รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2560 กับอันตรายเชิงโครงสร้างต่อประชาธิปไตย: บทวิเคราะห์เชิงวิชาการ
บทคัดย่อ — รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องว่า “ปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย” อย่างไรก็ดี หากอธิบายเพียงว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ “สืบทอดอำนาจ คสช.” อาจยังไม่พอจะทำให้เห็นรูปทรงอำนาจที่แท้จริงของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ บทความนี้เสนอว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ได้ยกระดับการเมืองไทยไปสู่รูปแบบของ ประชาธิปไตยภายใต้การกำกับ (tutelary / managed democracy) โดยลดทอนหลักอธิปไตยของประชาชนลงให้กลายเป็นพิธีกรรมเลือกตั้งที่ถูก “คร่อม” ด้วยกลไกหลายชั้น ได้แก่ (1) ความชอบธรรมเชิงกำเนิดที่บกพร่องจากกระบวนการร่างและประชามติ (2) บทบาทวุฒิสภาแต่งตั้งในช่วงเปลี่ยนผ่านและบทบาทยับยั้งการแก้รัฐธรรมนูญ (3) การออกแบบระบบพรรคการเมืองและรัฐบาลให้เปราะบาง (4) การขยายอำนาจองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญภายใต้มาตรฐานจริยธรรมที่กว้างจนเอื้อต่อ “นิติสงคราม” (lawfare) (5) พันธนาการเชิงนโยบายผ่านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ผูกมัดรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และ (6) โครงสร้างจำกัดสิทธิพร้อมการรับรองประกาศ/คำสั่ง คสช. ผ่านบทเฉพาะกาล บทสรุปชี้ว่า “อันตราย” มิใช่ข้อบกพร่องรายมาตรา แต่คือการเชื่อมร้อยของกลไกที่ทำให้ระบบการเมืองไทย เลือกตั้งได้ แต่เปลี่ยนผ่านอำนาจโดยประชาชนได้ยาก
1) บทนำ: จาก “การเลือกตั้ง” สู่ “การเลือกตั้งภายใต้การกำกับ”
ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาโดยสาระตั้งอยู่บนหลักใหญ่สามประการ ได้แก่ (1) อธิปไตยเป็นของประชาชน (popular sovereignty) ซึ่งแปลงเป็นอำนาจรัฐผ่านการเลือกตั้ง (2) ความรับผิดและการถ่วงดุลที่ยึดโยงกับประชาชน (accountability) และ (3) นิติรัฐ (rule of law) ที่กฎหมายใช้เพื่อคุ้มครองเสรีภาพและความเสมอภาค มากกว่าจะเป็นเครื่องมือสลายคู่แข่งทางการเมือง
รัฐธรรมนูญ 2560 ถูกวิจารณ์ว่าทำให้โครงสร้างทั้งสามข้างต้น “ผิดรูป” กล่าวคือ เปิดให้มีการเลือกตั้ง แต่ลดทอนความสามารถของประชาชนในการกำหนดรัฐบาลและนโยบาย พร้อมเพิ่ม “ผู้มีอำนาจยับยั้ง” (veto players) ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนให้ครอบงำการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐ ทั้งยังเพิ่มช่องทางให้กลไกตุลาการและองค์กรอิสระใช้อำนาจในมิติที่กระทบต่อรัฐบาลและพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
2) ความชอบธรรมเชิงกำเนิดที่บกพร่อง: กระบวนการร่างและประชามติ 2559
ในแนวคิดรัฐธรรมนูญนิยมร่วมสมัย “ความชอบธรรม” ของรัฐธรรมนูญมิใช่เพียงการมีผลบังคับใช้ตามพิธีการ แต่เกี่ยวพันกับความเป็นเจ้าของร่วมของสังคม (collective authorship) กล่าวคือ ประชาชนต้องมีเสรีภาพเพียงพอที่จะถกเถียง เห็นต่าง และตัดสินใจในกระบวนการกำเนิดรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
รัฐธรรมนูญ 2560 เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 2557 โดยคณะผู้ร่างถูกแต่งตั้งภายใต้โครงสร้างอำนาจของ คสช. ขณะเดียวกัน ประชามติ 2559 ถูกตั้งคำถามว่าดำเนินไปท่ามกลางข้อจำกัดเสรีภาพการรณรงค์และบรรยากาศที่ทำให้ฝ่ายคัดค้านไม่สามารถแข่งขันเชิงเหตุผลในพื้นที่สาธารณะได้อย่างเท่าเทียม องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศชี้ถึง “บรรยากาศละเมิดสิทธิอย่างแพร่หลาย” ที่ทำให้การรณรงค์และการแสดงออกถูกทำให้ “เย็นชา” (chilling effect) ในช่วงประชามติ1 และมีรายงานเชิงภาคสนามเกี่ยวกับการใช้กฎหมาย/คำสั่งเพื่อดำเนินคดีต่อผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ2
หากประชามติเป็น “การให้ความยินยอม” แต่ความยินยอมเกิดภายใต้ข้อจำกัดการพูด การชุมนุม และการรณรงค์ ความชอบธรรมที่ได้ย่อมเป็นความชอบธรรมแบบจำกัดเงื่อนไข ไม่ใช่ความยินยอมโดยเสรี
หมายเหตุเชิงวิธีวิจัย: ในเชิงวิชาการ การชี้ว่า “ประชามติผ่าน” ไม่เพียงพอ ต้องประเมิน “คุณภาพประชามติ” (freedom, fairness, and openness of deliberation) ซึ่งเป็นเงื่อนไขขั้นต่ำของการอ้างเจตจำนงประชาชน
3) วุฒิสภาแต่งตั้งและการผลิต “ผู้มีอำนาจยับยั้ง” ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน
3.1 ส.ว. 250 คนกับการเลือกนายกรัฐมนตรี: การย้ายจุดชี้ขาดออกจากประชาชน
โครงสร้างสำคัญช่วงเปลี่ยนผ่านของรัฐธรรมนูญ 2560 คือการให้วุฒิสภา 250 คนซึ่งสรรหา/แต่งตั้งภายใต้อิทธิพล คสช. มีอำนาจร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ (ดูตัวบทรัฐธรรมนูญ 2560)3 การออกแบบเช่นนี้สร้างผลกระทบเชิงหลักการ 2 ชั้นพร้อมกัน: (1) ทำให้เจตจำนงของประชาชนจากการเลือกตั้ง “ไม่ใช่เงื่อนไขเพียงพอ” ต่อการจัดตั้งรัฐบาล และ (2) ทำให้รัฐบาลที่เกิดขึ้นมีแรงจูงใจต้อง “ตอบสนองต่อผู้แต่งตั้ง” มากกว่าผู้เลือกตั้ง
หลักฐานเชิงเหตุการณ์สะท้อนผลของโครงสร้างดังกล่าวในทางการเมืองจริง โดยสื่อและการวิเคราะห์ร่วมสมัยชี้ว่า ส.ว. ชุดดังกล่าวมีบทบาทชี้ขาดในการเลือกนายกรัฐมนตรีมากกว่าหนึ่งครั้ง และมีส่วนสำคัญต่อการ “สกัด” ผู้ถูกเสนอชื่อจากฝ่ายชนะเลือกตั้งในการจัดตั้งรัฐบาลบางห้วงเวลา4 ตลอดจนการวิเคราะห์สถานการณ์หลังเลือกตั้ง 2023 ที่ชี้บทบาทของวุฒิสภาแต่งตั้งในฐานะกลไกที่บิดทิศทางเจตจำนงประชาชน5
3.2 ส.ว. กับการปิดตายการแก้รัฐธรรมนูญ: วาง “กำแพง” ให้สูงกว่าการเมืองปกติ
นอกจากการชี้ขาดนายกรัฐมนตรีแล้ว รัฐธรรมนูญ 2560 ยังถูกวิจารณ์ว่าทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องยากผิดปกติ โดยกำหนดให้ต้องมีเสียงจากวุฒิสภาตาม “สัดส่วนขั้นต่ำ” ในวาระสำคัญ ซึ่งทำให้วุฒิสภากลายเป็นผู้ถือสิทธิยับยั้ง (veto) ต่อการปฏิรูปเชิงประชาธิปไตย
ในทางการเมืองร่วมสมัย ข้อกำหนดที่ต้องได้เสียง ส.ว. อย่างน้อยหนึ่งในสาม (เช่น 67 เสียงในบริบทวุฒิสภา 200 คน) ถูกอธิบายอย่างกว้างขวางว่าเป็น “อุปสรรคเชิงโครงสร้าง” ต่อการแก้รัฐธรรมนูญ6 และมีข้อเสนอแก้เพื่อลดเพดานดังกล่าวซึ่งสะท้อนว่ากติกาปัจจุบันถูกมองว่าหนักเกินไปสำหรับสังคมประชาธิปไตยปกติ7
4) ระบบพรรคการเมืองและความเปราะบางของรัฐบาล: เมื่อ “เสถียรภาพ” ถูกสร้างผ่านการควบคุม ไม่ใช่ความยินยอม
ระบบการเลือกตั้งและกลไกพรรคการเมืองในรัฐธรรมนูญ 2560 ถูกวิจารณ์ว่า “ออกแบบเพื่อความอ่อนแอ” กล่าวคือ ทำให้พรรคขนาดใหญ่แปลงคะแนนนิยมเป็นอำนาจบริหารได้ยาก ส่งเสริมรัฐบาลผสมที่เปราะบาง และเพิ่มพื้นที่ให้กลุ่มอำนาจที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งกลายเป็นตัวกลางสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล
ในเชิงทฤษฎีสถาบัน (institutional design) การสร้างรัฐบาลที่เปราะบางอย่างเป็นระบบมีผลสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ: (1) ทำให้การกำหนดนโยบายสาธารณะเป็นผลของการต่อรองผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มมากกว่าวิสัยทัศน์สาธารณะ (2) ทำให้รัฐบาลต้องหาหลักประกันความอยู่รอดจาก “ผู้มีอำนาจนอกคูหา” และ (3) ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าการเลือกตั้ง “เปลี่ยนอะไรไม่ได้” ซึ่งกัดกร่อนความชอบธรรมของประชาธิปไตยในระยะยาว
หมายเหตุ: ประเด็นนี้สัมพันธ์กับบทบาท ส.ว. และองค์กรอิสระอย่างใกล้ชิด กล่าวคือ เมื่อรัฐบาลผสมอ่อนแอ การใช้กลไกกฎหมาย/จริยธรรมเพื่อ “ย้ายสมดุล” ในสภาจะมีประสิทธิผลสูงขึ้น
5) ตุลาการภิวัฒน์และ “นิติสงคราม” (Lawfare): เมื่อกฎหมายกลายเป็นสนามต่อสู้ทางการเมือง
5.1 มาตรฐานจริยธรรมที่กว้าง: พื้นที่ตีความที่กลืนการเมืองเข้าไปในกฎหมาย
รัฐธรรมนูญ 2560 เพิ่มน้ำหนักให้ “มาตรฐานจริยธรรม” ในฐานะเกณฑ์ถอดถอน/ตัดสิทธิ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ากว้างและคลุมเครือจนเปิดช่องให้การตีความทางการเมืองแฝงตัวอยู่ในการวินิจฉัยทางกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อเกณฑ์ดังกล่าวถูกใช้กับตำแหน่งทางการเมืองที่ควรอยู่ภายใต้ความรับผิดทางการเมืองต่อสภาและประชาชนเป็นหลัก
5.2 ตัวอย่างเชิงเหตุการณ์: การยุบพรรคและการเปลี่ยนแผนที่การเมือง
ตัวอย่างเชิงประจักษ์ที่สำคัญคือการยุบพรรคการเมืองใหญ่ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนหลายครั้งในทศวรรษที่ผ่านมา การยุบพรรคอนาคตใหม่ในปี 2020 ถูกสื่อระหว่างประเทศรายงานว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่กระตุ้นแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองและความไม่พอใจของคนรุ่นใหม่8 ต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลเมื่อ 7 สิงหาคม 2024 ซึ่งองค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติแสดงความกังวลว่าเป็นการทำให้ผู้แทนและผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากถูก “ตัดขาด” จากการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีความหมาย910
5.3 ตัวอย่างเชิงเหตุการณ์: การถอดถอนนายกรัฐมนตรีด้วยเหตุ “จริยธรรม”
แนวโน้มการใช้ “จริยธรรม” เป็นฐานให้ศาลชี้ขาดทางการเมืองสะท้อนชัดจากกรณีถอดถอนนายกรัฐมนตรีหลายกรณี เช่น การที่ศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน เมื่อ 14 สิงหาคม 2024 ด้วยเหตุละเมิดมาตรฐานจริยธรรมจากการแต่งตั้งรัฐมนตรี ซึ่งสื่อระหว่างประเทศรายงานอย่างกว้างขวาง11
ในปี 2025 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยกรอบเหตุผลด้านมาตรฐานจริยธรรมจากกรณีคลิปเสียงสนทนาเกี่ยวกับกัมพูชา (29 สิงหาคม 2025) โดยสำนักข่าว Reuters รายงานผลคำวินิจฉัยดังกล่าวว่าเป็นการปลดนายกรัฐมนตรีด้วยเหตุจริยธรรมและก่อให้เกิดการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองภายในประเทศ12 ขณะที่งานวิเคราะห์เชิงนิติรัฐศาสตร์ชี้ว่า กรณีดังกล่าวทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ความรับผิดทางการเมือง” กับ “ความรับผิดทางกฎหมาย/จริยธรรม” พร่าเลือนลงอย่างมีนัยสำคัญ13
6) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี: การตรึงอนาคตและลดทอนสิทธิของคนรุ่นปัจจุบัน
กลไกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีถูกวิจารณ์ว่าเป็น “พันธนาการเชิงนโยบาย” ที่ทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งต้องเดินตามกรอบที่ถูกวางไว้ก่อนหน้า โดยมีความเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบ/ลงโทษหากเบี่ยงออกจากกรอบดังกล่าว แนวคิดนี้สวนทางกับตรรกะพื้นฐานของประชาธิปไตยเชิงนโยบาย (policy responsiveness) เพราะรัฐบาลควรสะท้อนความต้องการของประชาชนที่เปลี่ยนไปตามสภาวการณ์เศรษฐกิจ สังคม และโลก
สื่อและการรายงานเชิงอธิบายตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นชี้ว่า “ยุทธศาสตร์ชาติ” ถูกทำให้มีผลผูกพันทางกฎหมายและถูกมองว่าเปิดช่องให้กองทัพ/ชนชั้นนำมีอำนาจกำกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระยะยาว14 ทั้งนี้ เอกสารยุทธศาสตร์ชาติ (2018–2037) ในฉบับภาษาอังกฤษที่เผยแพร่ในแหล่งข้อมูลสาธารณะสะท้อนกรอบการวางเป้าหมายระยะยาวและการแตกแผนลงสู่แผนระดับรองที่ยึดโยงกับกลไกภาครัฐ15
ประเด็นมิใช่การมี “แผนระยะยาว” (ซึ่งทุกประเทศมี) แต่คือการทำให้แผนดังกล่าวมีสถานะทางกฎหมายและใช้เป็นฐานทางวินัย/ลงโทษรัฐบาลจากการเลือกตั้ง จนแผนกลายเป็น “อำนาจเหนือการเมือง” มากกว่ากรอบเพื่อประสิทธิภาพการบริหาร
7) สิทธิ เสรีภาพ และบทเฉพาะกาล: มาตรา 279 กับการทำให้คำสั่งรัฐประหาร “ชอบด้วยกฎหมาย”
แม้รัฐธรรมนูญ 2560 รับรองสิทธิและเสรีภาพหลายประการในเชิงถ้อยคำ แต่ในเชิงโครงสร้างถูกวิจารณ์ว่าเปิดช่องให้รัฐจำกัดสิทธิได้กว้างผ่านกรอบ “ความมั่นคง” และ “ความสงบเรียบร้อย” ประกอบกับบริบทการบังคับใช้กฎหมายที่องค์กรสิทธิมนุษยชนระบุว่าเสรีภาพการแสดงออกถูกดำเนินคดีได้ง่ายในทางปฏิบัติ16
ประเด็นที่หนักที่สุดด้านนิติรัฐคือ บทเฉพาะกาลมาตรา 279 ซึ่งรับรองให้ประกาศและคำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. “ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย” ส่งผลให้การใช้อำนาจภายใต้ระบอบรัฐประหารได้รับความคุ้มครองอย่างยาวนานและทำให้การตรวจสอบเชิงความยุติธรรมเชิงเปลี่ยนผ่าน (transitional justice) ถูกจำกัดอย่างรุนแรง17
บทบัญญัตินี้ยังถูกหยิบยกในพื้นที่สาธารณะว่าทำให้ “ผลพวงรัฐประหาร” ถูกตรึงไว้ในระบบกฎหมาย และเป็นหนึ่งในเป้าหมายการเสนอแก้ไขของภาคประชาชน/ภาคการเมืองบางส่วน18
8) สรุป: อันตรายของรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ใช่ความบกพร่องรายมาตรา แต่คือ “สถาปัตยกรรมแห่งการยับยั้ง”
หากมองรัฐธรรมนูญ 2560 เป็น “ระบบ” จะพบว่าแกนกลางคือการสร้าง สถาปัตยกรรมแห่งการยับยั้ง (architecture of veto and control) ให้สถาบันที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนสามารถครอบงำ (1) การจัดตั้งรัฐบาล (2) การแก้กติกาสูงสุด (3) ความอยู่รอดของพรรคการเมือง และ (4) ทิศทางนโยบายระยะยาวของประเทศ
นัยสำคัญที่สุดคือการทำให้ “การเลือกตั้ง” ลดสถานะจากการเป็นกลไกตัดสินอำนาจสูงสุดของประชาชน เหลือเพียงกลไกจัดสรรตำแหน่งบางส่วนภายใต้เพดานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เมื่อระบบผลิตความรู้สึกว่า เลือกแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ความศรัทธาต่อกระบวนการประชาธิปไตยจะถดถอย และการเมืองจะไหลไปสู่ความขัดแย้งนอกสถาบันมากขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้อ้างว่าจะสร้างเสียเอง
- คืนอำนาจจัดตั้งรัฐบาลให้ยึดโยงประชาชนโดยสมบูรณ์ และลด “ผู้มีสิทธิยับยั้ง” ที่ไม่มาจากการเลือกตั้งในประเด็นแกนกลางของอำนาจอธิปไตย
- ทำให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปได้จริง ภายใต้หลักประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วม ไม่ใช่ถูกล็อกด้วยเงื่อนไขที่ทำให้เปลี่ยนแทบไม่ได้
- จำกัดการใช้มาตรฐานจริยธรรมที่คลุมเครือ ให้สอดคล้องหลักนิติรัฐ ลดช่องว่างที่ทำให้กฎหมายกลายเป็นสนาม “ชี้ขาดการเมือง” แทนประชาชน
- ทบทวนบทบาทยุทธศาสตร์ชาติ ให้เป็น “กรอบนโยบาย” มากกว่า “เครื่องมือกำกับ/ลงโทษ” รัฐบาลจากการเลือกตั้ง
- ทบทวนบทเฉพาะกาลที่รับรองผลรัฐประหาร เพื่อฟื้นหลักความยุติธรรมและความรับผิดของผู้ใช้อำนาจนอกระบบ
ข้อสังเกตสุดท้าย: บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ “โครงสร้าง” ไม่ใช่โจมตีบุคคลหรือสถาบันใด ๆ เพราะความเสื่อมของประชาธิปไตยมักเกิดจากการวางกติกาที่ทำให้ “พฤติกรรมบางชนิด” ได้เปรียบอย่างถาวร หากต้องการแก้ ต้องแก้ที่สถาปัตยกรรมของระบบ ไม่ใช่เพียงเปลี่ยนผู้เล่น การเปลี่ยนระบอบต้องเกิดจากการเปลี่ยนกลไกเชิงโครงสร้าง ซึ่งมากกว่าแค่เปลี่ยนตัวบุคคล
เชิงอรรถและบรรณานุกรม
- Amnesty International (5 Aug 2016). Thailand: Referendum marred by human rights violations. แหล่งข้อมูล ↩
- Thai Lawyers for Human Rights (TLHR). No Freedom, No Fairness: Running a Campaign at the Constitutional Referendum (รายงานการใช้กฎหมาย/คำสั่งต่อผู้เห็นต่าง). แหล่งข้อมูล ↩
- สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (ไฟล์ PDF ตัวบทรัฐธรรมนูญ). แหล่งข้อมูล ↩
- The Nation Thailand (12 May 2024). An overview of 250 outgoing senators' role during their 5-year term (สรุปบทบาท ส.ว. แต่งตั้งในการเลือกนายกฯ/สกัดผู้สมัคร). แหล่งข้อมูล ↩
- International Crisis Group (31 Jul 2023). Thai Establishment Thwarts Popular Will with Post-election Moves (วิเคราะห์การขัดขวางเจตจำนงประชาชนหลังเลือกตั้ง). แหล่งข้อมูล ↩
- Prachatai English (12 Feb 2025). Parliament to debate amendment to Section 256... (อธิบายเงื่อนไขต้องได้เสียง ส.ว. อย่างน้อย 67 เสียงเป็นอุปสรรค). แหล่งข้อมูล ↩
- Bangkok Post (24 Sep 2025). Bhumjaithai limits Senate role in charter rewriting (กล่าวถึงกติกาปัจจุบันต้องได้เสียง ส.ว. 1/3 และข้อเสนอให้ลดเพดาน). แหล่งข้อมูล ↩
- TIME (21 Feb 2020). A Thai Opposition Party That Pushed for Democratic Reform Has Just Been Disbanded (กรณียุบพรรคอนาคตใหม่). แหล่งข้อมูล ↩
- Human Rights Watch (7 Aug 2024). Thailand: Constitutional Court Dissolves Opposition Party (กรณียุบพรรคก้าวไกลและผลกระทบต่อประชาธิปไตย). แหล่งข้อมูล ↩
- OHCHR – UN experts (12 Aug 2024). Thailand: UN experts seriously concerned about dissolution... (ข้อกังวลต่อการยุบพรรคและการลิดรอนสิทธิการมีส่วนร่วม). แหล่งข้อมูล ↩
- ABC News (Australia) (14 Aug 2024). Thailand's constitutional court removes Prime Minister Srettha Thavisin... (คดีจริยธรรมและการถอดถอนนายกฯ). แหล่งข้อมูล ↩
- Reuters (29 Aug 2025). Thai prime minister removed by court, triggering power scramble (กรณีแพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งด้วยเหตุจริยธรรม). แหล่งข้อมูล ↩
- Verfassungsblog (18 Sep 2025). Blurring the Divide between Legal and Political Liability (วิเคราะห์เส้นแบ่งความรับผิดทางการเมือง–กฎหมายในคดีถอดถอนนายกฯ). แหล่งข้อมูล ↩
- ABC News (Australia) (23 Jun 2017). Thailand to impose 20-year national strategy on future governments (ชี้ผลผูกพันทางกฎหมายและการกำกับรัฐบาลเลือกตั้ง). แหล่งข้อมูล ↩
- FAOLEX (เผยแพร่เอกสาร) National Strategy 2018–2037 (Thailand) (เอกสารกรอบยุทธศาสตร์ชาติ). แหล่งข้อมูล ↩
- Human Rights Watch (24 Oct 2019). To Speak Out is Dangerous: Criminalization of Peaceful Expression in Thailand (บริบทการดำเนินคดีและ chilling effect). แหล่งข้อมูล ↩
- iLaw (27 Nov 2019). แก้รัฐธรรมนูญ: ยกเลิก “มาตรา 279” ลบล้างผลพวงรัฐประหาร (อธิบายผลของมาตรา 279 ต่อการรับรองประกาศ/คำสั่ง คสช.). แหล่งข้อมูล ↩
- Prachatai (26 Apr 2021). ศาล รธน.วินิจฉัยประกาศ คสช.... แม้ว่ารัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 279 จะกำหนดให้ประกาศและคำสั่ง คสช... (สะท้อนการถกเถียงผลของมาตรา 279 ในทางปฏิบัติ). แหล่งข้อมูล ↩
