คันฉ่องส่องไทย: พรรคเพื่อไทยในฐานะ “พรรคปฏิปักษ์ปฏิวัติ”
เวลาเรามองตระกูลชินวัตรและพรรคในเครือ ไม่ว่าจะเป็นไทยรักไทย พลังประชาชน หรือเพื่อไทย ภาพแรกที่คนจำนวนมากเห็นคือภาพของผู้ถูกกระทำ ถูกยึดอำนาจ ถูกสลายพรรค ถูกย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกือบยี่สิบปี แต่ในอีกด้านหนึ่ง หากสังเกตจากพฤติกรรมของคนในครอบครัว การยืนเกมของพรรค การเลือกพันธมิตรทางการเมือง และการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของประชาชน เราจะเห็นสิ่งที่ชัดขึ้นทีละน้อยว่า พรรคนี้ไม่ได้เป็น “พรรคปฏิวัติ” ที่อยากเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ หากแต่เป็น “พรรคปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ที่ทำหน้าที่ดึงสังคมให้หันกลับไปสู่ระบอบเดิมทุกครั้งที่ประชาชนกำลังจะถ่างหนีออกมา
คำว่า “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” มาจากภาษาการเมืองยุคพรรคคอมมิวนิสต์ หมายถึงพวกที่คอยขัดขวางการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ไม่จำเป็นต้องเป็นเผด็จการทหาร ไม่จำเป็นต้องเอาปืนจ่อหัวประชาชน แต่อาจอยู่ในรูปพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง มีฐานมวลชน มีวาทกรรมประชาธิปไตย แต่เมื่อสถานการณ์เอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ กลับยืนอยู่ในฝั่งที่ “เบรก” ปรับเพดาน ลดข้อเรียกร้อง ดึงเกมกลับเข้าสู่กรอบที่ระบอบเดิมสบายใจจะอยู่ด้วย และนี่คือภาพที่สอดรับกันแทบทุกยุคเมื่อมองย้อนเส้นทางของพรรคในเครือชินวัตร
รากฐานทางความคิดของไทยรักไทย-เพื่อไทย ไม่ได้ตั้งอยู่บนอุดมการณ์ปฏิวัติโครงสร้าง แต่ตั้งอยู่บนความเชื่อแบบ “พัฒนา-บริหาร-จัดการ” คือใช้รัฐเป็นเครื่องมือแจกจ่ายผลประโยชน์ ทำให้เศรษฐกิจโต ยกระดับรายได้ สร้างศักดิ์ศรีให้ชาวบ้านในฐานะ “ลูกค้าการเมือง” ที่ได้รับบริการจากรัฐ โดยไม่แตะโครงสร้างอำนาจหลัก เช่น บทบาททหาร ศาล องค์กรอิสระ โครงสร้างสถาบัน และทุนใหญ่ที่ผูกขาดเศรษฐกิจ พูดง่าย ๆ คือ ยอมรับระบอบเดิมทุกระดับ แต่ขอ “พื้นที่บริหาร” เพื่อทำให้ระบบดูดีขึ้นในสายตาประชาชน
การยืนยันท่าที “จงรักภักดี” ของครอบครัวชินวัตรอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะผ่านคำให้สัมภาษณ์ พฤติกรรมในพิธีการ หรือท่าทีในยามวิกฤต ยิ่งตอกย้ำว่าพรรคนี้ไม่เคยมีเป้าหมายจะเปลี่ยนสมการอำนาจใหญ่ของประเทศ ต่างจากภาคประชาชนที่หลายระลอกเริ่มตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจทั้งชุด ตั้งแต่ยุคคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ จนถึงการลุกฮือของเยาวชนในปี 2563–2564 พรรคในเครือชินวัตรกลับเลือกตำแหน่งที่ปลอดภัยในกรอบ “อนุรักษ์นิยมแบบพลเรือน” คือยอมรับโครงสร้างหลักทั้งหมด แล้วแข่งขันกันภายในกรอบนั้นเฉพาะเรื่องนโยบายและการบริหาร
ถ้ามองด้วยแว่น “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” เราจะเห็นแพตเทิร์นสำคัญอย่างหนึ่งคือ ทุกครั้งที่เงื่อนไขในสังคมเอื้อให้ประชาชนรวมพลังกันกดดันระบอบเดิม พรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทยจะไม่เดินนำหน้าประชาชนไปสู่การเปลี่ยนโครงสร้าง ตรงกันข้าม กลับทำหน้าที่เป็น “ตัวดึงกลับ” หรือ “กันชน” ระหว่างมวลชนกับอำนาจจริง เช่น การเสนอแนวคิดปรองดองแบบห้ามแตะโครงสร้าง การยอมรับดีลใต้โต๊ะ การส่งสัญญาณให้มวลชนถอยในจังหวะที่รัฐใช้ความรุนแรง ทั้งหมดนี้ทำให้พลังที่กำลังจะปะทุเพื่อเปลี่ยนระบบ กลายเป็นพลังที่ถูกดูดกลับเข้าไปอยู่ในกรอบเลือกตั้งแบบขอไปที
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือช่วงหลังรัฐประหาร 2549 และ 2557 หากพรรคเลือกยืนกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ปฏิเสธกติกาที่ไม่เป็นธรรม และเชื่อมพลังคนเสื้อแดงกับขบวนการคนรุ่นใหม่ในเวลาต่อมา ไทยอาจเดินหน้าสู่การปฏิรูปเชิงโครงสร้างได้ไกลกว่านี้มาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการถอย การหาทางประนีประนอม การคุยดีลลับเพื่อ “กลับเข้าสู่เกม” แม้ต้องยอมให้กติกาเอียงเอื้อฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างโจ่งแจ้งก็ตาม นี่แหละคือบทบาทของพรรคปฏิปักษ์ปฏิวัติ ที่ยอมเสียอนาคตระยะยาวของประชาธิปไตย เพื่อแลกกับโอกาสได้กลับมาอยู่ในรัฐบาลอย่างจำกัดจำเขี่ย
เงื่อนไขในปี 2566 ยิ่งทำให้คำว่า “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ชัดขึ้นไปอีก ผลการเลือกตั้งสะท้อนชัดว่าคนไทยจำนวนมากพร้อมโหวตให้พรรคที่ชูธงปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างก้าวไกล พร้อมตั้งคำถามต่อสถาบันอำนาจที่เคยแตะไม่ได้ พร้อมปฏิรูปกองทัพ กฎหมายอาญามาตรา 112 และระบบเศรษฐกิจที่เอื้อทุนผูกขาด แต่แทนที่พรรคเพื่อไทยจะใช้จังหวะนี้เชื่อมมือกับกระแสก้าวหน้า กลับเลือก “ข้ามขั้ว” ไปยืนกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม เพื่อแลกตำแหน่งนายกฯ และส่วนแบ่งอำนาจในรัฐบาลผสม
การตัดสินใจครั้งนั้นไม่ใช่แค่การดีลระหว่างนักการเมืองกับชนชั้นนำ แต่เป็นการ “ตัดตอนโมเมนตัม” ของประชาชนที่กำลังจะถ่างตัวออกจากระบอบเดิม จากเดิมที่ประเทศมีโอกาสได้รัฐบาลที่ยืนอยู่บนฐานเสียงประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนระบบ กลับกลายเป็นรัฐบาลที่ประกอบด้วยพรรคอนุรักษ์นิยมเดิม ๆ โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นสะพานเชื่อม ทำให้กระแสเปลี่ยนแปลงถูกดึงกลับสู่ความปกติแบบเดิมที่ชนชั้นนำคุ้นเคย นี่คือบทบาทคลาสสิกของ “พรรคปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ที่ทำหน้าที่ปิดประตูประวัติศาสตร์ไว้เบื้องหลังคำว่า “เสถียรภาพ”
แน่นอนว่า พรรคเพื่อไทยก็มีด้านที่สร้างคุณูปการ เช่น ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าตัวเองมีศักดิ์ศรี รัฐต้องบริการประชาชน ไม่ใช่ให้น้ำหนักเฉพาะชนชั้นกลางเมืองและทุนใหญ่ นโยบายอย่าง 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน หรือโครงการที่ทำให้เศรษฐกิจฐานล่างขยับได้บ้าง ล้วนเป็นก้าวสำคัญที่ไม่ควรถูกปฏิเสธ แต่นั่นคือคุณูปการในฐานะ “ผู้จัดการรัฐสวัสดิการบางส่วน” ไม่ใช่คุณูปการในฐานะ “พลังปฏิวัติ” ที่อยากเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจจากบนลงล่างให้ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศจริง ๆ
เมื่อมองทั้งเส้นเรื่อง เราจึงเห็นภาพที่ซ้อนกันอยู่สองชั้น ชั้นแรกคือภาพของเหยื่อ ที่ถูกยึดอำนาจ ถูกวางหมากสกัด ถูกทำลายพรรค ชั้นที่สองคือภาพของ “กันชนของระบอบเดิม” ที่คอยรับแรงกระแทกจากประชาชน แล้วถ่ายเทแรงนั้นให้เบาลงก่อนส่งต่อไปถึงโครงสร้างอำนาจจริง เพื่อให้ระบบอยู่รอดต่อไปได้โดยไม่จำเป็นต้องปฏิรูปตัวเองอย่างแท้จริง พรรคเพื่อไทยจึงไม่ใช่ศัตรูของประชาธิปไตยแบบโจ่งแจ้ง แต่เป็น “เบรกมือของประวัติศาสตร์” ที่ดึงรถไว้ทุกครั้งที่สังคมกำลังจะพุ่งออกจากเส้นทางเดิม
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “ทักษิณโดนย่ำยีแค่ไหน” แต่คือ “เราจะยอมให้โครงสร้างอำนาจแบบนี้ใช้พรรคการเมืองที่เรารักเป็นเกราะกำบังตัวเองต่อไปอีกนานแค่ไหน” ถ้าประชาชนไม่แยกให้ออกว่าระหว่าง “พรรคที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นชั่วคราว” กับ “พรรคที่พร้อมเปลี่ยนโครงสร้างให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน” มีเส้นแบ่งอยู่ตรงไหน เราก็จะยังติดอยู่ในวงจรเดิม คือเลือกพรรคที่ช่วยให้ระบอบเดิมอยู่รอดในหน้ากากใหม่ไปเรื่อย ๆ โดยที่ความหวังเรื่องประชาธิปไตยเต็มใบยังคงเป็นเพียงภาพลวงตาในระยะยาว
เมื่อใช้คันฉ่องส่องไทยมองพรรคเพื่อไทยอย่างซื่อสัตย์ต่อข้อเท็จจริง คำตอบเรื่อง “อนุรักษ์นิยมหรือไม่” จึงชัดสำหรับคนที่ไม่หลอกตัวเอง และคำว่า “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ก็ไม่ใช่คำด่าทางอุดมการณ์ แต่เป็นคำอธิบายบทบาทจริงที่พรรคนี้เล่นอยู่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือพรรคที่อยู่ข้างประชาชนเท่าที่ไม่ไปแตะโครงสร้างอำนาจ และอยู่ข้างระบอบเดิมเท่าที่จะยังได้กลับมาแบ่งปันอำนาจในรัฐบาล ในขณะที่ความฝันเรื่องประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจจริง ๆ ยังคงต้องรอให้ใครสักคนและมวลชนทั้งประเทศลุกขึ้นมาเขียนเกมใหม่บนกระดานใหม่ แทนที่จะเล่นอยู่บนกระดานใบเดิมที่คนอื่นขีดเส้นให้เหมือนเช่นที่ผ่านมา

No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.