Saturday, December 20, 2025

ใครปล้นอำนาจคนไทย โดยคนไทยจำนวนมากไม่รู้ตัว โดย คันฉ่องส่องไทย ดร. เพียงดิน รักไทย



คันฉ่องส่องไทย:
ใครคือผู้ยึดอำนาจของปวงชนไปใช้
และทำไมระบบนี้ถึงอยู่มาได้นาน

อำนาจของประชาชนไม่ได้หายไปในคืนเดียว แต่มันถูกดึงออกไปทีละชิ้น ผ่านคน ผ่านองค์กร และผ่านความเงียบของสังคม

ถ้าจะเข้าใจการเมืองไทยจริง ๆ เราต้องกล้ามอง “ตัวละคร” ของระบอบ ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่เห็นปลายทาง

ระบอบนี้ไม่ได้อยู่ได้เพราะใครคนเดียว แต่มันอยู่ได้เพราะหลายฝ่ายทำหน้าที่ของตนอย่างพอดี

เริ่มจาก กองทัพ ซึ่งควรมีหน้าที่ป้องกันประเทศ แต่กลับกลายเป็นผู้ยึดอำนาจจากประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อการเมืองไม่เป็นไปตามที่ตนหรือเครือข่ายอำนาจต้องการ

การรัฐประหารไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นเครื่องมือรีเซ็ตอำนาจ เขียนกติกาใหม่ และกันคนที่ประชาชนเลือกออกจากระบบ

ถัดมาคือ องค์กรอิสระที่มีอำนาจเหนืออำนาจปวงชน ไม่ว่าจะเป็นวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากประชาชน ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอย่าง ป.ป.ช. และ ป.ป.ง.

องค์กรเหล่านี้ถูกออกแบบให้ “ตรวจสอบนักการเมือง” แต่ในทางปฏิบัติ กลับสามารถล้มรัฐบาล ยุบพรรค และตัดสิทธิ์ผู้แทนประชาชนได้ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนเลย

อำนาจที่ไม่ต้องถูกตรวจสอบ ย่อมไม่ใช่อำนาจของประชาชน

ในยามที่อำนาจนอกระบบต้องการความเด็ดขาด ศาลทหาร ก็ถูกนำมาใช้ เพื่อจัดการกับพลเรือน ทำให้การเรียกร้องสิทธิ ถูกตีความเป็นภัยความมั่นคง

ขณะเดียวกัน ระบบราชการ ซึ่งควรรับใช้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง กลับถูกฝึกให้ภักดีต่อ “ระบอบ” มากกว่าประชาชน ใครไม่อยู่ในแนว ก็ถูกดอง ถูกย้าย หรือถูกตัดเส้นทางเติบโต

นักการเมืองจำนวนไม่น้อย เรียนรู้ที่จะใช้ประชาชนเป็นบันได หาเสียงด้วยคำสัญญา แต่เมื่อเข้าสู่อำนาจ กลับยอมสยบให้กับกลไกเดิม เพื่อความอยู่รอดและผลประโยชน์ของตน

พรรคการเมืองจึงกลายเป็นแค่ฉากหน้า ขณะที่การตัดสินใจจริง เกิดในที่ที่ประชาชนเข้าไม่ถึง

นักการเมืองที่ “อยู่เป็น” คือฟันเฟืองที่ระบอบรักที่สุด

สื่อมวลชน ซึ่งควรทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจ จำนวนมากกลับเลือกความปลอดภัย หลีกเลี่ยงประเด็นโครงสร้าง หรือทำหน้าที่ผลิตซ้ำวาทกรรมของระบอบ

ข่าวที่ควรถาม กลับถูกทำให้เงียบ คำถามที่ควรถูกตั้ง กลับถูกตีตราว่าเป็นภัยต่อชาติ

ระบบการศึกษา ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือกล่อมเกลา สอนให้เชื่อฟังมากกว่าตั้งคำถาม สอนหน้าที่มากกว่าสิทธิ และทำให้ความไม่เป็นธรรม กลายเป็นเรื่อง “ปกติ”

แม้แต่ ศาสนาและกลไกทางสังคม ซึ่งควรเป็นที่พึ่งทางศีลธรรม ก็ถูกทำให้อ่อนแอ สยบยอม และหลีกเลี่ยงการวิพากษ์อำนาจ

เมื่อศีลธรรมไม่กล้าท้าทายอำนาจ อำนาจก็ไม่จำเป็นต้องมีศีลธรรม

ตัวละครทั้งหมดนี้ ไม่ได้สมคบกันทุกครั้ง แต่ทำงานสอดรับกันโดยผลประโยชน์ และโดยความกลัว

ผลลัพธ์คือ อำนาจไม่ใช่ของปวงชน และผลประโยชน์ของประเทศ จึงกระจุกอยู่กับคนชั้นสูง ที่รับใช้หรือเป็นส่วนหนึ่งของคณาธิปไตย

คันฉ่องส่องไทยไม่ได้เขียนเพื่อให้คนไทยสิ้นหวัง แต่เพื่อให้เห็นว่า การทวงอำนาจคืน ต้องเริ่มจากการรู้ว่าใครถือมันอยู่

คันฉ่องส่องไทย
เมื่อเราเห็นตัวละครครบ เราจะเข้าใจว่า การเปลี่ยนประเทศ ไม่ใช่เรื่องของฮีโร่ แต่คือการรื้อทั้งฉาก ทั้งบท และทั้งกติกา

คันฉ่องส่องไทย:
กระจกบานสุดท้าย — เมื่อระบอบอยู่ได้ เพราะเราเคยชิน

เราส่องกลไกระบอบมาแล้ว เห็นทหาร องค์กรอิสระ ศาล ราชการ สื่อ และการศึกษา แต่ถ้าหยุดแค่นั้น เรื่องจะไม่จบ เพราะระบอบใด ๆ จะยืนยาวไม่ได้ หากไม่มี “การยอมรับ” จากสังคม

ระบอบไม่ได้ชนะเพราะแข็งแรงอย่างเดียว แต่มันชนะเพราะเราเคยชินกับมัน

บทนี้ไม่ใช่การโทษประชาชน แต่คือการส่องดูว่า เราถูกฝึก ถูกปั้น และบางครั้งก็ร่วมมือกับระบบอย่างไร โดยไม่รู้ตัว

นิสัยทางการเมืองอย่างหนึ่งที่ฝังลึก คือ การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เราถูกสอนให้รักความสงบมากกว่าความยุติธรรม เมื่อมีใครตั้งคำถามกับอำนาจ สังคมมักขอให้ “เงียบไว้ก่อน” เพื่อไม่ให้วุ่นวาย

ความสงบเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้ปัญหาหาย แต่มันทำให้อำนาจไม่ต้องถูกตรวจสอบ

อีกความเชื่อหนึ่งคือ การเคารพอำนาจมากกว่าหลักการ เราแยกไม่ชัดระหว่างการเคารพบุคคล กับการตรวจสอบการใช้อำนาจ จนคำถามถูกตีความเป็นการล้ำเส้น

เมื่อการตั้งคำถามถูกทำให้ผิด ความไม่เป็นธรรมก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย

สันดานทางการเมืองที่ถูกฝึกอีกอย่างคือ การยอมรับ “ของเล็กน้อยวันนี้” แทนสิทธิระยะยาว นี่คือดินดีของการซื้อเสียง ไม่ใช่เพราะประชาชนโลภ แต่เพราะระบบทำให้การอยู่รอดระยะสั้นสำคัญกว่าอนาคต

เมื่อคนจนถูกทำให้จนอย่างถาวร การเลือกตั้งจึงกลายเป็นตลาด ไม่ใช่เวทีนโยบาย

เรายังถูกฝึกให้วางฐานะตัวเองเป็น ผู้อยู่ใต้ปกครอง มากกว่าเจ้าของประเทศ การเมืองถูกทำให้ดูไกลตัว ทั้งที่มันกำหนดค่าแรง โรงพยาบาล โรงเรียน และหนี้สินของเรา

เมื่อประชาชนไม่เห็นตัวเองเป็นเจ้าของอำนาจ อำนาจก็ถูกช่วงชิงไปได้ง่าย

ประชาธิปไตยไม่ได้ตายเพราะไม่มีเลือกตั้ง แต่มันตายเพราะคนไม่ใช้พลังของตนเอง

การมีส่วนร่วมที่ผิดรูปอีกแบบคือ การแตกแยกง่าย เราถูกปั่นให้ทะเลาะกันด้วยอัตลักษณ์ จนลืมถามคำถามร่วมว่า ใครได้ประโยชน์จากความขัดแยกนั้น

ขณะที่เราด่ากันเอง โครงสร้างอำนาจก็ไม่ต้องขยับ

เมื่อทหารยึดอำนาจ ระบอบใช้คำว่า “ความจำเป็น” และสังคมจำนวนไม่น้อยยอมรับ เพราะกลัวความวุ่นวายมากกว่ากลัวการปล้นอำนาจ

เมื่อคนดีจำนวนมากเลือกเงียบ ความอยุติธรรมจึงทำงานได้อย่างราบรื่น

ประเทศนี้ไม่ได้ขาดคนดี แต่ขาดคนดีที่ยืนข้างหลักการ

ทั้งหมดนี้ทำให้ผลลัพธ์ซ้ำเดิม คนรวยกระจุก คนจนกระจาย นักการเมืองชั่วอยู่ได้ ประชาธิปไตยถูกตัดแต่งให้สวย แต่ไร้ราก

คันฉ่องส่องไทยไม่ได้ต้องการให้เรารู้สึกผิด แต่ต้องการให้เรารู้ว่า พลังของประชาชนยังอยู่ เพียงถูกทำให้ลืมวิธีใช้

การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากฮีโร่ แต่เริ่มจากการเลิกยอมรับสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เลิกเงียบเมื่อควรถาม เลิกทะเลาะกันเองเมื่อควรมองโครงสร้างร่วม

เส้นชัยของประชาธิปไตย ไม่ใช่วันที่มีเลือกตั้ง แต่คือวันที่ประชาชนยืนในฐานะเจ้าของประเทศจริง ๆ

กระจกบานนี้เจ็บ แต่ถ้าไม่ส่อง เราจะเดินวนอยู่ที่เดิม หากส่องแล้ว เรายังมีทางเลือก

คันฉ่องส่องไทย
เส้นชัยไม่ได้อยู่ข้างหน้าอย่างเดียว แต่มันเริ่มจากการยืนให้ตรงกับศักดิ์ศรีของตนเอง

ใครปล้นอำนาจคนไทย โดยคนไทยจำนวนมากไม่รู้ตัว โดย คันฉ่องส่องไทย ดร. เพียงดิน รักไทย

คันฉ่องส่องไทย: ใครคือผู้ยึดอำนาจของปวงชนไปใช้ และทำไมระบบนี้ถึงอยู่มาได้นาน อำนาจของประชาชนไม่ได้หายไปในคืนเดียว แต่มันถูกดึงออกไปทีละชิ้น ...