โลกนี้คือละคร...
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครหนีพ้น
จะไพร่พลหรือเจ้าเราย่อมเห็น
เศรษฐ๊รวยล้ำฟ้าข้าลำเค็ญ
ไม่อยู่เป็นถึงวันวายตายทุกที
หลงก่อกรรมทำชั่วเพราะกลัวเสีย
สร้างภาพเพลียเมียผัวกลัวใช้หนี้
ฆ่าหมู่คนวนฆ่าไม่ปราณี
หวังภักดีไม่ได้ก็ให้กลัว
จะให้กลัวอย่างไรไม่มีเหตุ
จะให้กราบก็ทุเรศใจคนทั่ว
จะให้รักแต่ผลักไสใส่บาปนัว
จะทำชั่วเชิญบุญมีคุณฤา
จะต้องตายภายรุ่งอย่ายุ่งคิด
เมื่อชีวิตสั้นลงปลงอย่าหื่อ
ทำดีไถ่บาปเก่าให้เขาลือ
ว่ายังคือคนดีที่เคยเลว
============================
Saturday, July 7, 2012
เพียงแค่แก๊งค์เหี้ย... หันไปมองตัวอย่างดี ๆ บ้าง...
ผมเดินทางถึงที่หมายและรอเช็คอินเข้าที่พักที่เมืองแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย ช่วงนี้มีการแข่งขันเทนนิสหญิงวิมเบิลดันพอดี สรุปผลว่า เซเรน่า วิลเลียมส์ชนะเลิศ ชัยชนะของเธอ หากเป็นเมื่อสี่ห้าปีก่อนหรือแม้แต่เกือบสิบปีก่อนคงไม่มีอะไรพิเศษ เพราะเธอแข็งแรงยิ่งกว่าผู้ชายจำนวนมาก เสริฟแรง ตีแบบกล้าเสียงและมีเชิง เร็วทั้ง ๆ ที่ตัวใหญ่มาก ฯลฯ แต่วันนี้ เธออยู่ในวัยสามสิบ เพิ่งกลับมาจากจุดต่ำสุดของชีวิตคือ เจ็บป่วยเกือบเอาตัวไม่รอด คือหวังแค่ได้มีชีวิตยืนยาวต่อไปแค่นั้น แถมต้องผ่าตัดข้อเท้าทั้งสองข้าง การได้กลับมาแข่งแกรนด์แสลมระดับโลก จึงเป็นสิ่งที่เหมือนจะเหลือเชื่อ ไม่ต้องพูดถึงการเข้ารอบลึก หรือการเป็นแชมเปี้ยน!!!
ผมดูการตีของเธอปลายเซ็ตแรก ที่เธอชนะ 6:1 เป็นเหมือนเธอได้เกิดใหม่ นึกถึงเวลาผมได้ลงแข่งสนามหญ้าสวย ๆ หลังจากซ้อมมานานหรือรอมานานโดยไม่มีโอกาส ความสุขจากการได้สัมผัสหญ้าและการได้เคล้าคลึงและเตะลูกบอลตามใจปรารถนา เซเรน่าในเซ็ตแรกนั้น เสริฟคมและตีได้ดีเหมือนกับที่เคยเห็นเธอในวัยกำลังรุ่ง แต่คราวนี้ ผมเห็นความนิ่ง ความตั้งใจ และการควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างมีสติและมั่นใจ แม้ว่าในเซ็ตที่สอง เธอจะถูกคู่ต่อสู้ที่พยายามและทำได้ดีมากเฉือนเอาชนะไป 7 ต่อ 5 เกม เธอกลับมาได้และเอาชนะอย่างขาดลอยอีกครั้งในเซ็ตที่สาม เมื่อชนะแล้ว เธอดีใจเหมือนเด็กน้อย ตัวโตเหมือนยักษ์แต่กระโดดโลดเต้นด้วยความสุข ฉลองกันมันอย่างไม่ต้องยั้ง ไม่ต้องแคร์ใครมากมาย เธอปีนขึ้นไปหาพ่อแม่ พี่สาว และทีมงานที่คอยช่วยเหลือเธอ ท่ามกลางเสียงปรบมือ และความสุขของคนดู ที่ได้เห็นการกลับมาอันยิ่งใหญ่ของเธอ หลังจากผ่านช่วงวิกฤติของชีวิตเธอมาได้ ความสวยงามนี้ ไม่ได้เกิดง่าย ๆ หรือด้วยการเข้าข้างหรือช่วยเหลือพิเศษจากคณะอัมไพร์ที่ช่วยกันตัดสิน เป็นเกมที่เธอต้องสู้แบบลูกต่อลูก ต้องออกแรง ต้องปาดเหงื่อ ฯลฯ แต่ทุกอย่างอยู่บนกติกาที่เป็นธรรม โปร่งใสเกิดขึ้นต่อหน้าคนนับหมื่น เมื่อมีข้อสงสัย ก็มีการใช้เทคโนโลยีตัดสินแบบไม่มีการโกงหรือใช้อคติ ไม่มีใครแกล้งโห่ฮาหรือทำตัวป่านเถื่อน ไปฟ้องร้องหรือฝืนกติกาใด ๆ ภาพอันสวยงามนี้ แม้จะเป็นภาพจากสนามเทนนิสแห่งหนึ่งแค่นั้น แต่มันสะท้อนสภาพสังคมที่สร้างสรรค์แบบตะวันตก สังคมที่ให้กำลังใจนักต่อสู้ที่ชนะด้วยกติกามารยาท สังคมที่ส่งเสริมคนใช้ศักยภาพและความสามารถใต้กติกาที่เป็นธรรม เพื่อสร้างความสุขและประโยชน์แก่คนหมู่มาก สังคมที่รู้แพ้ รู้ชนะ ยกย่องคนดี
เมื่อกลับมานึกถึงสังคมไทย ทำไมภาพมันจึงแตกต่างกันมากมายนัก เหมือนสวรรค์กับนรกเลยก็ไม่ปาน
ผมนึกถึงการซักถามพยานของผู้ร้องทั้งสี่ห้าตัวเมื่อวาน มันช่างเต็มไปด้วยอคติ
เป็นนิสัยที่ชอบหาเรื่องเอาเปรียบและตอแหลกับตัวอักษร
การพยายามใช้ความหยาบคาย เหยียบย่ำฝ่ายตรงข้ามให้มีภาพไม่น่าเชื่อถือ
เพื่อยัดเยียดความเสียเปรียบให้กับคนที่ออธิบายหลักกฎหมายและหลักประชาธิปไตย
แล้วผมก็นึกถึงสิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย
ตั้งแต่การตั้งแก็งค์กันใส่ร้ายป้ายสี ดร. ทักษิณ อย่างโหดเหี้ยมด้วยเล่ห์ร้าย
การลอบฆ่าคนที่ทำงานหนักยิ่งกว่าควาย เพื่อให้เจ้าและประชาชนพอใจ
การเอากำลังทหารยึดอำนาจประชาชน แล้วหาทางเขียนกฎกติกาต่าง ๆ อย่างแยบยล เพื่อทำลายการเติบโตของประชาธิปไตย
การกล่าวหาและยัดคดีความให้ฝ่ายตรงข้าม
การใส่ร้ายป้ายสีอย่างต่อเนื่องบนสื่อทีตัวเองสั่งการได้
แล้วก็นำไปสู่การดันเด็กนรกอย่างอภิสิทธฺิ์ขึ้นเป็นนายกฯ ด้วยการใช้กำลังบังคับนักการเมืองให้หักหลังประชาชน
จนนำไปสู่การฆ่าประชาชนจำนวนมากมาย
แล้วคนสั่งยังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล มาสร้างวาทกรรมเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นไปวัน ๆ
แทนที่จะแย่งกันทำดี ส่งเสริมคนที่ทำดี ยกย่องกัน เพื่อให้คนทุกคนทำดี
จนถึงวันนี้ ความพยายามดึงประเทศถอยหลังและฆ่าฟันประชาชนที่แสวงหาสิ่งที่ดีกว่าให้กับบ้ามือง ก็ยังไม่หยุด
ตุลาการวิบัติ เป็นสิ่งชี่วร้ายที่สะท้อนระบอบที่ระยำยิ่งกว่าเสียอีก นั่นคือระบอบที่สานพลังกันอย่างมีเลศนัยล้ำลึก
และเมื่อคนจับได้อ่านทัน มันก็ผันมาเป็นเกมดาด ๆ ที่อาศัยคนโง่จริง ๆ และเสื่อมทางความคิดจริง ๆ เท่านั้นจึงจะกล้าทำได้
ผมไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่าแค่เล่าเรื่องเล็กน้อยให้ฟัง
หากจะให้สรุป ก็คงอยากตะโกนถามเหี้ยถามไพร่หรือไม่ไพร่ทั้งหลายว่าว่า
ทำไมบ้านอื่นเมืองอื่น เขาไม่มีเรื่องไร้สาระ โกหก ตอแหล ทำลายตัวเองและกันเอง เหมือนบ้านเรา?
ทำไมพวกเขาเหล่านั้น ไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีธรรม จริงใจ
และครองอำนาจเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามบ้าง
และหากจะให้บอกความปรารถนาสักข้อหนึ่ง ก็อยากบอกว่า
"จงรีบล้มระบอบเหี้ยกันเถอะ"
เพราะเราต้องการประชาธิปไตยเต็มใบเท่านั้น
ควรมีกษัตริย์ หรือ ไม่ควรมีกษัตริย์: That's THE question!
ควรมีกษัตริย์ หรือ ไม่ควรมีกษัตริย์: That's THE question!
รายการชวนคิดชวนคุย กับมหาวิทยาลัยประชาชน http://tprud.org
อาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2555
------------------------------------------------------
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
รายการชวนคิดชวนคุย กับมหาวิทยาลัยประชาชน http://tprud.org
อาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2555
------------------------------------------------------
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
- กษัตริย์คือคนธรรมดา กิน ขี้ ปี้ นอน เกิด แก่ เจ็บ และตาย มีกิเลส ตัณหา ดี เลว เหมือนมนุษย์ทั่วไป หากกษัตริย์คิดจะทำชั่วและเลว กลับสามารถทำได้ง่ายกว่า และทำเลวได้มหันต์
- กษัตริย์สืบทอดกันมาโดยสายเลือด ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ได้รับการเลือกตั้ง หรือสอบถามความยินยอมของประชาชน
- กษัตริย์มีบุญมากกว่าใครในชาติปางก่อน เป็นเรื่องพิสูจน์ไม่ได้
- การจงรักภักดี เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ แม้่ว่าจะสามารถสร้างภาพ ล้างสมอง หรือสร้างสภาวะแวดล้อมให้หลงไป เคลิ้มไปเหมือนดูหนังเรื่องซึ้ง ๆ แต่เมื่อมองความจริง เหตุผลและความจริง คือสิ่งที่เราต้องเผชิญ
- ราชวงศ์ทั่วโลก มีแต่หดหายไป ไม่เคยงอกเงย เพราะเหตุใด?
- กษัตริย์สามารถสร้างกลไก เครือข่ายเพื่อเอามารับใช้ แต่กษัตริย์ก็สามารถถูกใช้ได้ด้วยเช่นกัน
- หลายประเทศในโลกไม่มีกษัตริย์ก็อยู่ได้
- แผ่นดินบนโลกนี้ ย่อมเป็นของพลเมืองของชาติต่าง ๆ ในขอบเขตของตน ไม่ใช่เป็นของบุคคลคนเดียว หรือตระกูลเดียว
- การเป็นเจ้าชีวิต เจ้าเหนือหัว เป็นความคิดที่ล้าหลังไม่เหมาะกับกาลสมัย
- กษัตริย์ไทย เคยถูกปลดไปแล้ว แต่สามารถยึดอำนาจและสร้างกลไก ทำให้คืนสู่อำนาจได้อีก ดังนั้น หากจะมีการยึดอำนาจคืน ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องใหม่
- สถาบันกษัตริย์ที่สมสู่กันในวงตระกูลใกล้ชิด มักมีปัญหาทางสุขภาพและสติปัญญา
- คนตระกูลเดียว หรือคนเดียวที่บังเอิญถูกอุปโลกว่าเป็นกษัตริย์ จะเก่งกว่าคนทั่วไปเพราะบุญบารมีไม่ได้ ต้องอยู่ที่การฝึกฝน เรียนรู้ และดังนั้น การจะยกกษัตริย์ให้ปกครองบ้านเมืองเหมือนในอดีต จึงไม่่สมควรอีกต่อไปแล้ว
มีกษัตริย์ไว้ ดีอย่างไร?
- เป็นศูนย์รวมจิตใจ?
- เอาไว้แก้ปัญหาเวลาทุกฝ่ายไม่รู้จะหันหน้าพึ่งใคร?
- ช่วยพัฒนาประเทศ?
- เหมือนพ่อแม่ ประมุข ผู้อาวุโส ร่มโพธิ์ ร่มไทร?
ทำไมไม่ควรมีกษัตริย์
- ผิดหลักเสมอภาค เป็นรากเหง้าของสังคมชนชั้น เผด็จการ ศักดินานิยม ระบบอุปถัมน์และเส้นสาย เจ้าพ่อเจ้าแม่ และการเอารัดเอาเปรียบกันในทุกทาง
- เสรีภาพภายใต้กฎหมายของประชาชน ถูกจำกัดเมื่อเกี่ยวเนื่องด้วยกษัตริยื เช่น กรณีมาตรา 112 ในไทย
- พฤติกรรมของกษัตริย์และราชวงศ์ มักทำให้ความชอบธรรมและความเหมาะสมในการปกครองประเทศในปัจจุบันลดลง เช่น การเอาแต่ใจตัวเอง การงมงาย เป็นตัวอย่างไม่ดี ทำร้ายคนรอบข้าง ผิดลูกผิดเมีย ตอแหลหลอกลวง และเป็นพิษภัยกับบ้านเมือง
- ความสิ้นเปลืองงบประมาณของแผ่นดิน
- การกระจุกของทรัพยากร อันนำไปสู่การขัดต่อระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและเอื้ออำนาจให้ประชาชนส่วนใหญ่
- กลุ่มผลประโยชน์ฉกฉวยและแอบใช้อำนาจกษัตริย์ กลายเป็นระบอบเผด็จการที่ทำร้ายประชาชนส่วนใหญ่ แล้วเบียดบังเอาความอยู่ดีกินดีไปสู่คนกลุ่มน้อยที่ใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์
- เป็นรากเหง้าของความงมงาย ล้าหลัง โบราณ ขัดขวางการก้าวไปช้างหน้าบนหลักเหตุผลและวิทยาศาสตร์
- กษัตริย์หลายชาติ มักโหดร้าย บ้าเลือด ใจดำ ทำให้เกิดการใช้อำนาจที่เป็นภัยต่อชนที่แสวงหาเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
- กษัตริย์ที่สั่งฆ่าประชาชนและเป็นคนอยู่เบื้องหลังการฆ่าฟัน ยกทหารและอำมาตย์เป็นใหญ่เหนือประชาชน งุบงิบเอาทรัพย์สินของประเทศไปแบ่งกันในกลุ่มคนไม่กี่คน ย่อมไม่สมควรอยู่ต่อไป
กษัตริย์จะอยู่แบบไหนในโลกปัจจุบันนี้
- แทบจะไม่ได้เลย เพราะหาเหตุผลสนับสนุนไม่ได้
- หากจะอยู่ได้ ต้องอาศัยที่ยังมีบารมี ช่วยและร่วมมือกับประชาชน ยอมอยู่ใตัรัฐธรรมนูญ รักษาสถานภาพประมุข ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยยืนข้างประชาชน แล้วตัดสัมพันธ์กับกลุ่มผลประโยชน์ที่ทรยศหรือยืนตรงข้ามประชาชนและหลักประชาธิปไตยเสียให้สิ้น
หากกษัตริย์ไม่ยอมล่ะ?
- ประชาชนจะต้องสู้แบบทำลายไม้ค้ำยัน แล้วบีบให้กษัตริย์ลงจากอำนาจแบบสันติที่สุด อาจจะมีการต่อรอง สั่งสอน และให้ข้อคิดไปเรื่อย ๆ (สำหรับประเทศไทย ทักษิณอาจจะเป็นตัวเชื่อมได้)
- ประชาชนจะทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์ทั้งบนดินและใต้ดิน แล้วตีให้ตรงจุด เพื่อนำไปสู่การปรับที่หัวอย่างเด็ดขาด เปิดเผยความจริงอย่างเต็มสูบแล้วเร่งรัดให้มีการลงประชามติ เอาหัวออกแล้วค่อยปรับส่วนอื่น ๆ ให้เข้าที่ในที่สุด
- ลุกฮือ ยึดอำนาจแบบไม่ไว้หน้า โดยให้มีทัพที่ครบพร้อมของประชาชน มีแผนชัดเจนทั้งก่อนทำศึก ระหว่างศึก และหลังชนะศึกแล้ว
สรุปได้ว่า ระบอบกษัตริย์เป็นใหญ่ไม่เหมาะสมกับโลกปัจจุบัน หากไม่ปรับตัวและพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมเดิม ๆ อันเลวร้ายแต่ไม่พัฒนาสร้างสรรค์จริง ประชาชนก็จะเกิดอาการตาสว่างและความเกลียดชัง จนต้องลุกมากำจัดสถาบันกษัตริย์และระบอบกษัตราธิปไตยหรือราชาธิปไตย หรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ในที่สุด
Sunday, July 1, 2012
จับกระแสการเมือง เพื่อการเตรียมทัพด่วน
หากจับกระแสการเมืองหลังเลือกตั้งมาแล้วนั้น เราจะเห็นภาพต่าง ๆ ที่ซ้อนกันอยู่ และมีพัฒนาการไปในหลายแนว กับตัวละครหน้าเดิม ๆ แต่สลับหน้ากันออกมาหน้าฉากของโรงลิเกน้ำเน่าแห่งตอแหลแลนด์
สิ่งที่คนไทยต้องรู้จักทำ คือวิเคราะห์ภาพที่หลากหลายเหล่านี้ ว่ามีอะไรบ้าง แบ่งเป็นประเภทบุคคลใดบ้าง มีีที่มาที่ไปอย่างไร พฤติกรรมนั้น ๆ มีเป้าหมายใด แล้วพยายามตัดสินว่า ลับ ลวง พราง หรือไม่เพียงใด แล้วเอามาสานกันเป็นภาพรวมให้ได้ เพื่อเราจะได้เข้าใจว่า มีความพยายามของภาคีอำนาจเผด็จการ ที่อ้างการรักษาสถาบันกษัตริย์ แต่ที่จริงแล้ว เพียงแค่ต้องการปิดสันหลังที่เหวอะหวะ และปกป้องโอกาสในการฉกฉวยผลประโยชน์จากอำนาจเผด็จการที่พวกเขาร่วมกันปล้นมาจากประชาชน และได้ใช้สำหรับการกอบโกยอย่างตะกละ ในช่วงเวลาที่เบียดบังมาได้กว่าสามปีในระยะห้าปีกว่า ๆ หลังการรัฐประหารสี่เก้า
ในขณะที่ฝ่ายเผด็จการ ทำอะไรต่าง ๆ มากมาย ส่งตัวละครออกมาหลากหน้า เราไม่จำเป็นต้องงง หรือทดท้อ เพราะหากจะดูวัตถุประสงค์แล้ว พวกนี้ต้องการรักษาอำนาจกษัตริย์ไว้ เพื่อเอามาอ้างความชอบธรรมให้ตัวเองและคณะ และเพื่อหาทางกำจัดพรรคเพื่อไทย และสกัดประชาชน ไม่ให้เข้าไปใช้อำนาจอธิปไตยได้โดยสมบูรณ์
สิ่งที่คนไทยต้องรู้จักทำ คือวิเคราะห์ภาพที่หลากหลายเหล่านี้ ว่ามีอะไรบ้าง แบ่งเป็นประเภทบุคคลใดบ้าง มีีที่มาที่ไปอย่างไร พฤติกรรมนั้น ๆ มีเป้าหมายใด แล้วพยายามตัดสินว่า ลับ ลวง พราง หรือไม่เพียงใด แล้วเอามาสานกันเป็นภาพรวมให้ได้ เพื่อเราจะได้เข้าใจว่า มีความพยายามของภาคีอำนาจเผด็จการ ที่อ้างการรักษาสถาบันกษัตริย์ แต่ที่จริงแล้ว เพียงแค่ต้องการปิดสันหลังที่เหวอะหวะ และปกป้องโอกาสในการฉกฉวยผลประโยชน์จากอำนาจเผด็จการที่พวกเขาร่วมกันปล้นมาจากประชาชน และได้ใช้สำหรับการกอบโกยอย่างตะกละ ในช่วงเวลาที่เบียดบังมาได้กว่าสามปีในระยะห้าปีกว่า ๆ หลังการรัฐประหารสี่เก้า
ในขณะที่ฝ่ายเผด็จการ ทำอะไรต่าง ๆ มากมาย ส่งตัวละครออกมาหลากหน้า เราไม่จำเป็นต้องงง หรือทดท้อ เพราะหากจะดูวัตถุประสงค์แล้ว พวกนี้ต้องการรักษาอำนาจกษัตริย์ไว้ เพื่อเอามาอ้างความชอบธรรมให้ตัวเองและคณะ และเพื่อหาทางกำจัดพรรคเพื่อไทย และสกัดประชาชน ไม่ให้เข้าไปใช้อำนาจอธิปไตยได้โดยสมบูรณ์
Wednesday, June 20, 2012
พรรคประชาชนไทย
พรรคประชาชนไทย
ชื่อพรรค: พรรคประชาชนไทยตราประจำพรรค: ขอคิดก่อน
หัวหน้าพรรค: ประชาชน
เลขาธิการพรรค: ประชาชน
คณะกรรมการบริหารพรรค: ประชาชน
สโลแกนพรรค: พรรคของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง บนหลักการสร้างเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ และความมั่งคั่งอันถาวรให้แก่ประเทศไทย
นโยบายพรรค:
- สะสางปัญหาขัดแย้งทางการเมืองด้วยการจัดกระบวนการยุติธรรมพิเศษ ที่มีองค์กรเป็นกลางเข้ามามีส่วนร่วมสังเกตุการณ์ แนะนำ และกำกับ เพื่อให้ทุกฝ่ายพอใจ แล้วผลักดันทุกคดีของทุกฝ่าย โดยไม่มีข้อยกเว้นเข้าสู่ขบวนการยุติธรรม จากนั้น ให้มีการตัดสินคดีความ แล้วสร้างหลักเกณฑ์การอภัยโทษตามความเหมาะสม และจัดขบวนการเผยแพร่ความจริง เพื่อนำไปสู่การสรุปบทเรียนต่าง ๆ เพื่อเป็นนโยบายการจัดการประเทศต่อไป
- ยกเลิกองค์กรอิสระที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารทุกองค์กรทันที และปลดผู้ปฎิบัติงานออกมา ในฐานะผู้ร่วมก่อการกบถ แล้วนำเข้าสู่ขบวนการตามนโยบาย ข้อ 1
- จัดให้มีการศึกษาปัญหาเชิงโครงสร้างอำนาจอธิปไตย โดยนักวิชาการไทยและระดับโลก เพื่อสร้างโมเดลสำหรับการปฎิวัติประเทศไทย เพื่อให้มีการคานอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการที่ผูกโยงกับอำนาจของประชาชนทั้งหมด
- ลงสัตยาบันกับศาลอาญาระหว่างประเทศทันที ยกเลิกกฎหมายใด ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าสู่เงื่อนไขของการเข้ารับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ
- ขอประชามติของประชาชน เพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่่่ผ่านมาโดยด่วน เพื่อตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยรัฐธรรมนูญจะมีสาระต่าง ๆ ที่สะท้อนนโยบายทุกข้อต่อไปนี้
- จัดการให้กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญและการกำกับของรัฐสภาโดยสมบูรณ์ ทรงดำรงตำแหน่งเท่าที่รัฐสภากำหนด โดยไม่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจอธิปไตยหรือทางตรงหรือทางอ้อม
- ยกเลิกกฎหมายและกฎระเบียบใด ๆ อันเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วให้รัฐสภากำหนดขอบเขตใหม่
- ทรัพย์สินอันของพระมหากษัตริย์และส่วนอื่น ๆ อันเป็นของแผ่นดิน จะถูกยึดเป็นของแผ่นดิน แต่กษัตริย์และราชวงศ์จะได้รับส่วนแบ่งแต่สมฐานะ และรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายตามสมควรแต่ละปี
- บริหารงานเพื่อให้ทหาร ตำรวจ และระบบราชการ ต้องรับใช้ประชาชน และตัวแทนสูงสุดจะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และการเข้ารับตำแหน่งระดับสูงของข้าราชการระดับกระทรวงและระดับตัวแทนประเทศ จะต้องได้รับการตรวจสอบและอนุมัติจากตัวแทนของรัฐสภา
- ดำเนินการเพื่อประกันว่าทหารจะต้องถูกจัดระเบียบใหม่ โดยกองทัพจะมีศักดิ์ศรี ฐานะ และความเป็นอยู่ที่มีเกียรติ โดยไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงหรือทางอ้อมได้
- ทรัพยากรธรรมชาติและสมบัติของชาติ จะต้องถูกจัดสรรโดยโปร่งใส โดยหลักการให้ประโยชน์เป็นของประชาชน ไม่ถูกเอาไปใช้โดยกลุ่มคนใด ๆ หรือต่างชาติ
- ระดมผลิตบุคลากรเพื่อรองรับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเร่งด่วน เพื่อรองรับการจัดทรัพยากรธรรมชาติอันมหาศาลของชาติโดยเร็วที่สุด
- แก้กฎหมายทุกมาตรา ทุกระดับ ในประเทศไทย ที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน
- ปฎิวัติการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมอย่างจริงจังเป็นระบบ เพื่อให้ประเทศไทยมีอุดมการณ์ของชาติที่ชัดเจน โดยมีประชาชนที่มีอารยธรรมและคุณภาพตามอุดมคติที่จะได้มีการดำเนินการศึกษา วิจัยและระบุอย่างชัดเจน เพื่อให้พลเมืองไทยมีคุณภาพ คุณธรรม และศักยภาพที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสันติสุข วัฒนธรรม มาตรฐานชีวิต และวิถีชีวิตที่เจริญทัดเทียมหรือเหนือกว่าประเทศพัฒนาแล้วใด ๆ ในโลกนี้
- จะประกาศนโยบายให้ประเทศไทยเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศ เป็นมิตรกับทุกประเทศและจะไม่ก่อสงครามกับเพื่อนบ้าน
- ทำประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธที่แท้จริง และมุ่งส่งเสริมทุกศาสนาให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติและสร้างสรรค์ เป็นแบบอย่างให้กับชาวโลก
- ให้สิทธิทางวัฒนธรรมและสิทธิมนุษยชนพื้นฐานอย่างเต็มที่แก่พี่น้องมุสลิมภาคใต้ แต่จะต้องถือหลักนิติธรรมอย่างเที่ยงตรง
- จัดขบวนการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกระดับ โดยสร้างหรือสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างสร้างสรรค์ตามระบอบ ประชาธิปไตย
- สร้างประเทศไทยให้เป็นนิติรัฐโดยสมบูรณ์ การบังคับใช้กฎหมายทุกระดับ จะต้องมีการตรวจสอบเพื่อประสิทธิภาพและความโปร่งใส
- สานต่อนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนระดับกลางและล่าง
- ส่งเสริมสมรรถภาพในการแข่งขันทางธุรกิจระดับนานาชาติ
Friday, May 18, 2012
คดีจตุพร...ไม่ใช่เข็มขัดสั้น แต่เป็นสัญญาณสำคัญยิ่งสำหรับคนหลายคน
เชื่อว่าหลายคนรอวันสำคัญนี้อย่างสนใจหรือเข้าชั้นใจจดใจจ่อ
คือลุ้นว่า จตุพรจะโดนเชือดหรือไม่
เชื่อว่ามีคนคิดอยู่แล้ว ว่าคงจะโดน ด้วยเหตุผลหลายประการ
หนึ่ง ประวัติของศาลระยำเหล่านี้ มันไม่เคยอยู่กับร่องกับรอย หรือยึดหลักเหตุผลปกติเลย
สอง ศาลระยำนี้ มันเหี้ยมากกว่าดี
สาม การมีจตุพรไว้ในสภา มันเป็นอันตรายยิ่งต่ออำมาตย์ ทั้งตัวพ่อตัวแม่ โดยเฉพาะตัวแม่นั้น...
เกลียดจตุพรยิ่งกว่าเด็กไฮโซเกลียดคางคกหรือใส้เดือน
แถมพ่อบ้านปากจู่ ก็ไม่ใช่จะไม่มีความแค้นจตุพรอยู่
ดังนั้น จะให้ปล่อยผ่านง่าย ๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้
นี่อาจจะเป็นเหตุผลระดับตื้น ๆ ที่ใครก็คิดล่วงหน้้าได้
กรณีคดีจตุพร ที่ตัดสินออกมาแบบนี้ จึงไม่ใช่เรื่องเข็มขัดสั้น
ผมจะนำเสนอทฤษฎีตามใจฉันหน่อยนะครับ ออกแนวละครน้ำเน่านิด ๆ
ว่าทำไม จตุพรจึงต้องตาย (แฮ่ๆ คล้ายชื่อหนังที่โดนแบนเลย)
มันมีนัยสำคัญเชิงการเมืองอย่างไร
จตุพรถูกตัดสินแบบค้านสายตาชาวบ้านครั้งนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร?
นอกจากความอันตรายของจตุพรในฐานะตัวแทนคนเสื้อแดง และนักสู้ฝีปากกล้าในสภา
รวมถึงความอาฆาตเคียดแค้นของพ่อบ้านปากจู่และนางปากแดงแล้ว
ผมว่าคงจะมีหลายเหตุผลประกอบกันเป็นคำอธิบายดังนี้
ในขณะที่ประชาชนเข้มแข็งและแหลมคมมากจนน่ากลัว...
เขาดึงทักษิณไปเป็นเกราะกันชน หรือ buffer กันกระแทก
ใช้บารมีและทรัพย์สินของทักษิณเป็นเกราะกำบังและพิทักษ์อำนาจโบราณ
ซึ่งใครล่ะจะเถียงว่ามันไม่ได้ผล
เมื่อสิ่งนี้ได้ผล สิ่งที่ตามมาก็คือ ความแตกแยกระหว่างทักษิณกับขบวนการแดง
ยิ่งเห็นแผล (เช่นการเลือกตั้ง) เขายิ่งย้ำ
ดังนั้น สายสะพายจึงรีบออกมาแจกอย่างอุตลุต คดีความเสื้อแดงจึงยิ่งถูกตัดสินแบบจงใจ
จนคนแก่ตายคาคุก และคนท้าทายเจ้าถูกปฎิเสธการถอนประกันแบบไม่ไยดีไม่รู้กี่ครั้ง
ขณะเดียวกัน เขามีประชาธิปัตย์คอยทิ่มแทงทุกแผล ย้ำแล้วย้ำอีก
เขามีทหารที่เป็นเสือนอนกินอย่างสบายอารมณ์ข้างนายกคนสวย
ไม่ใช่นอนอย่างเด็กน้อยเรียบร้อยว่านอนสอนง่าย
แต่อยู่อย่างเสือ ค้ำหัวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และรอวันถูกสั่งให้ขม้ำรัฐบาลปูน้อย หากถึงวาระจำเป็นสุดท้าย
นอกจากนี้ เขายังมีตัวละครอื่น ๆ ที่พร้อมเล่นทุกบท
ภายใต้การบงการและสนับสนุนของอภิสิทธิชนที่กลัวทักษิณคืนนคร
และภายใต้เครือข่ายพ่อบ้านปากจู่
ฝ่ายดร. ทักษิณ ก็คงคิดว่าตัวเองเหนือชั้นเสียเต็มประดา
อาจจะแอบวาดฝันเห็นผลประโยชน์และทางแห่งความสำเร็จอยู่เบื้องหน้าเมื่อเปลี่ยนรัชกาลอยู่รำไร
จึงกล้าขัดสายตามวลชน กล้าใช้เครือข่ายสกัดมวลชนไม่ให้แตกแถว กล้าทำตัวต้านกระแสปฎิวัติ
แม้ว่าจะไม่ได้ทำตัวเป็นศัตรูชัดแจ้ง แต่นโยบายและแนวทางที่เลือกทำหรือไม่ทำ มันเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของขบวนปฎิวัติอย่างเลี่ยงไม่ได้ ... โดยเพื่อไทยไม่ได้อะไรมากมาย
นอกจากการได้อยู่บนอำนาจ และหาโอกาสสู้ด้วยอำนาจนิติบัญญัติและบริหารในมือ...
ซึ่งมองแบบเห็นแก่ตัวและเด็ก ๆ ก็คิดกันได้ว่าดีกว่าเป็นฝ่ายค้านหรือเสียงส่วนน้อยในสภา
ไม่ต้องสู้อะไรมาก แค่ประคองตัวแล้วก็เก็บเกี่ยวผลงานและผลประโยชน์ไปเรื่อย ๆ
กองเชียร์คุณทักษิณก็ดูจะพอใจอย่างมาก ชมกันไม่อายปากว่า ดร. ท่านเลิศล้ำนัก...
แต่ความจริงอันปฎิเสธไม่ได้จากกรณีจตุพร ก็ปรากฎมาเตือนสติอีกครั้ง
ดังกระจกบานใหญ่ ที่สะท้อนภาพเหล่านี้... เหมือนละครเลย...
ทักษิณยิ่งใหญ่ด้วยประชาชน เขาก็เอาทักษิณมาใช้งาน เพื่อลดความใหญ่และน่ากลัวของมวลชน
ทักษิณมีบารมีมาก เขาก็เอาบารมีของทักษิณไปอยู่ใต้ตีน โยนสายสะพายให้น้องปูระเริงเล่น
ประชาชนแหลมคมมาก เขาก็ทำให้อ่อนด้วยการโยนแผนปรองดองมาให้เพื่อไทยเล่น เพื่อสกัดมวลชน
เรื่องใดที่แหลมคม เขาสั่งสกัดได้ดังใจ เพราะไม่มีบุคคลใดในแนวรบสำคัญได้ประกันตัวเลย
และเมื่อเขาเห็นว่า เพื่อไทยเริ่มเป๋ เริ่มแตกกับมวลชน....
การตัดสินจตุพรไม่ให้ไปต่อในฐานะสส.
ก็เพื่อแสดงหรือบอกให้สังคมรู้ว่า
---------------------------------------------------------------------------------
คือลุ้นว่า จตุพรจะโดนเชือดหรือไม่
เชื่อว่ามีคนคิดอยู่แล้ว ว่าคงจะโดน ด้วยเหตุผลหลายประการ
หนึ่ง ประวัติของศาลระยำเหล่านี้ มันไม่เคยอยู่กับร่องกับรอย หรือยึดหลักเหตุผลปกติเลย
สอง ศาลระยำนี้ มันเหี้ยมากกว่าดี
สาม การมีจตุพรไว้ในสภา มันเป็นอันตรายยิ่งต่ออำมาตย์ ทั้งตัวพ่อตัวแม่ โดยเฉพาะตัวแม่นั้น...
เกลียดจตุพรยิ่งกว่าเด็กไฮโซเกลียดคางคกหรือใส้เดือน
แถมพ่อบ้านปากจู่ ก็ไม่ใช่จะไม่มีความแค้นจตุพรอยู่
ดังนั้น จะให้ปล่อยผ่านง่าย ๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้
นี่อาจจะเป็นเหตุผลระดับตื้น ๆ ที่ใครก็คิดล่วงหน้้าได้
กรณีคดีจตุพร ที่ตัดสินออกมาแบบนี้ จึงไม่ใช่เรื่องเข็มขัดสั้น
ผมจะนำเสนอทฤษฎีตามใจฉันหน่อยนะครับ ออกแนวละครน้ำเน่านิด ๆ
ว่าทำไม จตุพรจึงต้องตาย (แฮ่ๆ คล้ายชื่อหนังที่โดนแบนเลย)
มันมีนัยสำคัญเชิงการเมืองอย่างไร
จตุพรถูกตัดสินแบบค้านสายตาชาวบ้านครั้งนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร?
นอกจากความอันตรายของจตุพรในฐานะตัวแทนคนเสื้อแดง และนักสู้ฝีปากกล้าในสภา
รวมถึงความอาฆาตเคียดแค้นของพ่อบ้านปากจู่และนางปากแดงแล้ว
ผมว่าคงจะมีหลายเหตุผลประกอบกันเป็นคำอธิบายดังนี้
ในขณะที่ประชาชนเข้มแข็งและแหลมคมมากจนน่ากลัว...
เขาดึงทักษิณไปเป็นเกราะกันชน หรือ buffer กันกระแทก
ใช้บารมีและทรัพย์สินของทักษิณเป็นเกราะกำบังและพิทักษ์อำนาจโบราณ
ซึ่งใครล่ะจะเถียงว่ามันไม่ได้ผล
เมื่อสิ่งนี้ได้ผล สิ่งที่ตามมาก็คือ ความแตกแยกระหว่างทักษิณกับขบวนการแดง
ยิ่งเห็นแผล (เช่นการเลือกตั้ง) เขายิ่งย้ำ
ดังนั้น สายสะพายจึงรีบออกมาแจกอย่างอุตลุต คดีความเสื้อแดงจึงยิ่งถูกตัดสินแบบจงใจ
จนคนแก่ตายคาคุก และคนท้าทายเจ้าถูกปฎิเสธการถอนประกันแบบไม่ไยดีไม่รู้กี่ครั้ง
ขณะเดียวกัน เขามีประชาธิปัตย์คอยทิ่มแทงทุกแผล ย้ำแล้วย้ำอีก
เขามีทหารที่เป็นเสือนอนกินอย่างสบายอารมณ์ข้างนายกคนสวย
ไม่ใช่นอนอย่างเด็กน้อยเรียบร้อยว่านอนสอนง่าย
แต่อยู่อย่างเสือ ค้ำหัวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และรอวันถูกสั่งให้ขม้ำรัฐบาลปูน้อย หากถึงวาระจำเป็นสุดท้าย
นอกจากนี้ เขายังมีตัวละครอื่น ๆ ที่พร้อมเล่นทุกบท
ภายใต้การบงการและสนับสนุนของอภิสิทธิชนที่กลัวทักษิณคืนนคร
และภายใต้เครือข่ายพ่อบ้านปากจู่
ฝ่ายดร. ทักษิณ ก็คงคิดว่าตัวเองเหนือชั้นเสียเต็มประดา
อาจจะแอบวาดฝันเห็นผลประโยชน์และทางแห่งความสำเร็จอยู่เบื้องหน้าเมื่อเปลี่ยนรัชกาลอยู่รำไร
จึงกล้าขัดสายตามวลชน กล้าใช้เครือข่ายสกัดมวลชนไม่ให้แตกแถว กล้าทำตัวต้านกระแสปฎิวัติ
แม้ว่าจะไม่ได้ทำตัวเป็นศัตรูชัดแจ้ง แต่นโยบายและแนวทางที่เลือกทำหรือไม่ทำ มันเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของขบวนปฎิวัติอย่างเลี่ยงไม่ได้ ... โดยเพื่อไทยไม่ได้อะไรมากมาย
นอกจากการได้อยู่บนอำนาจ และหาโอกาสสู้ด้วยอำนาจนิติบัญญัติและบริหารในมือ...
ซึ่งมองแบบเห็นแก่ตัวและเด็ก ๆ ก็คิดกันได้ว่าดีกว่าเป็นฝ่ายค้านหรือเสียงส่วนน้อยในสภา
ไม่ต้องสู้อะไรมาก แค่ประคองตัวแล้วก็เก็บเกี่ยวผลงานและผลประโยชน์ไปเรื่อย ๆ
กองเชียร์คุณทักษิณก็ดูจะพอใจอย่างมาก ชมกันไม่อายปากว่า ดร. ท่านเลิศล้ำนัก...
แต่ความจริงอันปฎิเสธไม่ได้จากกรณีจตุพร ก็ปรากฎมาเตือนสติอีกครั้ง
ดังกระจกบานใหญ่ ที่สะท้อนภาพเหล่านี้... เหมือนละครเลย...
ทักษิณยิ่งใหญ่ด้วยประชาชน เขาก็เอาทักษิณมาใช้งาน เพื่อลดความใหญ่และน่ากลัวของมวลชน
ทักษิณมีบารมีมาก เขาก็เอาบารมีของทักษิณไปอยู่ใต้ตีน โยนสายสะพายให้น้องปูระเริงเล่น
ประชาชนแหลมคมมาก เขาก็ทำให้อ่อนด้วยการโยนแผนปรองดองมาให้เพื่อไทยเล่น เพื่อสกัดมวลชน
เรื่องใดที่แหลมคม เขาสั่งสกัดได้ดังใจ เพราะไม่มีบุคคลใดในแนวรบสำคัญได้ประกันตัวเลย
และเมื่อเขาเห็นว่า เพื่อไทยเริ่มเป๋ เริ่มแตกกับมวลชน....
การตัดสินจตุพรไม่ให้ไปต่อในฐานะสส.
ก็เพื่อแสดงหรือบอกให้สังคมรู้ว่า
หนึ่ง ศาลของกู กูสั่งได้เฟ้ย จำใส่หัวเอาไว้
สอง กูจะดูน้ำหน้ามวลชนของมึง ว่าตัดสินแบบนี้แล้ว จะมีใครกล้าทำอะไรไหม
พลังพวกมึงมีแค่ไหน
น้ำหน้าพวกมึง จะหาญกล้ามาเทียบชั้นกับกูได้หรือไม่
สาม กูจะบอกให้มึงรู้ว่า หากมึงแหยมมากกว่านี้
โดยที่มวลชนมึงไม่เข้มแข็งหรือกล้าลุกฮือมาช่วย...
กูสามารถโยงเรื่องยุบพรรคมึงได้ ตุลากาลวิบัติ อยู่ในมือกูเฟ้ย มึงจะทำอะไรพวกกูได้
กูกำลังทดสอบมวลชนพวกมึงอยู่นะเว้ย ไอ้ทักษิณ มึงดูซะ ตอนนี้มึงและแกนนำ นปช.
ไม่ศักดิ์สิทธิ์ในสายตามวลชนอย่างเก่าแล้ว กูจะยุบพรรคพวกมึง ก็คงไม่มีมวลชนมาช่วย
เพราะไอ้พวกที่หัวรุนแรง กล้า และสามารถ พวกมึงก็ไปขัดใจพวกมันแล้ว
พวกนี้ไม่ยอมมาตายแทนมึงหรือเพื่อมึงง่าย ๆ อีกแล้ว เหอ ๆ ๆ ๆ
สี่ จงกราบและสยบยอมพวกกูซะดี ๆ อย่าเผยอมาแตะแม้แต่ปลายก้อยนิ้วตีนกู
เรื่องกรรมต่อจากนี้ มึงระวังตัวให้ดี เดินเกมให้ดี เพราะกูพร้อมจะเด็ดหัวพวกมึงได้ทุกเวลา
เห็นยัง เห็นยัง!!!! ดังนั้น 112 อย่าบังอาจแตะ หมวดเหี้ย ๆ ในรัฐธรรมนูญ ก็อย่าสนับสนุนแดงก้าวหน้าเด็ดขาด!!!
ห้า ไอ้ทักษิณ เกมการเมืองนี้ มึงว่ามึงเหนือกว่ากู แต่กูจะให้มึงเห็นว่า มึงกับกูคนละชั้น
กูมีศาลเหี้ย ๆ ไว้รับใช้ และสั่งได้ดั่งใจในทุกเวลาต่อจากนี้ กูยังมีสมุนเลวคอยป่วนสภาและป่วนเมือง กว่ามึงจะผ่านด่านมาถึงกูได้ มึงก็แทบรากเลือดแน่ เพราะกูมันเจ้าสำนักเฟ้ย ผ่านมาให้ได้สิบด่าน ก็ยังไม่ถึงตัวกูได้ง่าย ๆ
เพราะกูมีขุนพลคู่ใจที่พร้อมปราบมึงอยู่เสมอ... เหอ ๆ ๆ
ดังนั้น จงกราบและยอมสยบพวกกูต่อไป จงนอบน้อมจงรักภักดีกับกู อย่าได้เผยอ
มึงต้องยอมศิโรราบให้กับกูอย่างเต็ม ๆ กูจึงจะไว้ชีวิตพวกมึง
หรือยอมให้พวกมึงใช้อำนาจกระจอก ๆในสภาและในทำเนียบต่อไป...
เพื่อรักษาระบอบของกู โดยสมุนพวกกู และเพื่อกูและสมุนเป็นหลัก ฮ่ะ ๆ ๆ ๆ ๆๆ
---------------------------------------------------------------------------------
Sunday, April 22, 2012
ความพ่ายแพ้ของเพื่อไทย ความหนาวของอำมาตย์สมุนเหี้ย-ห่า
ข่าวใหญ่ประจำสุดสัปดาห์นี้ คงไม่มีอะไรเด่นไปกว่า ข่าวการพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อม สส. และการเลือกตั้งท้องถิ่นของตัวแทนพรรคเพื่อไทย โดยกรณีแรก แพ้ให้กับผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์เสียด้วย การพ่ายแพ้ครั้งนี้ น่าจะส่งกระแสที่แรงพอสมควรให้กับผู้คนที่เกี่ยวข้อง
ประชาธิปัตย์และอำมาตย์บางส่วน คงจะแอบหวังว่า นี่คือสัญญาณดีสำหรับตน
"เสื้อแดงแตกแยกแล้ว แผนตูได้ผลแล้ววุ้ย"
"พรรคมักง่ายอย่างเรา พอจะมีหวังแล้วว้อย"
ส่วนเพื่อไทยเอง แม้ว่าการแพ้แค่ที่นั่งเดียว จะไม่กระทบการทำงานของพรรค
แต่นัยสำคัญหลายอย่าง จะมองข้ามไม่ได้เลย
ยิ่งประชาธิปัตย์ซึ่งได้ที หลังจากรอมานาน จะออกมาเยาะเย้ยให้เจ็บใจแล้ว
ยังต้องมาคิดให้หนัก
เพราะกระแสลอยลมบนของหนูปู มันไม่ได้ช่วยเอาเสียเลย
ภาพดี ๆ ที่สร้างขึ้นอย่างบรรจงต่าง ๆ ก็ถือว่ายิ่งใหญ่ไม่น้อย
การออกไปเยี่ยมชาติใหญ่ ๆ ในเอเชียจนครบ แถมได้รับการตอบรับเยี่ยม
ภาพการเป็นคุณหนูปูใส ไม่ยุ่งกับเรื่องน้ำเน่าทางสภาและหน้าสื่อ
ภาพการทำงานหนัก จัดการกับนโยบายที่แถลงไว้อย่างเอาใจใส่
แต่ที่ดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นแบบดาบสองคมก็เห็นจะเป็นภาพเหล่านี้
หนึ่ง เอาใจทหารที่ฆ่าประชาชน และนายพลในอำนาจพิทักษ์ราชวงศ์ ด้วยการไม่เร่งรัดเอาผิด และให้งบสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เพื่อแลกกับการไม่ต้องกังวลกับกองทัพ แต่ก็ต้องขัดใจมวลชนแดง ด้วยการให้เลื่อนยศ ให้เงิน ให้เกียรติ และวางแผนจะให้อภัยโทษชนิดรวบหัวรวบหาง บนคำอ้าง "ปรองดอง"
สอง การผูกมิตรกับพลเอกเปรม ชนิดหวานแหวว ส่งเสียงผ่านแม่น้ำโขงเข้ามา ก่อนจะให้คณะรัฐมนตรี โดยใช้เสน่ห์ของน้องปู เข้าไปอี๋อ๋อ ออหน้ากันกราบและขอพรปีใหม่จากคนที่นำกบถรัฐประหารเข้าเฝ้า เพื่อขอลายเซ็นต์แห่งความชอบธรรม
สาม การได้รับสายสะพายอันทรงเกียรติ สามสายซ้อน ๆ ชนิดที่ไม่เคยมีใครได้รับเกียรติขนาดนี้ สายนี้ น้องปูอาจจะพึงพอใจ ยืดอก ยิ้มกว้าง และมั่นใจยิ่งขึ้น แต่ในสายตาของคนเสื้อแดง และสายตาชาวโลกที่มองมาตรา 112 คดีความที่เกี่ยวข้อง สิทธิสตรี และสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ด้วยความเป็นห่วงและไม่สบายใจนั้นเล่า กลับเห็นภาพการปรองดองกับอำนาจโบราณแล้วย่ำยีหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ปล่อยปัญหาคาราคาซังอย่างมีข้อกังขาหลายข้อ ทิ้งหลักการประชาธิปไตย และหลักความยุติธรรมชนิดที่ใครว่า ก็เถียงไม่ออก นอกจากบอกว่า เรื่องมันซับซ้อน ไม่มีอำนาจในมือ บลา บลา บลา
สี่ การออกโรงเรียกแม่ยกพ่อยกให้ไปรดน้ำดำหัว ดร. ทักษิณ ที่ประเทศลาวและเขมร อย่างเอิกเริก ชนิดที่หาใครในโลกนี้ทำได้เทียมเท่ายากนักนั้น กลับถูกทำให้ด้อยค่าลงไปถนัดใจ เมื่อ ดร. ทักษิณผู้กล้าเอ่ยวลี "ช่างแม่มัน" กลับกล่าวติติงประชาชนผู้สูญเสียญาติ ๆ ว่าให้หยุดเคลื่อนไหว ยอมเสียสละ ในฐานะคนส่วนน้อย เพื่อประโยชน์ในการปรองดองของคนส่วนใหญ่ แถมกล่าวอย่างชัดเจนว่า การปรองดอง คือการที่พวกฆ่าคนตายจะไม่ได้รับโทษ
อันที่จริง การแพ้การเลือกตั้งของเพื่อไทย เกิดด้วยเหตุหลายระดับ
ในระดับท้องถิ่นและการเมืองของปทุมธานี อันเป็นเขตสำคัญของเสื้อแดง ฐานปฎิบัติการที่มีพลเมืองแดงเข้มข้น ดำเนินการทางการเมืองช่วยเหลือจนเพื่อไทยขึ้นสู่อำนาจอย่างแข็งขัน แต่สิ่งที่เขาได้ กลับเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่พวกเขาดีพอ ยัดเอาใครไม่รู้ ที่ไม่เคยผูกพันแน่นแฟ้นกับคนท้องถิ่นลงสมัคร สส. โดยคิดว่า น้องปูไปย้ำบนเวทีสักครั้ง ก็คงพอ แถม สส. ก็พิเรนลาออกเพื่อไปหาตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณโดยตรงมากกว่า คือ ลดลงมาเล่นการเมืองระดับจังหวัดแทน (ฮ่วย) แล้วก็หวังกันว่า ทำอะไรก็ได้ เสื้อแดงเลือกอยู่แล้ว แล้วผลเป็นไงเล่าครับ แพ้ทั้งสองสนาม!!!
หากจะมองตัวแปรระดับท้องถิ่น มันก็พอจะกล้อมแกล้มโทษฟ้าโทษดิน โทษกบ โทษเขียดได้ เช่น หลังสงกรานต์คนหนีไปเที่ยว คนไปเลือกตั้งน้อยมาก คะแนนประชาธิปัตย์ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน หรือแม้แต่คนสับสนระหว่างเบอร์หนึ่งและเบอร์สอง ในการเลือกตั้งสองระดับ ฯลฯ แต่ความจริงก็คือ คนเสื้อแดงไม่ได้ไปเลือกตั้ง และหลายเสียงไม่เลือกใคร นี่แปลว่ากระไร
แน่นอน เพื่อไทยคงต้องหาคำตอบให้ชัด
แต่จะบอกให้ในฐานะที่ได้พูดคุยกับพี่น้องหลายฝ่าย
วิกฤติศรัทธา สำหรับแกนนำ นปช. นักการเมืองเพื่อไทย (ไม่ต้องพูดถึง ปชป.)
และแม้แต่ดร. ทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์เอง ได้ก่อตัวขึ้นนานแล้ว และกำลังปรากฎผล
หากจะพูดแบบเป็นมิตรกันก็คือ นี่คือการสั่งสอนผู้เกี่ยวข้อง แบบนิ่ม ๆ
แต่หากจะบอกอย่างไม่กั๊ก ก็คือ...
แดงที่ยิ่งแดงเข้ม ก็ยิ่งยืนห่างจาก คณะนักการเมืองในสังกัด ดร. ทักษิณ เข้าไปทุกที
ทำไมหรือ? ท่านเอาท่อนที่ว่า "ยิ่งแดงยิ่งเข้ม" ไปตีความเอง
แล้วก็เอาไปเปรียบเทียบอย่างไม่ตอแหลหรือหลอกลวงตัวเอง
กับพฤติกรรมในแนวทางที่คณะนักการเมืองเพื่อไทยทำ หรือไม่ทำ ตั้งแต่เข้าสู่อำนาจก็แล้วกัน
แต่สิ่งที่ผมอยากนำเสนอ ณ ที่นี้ ก็คือ พฤติกรรมถอนตัวจากของมวลชนแดง
ออกจากการชี้นำ ใช้งาน และหลอกใช้ของนักการเมืองและขบวนปฎิรูป นั้น
ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะจ้องทำลายเพื่อไทยแบบงี่เง่า
ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะไปเลือกพรรคเหี้ย ๆ
ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะยอมกราบกรานหรือเป็นเครื่องมือให้ใครอื่น
แต่มันหมายความว่า...
พวกเขาจะสลัดเชือกพันธนาการจากความสัมพันธ์และความเชื่อเดิม ๆ ให้พ้น
พวกเขาจะไม่ยอมกราบใคร ไม่ยอมจงรักภักดีต่อใคร
พวกเขาจะไม่ยอมถูกใช้ในกิจกรรมลิเกการเมืองที่ไม่มีผลคืบหน้า
พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครปิดปาก ปิดกั้น และชี้นำให้ถอยหลังไปจากแนวทางปฎิวัติ
พวกเขาจะลุกมารวมตัวกัน เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง กดดัน และกำกับนักการเมืองในอนาคต
ดีไม่ดี พวกเขาอาจจะตั้งพรรคการเมืองของประชาชนขึ้นมา
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้ คือ กระแสปฎิวัติที่แท้จริง
กระแสที่จะไม่ล้มหายตายจากไปกับการต่อสู้ทางการเมือง เพราะพวกเขาไม่ยอมเปลืองตัวเพื่อใคร
จะเป็นกระแสที่เริ่มแรงขึ้น ร้อนขึ้น ... แต่เป็นความร้อนที่คนบางตระกูลในประเทศไทย ... หนาว
ฤดูฝนและฤดูหนาวปีนี้ อากาศคงไม่เปลี่ยนไปมากมายนัก
แต่ในหัวใจของคนบาปหลายตระกูล จะเริ่มรู้สึกถึงความหนาวลึก
เมื่อประชาชน เติบโตเกินใครจะควบคุม
และพวกเขา จะไม่ยอมถอยหลัง และแม้แต่ดร. ทักษิณที่เขารักหรือเคยรักจะขอร้อง
พวกเขาก็จะยิ้มให้แล้วบอกว่า เอ็งจะทำอะไรก็ทำไป
เอ็งจะเป็นจะตาย สำหรับพวกเขาแล้ว ถือวลีเดียวกันกับที่ ดร. ทักษิณ ร้องเอาไว้
ช่างแม่มัน!!
สรุปว่า การไม่ยอมให้เพื่อไทยเรียกใช้
ได้แบบไม่ลงทุน ไม่เคารพ และไม่ตอบสนองต่อเสียงประชาชนนั้น
เป็นจุดเริ่มต้นของมิติใหม่ทางการเมืองไทย
ที่ว่า ใคร หรืออะไรก็ไม่สามารถกลบ เบี่ยงเบน และทำลายแนวางปฎิวัติได้อีกแล้ว
ยิ่งเพื่อไทยทำในแนวทางปฎิรูปหรือแนวทางต้านการปฎิวัติ (anti-revolutionary) เท่าใด
เพื่อไทยก็จะยิ่งรู้ว่า เมื่อมวลชนทิ้งแล้ว นักการเมืองยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็หมดอำนาจได้
และยิ่งแสดงให้เห็นว่า ทางรอดของคนบางตระกูลและคนบาปหลาย ๆ คน มันหดลงทุกวัน
ฮัลโหล ฮัลโหล...
ทราบแล้ว หากไม่คิดปรับตัวหรือปรับตัวไม่ได้แล้ว ก็หาผ้าห่มใจ ไว้ล่วงหน้า ซะเด๊อ.... อะคริ อะคริ
=======================================================
ประชาธิปัตย์และอำมาตย์บางส่วน คงจะแอบหวังว่า นี่คือสัญญาณดีสำหรับตน
"เสื้อแดงแตกแยกแล้ว แผนตูได้ผลแล้ววุ้ย"
"พรรคมักง่ายอย่างเรา พอจะมีหวังแล้วว้อย"
ส่วนเพื่อไทยเอง แม้ว่าการแพ้แค่ที่นั่งเดียว จะไม่กระทบการทำงานของพรรค
แต่นัยสำคัญหลายอย่าง จะมองข้ามไม่ได้เลย
ยิ่งประชาธิปัตย์ซึ่งได้ที หลังจากรอมานาน จะออกมาเยาะเย้ยให้เจ็บใจแล้ว
ยังต้องมาคิดให้หนัก
เพราะกระแสลอยลมบนของหนูปู มันไม่ได้ช่วยเอาเสียเลย
ภาพดี ๆ ที่สร้างขึ้นอย่างบรรจงต่าง ๆ ก็ถือว่ายิ่งใหญ่ไม่น้อย
การออกไปเยี่ยมชาติใหญ่ ๆ ในเอเชียจนครบ แถมได้รับการตอบรับเยี่ยม
ภาพการเป็นคุณหนูปูใส ไม่ยุ่งกับเรื่องน้ำเน่าทางสภาและหน้าสื่อ
ภาพการทำงานหนัก จัดการกับนโยบายที่แถลงไว้อย่างเอาใจใส่
แต่ที่ดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นแบบดาบสองคมก็เห็นจะเป็นภาพเหล่านี้
หนึ่ง เอาใจทหารที่ฆ่าประชาชน และนายพลในอำนาจพิทักษ์ราชวงศ์ ด้วยการไม่เร่งรัดเอาผิด และให้งบสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เพื่อแลกกับการไม่ต้องกังวลกับกองทัพ แต่ก็ต้องขัดใจมวลชนแดง ด้วยการให้เลื่อนยศ ให้เงิน ให้เกียรติ และวางแผนจะให้อภัยโทษชนิดรวบหัวรวบหาง บนคำอ้าง "ปรองดอง"
สอง การผูกมิตรกับพลเอกเปรม ชนิดหวานแหวว ส่งเสียงผ่านแม่น้ำโขงเข้ามา ก่อนจะให้คณะรัฐมนตรี โดยใช้เสน่ห์ของน้องปู เข้าไปอี๋อ๋อ ออหน้ากันกราบและขอพรปีใหม่จากคนที่นำกบถรัฐประหารเข้าเฝ้า เพื่อขอลายเซ็นต์แห่งความชอบธรรม
สาม การได้รับสายสะพายอันทรงเกียรติ สามสายซ้อน ๆ ชนิดที่ไม่เคยมีใครได้รับเกียรติขนาดนี้ สายนี้ น้องปูอาจจะพึงพอใจ ยืดอก ยิ้มกว้าง และมั่นใจยิ่งขึ้น แต่ในสายตาของคนเสื้อแดง และสายตาชาวโลกที่มองมาตรา 112 คดีความที่เกี่ยวข้อง สิทธิสตรี และสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ด้วยความเป็นห่วงและไม่สบายใจนั้นเล่า กลับเห็นภาพการปรองดองกับอำนาจโบราณแล้วย่ำยีหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ปล่อยปัญหาคาราคาซังอย่างมีข้อกังขาหลายข้อ ทิ้งหลักการประชาธิปไตย และหลักความยุติธรรมชนิดที่ใครว่า ก็เถียงไม่ออก นอกจากบอกว่า เรื่องมันซับซ้อน ไม่มีอำนาจในมือ บลา บลา บลา
สี่ การออกโรงเรียกแม่ยกพ่อยกให้ไปรดน้ำดำหัว ดร. ทักษิณ ที่ประเทศลาวและเขมร อย่างเอิกเริก ชนิดที่หาใครในโลกนี้ทำได้เทียมเท่ายากนักนั้น กลับถูกทำให้ด้อยค่าลงไปถนัดใจ เมื่อ ดร. ทักษิณผู้กล้าเอ่ยวลี "ช่างแม่มัน" กลับกล่าวติติงประชาชนผู้สูญเสียญาติ ๆ ว่าให้หยุดเคลื่อนไหว ยอมเสียสละ ในฐานะคนส่วนน้อย เพื่อประโยชน์ในการปรองดองของคนส่วนใหญ่ แถมกล่าวอย่างชัดเจนว่า การปรองดอง คือการที่พวกฆ่าคนตายจะไม่ได้รับโทษ
อันที่จริง การแพ้การเลือกตั้งของเพื่อไทย เกิดด้วยเหตุหลายระดับ
ในระดับท้องถิ่นและการเมืองของปทุมธานี อันเป็นเขตสำคัญของเสื้อแดง ฐานปฎิบัติการที่มีพลเมืองแดงเข้มข้น ดำเนินการทางการเมืองช่วยเหลือจนเพื่อไทยขึ้นสู่อำนาจอย่างแข็งขัน แต่สิ่งที่เขาได้ กลับเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่พวกเขาดีพอ ยัดเอาใครไม่รู้ ที่ไม่เคยผูกพันแน่นแฟ้นกับคนท้องถิ่นลงสมัคร สส. โดยคิดว่า น้องปูไปย้ำบนเวทีสักครั้ง ก็คงพอ แถม สส. ก็พิเรนลาออกเพื่อไปหาตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณโดยตรงมากกว่า คือ ลดลงมาเล่นการเมืองระดับจังหวัดแทน (ฮ่วย) แล้วก็หวังกันว่า ทำอะไรก็ได้ เสื้อแดงเลือกอยู่แล้ว แล้วผลเป็นไงเล่าครับ แพ้ทั้งสองสนาม!!!
หากจะมองตัวแปรระดับท้องถิ่น มันก็พอจะกล้อมแกล้มโทษฟ้าโทษดิน โทษกบ โทษเขียดได้ เช่น หลังสงกรานต์คนหนีไปเที่ยว คนไปเลือกตั้งน้อยมาก คะแนนประชาธิปัตย์ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน หรือแม้แต่คนสับสนระหว่างเบอร์หนึ่งและเบอร์สอง ในการเลือกตั้งสองระดับ ฯลฯ แต่ความจริงก็คือ คนเสื้อแดงไม่ได้ไปเลือกตั้ง และหลายเสียงไม่เลือกใคร นี่แปลว่ากระไร
แน่นอน เพื่อไทยคงต้องหาคำตอบให้ชัด
แต่จะบอกให้ในฐานะที่ได้พูดคุยกับพี่น้องหลายฝ่าย
วิกฤติศรัทธา สำหรับแกนนำ นปช. นักการเมืองเพื่อไทย (ไม่ต้องพูดถึง ปชป.)
และแม้แต่ดร. ทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์เอง ได้ก่อตัวขึ้นนานแล้ว และกำลังปรากฎผล
หากจะพูดแบบเป็นมิตรกันก็คือ นี่คือการสั่งสอนผู้เกี่ยวข้อง แบบนิ่ม ๆ
แต่หากจะบอกอย่างไม่กั๊ก ก็คือ...
แดงที่ยิ่งแดงเข้ม ก็ยิ่งยืนห่างจาก คณะนักการเมืองในสังกัด ดร. ทักษิณ เข้าไปทุกที
ทำไมหรือ? ท่านเอาท่อนที่ว่า "ยิ่งแดงยิ่งเข้ม" ไปตีความเอง
แล้วก็เอาไปเปรียบเทียบอย่างไม่ตอแหลหรือหลอกลวงตัวเอง
กับพฤติกรรมในแนวทางที่คณะนักการเมืองเพื่อไทยทำ หรือไม่ทำ ตั้งแต่เข้าสู่อำนาจก็แล้วกัน
แต่สิ่งที่ผมอยากนำเสนอ ณ ที่นี้ ก็คือ พฤติกรรมถอนตัวจากของมวลชนแดง
ออกจากการชี้นำ ใช้งาน และหลอกใช้ของนักการเมืองและขบวนปฎิรูป นั้น
ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะจ้องทำลายเพื่อไทยแบบงี่เง่า
ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะไปเลือกพรรคเหี้ย ๆ
ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะยอมกราบกรานหรือเป็นเครื่องมือให้ใครอื่น
แต่มันหมายความว่า...
พวกเขาจะสลัดเชือกพันธนาการจากความสัมพันธ์และความเชื่อเดิม ๆ ให้พ้น
พวกเขาจะไม่ยอมกราบใคร ไม่ยอมจงรักภักดีต่อใคร
พวกเขาจะไม่ยอมถูกใช้ในกิจกรรมลิเกการเมืองที่ไม่มีผลคืบหน้า
พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครปิดปาก ปิดกั้น และชี้นำให้ถอยหลังไปจากแนวทางปฎิวัติ
พวกเขาจะลุกมารวมตัวกัน เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง กดดัน และกำกับนักการเมืองในอนาคต
ดีไม่ดี พวกเขาอาจจะตั้งพรรคการเมืองของประชาชนขึ้นมา
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้ คือ กระแสปฎิวัติที่แท้จริง
กระแสที่จะไม่ล้มหายตายจากไปกับการต่อสู้ทางการเมือง เพราะพวกเขาไม่ยอมเปลืองตัวเพื่อใคร
จะเป็นกระแสที่เริ่มแรงขึ้น ร้อนขึ้น ... แต่เป็นความร้อนที่คนบางตระกูลในประเทศไทย ... หนาว
ฤดูฝนและฤดูหนาวปีนี้ อากาศคงไม่เปลี่ยนไปมากมายนัก
แต่ในหัวใจของคนบาปหลายตระกูล จะเริ่มรู้สึกถึงความหนาวลึก
เมื่อประชาชน เติบโตเกินใครจะควบคุม
และพวกเขา จะไม่ยอมถอยหลัง และแม้แต่ดร. ทักษิณที่เขารักหรือเคยรักจะขอร้อง
พวกเขาก็จะยิ้มให้แล้วบอกว่า เอ็งจะทำอะไรก็ทำไป
เอ็งจะเป็นจะตาย สำหรับพวกเขาแล้ว ถือวลีเดียวกันกับที่ ดร. ทักษิณ ร้องเอาไว้
ช่างแม่มัน!!
สรุปว่า การไม่ยอมให้เพื่อไทยเรียกใช้
ได้แบบไม่ลงทุน ไม่เคารพ และไม่ตอบสนองต่อเสียงประชาชนนั้น
เป็นจุดเริ่มต้นของมิติใหม่ทางการเมืองไทย
ที่ว่า ใคร หรืออะไรก็ไม่สามารถกลบ เบี่ยงเบน และทำลายแนวางปฎิวัติได้อีกแล้ว
ยิ่งเพื่อไทยทำในแนวทางปฎิรูปหรือแนวทางต้านการปฎิวัติ (anti-revolutionary) เท่าใด
เพื่อไทยก็จะยิ่งรู้ว่า เมื่อมวลชนทิ้งแล้ว นักการเมืองยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็หมดอำนาจได้
และยิ่งแสดงให้เห็นว่า ทางรอดของคนบางตระกูลและคนบาปหลาย ๆ คน มันหดลงทุกวัน
ฮัลโหล ฮัลโหล...
ทราบแล้ว หากไม่คิดปรับตัวหรือปรับตัวไม่ได้แล้ว ก็หาผ้าห่มใจ ไว้ล่วงหน้า ซะเด๊อ.... อะคริ อะคริ
=======================================================
Sunday, March 4, 2012
"เจ้า" จะทนสู้ท้า...กล้าไหมเอย?
"ประชาธิปไตย..."
"เจ้า" หลงรับคำใส่ในกฎร่าง
พร้อมยัดใส้ใส่มุกขลุกกลวาง
รวบหัวหางอย่างเนียนเซียนเหนือชั้น
แต่เมื่อคนวนเวียนอาเจียนเบื่อ
ตายเป็นเบือบนทางคนสร้างฝัน
ตัวละครตอนใหม่ไม่ต่างกัน
พัลวันพัลวนคนของใคร?
มีทหารศาลเหี้ยเขี่ยอำนาจ
ใช้สิทธิขาดวาดทางอย่างเหลวไหล
อ้างลายมือถือยุทธหยุดหลักใด
แล้วเพื่อใครไหนเช่นชนเห็นแล้ว
ทุกกลไกในระบอบครอบบนหัว
มองน่ากลัวยิ่งกลายพิษร้ายแถว
ไล่ขึ้นบนวนไปไม่พ้นแนว
ดังเรือแจวคราจอดทอดท่าน้ำ
เมื่อประชากล้าทวงท้วง "คำ" ฝัน
คำ "ประชาธิปไตย" นั้น จึงถูกถาม
อำนาจสูงสามเสาที่เขาตาม
ไยถูกล่ามขังล้อมในอ้อมใคร
เมื่อประชากล้าทวงเริ่มล้วงลึก
ก็เกิดศึกสานซ้ำย้ำรอยไหล
สองตุลามาย้อนซ้อนฝันภัย
อาบเลือดไทยเมษาพฤษภาย้ำ
เมื่อประชากล้าถามความเป็นใหญ่
มองย้อนไปในเวลาผ่านผาถ้ำ
แสงทองทอรออยู่ เห็น รู้ จำ
ใครจักย้ำทางเดิมเติมบอดจน?
เมื่อคนน้อยคอยดันดับฝันหมู่
ชนจึงกรูกันแดงแต่งสร้างผล
เมื่อบัดนี้แรงกล้าประชาชน
"เจ้า" จะทนสู้ท้า...กล้าไหมเอย?
Tuesday, February 21, 2012
สั้น ๆ ตรง ๆ กับเรื่อง แดงโบนันซ่า
สั้น ๆ ตรง ๆ กับเรื่อง แดงโบนันซ่า
เพียงดิน รักไทย
ผมเขียนบทความสั้น ๆ นี้ บนหลักยืนที่ว่า ผมถือว่านักสู้ของแดงทุกแนว มีค่า และควรรักษากันไว้เป็นแนวร่วมเสมอ แม้ว่าจะมีเป้าหมายสูงสุดต่างกัน และแนวทางต่างกันมากน้อยเพียงใด แต่ตราบใดที่บุคคลหรือกลุ่มใด ๆ มีประโยชน์หรือมุ่งหวังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จะจริงมากน้อยเพียงใดก็ตาม ผมก็ถือว่าเราไม่ควรทำลาย และควรรักษา ประสานความร่วมมือ และรักษาน้ำใจกันเอาไว้
แต่ในกรณีของการเร่งเร้าพามวลชนขึ้นเขาของพรรคเพื่อไทย จะด้วยเหตุผลลึก ๆ ใดบ้างก็ตาม ผมว่าเรื่องจำนวนคนเสื้อแดงที่จะขึ้นเขา ไม่ใช่เรื่องสาระที่สำคัญอะไรมากมายเลย ผมจะไม่รู้สึกตระหนกใด ๆ เลย หากพี่น้องเสื้อแดงจะเลิกสนับสนุนแนวทางแดงโบนันซ่าไปบ้าง หรือเป็นส่วนใหญ่
แล้วทำให้คนไปร่วมงานน้อยลง... เพราะผมไม่เชื่อว่า นี่คือภาพสะท้อนว่าเสื้อแดงแตกแยก แดงกำลังแย่ แล้วจะทำให้อีกฝ่ายกล้ารัฐประหารหรือไม่หยุดที่จะพยายามใช้ตุลาการวิบัติอีกครั้ง
ในมุมมองตรงกันข้าม ผมกลับเห็นว่า การที่มวลชนจำนวนมากขึ้นเลิกตอแหล เลิกเล่นกับประเด็นน้ำเน่า ด้วยการไม่ยอมเสียเวลา เสียพลังงาน เสียเงินทอง และเสียอารมณ์ไปกับเรื่องที่ไม่ทำให้เรารุกคืบหน้าอย่างที่ควรจะเป็นนั้น จะทำให้ฝ่ายอำมาตย์ต้องหนาวกว่าเดิม หวาดหวั่นกลัวเดิม ทั้งนี้เพราะมวลชนที่ไม่เอาด้วยกับละครที่เหี้ยและขุนพลเปรตกำกับเหล่านี้ พัฒนาการเป็นมวลชนปฎิวัติ ที่ ดร. ทักษิณและกลไกของคุณทักษิณกำกับไม่ได้อีกต่อไป และมวลชนเหล่านี้แหละ ที่จะยืนตระหง่านเป็นก้างตัวสำคัญในงานสำคัญ ศึกใหญ่ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นการลุกฮือเรียกร้อง ขับไล่ เคลื่อนพลรุกคืบทางการเมืองและทุกทาง และเป็นผู้กำหนดชะตาของประเทศในวันที่มีการลงประชามติทุกครั้ง รวมถึงครั้งสำคัญในการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ประเทศไทย ที่จะต้องเกิดขึ้นในเร็วปีนี้ พวกมวลชนที่รู้ทันเกมการเมืองเหล่านี้แหละ จะเป็นกำลังสำคัญของฝ่ายประชาชน ยืนรออย่างฉลาด แต่ทำงานสานผลเชิงสร้างความเข้มแข็งให้ทัพประชาชน เพื่อรอวันเพื่อไทยและแกนนำ นปช. ได้สำนึก หรือได้บทเรียน แล้วกลับมาซบตักประชาชน ร่วมสู้อย่างตรงประเด็น เอาประชาชนเป็นภาคีที่เท่าเทียม (ไม่ใช่เครื่องมือ ที่พวกเขาสามารถซื้อใจหรือเอามาเป็นฐานอำนาจ ด้วยเงินภาษีของประชาชนเองหรือเงินกู้ออกมาแจกหรือทำโครงการ ที่เป็นภาระหนี้สินของประชาชนอยู่ดี) แล้วรับใช้ประชาชน อย่างแท้จริง ด้วยความเคารพในวุฒิภาวะและคุณค่าของมวลชน ตรงประเด็น ไม่ตอแหล ไม่บิดเบือน ไม่เอาแต่ได้ฝ่ายเดียวแบบไร้ยางอาย ฯลฯ
และหากจะมีการอ้างว่า คนไปโบนันซ๋าน้อย แล้วจะทำให้ทหารกล้ารัฐประหาร หรือฝ่ายเหี้ยจะสะดวกใจที่จะใช้ศาลเหี้ยทำลายแดงรัฐสภาที่ยอมเป็นฝุ่นใต้ตีน ใต้ระบอบที่สวยเริดหรู (มีสร้อย) นั้น ผมว่าเป็นเรื่องตลก พวกเผด็จการเหี้ยโบราณ มันจะทำการรัฐประหารหรือใช้ศาลเหี้ย ก็ต่อเมื่อพวกมันจนตรอกแล้วเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเหตุที่คิดเอาแบบตื้น ๆ ว่าแดงแตกแยก แดงอ่อน แล้วเขาจึงรุก เพราะเขารุกแน่ หากประเด็นเดือดมันถึงเวลาที่เลี่ยงไม่ได้ หรือง่าย ๆ ก็คือ เมื่อการเผชิญหน้าเกิดขึ้น ยังไงเขาก็ไม่เลิกความตั้งใจที่จะออกอาวุธเพื่อทำลายล้างขบวนประชาชน (ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเพื่อไทยเดินด้วยก็ตาม)
และเรื่องตลกก็คือ การอ้างว่าการเอาคนไปรวมกันบนเขาแล้วจะทำให้เหี้ยไม่คิดรัฐประหารหรือใช้ศาลนั้น มันเป็นความคิดที่โง่บัดซบสิ้นดี จะว่าตอแหลหลอกใช้ก็ไม่ผิด ก็ขนาดเรามีนักากรเมืองเป็นตัวแทนอย่างคับคั่งมีคะแนนเสียงค่อนสภา มันก็ยึดอำนาจมาแล้ว ไปชุมนุมกันเยอะ ๆ ก็ขนาดเคยทำในเมืองหลวง ยิ่งใหญ่มหาศาล แล้วเขายอมอะไรบ้าง เขาไม่ได้ใช้กำลังทหารทำรัฐประหาร แต่เขายึดอำนาจต่อ ด้วยศาล สื่อ ระบบอำมาตย์ และตอนนี้ รัฐบาลน้องปู ก็ถูกเขายึดอำนาจสำคัญไปแล้ว ... เขารัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 และยังยึดอำนาจแทบทั้งสิ้นไว้แล้ว เราจะกลัวอะไรอีก???
เขาจะเลิกคิดทำรัฐประหารจริงหรือ หากเราไปโบนันซ่ากันซักห้าล้าน เขาจะไม่คิดใช้ตุลาการเหี้ยจริงหรือ หากเราไปบนเขาซักสิบล้าน? คำตอบคือ มันไม่เกี่ยวกัน พวกเหี้ยมันจะใช้อำนาจชั่วของพวกมันแน่นอน เมื่อจำเป็น และเมื่อมันจะเสียท่า หรือกำลังถูกรุกอย่างหนักจนยอมไม่ได้ต่างหาก
อันที่จริง หากพวกมันทำรัฐประหาร หรือแม้แต่ใช้ตุลาการวิบัติยุบพรรคเพื่อไทยหรือล้มรัฐบาลคุณปู ประชาชนก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อน เพราะนั่นมันเป็นผลดีในเชิงปฎิวัติต่างหาก หากมันทำกันตอนนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้ประเทศไทยเป็นเผด็จการไปมากกว่าที่เป็นอย่างที่บอก แต่มันจะทำให้โลกรู้ว่าไอ้ที่ไปยืนตอแหลอยู่คู่ไอเดิลทางประชาธิปไตยของโลก อย่างนางออง ซาน ซูจีนั้น มันเป็นใคร ไอ้ที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านและที่ออกมายืนหัวให้ประชาชนบั่น (ภาษาเปรียบเปรย) นั้น มีใครบ้าง และขอให้ทราบไว้ว่า หากเขาต้องใช้ตุลาการวิบัติวันใด ก็เป็นการนับถอยหลังบนระเบิดเวลาที่ทำลายเหี้ยทั้งฝุงเมื่อนั้น และหากเขาใช้การรัฐประหารวันใด นั่นแปลว่า ระเบิดเวลาที่หยุดไม่ได้ ได้ถูกจุดขึ้นด้วยมือพวกเขาเอง
หากจะกล่าวแบบเปรียบเทียบถึงปัญหาการเมืองไทย ตอนนี้มันเลวร้าย เป็นโรคเรื้อรัง และมีแต่ลามทำให้เกิดอาการต่าง ๆ มากมาย จนเราจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ที่จะมัวกังวลอยู่กับแค่อาการไข้แล้วคอยแต่หายามากินคุม กินยาแก้ปวดล่วงหน้า แล้วไม่ทำอะไรมากกว่านี้ ไม่ได้อีกแล้ว แต่ถามว่าควรต้องกินยาไหม? ก็กินกันไปครับ แต่ให้รู้นะครับ ว่ารักษาโรคมะเร็งไม่ได้ รักษาฝีดาษไม่ได้ รักษาโรคหัวใจไม่ได้ ฯลฯ และเราเป็นหลายโรคเสียด้วย!!!
นั่นก็คือ การไปโบนันซ่า ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่มวลชนต้องคิดว่า ท่านจะต้องเสียเงิน เสียเวลา และอาจจะมีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุอีก (สาธุ ขออย่าให้มันเกิดขึ้นเลย) แล้วต้องถามว่า ได้อะไรเพิ่มขึ้น และจะทำอย่างไรให้ได้อะไรเพิ่มขึ้น หากไปแล้ว ทำให้แกนนำได้เรียนรู้ แกนนำฟังเสียงประชาชนที่ตามสนับสนุนพวกเขา แล้วช่วยกันทำกิจกรรมเชิงรุกให้เราได้ผลคืบหน้าไม่ใช่แค่การแสดงวาทกรรมบนเวที แต่มีแผนสานต่ออย่างเป็นรูปธรรม มันก็ไม่ได้เสียหาย
แต่หากวันที่ยี่สิบห้านี้ มีคนไปโบนันซ่าแค่ซักหมื่นคน จากที่คาดหวังไว้ห้าแสน ผมจะนั่งยิ้ม หัวเราะ และยินดีที่ ประชาชน เติบโตขึ้น และฉลาดมากกว่าปี 2553 แล้ว และผมจะไม่กลัวเลยว่า เหี้ยจะสั่งรัฐประหารอีกครั้ง หรือสั่งศาลเหี้ยออกมาทำงานริดรอนอำนาจบริหารที่รับใช้เหี้ยและให้ประโยชน์นักการเมืองและกลุ่มอภิสิทธิชนมากกว่าประชาชนที่ผมรัก และเชื่อมั่น
ทำเถิดครับ จะทำอะไรก็ทำ แต่ขอให้รู้ว่า ท่านทำอะไรอยู่ เพื่ออะไร และจะได้ผลแค่ไหน
Subscribe to:
Comments (Atom)
