15 นิสัยร่วมที่บั่นทอนประชาธิปไตย การพัฒนาชาติ และชีวิตพลเมืองไทย
บทเตือนสติฉบับนี้ไม่ได้เขียนเพื่อประณามใครเป็นรายคน แต่เพื่อสะท้อน “โครงสร้างนิสัยร่วม” ที่ฝังลึกและทำให้ประชาธิปไตยอ่อนแรง การพัฒนาชาติสะดุด และศักดิ์ศรีของพลเมืองติดหล่มซ้ำซาก
สารบัญ 15 ข้อ
- 1) ยอมรับอำนาจโดยไม่ตั้งคำถาม
- 2) กลัวความขัดแย้งมากกว่ากลัวความอยุติธรรม
- 3) วัฒนธรรมอุปถัมภ์และระบบศักดินาแฝง
- 4) เคยชินกับการ “รอ” มากกว่าการ “ร่วมทำ”
- 5) โอนความรับผิดชอบให้ผู้อื่นเสมอ
- 6) ความงมงายที่แทนที่เหตุผล
- 7) ไม่รักของยาก ไม่อดทนระยะยาว
- 8) สไตล์การทำงานแบบเลี่ยงความรับผิด
- 9) การศึกษาที่ฝึกเชื่อฟังมากกว่าคิด
- 10) การเมืองแบบอารมณ์และตัวบุคคล
- 11) การมีส่วนร่วมทางสังคมแบบฉาบฉวย
- 12) ความเคยชินกับความเหลื่อมล้ำ
- 13) การใช้ศีลธรรมแบบเลือกข้าง
- 14) เชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก
- 15) ไม่เห็นคุณค่าของตนเองในฐานะพลเมือง
15 ข้อในคันฉ่อง
ยอมรับอำนาจโดยไม่ตั้งคำถาม
คนไทยจำนวนมากถูกสอนให้เชื่อฟังมากกว่าคิด การตั้งคำถามต่อผู้มีอำนาจถูกตีความว่าไม่เหมาะสมหรือไม่จงรักภักดี เมื่ออำนาจไม่ถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง ประชาธิปไตยจึงกลายเป็นเพียงฉากหน้า ไม่ใช่ระบบที่ทำงานจริง
กลัวความขัดแย้งมากกว่ากลัวความอยุติธรรม
สังคมไทยยก “ความสงบ” เหนือ “ความถูกต้อง” การเถียงอย่างมีเหตุผลถูกมองว่าเป็นความแตกแยก ทั้งที่ความขัดแย้งเชิงหลักการคือกลไกสำคัญของประชาธิปไตย ความอยุติธรรมจึงสะสมเงียบ ๆ จนกลายเป็นวิกฤต
วัฒนธรรมอุปถัมภ์และระบบศักดินาแฝง
ความก้าวหน้าในชีวิตยังผูกกับเส้นสาย บารมี และความใกล้ชิดผู้มีอำนาจ มากกว่าความสามารถจริง สิ่งนี้ทำลายหลักความเสมอภาค ทำให้คนเก่งหมดแรงใจ และคนไม่เก่งแต่มีเส้นได้ครองตำแหน่งสำคัญ
เคยชินกับการ “รอ” มากกว่าการ “ร่วมทำ”
พลเมืองถูกฝึกให้รอผู้นำ รอรัฐ รอคนดีจากฟ้า มากกว่าการลงมือร่วมแก้ปัญหาเอง เมื่อประชาชนเป็นเพียงผู้รอ ประชาธิปไตยย่อมอ่อนแอ เพราะขาดพลังจากฐานล่าง
โอนความรับผิดชอบให้ผู้อื่นเสมอ
เมื่อประเทศมีปัญหา ความผิดมักถูกโยนให้รัฐบาล นักการเมือง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยไม่ย้อนถามบทบาทของตนเองในฐานะพลเมือง สังคมที่ไม่รับผิดชอบร่วมกัน จะไม่สามารถพัฒนาระบบที่ยั่งยืนได้
ความงมงายที่แทนที่เหตุผล
การพึ่งดวง บุญ วาสนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถูกใช้แทนการวิเคราะห์เชิงเหตุผล เมื่อความเชื่อเหนือข้อมูล นโยบายสาธารณะก็ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักฐาน ประเทศจึงตัดสินใจเรื่องใหญ่ด้วยความรู้สึกมากกว่าวิทยาศาสตร์
ทัศนคติไม่รักของยาก ไม่อดทนระยะยาว
สังคมไทยให้คุณค่ากับทางลัดและผลลัพธ์เร็ว มากกว่าการฝึกฝนลึกและยาว การเรียนรู้เชิงลึก วิจัย และการสร้างสถาบันที่มั่นคงจึงถูกมองว่า “ช้าและไม่คุ้ม” ทั้งที่เป็นรากฐานของความเจริญแท้จริง
สไตล์การทำงานแบบเลี่ยงความรับผิด
การทำงานจำนวนมากมุ่ง “ไม่ให้ผิด” มากกว่า “ให้สำเร็จ” ความล้มเหลวถูกลงโทษมากกว่านำมาเรียนรู้ นวัตกรรมจึงไม่เกิด องค์กรไม่พัฒนา และประเทศหยุดอยู่กับที่
การศึกษาที่ฝึกเชื่อฟังมากกว่าคิด
ระบบการศึกษาสอนให้จำและทำตาม มากกว่าวิเคราะห์ ตั้งคำถาม และโต้แย้งเชิงเหตุผล เด็กจึงโตเป็นผู้ใหญ่ที่รอคำสั่ง ไม่กล้าตัดสินใจ และไม่พร้อมเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
การเมืองแบบอารมณ์และตัวบุคคล
การเมืองถูกลดเหลือการเชียร์หรือเกลียดคน มากกว่าการถกเถียงนโยบายและโครงสร้าง ประชาชนจึงติดกับดักการเมืองแบบแฟนคลับ ขาดการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงานอย่างมีเหตุผล
การมีส่วนร่วมทางสังคมแบบฉาบฉวย
การแสดงออกทางการเมืองจบลงที่โพสต์ ด่า หรือแชร์ แต่ไม่ต่อยอดเป็นการรวมกลุ่ม ทำงานเชิงนโยบาย หรือเฝ้าติดตามระยะยาว ประชาธิปไตยจึงขาดความต่อเนื่องและพลังจริง
ความเคยชินกับความเหลื่อมล้ำ
ความเหลื่อมล้ำถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ คนจนถูกสอนให้ยอมรับชะตา คนรวยถูกมองว่าเก่งหรือมีบุญ เมื่อความไม่เป็นธรรมถูกทำให้ธรรมดา สังคมก็ไม่รู้สึกจำเป็นต้องแก้ไข
การใช้ศีลธรรมแบบเลือกข้าง
ศีลธรรมถูกใช้โจมตีฝ่ายตรงข้าม มากกว่าย้อนตรวจสอบตนเอง กฎหมายและหลักการถูกบิดเพื่อรับใช้ฝ่ายที่ตนชอบ สิ่งนี้ทำลายหลักนิติรัฐ และทำให้กติกาสาธารณะไร้ความศักดิ์สิทธิ์
ความเชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก
คนดีจำนวนมากถอยห่างจากการเมือง เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องเลวร้าย ผลคือพื้นที่อำนาจถูกทิ้งให้คนที่ไม่ยึดหลักการ เมื่อคนดีไม่ร่วม ระบบย่อมไม่ดีได้
การไม่เห็นคุณค่าของตนเองในฐานะพลเมือง
คนไทยจำนวนไม่น้อยไม่รู้สึกว่าตนเองคือ “เจ้าของประเทศ” แต่เป็นเพียงผู้อาศัย เมื่อไม่เห็นคุณค่าของตนเอง ก็ไม่เรียกร้องสิทธิ ไม่ปกป้องเสรีภาพ และไม่หวงแหนประชาธิปไตย
“ประชาธิปไตยไม่อ่อนแอเพราะตัวบทกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่มันอ่อนแอเพราะพลเมืองถูกฝึกให้เชื่อมากกว่าคิด รอมากกว่าร่วมทำ และกลัวมากกว่ายืนหยัด”
หากคนไทยไม่เปลี่ยนนิสัยเหล่านี้ ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะเขียนดีเพียงใด ประเทศก็จะวนกลับมาที่จุดเดิมเสมอ คันฉ่องบานนี้ไม่ได้เรียกร้องให้ใครโกรธ แต่เรียกร้องให้คนไทยกล้าดูหน้าตนเองในฐานะพลเมือง
