย ได้เดินมาส่งพล.อ.ประวิตร ขึ้นรถหลังการประชุม โดยทั้งสองใส่หน้ากากกันแบบสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมพูดคุยกับพล.อ.ประวิตร อย่างปกติ โดยพล.อ.อุดมเดช ได้จับแขนพล.อ.ธีรชัย ภายหลังการพูดคุยด้วย แต่พอลับหลังโทรหาเพื่อนด่าอีกฝ่ายเช็ด หลังลงจากอำนาจพลเอกอุดมเดช มีปัญญาเรื่องเสธใกล้ตัว โลภโกงกินขนานใหญ่ ขนาดนางนราพรภรรยาพลเอกประยุทธ์ยังส่งให้ข่าวหนังสือพิมพ์ไปเขียนเหน็บหลายครั้ง
กษัตริย์ภูมิพลทรงร่วมให้การ ปรักปรำนายปรีดี และผู้บริสุทธิ์ทั้งสามคน
กษัตริย์ภูมิพลทรงร่วมให้การ
ปรักปรำนายปรีดี
และผู้บริสุทธิ์ทั้งสามคน
พระราชดำรัสให้การต่อศาลอาญาในปี 2493 ที่ทรงให้การเป็นพยานโจทก์ในวันศุกร์ที่ 12 และวันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2493 ตีพิมพ์ใน สยามนิกร วันที่ 18 พฤษภาคม 2493 เฉพาะที่นัยยะสำคัญมีดังนี้
คำให้การพยานโจทก์
คดีหมายเลขดำที่ 1898/2493
ศาลอาญา
วันที่ 12 พฤษภาคม 2493
ความอาญาระหว่าง อัยการ โจทก์
นายเฉลียว ปทุมรส กับพวก จำเลย
ข้าพเจ้าขอให้การว่า ข้าพเจ้าชื่อ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และขอให้การต่อไป (ทรงตอบโจทก์)
[2] ในเช้าวันที่ 9 มิถุนายนนั้น ฉันกินอาหารเช้าเวลาใดบอกไม่ใคร่ถูก แต่ประมาณราว 8.30 น. กินที่มุขพระที่นั่งชั้นบนด้านหน้า กินอาหารแล้วฉันได้เดินไปทางห้องบรรทมในหลวงรัชกาลที่ 8 ซึ่งเป็นเวลา 9.00 น.ได้พบนายชิตกับนายบุศย์ อยู่ที่หน้าห้องแต่งพระองค์ เห็นนั่งอยู่ นายชิต นายบุศย์ นั่งอยู่เฉยๆ ฉันได้ถามเขาว่า ในหลวงพระอาการเป็นอย่างไร ได้รับตอบว่าพระอาการดีขึ้น ใครเป็นผู้ตอบจำไม่ได้ เขาตอบไปว่าทรงสบายดีขึ้น ได้เสด็จห้องสรงแล้ว ต่อจากนั้น ฉันได้เดินไปยังห้องของฉัน เดินไปตามเฉลียงด้านหลัง ตรงเข้าไปในห้องนอนของฉัน แล้วก็เข้าไปในห้องเครื่องเล่น เดินเข้าๆออกๆอยู่ที่สองห้องนี้ ระหว่างนั้นซึ่งเป็นเวลาประมาณ 9.25 น. ได้ยินเสียงคนร้อง ได้ยินในขณะที่อยู่ในห้องเครื่องเล่น ก่อนได้ยินเสียงร้องได้เห็นคนวิ่งผ่านประตูห้องบันไดซึ่งอยู่ติดกับห้อง เครื่องเล่น เสียงคนร้องเป็นเสียงใครจำไม่ได้ ได้ยินเสียงร้องแล้ว ฉันได้ออกจากห้องเครื่องเล่นไปยังเฉลียงด้านหน้าโดยผ่านทางห้องบันได ได้พบน.ส.จรูญ ที่หน้าห้องข้าหลวง ถาม น.ส.จรูญ ว่ามีอะไรเกิดเรื่องอะไร ได้รับตอบว่าในหลวงยิงพระองค์ ฉันได้ยินดังนั้นก็ตรงไปยังห้องพระบรรทมในหลวงรัชกาลที่ 8
[3] เมื่อเข้าไปถึงห้องพระบรรรทมแล้ว เห็นสมเด็จพระราชชนนีและพระพี่เลี้ยงเนื่องอยู่บนพระแท่นบรรทม สมเด็จพระราชชนนี ประทับอยู่เบื้องปลายพระบาทในหลวง โดยพระองค์อยู่บนพระแท่นครึ่งพระองค์ ส่วนพระพี่เลี้ยงเนื่องอยู่บนพระแท่นบรรทม และอยู่ตอนไปทางด้านพระเศียร
|เห็นในหลวงบรรทมอยู่บนพระแท่นในท่าหงายอย่างปรกติ เห็นที่พระนลาตมีรอยโลหิต พระเนตรหลับ สังเกตเห็นพระกรยืดอยู่ข้างพระวรกาย อยู่ท่าคนนอนธรรมดา พระกรแนบพระวรกาย ห่างจากพระวรกายตรงขอบพระหัตถ์ด้านในประมาณ 5 ซ.ม. ที่ว่านี้หมายถึงพระกรซ้าย ส่วนพระกรข้างขวาเป็นอย่างไรไม่เห็น สังเกตเห็นพระหัตถ์อยู่ในท่าธรรมดา นิ้วพระหัตถ์ไม่งอแต่พระหัตถ์งอบ้างอย่างธรรมดา คืองอนิดหน่อย มีผ้าคลุมพระบรรทมคลุมอยู่ด้วย พระกรอยู่ภายนอกผ้านั้น เห็นแต่ข้างซ้าย ข้างขวาไม่ได้เห็น ผ้าคลุมพระองค์ขึ้นมาเสมอพระอุระ
[4] เมื่อฉันเห็นเช่นนั้นก็บอกกับคนที่อยู่ที่นั่นให้ไปตามหมอมา แล้วฉันได้เข้าไปประคองสมเด็จพระราชชนนีมาประทับที่พระเก้าอี้ปลายพระแท่น บรรทม ต่อจากนั้น หลวงนิตย์ฯได้มาถึง จะมาถึงภายหลังที่ฉันเข้าไปในห้องพระบรรทมแล้วนานเท่าใด กะไม่ถูก หลวงนิตย์ฯเข้าไปดูแล้วกก็ไม่ได้พูดว่ากะไร แต่ฉันเห็นหน้าหลวงนิตย์ฯก็รู้ได้ว่าไม่มีหวังแล้ว สมเด็จพระราชชนนีได้เสด็จไปประทับในห้องทรงพระอักษรต่อไป
[5] เมื่อทราบว่าหมดหวังแล้ว ต่อมาได้เรียกพระยาชาติฯขึ้นมาถามว่าจะทำอย่างไรต่อไป พระยาชาติฯบอกถึงพระราชพิธีเกี่ยวกับพระบรมศพแล้ว ฉันก็สั่งให้เขาจัดการไปตามระเบียบ
วันที่ 15 พฤษภาคม 2493 (ทรงตอบโจทก์) ต่อจากวันที่ 12 พฤษภาคม 2493
[10] ฉันเคยทราบว่านายเฉลียว ได้นั่งรถยนตร์เข้าไปถึงหน้าพระที่นั่งบรมพิมาน ในหลวงรัชกาลที่ 8 จะทรงพอพระราชหฤทัยในการกระทำเช่นนั้นหรือไม่ ฉันไม่รู้ เคยมีครั้งหนึ่งที่สมเด็จพระราชชนนีรับสั่งเรียกรถยนตร์ไม่ได้มา เหตุที่ไม่ได้มา เพราะคันหนึ่งไปซ่อม อีกคันหนึ่งเอาไปให้นายปรีดี เขาว่ากันว่า นายเฉลียว เป็นผู้จัดส่งรถไปให้นายปรีดี แล้วนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี ได้ส่งรถมาถวายให้ทรงใช้แทน
[11] ในหลวงรัชกาลที่ 8 ไม่เคยรับสั่งอะไรกับฉันถึงการเข้าเฝ้าของนายเฉลียวว่ามีคารวะหรือไม่ การที่นายเฉลียวพ้นตำแหน่งราชเลขานุการในพระองค์นั้น น่าจะเป็นด้วยในหลวงไม่พอพระราชหฤทัย เหตุที่ไม่พอพระราชหฤทัย เพราะอะไรไม่ได้รับสั่งแก่ฉันให้ทราบ
[12] ในคราวเสด็จประพาสหัวหิน นายปรีดีโดยเสด็จด้วย ในคราวนั้นนายปรีดีได้สั่งเอารถจี๊ปไปใช้ โดยไม่ได้ขออนุญาต และนายปรีดีได้เคยจัดให้มีงานเลี้ยงขึ้นที่นั่น เลี้ยงพวกใต้ดิน จัดเลี้ยงโดยไม่ได้ขอพระบรมราชานุญาต ในการเลี้ยงนั้นมีเสียงเอะอะ
[13] นายปรีดีเคยว่า จะสั่งให้เอาเปียโนมาถวาย จะสั่งมาจากไหนไม่ได้บอก ขณะนำมาถวายฉันไม่ได้อยู่ด้วย ในขั้นต้นฉันเข้าใจว่า เปียโนนั้นเป็นของนายปรีดี ต่อมาพระยาชาติฯบอกว่าเป็นของสำนักพระราชวัง
[14] เกี่ยวกับการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในการที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 จะเสด็จต่างประเทศนั้น ฉันได้รู้บ้าง ความเห็นของนายปรีดีในการจะตั้งผู้สำเร็จราชการ จะตรงกับพระราชดำริหรือไม่ ฉันไม่ทราบ
[15] เกี่ยวกับการตั้งราชเลขานุการแทนนายเฉลียวที่พ้นตำแหน่ง ฉันรู้บ้าง ในหลวงมีพระราชประสงค์จะทรงตั้งท่านนิกรเทวัญ เทวกุล นายปรีดีปฏิบัติการสนองพระราชประสงค์นั้นชักช้า
[16] ในการที่ในหลวงจะเสด็จกลับสวิสเซอร์แลนด์ โดยผ่านไปทางประเทศอเมริกาและยุโรปนั้น เป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ท่าน และทรงพระประสงค์จะได้เสด็จไปโดยเร็ว พระราชประสงค์นี้จนใกล้จะสวรรคตก็มิได้เปลี่ยนแปลง รัฐบาลจัดการเรื่องเสด็จนั้นเร็วช้าประการใดไม่ทราบ ในที่สุด ได้กำหนดเสด็จกลับสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 13 มิถุนายน 2489
[17] นายมี พาผล เคยบอกฉันว่า วันที่ 13 จะเสด็จกลับไม่ได้ บอกเมื่อในหลวงเสด็จสวรรคตแล้วราว 2-3 อาทิตย์ ว่านายชิตเป็นผู้พูดว่าในหลวงจะไม่ได้เสด็จกลับวันที่ 13
[18] ตามที่ตอบไว้เมื่อวันก่อนว่า เห็นคนวิ่งผ่านห้องบันไดไปนั้น ต่อมาฉันได้สอบสวนดู ฉันเคยถามนายชิตเขาบอกว่า เขาวิ่งมาทางหน้าพระที่นั่ง และบอกอีกครั้งหนึ่งว่าวิ่งมาทางหลังพระที่นั่งแล้วออกไปทางหน้า เขาไม่แน่ใจ นายชิตบอกและชี้ทางด้วย แต่ก็เป็นเรื่องไม่แน่นอน
[24] นายฉันท์ หุ้มแพร เป็นคนจงรักภักดี และเป็นห่วงในความสุขสบายของเรา เกี่ยวกับการปลอดภัย เขาเป็นห่วงเหมือนกัน นายฉันท์ฯไม่เคยพูดกับฉันมาก เป็นแต่เคยบอกกับฉันว่า ต้องระวัง ที่ว่าต้องระวังนั้น เข้าใจว่าระวังคน บอกตั้งแต่ฉันมาถึงเมืองไทย
[25] รถจี๊ปที่นายปรีดีเอาไปใช้นั้น เป็นรถส่วนพระองค์
[33] การที่นายปรีดีโดยเสด็จไปหัวหินด้วยนั้น นายปรีดีไม่มีหน้าที่โดยเสด็จ แต่จะเป็นพระราชประสงค์หรือเปล่า ฉันไม่รู้
[34] เรื่องสมเด็จพระราชชนนี ทรงเรียกรถใช้ไม่ได้นั้น จะก่อนหรือหลังกลับจากหัวหินจำไม่ได้ ได้ยินเขาพูดกันว่า รถนั้นนายปรีดีเอาไปใช้ โดยนายเฉลียวส่งไปให้
ลงพระปรมาภิไธย
ภูมิพล ปร.
คำให้การของกษัตริย์ภูมิพลก็เป็นเพียงการปรักปรำที่หาพยานหลักฐานเชื่อมโยงกับการปลงพระชนม์ไม่ได้เลย ที่จริงศาลที่ยึดหลักนิติธรรมก็ไม่น่าจะรับฟัง แต่ศาลก็พยายามโยง จับแพะชนแกะเพื่อหาเหตุมาลงโทษจำเลย รวมทั้งการปั้นพยานเท็จขึ้นมารองรับเรื่องโกหกที่แต่งกันขึ้นมา
เป็นไปได้ว่ากษัตริย์ภูมิพลก็มีส่วนรวมในการแสดงละครโกหก เป็นคนให้การเพื่อที่ศาลจะได้อ้างเอาไปเล่นงานจำเลยผู้บริสุทธิ์ สังเกตได้จากคำพิพากศาลฎีกาที่ว่า....นายเฉลียวเป็นคนสนิทชิดชอบของนายปรีดี เป็นคนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ..ในหลวงกับนายปรีดีมีข้อขัดแย้งกันในการจะตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายปรีดีได้พูดกับนายวงศ์ เชาวนะกวี เมื่อก่อนสวรรคตเพียงวันเดียว ว่าจะไม่คุ้มครองราชบัลลังก์........นายเฉลียวขาดความเคารพยำเกรงต่อพระเจ้าอยู่หัว ส่งรถยนต์ประจำพระองค์ไปให้ผู้อื่นใช้ จนขัดข้องแก่การที่จะทรงใช้ นั่งรถยนต์ไขว่ห้างล่วงล้ำเข้าไปถึงหน้าพระที่นั่ง ถวายหนังสือราชการด้วยอาการขาดคารวะ จูบหญิงพนักงานในที่ทำการซึ่งอยู่ตรงหน้าพระที่นั่งพระบรมพิมานจนพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็น เหล่านี้เป็นการเหยียดหยามพระราชประเพณีและพระองค์ท่าน ไม่เป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัย ทรงรับสั่งแก่นายปรีดีขอเปลี่ยนราชเลขานุการ ต่อมา นายเฉลียวมีอาการกระด้างกระเดื่องต่อรัชกาลที่ 8 ไม่เกรงพระทัย นายชิตและนายบุศย์เป็นลูกน้องนายเฉลียว ส่วนเรือเอก วัชรชัยมิได้ปฏิบัติงานในหน้าที่ราชองค์รักษ์ตามสมควร ขาดราชการบ่อย ๆ ฝักใฝ่อยู่ทางทำเนียบท่าช้าง ไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย ภายหลังที่ถูกปลดจากตำแหน่งราชองครักษ์แล้ว ก็ได้เป็นเลขานุการนายกรัฐมนตรี แถมศาลฎีกายังโยงเรื่องไปถึงนายฉันท์ หุ้มแพร ผู้เป็นห่วงในหลวงให้พกปืนและคอยระแวดระวัง แต่นายฉันท์ก็มาตายเสียก่อนเมื่อสวรรคตแล้วไม่ถึงเจ็ดวัน และนายชิตผู้พูดว่าในหลวงจะไม่ได้เสด็จกลับวันที่ 13 มหาดเล็กคอยเตือนเรื่องความปลอดภัย...ซึ่งล้วนมาจากการปะติดปะต่อคำให้การหรือการปรักปรำของกษัตริย์ภูมิพลทั้งสิ้น เป็นการปรักปรำให้ร้ายใส่ความโดยไม่เกี่ยวกับพยานหลักฐานแม้แต่น้อย ประกอบกับการให้การของพยานที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่คือนายตี๋ ศรีสุวรรณที่พระพินิจชนคดีจ้างมาให้การ เท็จ ว่านายตี๋แอบไปได้ยินการวางแผนได้ยินเสียงพูดกันในห้องรับแขกของพลเรือตรี กระแสว่า "ผมไม่นึกเลย เด็กตัวนิดเดียว ปัญญาจะเฉียบแหลมถึงเพียงนี้.... พี่ชายว่าจะสละราชสมบัติให้น้อง คิดจะสมัครเป็นผู้แทน เป็นนายกฯ... เขาคิดเรื่องนี้สำเร็จออกไปได้ พวกเราจะเดือดร้อน ไม่ได้ อย่าให้พ้นไปได้ รีบกำจัดเสีย....นั่นตกเป็นพนักงานพวกผมเอง..พวกผมทำสำเร็จแล้ว ขอให้เลี้ยงดูให้ถึงขนาดก็แล้วกัน ...แล้วนายตี๋ก็ให้การว่าเห็นนายปรีดีคนเดียวออกจากบ้านไป พลเรือตรี กระแสตามออกไปส่ง ส่วนพวกที่มากับนายปรีดีอีกห้าคนนั้นออกไปนั่งดื่มสุรากันใต้ต้น มะม่วง...เรื่องปัญญาอ่อนแบบนี้ แต่ศาลฎีกาก็ยังมีเจตนาที่จะเชื่อเรื่องโกหกทุกเรื่อง ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกับการปลงพระชนม์แม้แต่น้อย ที่ฝรั่งเรียกว่าทฤษฎีสมคบคิด หรือ เป็นการสมรู้ร่วมคิดเตรียมการกันมา... โดยมีคนเขียนบท เขียนคำให้การให้กษัตริย์ภูมิพล และเขียนบทให้พระพินิจชนคดีไปจ้างพยานเท็จและเป็นคนเดียวกันที่เขียนคำ พิพากษาให้ศาลฎีกาลงโทษประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์เพื่อปิดคดีให้กษัตริย์ภูมิ พลพ้นมลทินจากการเป็นผู้ต้องสงสัย
ก็คงไม่ต่างจากการที่พรรคประชาธิปัตย์สร้างพยานเท็จเพื่อให้ศาลรัดทำมะนวยที่หาเรื่องยกเลิกการเลือกตั้ง ยุบพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน รวมทั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาสำหรับนักการเมืองที่รับรับเรื่องจากคตส.ให้จำคุก นายกทักษิณสองปีเพราะไปเซ็นรับรองให้ภรรยาไปประมูลซื้อที่ดินจากองทุนฟื้นฟู เป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นว่าศาลไทยที่แขวนรูปพระเจ้าอยู่หัวไว้ในห้องพิจารณา คดี ได้ยึดถือเอาพระเจ้าอยู่หัวเป็นหลัก เหนือกฎหมายและความชอบธรรมใดๆ ตั้งแต่เริ่มต้นรัชกาลที่ 9 เมื่อกว่า 60 ปีมาแล้ว
ประหารผู้บริสุทธิ์
เพื่อให้ท่านหลุดพ้นจากคดี
ได้เป็นกษัตริย์ที่สง่างามสืบต่อไป
เช้ามืด ของวันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 นักโทษชายที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางบางขวาง 3 คน ได้ถูกนำตัวไปยังหลักประหารของเรือนจำ คือ เฉลียว ปทุมรส ชิต สิงหเสนี และบุศย์ ปัทมศริน ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนลอบปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 หรือเป็นเวลา 8 ปี 8 เดือน 8 วันก่อนหน้านั้น
การสวรรคต ของในหลวงอานันท์ เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองไทย แต่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดแต่ห้ามพูดถึงโดยเด็ดขาด
ก่อนหน้ากรณีสวรรคตไม่กี่ปี ในช่วงที่คณะราษฎรยังเข้มแข็งสามัคคีกันดี สามารถปราบกบฏบวรเดชลงได้และศาลพิเศษ 2482 ยังได้วินิจฉัยว่ารัชกาลที่ 7 เป็นกบฏด้วยการบ่อนทำลายระบอบใหม่และช่วยเหลือกบฏบวรเดช แต่กรณีสวรรคตเกิดขึ้นในปี 2489 ในเวลาที่เริ่มเกิดการแตกหักระหว่างจอมพล ป.กับนายปรีดี และการเริ่มกลับมีบทบาทของกลุ่มนิยมกษัตริย์ที่เสียอำนาจไปเมื่อ 2475 กรณีสวรรคตจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นและสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่สร้างประเพณีห้ามพูดเรื่องของกษัตริย์
และเป็นโอกาสที่ฝ่ายนิยมกษัตริย์ได้หวนกลับมารื้อฟื้นทวงคืนอำนาจและอิทธิพลของระบอบราชาธิปไตยให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ในความเงียบงันของคดีสวรคต ผู้ที่ได้รับผลโดยตรงหนักที่สุดก็คือ ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกประหารชีวิตไปทั้ง สามคนนั่
Sunday, October 4, 2015
แหล่งข่าวทำเนียบรัฐบาลบ่งว่า ใช้เงินมหาศาล "Single Gateway เพื่อพ่อและสถาบัน"
4 ต.ค.58 แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ความเป็นมาของการทำซิงเกิลเกตเวย์ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เคยส่งคณะทำงานไปศึกษาการจัดทำโครงข่าย และประเมินงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายในโครงการ ในงบประมาณการจัดทำซิงเกิลเกตเวย์ ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา
โดยมีการใช้งบประมาณวงเงินสูงถึง 1.6 หมื่นบ้านบาท ในการสร้างเซิร์ฟเวอร์ และวางระบบใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อโครงข่ายให้เป็นท่อเดียว ซึ่งยังไม่นับรวมถึงระบบสำรองไว้ใช้กรณีฉุกเฉินที่ต้องทำระบบรองรับ ใช้เงินอีกจำนวนมาก แต่หากผนวกรวมกับแผนการสร้างเศรษฐกิจดิจิตอลของรัฐบาล คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท ในการเชื่อมต่อระบบทั้งหมด ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งตามแผนจะคุ้มทุน เพราะจะมีการบังคับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ในประเทศไทย ซึ่งมีมากกว่า 10 ราย มาเช่าโครงข่าย ก็สามารถคุ้มทุนภายใน 5 ปี โดยภาระนี้ก็จะตกแก่ประชาชนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในปะเทศอีกทอดหนึ่ง โดยเก็บผ่านค่าบริการ
ทั้งนี้ มูลค่าการจัดซื้อเครื่อมมือที่มีราคาสูง อาจทำให้เกิดข้อครหาต่อรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นายกรัฐมนตรีจึงได้มอบนโยบายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ไปศึกษาวิธีและแผนให้ชัดเจนอีกครั้ง ให้รวมถึงการป้องกันเด็กเยาวชนในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ และการโจมตีสถาบัน
อย่างไรก็ตาม แนวคิดการจัดทำซิงเกิลเกตเวย์ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ ดูแลด้านเศรษฐกิจ (ในขณะนั้น) ได้เสนอทำแผนศึกษาไว้เบื้องต้น พร้อมแผนสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิตอลในประเทศ
นอกจากนี้ แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ได้คัดค้านโครงการดังกล่าว เพราะเป็นการสร้างธุรกิจแบบผูกขาดโดยรัฐ หรือแทรกแซงการแข่งขันเอกชน โดยไม่เคยเห็นข้อดี ทำระบบพัฒนาได้ช้า
มันยอมจะเสียเงินมหาศาลเพื่อไอ้บอดทั้งที่ประชาชนอยากจน
คลิปล่าสุด 5 ตุลาคม 2558 ||| ดร.เพียงดิน ชวนคิดชวนลุย 2015-10-05 ตอน "ใบสั่งฆ่า?? ใต้ระบอบภูมิพล หลักฐานที่ถูก declassified!!"
*************************
http://www.tprud.org มหาวิทยาลัยประชาชน นปช.ยูเอสเอ และเครือข่าย สนับสนุนการเผยแพร่ เพื่อให้ความรู้และตีแผ่ความจริง
เพื่อสร้างสำนึกการปฏิวัติสู่การเป็นประชาธิปไตย ด้วยสันติวิธี
Truth, Peace, Revolution, Universal Human Rights, Democracy
คุ้มครองโดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (http://tahr-global.org)
-------------------------------------------------------------------------------------
ขอให้พี่น้องเชื่อมั่นในพลังของมดแดงล้มช้าง... แต่อย่าผลีผลามแสดงตัวให้เขาใช้ความรุนแรงจัดการกับพี่น้อง อย่าทำอย่างย่ามใจ อย่าทำเพื่อสะใจ อย่าหวังผลประโยชน์ และอย่าคิดเด่นดังหรืออิจฉาริษยากัน ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ noble mission ในการกู้ชาติ แล้วสร้างชาติใหม่ให้ลูกหลานนี้ เป็นสิ่งที่เราควรภูมิใจร่วมกันอย่างยิ่ง
หากท่านคิดดี หวังดี และมั่นใจในความดีของท่าน ขอให้ปาวารณาตัว ร่วมเป็นมดแดงล้มช้าง ได้ที่
เพื่อร่วมเป็นฐานของการปฏิวัติในอนาคตอันใกล้นี้ และเริ่มต้นทำงานในฐานะมดแดงล้มช้างทันที (ข้อมูลทุกอย่าง เป็นความลับสุดยอด ดร.เพียงดิน รักไทย จะดูแลเองแต่ผู้เดียว และอย่าได้ติดตามลิ้งค์อื่นใด นอกจากลิ้งค์นี้จากเฟสบุ๊คของดร.เพียงดิน และลิ้งค์ที่อยู่ใต้ยูทูปวิดีโอของ มหาวิทยาลัยประชาชน Official เท่านั้น)
Saturday, October 3, 2015
ความร้ายกาจของหลังบ้าน ประยุทธ์ (เหยือตัวสำคัญๆ)
[10/3/15, 10:36:28 PM] Mana-song: เขาบอให้ช่วยแชร์กันเยอะๆ เลยยกมาทั้งหมดในเรื่องที่เขียนมีบางท่านอยู่ในเนื้อหาด้วย จึงขออภัยมาณ. ที่นี้.
[10/3/15, 10:36:34 PM] Mana-song: ในบรรดาเหยื่อศิษย์เก่าจุฬาฯคนแรกที่อีน้องเมียเหล่ยุดจับเชือดคือ นายจักรภพ เพ็ญแข อีน้องอยู่เบื้องหลังในการแปลคำพูดของนายจักรภพบิดเบือนความจริงจนนายจักรภพต้องร่วงจากเก้าอี้ รมต.สร.ต้องหนีหัวซุกหัวซุนออกนอกประเทศ ต่อมาก็ถูกอีน้องบอกสายทหารชี้เป้าชงเรื่องให้จักรภพผิด กม.หมิ่น112 หลังการปฎิวัติ 22 พ.ค.57 อีน้องก็สั่งเหล่ยุดยัดข้อหาเพิ่มว่ามีอาวุธร้ายแรงครอบครอง อีน้องบีบจนเหล่ยุดหลุดว่าเมียสั่งให้ทำอะไรถ้าไม่ได้ดังใจก็ทะเลาะกันใหญ่โต ยังมีอีกคนที่อีน้องแค้นฝังหุ่นนักหนาอาจารย์สุดา หรืออาจารย์หวานที่ไปเป็นอาจารย์จุฬาเสื้อแดง ตอนที่อีน้องรู้ข่าวว่าอาจารย์หวานเป็นแฟนกับไม้หนึ่ง อีน้องหัวเราะยิ้มเยาะคิดว่าไม้หนึ่งเป็นกรรมกรเสื้อแดง ตัวเหม็นๆมาได้อาจารย์จุฬาฯเป็นแฟน อีน้องมันพูดจาเหยียบย่ำอาจารย์หวานเรื่องนี้มาตลอด แต่พออีน้องสั่งให้เหล่ยุดเก็บไม้หนึ่งตายลงแล้ว อีน้องก็ช็อคที่รู้ความจริงว่าไม้หนึ่งเป็นคนเสื้อแดงมีการศึกษา จบ ม.ศิลปกร มีผลงานเป็นกวีเขียนหนังสือ อาจารย์หวานถูกลูกน้องเหล่ยุดไล่ล่าเอาตัวเกือบไม่รอด ดีที่ยังมีนายพลใหญ่ในคณะ คสช.ยังมีใจเมตตาสงสารผู้หญิงตัวเล็กๆ จึงปล่อยให้หนีรอดน้ำมือโหดๆของผู้สั่งการคืออีน้องไปพ้น อีกคนที่อีน้องจงเกลียดจงชังคืออาจารย์ปวิณ เพื่อนปวิณให้ข้อมูลว่าเป็นลูกศิษย์เก่ากันของอีน้อง คนเขาว่าเห็นพวกขี้อิจฉาในจุฬาฯ เห็นปวิณโกอินเตอร์ก็คอยใส่ไฟให้อีน้องให้จัดการยัด กม.หมิ่น 112ให้ประวิณ ตาสว่างกันเสียทีทำไมประยุทธ์ถึงจ้องจัดการประวิณนัก เมียสั่งให้ถอนพาสปอร์ตก็ทำ เล่นเขาทุกรูปแบบ เพราะต้องการขู่คนในจุฬาฯไม่ให้ลุกฮือไปเข้าข้างพวกแดง แม้อีน้องจะลาออกไปรับตำแหน่งใหม่เป็นรองประธานการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมวังไกลกังวล ก่อนได้ตำแหน่งนี้ คนในจุฬาฯลือกันแซ่ดว่าอีน้องได้เพราะใส่ร้ายเรื่องแปลคำพูดและกำจัดจักรภพได้สำเร็จ อ.เทียนฉายและเมียคุณหญิงได้เป็นใหญ่เพราะอีน้องทั้งนั้น ตอนม้อบกปปส.อีน้องก็เป็นตัวกลางประสานคนในจุฬาฯกับพวกสุเทพ และกองทัพผ่านเหล่ยุด มีการจัดรถทหารวิ่งนำขบวนอารักขาแกนนำหลักๆม้อบ กปปส. อย่าเถียงว่าไม่จริง เพราะหน้ากาก หน้าฉากของอีน้องถูกเปิดหมดแล้ว ประยุทธ์ไม่ได้ทะเยอทะยานมากเท่าเมียอคืออีน้องนั่นแหละตัวอยู่เบื้องหลังการพังทลายของทุกภาคส่วน อย่าเถียงว่าไม่จริง !! แชร์จากพวกคนในจุฬาเขามานะครับ เขาอยากให้แชร์ต่อกันให้เยอะๆๆๆๆ
เรามีปริมาณสำรองทรัพยากรแร่ที่มี มูลค่ามากถึง 23,913 ล้านล้านบาท ถ้าจะนำมาหารแบ่งให้คนไทยทุกๆคนก็เท่ากับว่าคนไทยแต่ละคนถือครองทรัพย์สิน อยู่คนละ 400 ล้านบาท
Vikij Phenphak with Shittichok Chok and 2 others
น่า จะเป็นครั้งแรกที่ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณทรัพยากรแร่บนผืนแผ่นดินไทยได้ถูก เปิดเผยให้ชาวบ้านธรรมดาๆได้รับรู้ว่าเรามีปริมาณสำรองทรัพยากรแร่ที่มี มูลค่ามากถึง 23,913 ล้านล้านบาท ถ้าจะนำมาหารแบ่งให้คนไทยทุกๆคนก็เท่ากับว่าคนไทยแต่ละคนถือครองทรัพย์สิน อยู่คนละ 400 ล้านบาท นี่ขนาดยังไม่ได้รวมทรัพยากรแร่ที่อยู่ในทะเลและทรัพยากร ปิโตรเลียมที่ปัจจุบันเราผลิตได้ประมาณ 8 แสนบาร์เรลต่อวันอีกต่างหาก
http://www.dailynews.co.th/politics/339482
ใครรู้เข้าคงอิจฉาตายชัก
ที่กล่าวมาคือทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป แต่ที่ใช้แล้วไม่หมดคือผืนแผ่นดินที่เราอยู่อาศัยพร้อมทั้งให้พืชพันธุ์ ธัญญาหารอันอุดมสมบูรณ์แก่เรารอบแล้วรอบเล่าอย่างไม่รู้จบสิ้น เราผลิตอาหารได้มากจนต้องขายส่งออกไปเลี้ยงพลเมืองโลก
ป่าฝนเขตร้อนสร้างความหลากหลายทางชีวภาพที่มูลค่ามหาศาลทั้งทางด้านการเกษตรและสุขภาพอันไม่อาจประเมินได้ให้แก่ประเทศชาติของเรา
เรามีอ่าวไทยที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์น้ำนาๆชนิดจนสามารถสร้างให้ประเทศของเราเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ของโลก
เรามีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมและโบราณคดีกระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ
เรามีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสวยสดงดงามทั้งบนบกและในทะเลชนิดที่จารนัยไม่หวาดไหว
เรื่องอาหารการกินเราก็ไม่แพ้ใครในโลก
เฉพาะเรื่องกินเรื่องเที่ยวก็สามารถสร้างรายได้ถึง 1 ใน 5 ของรายได้ประชาชาติเข้าไปแล้ว
นี่ยังไม่นับรวมการส่งออกด้านวัฒนธรรมเช่นร้านอาหาร บริการนวดแผนไทย กีฬามวยไทยที่กำลังเฟื่องฟูนำรายได้เข้าประเทศอีกปีละไม่น้อย
เท่าที่ไล่เรียงมาก็รวยจนปวดหัวแล้ว แถมที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศเรายังเป็นศูนย์กลางของพลเมือง ครึ่งโลก ผืนแผ่นดินเราติดสองมหาสมุทร จะเดินทางไปมาค้าขายทิศทางใดก็สะดวกทั้งนั้น
แบบนี้ไม่เป็นประเทศที่มั่งคั่งแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก?
ผมเองก็แปลกใจว่า ในเมื่อเรามี "ทุน" อยู่มหาศาลอย่างนี้แต่ผู้บริหารประเทศทุกยุคทุกสมัยแม้ในปัจจุบัน กลับยังร้องโหยหวนเพรียกหานักลงทุนต่างชาติอยู่นั่นแหละ มันไม่มีสติปัญญาพาคนในชาติทำมาหากินหรืออย่างไรกัน(วะ)
เรียกเขามาลงทุนหรือมากอบโกย?
เพราะยิ่งออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนมากขึ้นเท่าไหร่ คนไทยก็หนี้สูงท่วมหัวมากขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่ควรทำในวันนี้คือเราต้องสร้างคนของเราในทุกระดับให้รู้จักใช้และบริหารจัดการทรัพยากรที่เรามีอยู่อย่างมั่งคั่งให้ "ยั่งยืน"
ไม่ใช่รนลานรีบเลหลังขายทรัพยากรของชาติในราคาถูก และปล่อยให้ทุนนิยมกลืนกินวัฒนธรรมอันดีงามจนหมดสิ้นอย่างที่กำลังทำกันอยู่ ในเวลานี้
แล้วยังเสือกทะลึ่งอวดตัวว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อคนในชาติ......ถุ๊ยส์!
Friday, October 2, 2015
เอาผิดกับผู้ก่อรัฐประหาร ก้าวสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในบูร์กินาฟาโซ
เอาผิดกับผู้ก่อรัฐประหาร ก้าวสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในบูร์กินาฟาโซ
วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23:05:00 น.
Credit: Please visit http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1443800572
| AFP PHOTO / AHMED OUOBA | โดย อดิเทพ พันธ์ทอง "การก่อรัฐประหารเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด" นาย พลกิลแบต์ เดียนเดร์ ผู้นำกองกำลังกบฏที่จับตัวสองผู้นำสูงสุดของรัฐบาลเฉพาะกาลของบูร์กินาฟาโซ เป็นตัวประกันกล่าวยอมรับ หลังยอมคืนอำนาจให้กับรัฐบาลพลเรือน ทั้งๆ ที่เพิ่งประกาศยึดอำนาจได้เพียงสัปดาห์เดียว และเตรียมถูกดำเนินคดีหลังการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลว การ เปลี่ยนแปลงจากจุดสูงสุดสู่จุดต่ำสุดของนายพลเดียนเดร์เกิดขึ้นในระยะเวลา ที่สั้นมาก จุดสำคัญคือเขาไม่ได้มีมวลมหาประชาชนชาวบูร์กินาฟาโซที่เชื่อว่านายทหารคือ ชนชั้นพิเศษที่โกงกินไม่เป็นคอยหนุนหลัง และเขาไม่ได้เป็นผู้ที่ควบคุมกองทัพทั้งหมดของบูร์กินาฟาโซอย่างเป็นเอกภาพ ทำให้การยึดอำนาจของเขาด้วยการอาศัยกองกำลังพิทักษ์ประธานาธิบดี (Presidential Security Regiment, RSP) ถูกท้าทายจากทางกองทัพ นอกจากนี้หลายประเทศในภูมิภาคยังรวมตัวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันร่วมกดดันให้ เขาต้องลงจากตำแหน่ง พัฒนาการ ที่น่าติดตามหลังการยอมถอยของผู้นำกบฏคือ การที่รัฐบาลพลเรือนสั่งอายัดทรัพย์สินของนายพลเดียนเดร์และพวก พร้อมระบุต้องนำตัวผู้ก่อการขึ้นพิจารณาโทษตามกระบวนการยุติธรรม แม้ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาจากวงเจรจาเพื่อยุติเหตุวุ่นวายทางการเมืองครั้ง นี้เสนอให้นิรโทษกรรมผู้พยายามก่อรัฐประหารก็ตาม ซึ่งหากทำได้จริงจะแสดงให้เห็นว่ากฎหมายป้องกันการใช้กำลังเพื่อเปลี่ยนแปลง การปกครองในบูร์กินาฟาโซมีสถานะเป็นกฎหมายที่สามารถบังคับใช้ได้จริงๆ ไม่เหมือนบางประเทศ ที่นักกฎหมายช่วยกันตีความเข้าข้างการใช้กำลังยึดอำนาจประชาชนว่าเป็นสิ่ง ที่ชอบธรรม การออกกฎหมายยกเว้นความผิดให้กับตัวเองมีความสมบูรณ์ โดยไม่ต้องผ่านการเห็นชอบของประชาชน หลัง จากนี้ ผู้นำทหารในบูร์กินาฟาโซคงต้องคิดหนักขึ้น หากหวังจะใช้อำนาจเถื่อนเข้ายึดอำนาจของรัฐบาลพลเรือน เพราะหากตัวเองสิ้นอำนาจอาจต้องเผชิญกับการดำเนินคดีเหมือนอย่างนายพลเดีย นเดร์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับชาวบูร์กินาฟาโซ ที่มีหลักประกันว่าผู้ที่ไม่เคารพกติกาจะต้องได้รับการลงโทษ ทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่อาจถูกล้มล้างได้ง่ายๆ โดยอาศัยการตัดสินใจของคนไม่กี่คน ใน ทางกลับกัน ประเทศในอีกซีกโลกหนึ่งกลับยึดถือการรัฐประหารว่าเป็นส่วนหนึ่งของจารีต ประเพณีการปกครองที่ไปด้วยกันได้กับระบอบประชาธิปไตย และพยายามสร้างคำจำกัดความของคำว่า "ประชาธิปไตย" ขึ้นมาใหม่ในแบบฉบับของตนเอง (ไม่ต่างกับการหลอกชาวบ้านของคนใช้รถในประเทศนี้ ที่นิยมติดสติ๊กเกอร์บอกว่า "รถคนนี้สีขาว" ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ท่นโท่ว่าเป็นรถสีดำ) อีก ความพยายามหนึ่งที่น่าสนใจของคนที่รังเกียจประชาธิปไตยในประเทศนี้ คือการพยายามบอกว่า "ประชาธิปไตย" เป็นแค่รูปแบบการปกครองรูปแบบหนึ่ง มิได้มีคุณค่าความดีงามใดๆ สูงส่งไปกว่าระบอบอื่นๆ รวมไปถึงระบอบเผด็จการ บางรายอ้างระบบคุณธรรมขึ้นมานำหน้าระบอบการปกครอง พร้อมชี้ว่า การปกครองที่ดีอยู่ที่ "ความดีของผู้ใช้อำนาจปกครอง" โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าการปกครองของบุคคลดังกล่าวจะใช้ระบอบการปกครองใน รูปแบบใด คน ที่จะพูดอย่างนี้ได้ต้องเป็นคนที่ไม่สนใจใยดีว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับตนเองจะ ถูกปฏิบัติอย่างไร มองว่าเสรีภาพเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่คิดว่าคนทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ขอแค่ให้ผู้ปกครองเป็น "คนดี" ก็พอ ด้วยคุณสมบัติข้อเดียวนี้ คนดี (ซึ่งไม่รู้ว่ามีคำจำกัดความที่แน่ชัดอย่างไร) จึงมีสิทธิพิเศษเหนือผู้อื่น มีความชอบธรรมที่จะขึ้นปกครองคนทั้งมวลได้ โดยไม่ต้องสนใจว่าคนส่วนใหญ่จะให้การยอมรับหรือไม่ และสามารถออกคำสั่งริดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นได้ตามใจชอบ หากบุคคลดังกล่าวยังถูกเชิดชูว่าเป็นคนดี โดยกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลและสถานะทางสังคมที่ได้เปรียบคนส่วนใหญ่ของประเทศ ดัง นั้น ตราบใดที่ประเทศดังกล่าวยังคงเห็นค่าของคนไม่เท่ากัน ยังยอมรับระบบคุณธรรมจอมปลอมที่ตรวจสอบไม่ได้ และคิดว่าการกักขังคนที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเองเป็นเรื่องปกติ โอกาสที่จะได้เห็นระบอบประชาธิปไตยลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในประเทศแบบนี้คง เป็นไปได้ยาก แม้มีโอกาสได้ผุดได้เกิดอีกครั้งก็อาจถูกพวกที่อ้างระบบคุณธรรมโค่นล้มได้ ง่ายๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเหมือนอย่างบูร์กินาฟาโซ |
ร่างจดหมายที่สามารถส่งถึงผู้นำประเทศต่าง ๆ เพื่อให้เขาช่วยบอยค็อตต์รัฐบาลเผด็จการทหารไทยอย่างเด็ดขาด
มา...มดแดงทั้งหลาย มาช่วยกันกัดต่อ...
(2 ตุลาคม 2558)
ร่างจดหมายที่สามารถส่งถึงผู้นำประเทศต่าง ๆ เพื่อให้เขาช่วยบอยค็อตต์รัฐบาลเผด็จการทหารไทยอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เผด็จการคายอำนาจให้ประชาชนโดยด่วนและอย่างเป็นผลจริงจัง...ก่อนจะเกิดสงครามกลางเมืองที่จะนำความเสียหายแก่ทั้งประเทศไทยและสากล
Your Address (ที่อยู่ของท่าน):
Date (วันเดือนปี):
Name & Address of the leader/officer (ชื่อและที่อยู่ของผู้รับ)
Dear President/Prime Minister/Chancellor XXXXX:
I am a Thai citizen living in (city), (country). I would like to humbly and hopefully beg you to urgently help Thai citizens fight against the dictatorial regime now under the oppressive rule of the army junta.
To our deep disappointment, the Thai army junta led by General Prayuth Chan-O-Cha has managed to be accepted and present at the recent general assembly at the United Nations and given several opportunities to convince world leaders with lies that the regime, which has toppled an elected government, suppressed dissidents with army tactics and forces, violated all forms of human rights, and attempted to stay in power indefinitely, needs additional time to reform the necessary systems before resuming elections in 2017 (pushed further from its original road map). In short, it is evident that this oppressive and dictatorial regime has no intention to democratize Thailand and is ready to use violent forces to suppress all dissidents.
You can help us greatly by seriously pressuring the army junta to return Thailand to a more democratic path as soon as possible and stop violating the citizens' freedom and universal human rights completely. Please consider applying the most powerful measure such as totally boycotting Thailand in all aspects until a general election is carried out.
We, the people of Thailand, are becoming desperate as the junta is relentlessly using all the tools it has to suppress and harass all dissenting citizens. Unless you help to push Thailand toward a peaceful transition democratically, we fear that Thailand may slip into a full-blown civil war that would tragically affect Thailand and greatly impacted the international community.
Thank you for your kind considerations and actions.
Sincerely,
Your name and contact detail (ชื่อและรายละเอียดการติดต่อของท่าน)
ปัญหาของการใช้อำนาจตุลาการ เข้าไปชี้ขาดตัดสินข้อพิพาทต่างๆในสังคม
ปัญหาของการใช้อำนาจตุลาการ เข้าไปชี้ขาดตัดสินข้อพิพาทต่างๆในสังคม
๑. ประทศไทย นับแต่ประกาศ และ บังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพ.ศ.๒๕๔๐ เป็นต้นมา นับเป็นการเปิดศักราชใหม่ ของ "การถอยหลังเข้าคลองครั้ง มโหรฬาร" โดยอาศัยการนำของใหม่ คือ "โครงร่างรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution)" ก็อปปี้มาใช้โดยตรงโดยไม่ดัดแปลง หรือ ประยุกต์นำมาใช้ ให้เข้ายุคสมัยของประเทศไทย เป็นการถอยหลังครั้งใหญ่ของ "ประชาธิปไตยไทย" กลับไปในวันเวลากว่า ๒๐๐๐ ปีที่ผ่านมาของโลก
๒. ทั้งนี้โดยอาศัย การโหมโฆษณาของใหม่ ที่ไม่เคยเกิดมีขึ้น ในประวัติศาสตร์การเมือง และ การปกครองของไทย {สร้างศาลปกครอง, ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ ให้เกิดเป็นสถาบันของชาติ (National Institutions)} โดยไม่มีการประกาศโดยแจ้งชัดในเหตุผล ที่ต้องนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ และ เมื่อนำมาใช้แล้ว ก็ย่อมเกิดปัญหาแก่ประชาชน และสังคมไทย แต่บรรดาผู้ร่างกฏหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ไม่เคยแสดงออก ซึ่งความรับผิดชอบต่อ ประชาชน และสังคมไทยแต่อย่างใด
๓. รวมทั้ง ไม่เคยเสนอทางออกจาก กับดักทางรัฐธรรมนูญ ที่สร้างขึ้น โดยอาศัยปากของคนชั้นนำในสังคมไทย เป็นคนออกมาเป็นแนวหน้า ป่าวร้องให้ชาวบ้าน ผู้อ่อนด้อยทางการศึกษา เพราะ มีความรู้ไม่พอเพียง ให้เห็นด้วยกับ การร่างรัฐธรรมนูญ ในรูปลักษณ์เช่นนี้ ออกมาบังคับใช้
๔. การออกมาเขียน ให้ได้รับรู้กันโดยทั่วไปเช่นนี้ มิใช่เป็น สร้างข้อกล่าวหาในทางร้ายให้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ แต่อย่างใด ทั้งนี้ผม ได้นำเสนอเค้าโครงของ ร่างรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution) ให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ได้ทำการศึกษาโดยเปรียบเทียบ กับ เค้าโครงของร่างรัฐธรรมนูญไทยฉบับดังกล่าวแล้ว ปรากฏ เป็นเค้าโครงร่างของ รัฐรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution) อยู่ในชุมชนแห่งเสรีภาพ (the Land of Liberty ที่ท่านผู้อ่านทุกๆท่าน อาจไปดาวน์โหลดรูปภาพ ที่ว่านั้น มาศึกษาโดยเปรียบเทียบได้ โดยเสรี
๕. โดยที่ผม จะนำคำอรรถาอธิบายในส่วนต่างๆของ เค้าโครงของ ร่างรัฐธรรมนูญโรมัน (Roman Constitution) ที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็น ผู้ร่างนำขึ้นใช้ โดยไม่ให้คำอรรถาอธิบายใดๆ มาอธิบาย และ ชี้ให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ได้รับทราบ เป็นตอนๆในชุมชนแห่งเสรีภาพ (the Land of Liberty ต่อไป
๖. การนำเอาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ มาประกาศ และ บังคับใช้เป็นกฏหมายที่สำคัญ (ตราสารที่สำคัญ) ของชาติเช่นนี้ ย่อมไม่ต่างไปจากที่นายพลตีโต้ แห่งยูโกสลาเวีย ไปแก้ไข เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งชาติของประเทศยูโกสลาเวีย ในปีค.ศ. 1963 และ
๗. มาแก้ไข เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งชาติของ ประเทศยูโกสลาเวีย ในหนสุดท้ายในปีค.ศ. 1974 จนนำไปสู่ การล่มสลายของประเทศยูโกสลาเวีย ประเทศถูกแบ่งแยก เป็นประเทศเกิดใหม่ เพิ่มขึ้นอีก ๔ – ๕ ประเทศ (สโลวาเนีย, บอสเนีย เฮอร์เซโกวีน่า, รัฐเซริบส์ใหม่, โคโซโว่ รวมทั้ง มอนเตเนโกร และมาเซโดเนีย)
๘. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ นอกจากจะสร้างปัญหาให้กับ พี่น้องประชาชนคนไทย ทั้งประเทศ ผู้อ่อนด้อยทางปัญญา และ ความรู้ในเชิงวิชาการดังที่กล่าวมาแล้ว
๙. ยังเป็นการสร้างปัญหาแก่ การใช้อำนาจในทาง ที่อำนวยความยุติธรรม และใช้อำนาจในทางฝ่ายตุลาการ (the exercising of Judiciary) อย่างเกินกว่า ขอบอำนาจ (the Usurpation of Powers) ที่ควรมี ควรจะเป็น อีกทั้งยังเป็น การฝ่าฝืนต่อครรลอง อันชอบธรรมของ กฏเกณฑ์ของโลก (World Summit Outcome, 2005) และ
๑๐. ยังมีการใช้อำนาจ จากมาตรการ ที่วางไว้ตามรัฐธรรมนูญ "แบบ ตาบอด คลำช้าง" กลายเป็น การหยิบยื่น มาตรการทางอำนวยความยุติธรรม ในรูปแบบ ๒ มาตรฐาน โดย ผู้ที่ใช้อำนาจอำนวยความยุติธรรม ทั้งระบบ ไม่อาจรับรู้ หรือ มีความรู้สึกว่า การใช้อำนาจ เช่นว่านั้น ฝ่าฝืนต่อครรลองความชอบธรรมของโลก...................... (มีต่อ)
Subscribe to:
Comments (Atom)