Friday, December 26, 2025

รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2560 กับอันตรายเชิงโครงสร้างต่อประชาธิปไตย: บทวิเคราะห์เชิงวิชาการ

รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2560 กับอันตรายเชิงโครงสร้างต่อประชาธิปไตย: บทวิเคราะห์เชิงวิชาการ

รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2560 กับอันตรายเชิงโครงสร้างต่อประชาธิปไตย: บทวิเคราะห์เชิงวิชาการ

แนวบทความ: รัฐศาสตร์–นิติรัฐศาสตร์เชิงสถาบัน (institutional constitutionalism) | ฉบับเผยแพร่: HTML สำหรับ WordPress/Blogspot | ปรับปรุงล่าสุด: 26 ธันวาคม 2025

บทคัดย่อ — รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องว่า “ปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย” อย่างไรก็ดี หากอธิบายเพียงว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ “สืบทอดอำนาจ คสช.” อาจยังไม่พอจะทำให้เห็นรูปทรงอำนาจที่แท้จริงของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ บทความนี้เสนอว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ได้ยกระดับการเมืองไทยไปสู่รูปแบบของ ประชาธิปไตยภายใต้การกำกับ (tutelary / managed democracy) โดยลดทอนหลักอธิปไตยของประชาชนลงให้กลายเป็นพิธีกรรมเลือกตั้งที่ถูก “คร่อม” ด้วยกลไกหลายชั้น ได้แก่ (1) ความชอบธรรมเชิงกำเนิดที่บกพร่องจากกระบวนการร่างและประชามติ (2) บทบาทวุฒิสภาแต่งตั้งในช่วงเปลี่ยนผ่านและบทบาทยับยั้งการแก้รัฐธรรมนูญ (3) การออกแบบระบบพรรคการเมืองและรัฐบาลให้เปราะบาง (4) การขยายอำนาจองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญภายใต้มาตรฐานจริยธรรมที่กว้างจนเอื้อต่อ “นิติสงคราม” (lawfare) (5) พันธนาการเชิงนโยบายผ่านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ผูกมัดรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และ (6) โครงสร้างจำกัดสิทธิพร้อมการรับรองประกาศ/คำสั่ง คสช. ผ่านบทเฉพาะกาล บทสรุปชี้ว่า “อันตราย” มิใช่ข้อบกพร่องรายมาตรา แต่คือการเชื่อมร้อยของกลไกที่ทำให้ระบบการเมืองไทย เลือกตั้งได้ แต่เปลี่ยนผ่านอำนาจโดยประชาชนได้ยาก

คำสำคัญ: รัฐธรรมนูญ 2560, ประชาธิปไตยภายใต้การกำกับ, วุฒิสภาแต่งตั้ง, นิติสงคราม (lawfare), มาตรฐานจริยธรรม, ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, มาตรา 279

1) บทนำ: จาก “การเลือกตั้ง” สู่ “การเลือกตั้งภายใต้การกำกับ”

ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาโดยสาระตั้งอยู่บนหลักใหญ่สามประการ ได้แก่ (1) อธิปไตยเป็นของประชาชน (popular sovereignty) ซึ่งแปลงเป็นอำนาจรัฐผ่านการเลือกตั้ง (2) ความรับผิดและการถ่วงดุลที่ยึดโยงกับประชาชน (accountability) และ (3) นิติรัฐ (rule of law) ที่กฎหมายใช้เพื่อคุ้มครองเสรีภาพและความเสมอภาค มากกว่าจะเป็นเครื่องมือสลายคู่แข่งทางการเมือง

รัฐธรรมนูญ 2560 ถูกวิจารณ์ว่าทำให้โครงสร้างทั้งสามข้างต้น “ผิดรูป” กล่าวคือ เปิดให้มีการเลือกตั้ง แต่ลดทอนความสามารถของประชาชนในการกำหนดรัฐบาลและนโยบาย พร้อมเพิ่ม “ผู้มีอำนาจยับยั้ง” (veto players) ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนให้ครอบงำการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐ ทั้งยังเพิ่มช่องทางให้กลไกตุลาการและองค์กรอิสระใช้อำนาจในมิติที่กระทบต่อรัฐบาลและพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง

ข้อเสนอหลักของบทความ — อันตรายของรัฐธรรมนูญ 2560 ต่อประชาธิปไตยไทยไม่ได้อยู่ที่ “มาตราใดมาตราหนึ่ง” แต่อยู่ที่ “การวางระบบ” ให้สถาบันที่ไม่มาจากการเลือกตั้งสามารถ (ก) ชี้ขาดการจัดตั้งรัฐบาล (ข) ตรึงการแก้รัฐธรรมนูญและนโยบายระยะยาว และ (ค) ใช้กลไกกฎหมาย–จริยธรรมเพื่อจัดรูปสนามแข่งขันทางการเมืองให้เอียงอย่างเป็นโครงสร้าง

2) ความชอบธรรมเชิงกำเนิดที่บกพร่อง: กระบวนการร่างและประชามติ 2559

ในแนวคิดรัฐธรรมนูญนิยมร่วมสมัย “ความชอบธรรม” ของรัฐธรรมนูญมิใช่เพียงการมีผลบังคับใช้ตามพิธีการ แต่เกี่ยวพันกับความเป็นเจ้าของร่วมของสังคม (collective authorship) กล่าวคือ ประชาชนต้องมีเสรีภาพเพียงพอที่จะถกเถียง เห็นต่าง และตัดสินใจในกระบวนการกำเนิดรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง

รัฐธรรมนูญ 2560 เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 2557 โดยคณะผู้ร่างถูกแต่งตั้งภายใต้โครงสร้างอำนาจของ คสช. ขณะเดียวกัน ประชามติ 2559 ถูกตั้งคำถามว่าดำเนินไปท่ามกลางข้อจำกัดเสรีภาพการรณรงค์และบรรยากาศที่ทำให้ฝ่ายคัดค้านไม่สามารถแข่งขันเชิงเหตุผลในพื้นที่สาธารณะได้อย่างเท่าเทียม องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศชี้ถึง “บรรยากาศละเมิดสิทธิอย่างแพร่หลาย” ที่ทำให้การรณรงค์และการแสดงออกถูกทำให้ “เย็นชา” (chilling effect) ในช่วงประชามติ1 และมีรายงานเชิงภาคสนามเกี่ยวกับการใช้กฎหมาย/คำสั่งเพื่อดำเนินคดีต่อผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ2

หากประชามติเป็น “การให้ความยินยอม” แต่ความยินยอมเกิดภายใต้ข้อจำกัดการพูด การชุมนุม และการรณรงค์ ความชอบธรรมที่ได้ย่อมเป็นความชอบธรรมแบบจำกัดเงื่อนไข ไม่ใช่ความยินยอมโดยเสรี

หมายเหตุเชิงวิธีวิจัย: ในเชิงวิชาการ การชี้ว่า “ประชามติผ่าน” ไม่เพียงพอ ต้องประเมิน “คุณภาพประชามติ” (freedom, fairness, and openness of deliberation) ซึ่งเป็นเงื่อนไขขั้นต่ำของการอ้างเจตจำนงประชาชน

3) วุฒิสภาแต่งตั้งและการผลิต “ผู้มีอำนาจยับยั้ง” ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน

3.1 ส.ว. 250 คนกับการเลือกนายกรัฐมนตรี: การย้ายจุดชี้ขาดออกจากประชาชน

โครงสร้างสำคัญช่วงเปลี่ยนผ่านของรัฐธรรมนูญ 2560 คือการให้วุฒิสภา 250 คนซึ่งสรรหา/แต่งตั้งภายใต้อิทธิพล คสช. มีอำนาจร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ (ดูตัวบทรัฐธรรมนูญ 2560)3 การออกแบบเช่นนี้สร้างผลกระทบเชิงหลักการ 2 ชั้นพร้อมกัน: (1) ทำให้เจตจำนงของประชาชนจากการเลือกตั้ง “ไม่ใช่เงื่อนไขเพียงพอ” ต่อการจัดตั้งรัฐบาล และ (2) ทำให้รัฐบาลที่เกิดขึ้นมีแรงจูงใจต้อง “ตอบสนองต่อผู้แต่งตั้ง” มากกว่าผู้เลือกตั้ง

หลักฐานเชิงเหตุการณ์สะท้อนผลของโครงสร้างดังกล่าวในทางการเมืองจริง โดยสื่อและการวิเคราะห์ร่วมสมัยชี้ว่า ส.ว. ชุดดังกล่าวมีบทบาทชี้ขาดในการเลือกนายกรัฐมนตรีมากกว่าหนึ่งครั้ง และมีส่วนสำคัญต่อการ “สกัด” ผู้ถูกเสนอชื่อจากฝ่ายชนะเลือกตั้งในการจัดตั้งรัฐบาลบางห้วงเวลา4 ตลอดจนการวิเคราะห์สถานการณ์หลังเลือกตั้ง 2023 ที่ชี้บทบาทของวุฒิสภาแต่งตั้งในฐานะกลไกที่บิดทิศทางเจตจำนงประชาชน5

3.2 ส.ว. กับการปิดตายการแก้รัฐธรรมนูญ: วาง “กำแพง” ให้สูงกว่าการเมืองปกติ

นอกจากการชี้ขาดนายกรัฐมนตรีแล้ว รัฐธรรมนูญ 2560 ยังถูกวิจารณ์ว่าทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องยากผิดปกติ โดยกำหนดให้ต้องมีเสียงจากวุฒิสภาตาม “สัดส่วนขั้นต่ำ” ในวาระสำคัญ ซึ่งทำให้วุฒิสภากลายเป็นผู้ถือสิทธิยับยั้ง (veto) ต่อการปฏิรูปเชิงประชาธิปไตย

ในทางการเมืองร่วมสมัย ข้อกำหนดที่ต้องได้เสียง ส.ว. อย่างน้อยหนึ่งในสาม (เช่น 67 เสียงในบริบทวุฒิสภา 200 คน) ถูกอธิบายอย่างกว้างขวางว่าเป็น “อุปสรรคเชิงโครงสร้าง” ต่อการแก้รัฐธรรมนูญ6 และมีข้อเสนอแก้เพื่อลดเพดานดังกล่าวซึ่งสะท้อนว่ากติกาปัจจุบันถูกมองว่าหนักเกินไปสำหรับสังคมประชาธิปไตยปกติ7

ผลสรุปเชิงสถาบัน — เมื่อ (ก) วุฒิสภาไม่ยึดโยงกับประชาชน และ (ข) ถือสิทธิยับยั้งต่อการเปลี่ยนกติกา ระบบจะมีแนวโน้ม “ตรึง” อำนาจของกลุ่มเดิมและทำให้การปฏิรูปต้องพึ่งพาการต่อรองนอกระบบมากขึ้น ซึ่งสวนทางกับหลักความเป็นเจ้าของอำนาจของประชาชน

4) ระบบพรรคการเมืองและความเปราะบางของรัฐบาล: เมื่อ “เสถียรภาพ” ถูกสร้างผ่านการควบคุม ไม่ใช่ความยินยอม

ระบบการเลือกตั้งและกลไกพรรคการเมืองในรัฐธรรมนูญ 2560 ถูกวิจารณ์ว่า “ออกแบบเพื่อความอ่อนแอ” กล่าวคือ ทำให้พรรคขนาดใหญ่แปลงคะแนนนิยมเป็นอำนาจบริหารได้ยาก ส่งเสริมรัฐบาลผสมที่เปราะบาง และเพิ่มพื้นที่ให้กลุ่มอำนาจที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งกลายเป็นตัวกลางสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล

ในเชิงทฤษฎีสถาบัน (institutional design) การสร้างรัฐบาลที่เปราะบางอย่างเป็นระบบมีผลสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ: (1) ทำให้การกำหนดนโยบายสาธารณะเป็นผลของการต่อรองผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มมากกว่าวิสัยทัศน์สาธารณะ (2) ทำให้รัฐบาลต้องหาหลักประกันความอยู่รอดจาก “ผู้มีอำนาจนอกคูหา” และ (3) ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าการเลือกตั้ง “เปลี่ยนอะไรไม่ได้” ซึ่งกัดกร่อนความชอบธรรมของประชาธิปไตยในระยะยาว

หมายเหตุ: ประเด็นนี้สัมพันธ์กับบทบาท ส.ว. และองค์กรอิสระอย่างใกล้ชิด กล่าวคือ เมื่อรัฐบาลผสมอ่อนแอ การใช้กลไกกฎหมาย/จริยธรรมเพื่อ “ย้ายสมดุล” ในสภาจะมีประสิทธิผลสูงขึ้น

5) ตุลาการภิวัฒน์และ “นิติสงคราม” (Lawfare): เมื่อกฎหมายกลายเป็นสนามต่อสู้ทางการเมือง

5.1 มาตรฐานจริยธรรมที่กว้าง: พื้นที่ตีความที่กลืนการเมืองเข้าไปในกฎหมาย

รัฐธรรมนูญ 2560 เพิ่มน้ำหนักให้ “มาตรฐานจริยธรรม” ในฐานะเกณฑ์ถอดถอน/ตัดสิทธิ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ากว้างและคลุมเครือจนเปิดช่องให้การตีความทางการเมืองแฝงตัวอยู่ในการวินิจฉัยทางกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อเกณฑ์ดังกล่าวถูกใช้กับตำแหน่งทางการเมืองที่ควรอยู่ภายใต้ความรับผิดทางการเมืองต่อสภาและประชาชนเป็นหลัก

5.2 ตัวอย่างเชิงเหตุการณ์: การยุบพรรคและการเปลี่ยนแผนที่การเมือง

ตัวอย่างเชิงประจักษ์ที่สำคัญคือการยุบพรรคการเมืองใหญ่ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนหลายครั้งในทศวรรษที่ผ่านมา การยุบพรรคอนาคตใหม่ในปี 2020 ถูกสื่อระหว่างประเทศรายงานว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่กระตุ้นแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองและความไม่พอใจของคนรุ่นใหม่8 ต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลเมื่อ 7 สิงหาคม 2024 ซึ่งองค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติแสดงความกังวลว่าเป็นการทำให้ผู้แทนและผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากถูก “ตัดขาด” จากการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีความหมาย910

5.3 ตัวอย่างเชิงเหตุการณ์: การถอดถอนนายกรัฐมนตรีด้วยเหตุ “จริยธรรม”

แนวโน้มการใช้ “จริยธรรม” เป็นฐานให้ศาลชี้ขาดทางการเมืองสะท้อนชัดจากกรณีถอดถอนนายกรัฐมนตรีหลายกรณี เช่น การที่ศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน เมื่อ 14 สิงหาคม 2024 ด้วยเหตุละเมิดมาตรฐานจริยธรรมจากการแต่งตั้งรัฐมนตรี ซึ่งสื่อระหว่างประเทศรายงานอย่างกว้างขวาง11

ในปี 2025 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยกรอบเหตุผลด้านมาตรฐานจริยธรรมจากกรณีคลิปเสียงสนทนาเกี่ยวกับกัมพูชา (29 สิงหาคม 2025) โดยสำนักข่าว Reuters รายงานผลคำวินิจฉัยดังกล่าวว่าเป็นการปลดนายกรัฐมนตรีด้วยเหตุจริยธรรมและก่อให้เกิดการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองภายในประเทศ12 ขณะที่งานวิเคราะห์เชิงนิติรัฐศาสตร์ชี้ว่า กรณีดังกล่าวทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ความรับผิดทางการเมือง” กับ “ความรับผิดทางกฎหมาย/จริยธรรม” พร่าเลือนลงอย่างมีนัยสำคัญ13

นัยเชิงประชาธิปไตย — เมื่อมาตรฐานจริยธรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือถอดถอนโดยองค์กรที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ความเสี่ยงคือ “การย้ายอธิปไตยจากประชาชนไปสู่ผู้ตีความ” ทำให้การเมืองหลุดจากกลไกความรับผิดแบบเลือกตั้งไปสู่กลไกชี้ขาดทางตุลาการมากขึ้น

6) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี: การตรึงอนาคตและลดทอนสิทธิของคนรุ่นปัจจุบัน

กลไกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีถูกวิจารณ์ว่าเป็น “พันธนาการเชิงนโยบาย” ที่ทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งต้องเดินตามกรอบที่ถูกวางไว้ก่อนหน้า โดยมีความเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบ/ลงโทษหากเบี่ยงออกจากกรอบดังกล่าว แนวคิดนี้สวนทางกับตรรกะพื้นฐานของประชาธิปไตยเชิงนโยบาย (policy responsiveness) เพราะรัฐบาลควรสะท้อนความต้องการของประชาชนที่เปลี่ยนไปตามสภาวการณ์เศรษฐกิจ สังคม และโลก

สื่อและการรายงานเชิงอธิบายตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นชี้ว่า “ยุทธศาสตร์ชาติ” ถูกทำให้มีผลผูกพันทางกฎหมายและถูกมองว่าเปิดช่องให้กองทัพ/ชนชั้นนำมีอำนาจกำกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระยะยาว14 ทั้งนี้ เอกสารยุทธศาสตร์ชาติ (2018–2037) ในฉบับภาษาอังกฤษที่เผยแพร่ในแหล่งข้อมูลสาธารณะสะท้อนกรอบการวางเป้าหมายระยะยาวและการแตกแผนลงสู่แผนระดับรองที่ยึดโยงกับกลไกภาครัฐ15

ประเด็นมิใช่การมี “แผนระยะยาว” (ซึ่งทุกประเทศมี) แต่คือการทำให้แผนดังกล่าวมีสถานะทางกฎหมายและใช้เป็นฐานทางวินัย/ลงโทษรัฐบาลจากการเลือกตั้ง จนแผนกลายเป็น “อำนาจเหนือการเมือง” มากกว่ากรอบเพื่อประสิทธิภาพการบริหาร

7) สิทธิ เสรีภาพ และบทเฉพาะกาล: มาตรา 279 กับการทำให้คำสั่งรัฐประหาร “ชอบด้วยกฎหมาย”

แม้รัฐธรรมนูญ 2560 รับรองสิทธิและเสรีภาพหลายประการในเชิงถ้อยคำ แต่ในเชิงโครงสร้างถูกวิจารณ์ว่าเปิดช่องให้รัฐจำกัดสิทธิได้กว้างผ่านกรอบ “ความมั่นคง” และ “ความสงบเรียบร้อย” ประกอบกับบริบทการบังคับใช้กฎหมายที่องค์กรสิทธิมนุษยชนระบุว่าเสรีภาพการแสดงออกถูกดำเนินคดีได้ง่ายในทางปฏิบัติ16

ประเด็นที่หนักที่สุดด้านนิติรัฐคือ บทเฉพาะกาลมาตรา 279 ซึ่งรับรองให้ประกาศและคำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. “ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย” ส่งผลให้การใช้อำนาจภายใต้ระบอบรัฐประหารได้รับความคุ้มครองอย่างยาวนานและทำให้การตรวจสอบเชิงความยุติธรรมเชิงเปลี่ยนผ่าน (transitional justice) ถูกจำกัดอย่างรุนแรง17

บทบัญญัตินี้ยังถูกหยิบยกในพื้นที่สาธารณะว่าทำให้ “ผลพวงรัฐประหาร” ถูกตรึงไว้ในระบบกฎหมาย และเป็นหนึ่งในเป้าหมายการเสนอแก้ไขของภาคประชาชน/ภาคการเมืองบางส่วน18

8) สรุป: อันตรายของรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ใช่ความบกพร่องรายมาตรา แต่คือ “สถาปัตยกรรมแห่งการยับยั้ง”

หากมองรัฐธรรมนูญ 2560 เป็น “ระบบ” จะพบว่าแกนกลางคือการสร้าง สถาปัตยกรรมแห่งการยับยั้ง (architecture of veto and control) ให้สถาบันที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนสามารถครอบงำ (1) การจัดตั้งรัฐบาล (2) การแก้กติกาสูงสุด (3) ความอยู่รอดของพรรคการเมือง และ (4) ทิศทางนโยบายระยะยาวของประเทศ

นัยสำคัญที่สุดคือการทำให้ “การเลือกตั้ง” ลดสถานะจากการเป็นกลไกตัดสินอำนาจสูงสุดของประชาชน เหลือเพียงกลไกจัดสรรตำแหน่งบางส่วนภายใต้เพดานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เมื่อระบบผลิตความรู้สึกว่า เลือกแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ความศรัทธาต่อกระบวนการประชาธิปไตยจะถดถอย และการเมืองจะไหลไปสู่ความขัดแย้งนอกสถาบันมากขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้อ้างว่าจะสร้างเสียเอง

ข้อเสนอเชิงหลักการ (เพื่อการอภิปรายสาธารณะ)
  • คืนอำนาจจัดตั้งรัฐบาลให้ยึดโยงประชาชนโดยสมบูรณ์ และลด “ผู้มีสิทธิยับยั้ง” ที่ไม่มาจากการเลือกตั้งในประเด็นแกนกลางของอำนาจอธิปไตย
  • ทำให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปได้จริง ภายใต้หลักประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วม ไม่ใช่ถูกล็อกด้วยเงื่อนไขที่ทำให้เปลี่ยนแทบไม่ได้
  • จำกัดการใช้มาตรฐานจริยธรรมที่คลุมเครือ ให้สอดคล้องหลักนิติรัฐ ลดช่องว่างที่ทำให้กฎหมายกลายเป็นสนาม “ชี้ขาดการเมือง” แทนประชาชน
  • ทบทวนบทบาทยุทธศาสตร์ชาติ ให้เป็น “กรอบนโยบาย” มากกว่า “เครื่องมือกำกับ/ลงโทษ” รัฐบาลจากการเลือกตั้ง
  • ทบทวนบทเฉพาะกาลที่รับรองผลรัฐประหาร เพื่อฟื้นหลักความยุติธรรมและความรับผิดของผู้ใช้อำนาจนอกระบบ

ข้อสังเกตสุดท้าย: บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ “โครงสร้าง” ไม่ใช่โจมตีบุคคลหรือสถาบันใด ๆ เพราะความเสื่อมของประชาธิปไตยมักเกิดจากการวางกติกาที่ทำให้ “พฤติกรรมบางชนิด” ได้เปรียบอย่างถาวร หากต้องการแก้ ต้องแก้ที่สถาปัตยกรรมของระบบ ไม่ใช่เพียงเปลี่ยนผู้เล่น การเปลี่ยนระบอบต้องเกิดจากการเปลี่ยนกลไกเชิงโครงสร้าง ซึ่งมากกว่าแค่เปลี่ยนตัวบุคคล

เชิงอรรถและบรรณานุกรม

  1. Amnesty International (5 Aug 2016). Thailand: Referendum marred by human rights violations. แหล่งข้อมูล
  2. Thai Lawyers for Human Rights (TLHR). No Freedom, No Fairness: Running a Campaign at the Constitutional Referendum (รายงานการใช้กฎหมาย/คำสั่งต่อผู้เห็นต่าง). แหล่งข้อมูล
  3. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (ไฟล์ PDF ตัวบทรัฐธรรมนูญ). แหล่งข้อมูล
  4. The Nation Thailand (12 May 2024). An overview of 250 outgoing senators' role during their 5-year term (สรุปบทบาท ส.ว. แต่งตั้งในการเลือกนายกฯ/สกัดผู้สมัคร). แหล่งข้อมูล
  5. International Crisis Group (31 Jul 2023). Thai Establishment Thwarts Popular Will with Post-election Moves (วิเคราะห์การขัดขวางเจตจำนงประชาชนหลังเลือกตั้ง). แหล่งข้อมูล
  6. Prachatai English (12 Feb 2025). Parliament to debate amendment to Section 256... (อธิบายเงื่อนไขต้องได้เสียง ส.ว. อย่างน้อย 67 เสียงเป็นอุปสรรค). แหล่งข้อมูล
  7. Bangkok Post (24 Sep 2025). Bhumjaithai limits Senate role in charter rewriting (กล่าวถึงกติกาปัจจุบันต้องได้เสียง ส.ว. 1/3 และข้อเสนอให้ลดเพดาน). แหล่งข้อมูล
  8. TIME (21 Feb 2020). A Thai Opposition Party That Pushed for Democratic Reform Has Just Been Disbanded (กรณียุบพรรคอนาคตใหม่). แหล่งข้อมูล
  9. Human Rights Watch (7 Aug 2024). Thailand: Constitutional Court Dissolves Opposition Party (กรณียุบพรรคก้าวไกลและผลกระทบต่อประชาธิปไตย). แหล่งข้อมูล
  10. OHCHR – UN experts (12 Aug 2024). Thailand: UN experts seriously concerned about dissolution... (ข้อกังวลต่อการยุบพรรคและการลิดรอนสิทธิการมีส่วนร่วม). แหล่งข้อมูล
  11. ABC News (Australia) (14 Aug 2024). Thailand's constitutional court removes Prime Minister Srettha Thavisin... (คดีจริยธรรมและการถอดถอนนายกฯ). แหล่งข้อมูล
  12. Reuters (29 Aug 2025). Thai prime minister removed by court, triggering power scramble (กรณีแพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งด้วยเหตุจริยธรรม). แหล่งข้อมูล
  13. Verfassungsblog (18 Sep 2025). Blurring the Divide between Legal and Political Liability (วิเคราะห์เส้นแบ่งความรับผิดทางการเมือง–กฎหมายในคดีถอดถอนนายกฯ). แหล่งข้อมูล
  14. ABC News (Australia) (23 Jun 2017). Thailand to impose 20-year national strategy on future governments (ชี้ผลผูกพันทางกฎหมายและการกำกับรัฐบาลเลือกตั้ง). แหล่งข้อมูล
  15. FAOLEX (เผยแพร่เอกสาร) National Strategy 2018–2037 (Thailand) (เอกสารกรอบยุทธศาสตร์ชาติ). แหล่งข้อมูล
  16. Human Rights Watch (24 Oct 2019). To Speak Out is Dangerous: Criminalization of Peaceful Expression in Thailand (บริบทการดำเนินคดีและ chilling effect). แหล่งข้อมูล
  17. iLaw (27 Nov 2019). แก้รัฐธรรมนูญ: ยกเลิก “มาตรา 279” ลบล้างผลพวงรัฐประหาร (อธิบายผลของมาตรา 279 ต่อการรับรองประกาศ/คำสั่ง คสช.). แหล่งข้อมูล
  18. Prachatai (26 Apr 2021). ศาล รธน.วินิจฉัยประกาศ คสช.... แม้ว่ารัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 279 จะกำหนดให้ประกาศและคำสั่ง คสช... (สะท้อนการถกเถียงผลของมาตรา 279 ในทางปฏิบัติ). แหล่งข้อมูล

รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2560 กับอันตรายเชิงโครงสร้างต่อประชาธิปไตย: บทวิเคราะห์เชิงวิชาการ

รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2560 กับอันตรายเชิงโครงสร้างต่อประชาธิปไตย: บทวิเคราะห์เชิงวิชาการ รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 256...