PISA คณิตศาสตร์สะท้อนอะไรมากกว่าคะแนนสอบ
และทำไมคนไทยไม่ควรมองข้าม
คะแนนคณิตศาสตร์ต่ำ ไม่ได้แปลว่าเด็ก “โง่” แต่สะท้อน “นิสัยการคิด” ที่สังคมไทยกำลังหล่อหลอมทั้งระบบ ตั้งแต่รัฐ ครอบครัว โรงเรียน ไปจนถึงตัวเยาวชนเอง
ตัวเลขที่ต้องอ่านให้ “ลึก” กว่าคะแนน
หากอ่านผล PISA แบบไม่ผิวเผิน คะแนนคณิตศาสตร์ไม่ได้บอกแค่ว่าเด็กไทย “ทำโจทย์ไม่ได้” แต่กำลังสะท้อน โครงสร้างนิสัยทางปัญญา (cognitive habit) ของสังคมไทย และความพร้อมของประเทศต่อโลกที่ซับซ้อน
คะแนนเฉลี่ยคณิตศาสตร์ไทย (2022)
ลดลงจาก 419 (2018) และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย OECD 472อันดับโดยรวมในกลุ่มประเทศ/เขตเศรษฐกิจ
สะท้อนความเสี่ยงด้านทุนมนุษย์ระยะยาวถึงระดับ 2 (พื้นฐานต่อชีวิตประจำวัน)
เทียบ OECD เฉลี่ย 69%: ช่องว่างความสามารถ “ใช้งานจริง”ระดับ 5–6 (คิดซับซ้อนระดับสูง)
เทียบ OECD เฉลี่ย 9%: ประเทศจะมี “นักคิดระบบ” น้อยเกินไปตัวเลขที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่อันดับโลก แต่คือ “สัดส่วนคนที่ไปถึงระดับคิดซับซ้อน” ที่ต่ำมาก ซึ่งอาจทำให้ประเทศพึ่งพาคนอื่นในงานยุทธศาสตร์: เทคโนโลยี นโยบาย เศรษฐกิจ และการบริหารรัฐ
คะแนนที่ตกต่ำ ไม่ได้บอกว่าเด็กไร้ค่า แต่บอกว่า “ระบบ” กำลังหล่อหลอมอะไร
คณิตศาสตร์ไม่ใช่วิชาท่องจำ และไม่ใช่วิชาที่เอาตัวรอดด้วยไหวพริบเฉพาะหน้า แต่เป็นวินัยที่ต้องอาศัยการฝึกซ้ำ ๆ โดยไม่เห็นผลลัพธ์ทันที หากเด็กส่วนใหญ่ไปไม่ถึงระดับ 2 ซึ่งเป็นระดับพื้นฐานต่อการใช้ชีวิต นั่นอาจหมายความว่าเด็กจำนวนมากยัง จัดการความคิดเชิงตรรกะในสถานการณ์จริงได้ไม่มั่นคง
สังคมที่แข็งแรง ไม่ได้ผลิตคนที่ “รู้สึกดี” ตลอดเวลา แต่ผลิตคนที่ “รับผิดชอบต่อความจริง” และรับมือกับความยากอย่างมีวินัยทางปัญญา
หากสิงคโปร์อยู่แถวหน้าของโลก นั่นไม่ใช่เพราะเด็กฉลาดกว่าโดยธรรมชาติเท่านั้น แต่เพราะทั้งระบบ—รัฐ ครู และครอบครัว—ส่งสารตรงกันว่า “ของที่ยาก คือของจำเป็น” เด็กจึงคุ้นชินกับกรอบที่เข้มงวด และไม่ตีความความยากว่าเป็นศัตรู
ในทางกลับกัน สังคมไทยจำนวนไม่น้อยกลับปลอบเด็กด้วยสารที่อาจ “เมตตาแต่ทำร้าย” เช่น “ไม่ถนัดก็ไม่เป็นไร” หรือ “เอาที่สบายใจ” เพราะหากใช้ผิดที่ผิดเวลา ข้อความเหล่านี้อาจกลายเป็นการสอนให้เด็ก ถอยหนีจากรากฐานของการสร้างอนาคต
“นี่ไม่ใช่เรื่องคะแนนสอบ แต่มันคือเรื่องทิศทางของชาติ: เรากำลังสร้างคนที่คิดเป็นระบบ หรือสร้างคนที่แพ้ความยากตั้งแต่ยังไม่เริ่ม?”
ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ: รัฐบาลควรทำอะไรทันที
- ยกระดับ “ความเข้มของหลักสูตรขั้นต่ำ” ให้เด็กทุกคนไปถึงระดับที่ใช้ชีวิตจริงได้ (อย่างน้อย Level 2)
- ลงทุนครูคณิตศาสตร์แบบจริงจัง ทั้งการอบรมเชิงวิธีสอน การโค้ชรายกรณี และเครื่องมือวัดความก้าวหน้า
- ลดการเรียนเพื่อท่องจำ เปลี่ยนเป็นการแก้ปัญหา (problem solving) ที่เชื่อมชีวิตจริงและข้อมูลจริง
- สร้างระบบติว/เสริมฟรีแบบทั่วถึง โดยเน้นโรงเรียนชนบทและกลุ่มเสี่ยง ไม่ใช่ปล่อยให้ตลาดติวกลืนประเทศ
- วัดผลแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่รอผลสอบใหญ่แล้วค่อยตื่นตกใจ
แผนปฏิรูปที่ดี ต้องไม่โทษเด็ก แต่ต้องแก้ “สภาพแวดล้อม” ที่ทำให้เด็กไม่เกิดนิสัยการคิดลึก
พ่อแม่และเยาวชนควรเริ่มจากอะไร
- พ่อแม่: เลิกส่งสารว่า “ของยากไม่จำเป็น” แล้วเปลี่ยนเป็น “ยากได้ แต่ต้องฝึก”
- พ่อแม่: สร้างเวลา “นิ่งและลึก” วันละ 30–45 นาที (ตัดจอ/ตัดแจ้งเตือน) เพื่อฝึกสมาธิ
- เยาวชน: อย่ากลัวการทำผิด—คณิตศาสตร์คือสนามซ้อมการล้มแล้วลุกแบบมีเหตุผล
- เยาวชน: ฝึกโจทย์ให้เป็น “ระบบ” ไม่ใช่ฝึกให้ไว: เข้าใจขั้นตอนก่อน แล้วค่อยเพิ่มความเร็ว
- ทุกคน: เปลี่ยนทัศนคติจาก “เกลียดเลข” เป็น “ยังไม่ชำนาญ” แล้วค่อย ๆ ฝึก
ประเทศที่ซับซ้อน ต้องการพลเมืองที่คิดเป็นระบบ และนิสัยนั้นเกิดจากการฝึกกับสิ่งที่ยากอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่จากคำพูดสวยงาม หรือแรงบันดาลใจชั่วคราว
บทส่งท้าย: คณิตศาสตร์ไม่ใช่ศัตรูของเด็ก แต่เป็นศัตรูของสังคมที่ไม่กล้าบอกความจริง
หากวันนี้เรายังไม่กล้าบอกเด็กไทยว่า “ของบางอย่างยาก แต่จำเป็น” วันหนึ่งเราอาจต้องบอกลูกหลานว่า ประเทศนี้ไม่มีอำนาจเลือกทางเอง เพราะเราไม่เคยฝึกคิดให้ลึกพอ
นี่ไม่ใช่เรื่องคะแนนสอบ แต่มันคือเรื่อง ทิศทางของชาติ
