ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Friday, November 21, 2025

นิติสงครามกับการล่มสลายของกระบวนการยุติธรรมไทย: วิเคราะห์ผ่านคดีมาตรา 112 และคดีการเมืองร่วมสมัย

นิติสงครามกับการล่มสลายของกระบวนการยุติธรรมไทย: วิเคราะห์ผ่านคดีมาตรา 112 และคดีการเมืองร่วมสมัย

นิติสงครามกับการล่มสลายของกระบวนการยุติธรรมไทย: วิเคราะห์ผ่านคดีมาตรา 112 และคดีการเมืองร่วมสมัย

บทความวิชาการว่าด้วยการใช้กฎหมายเป็นอาวุธ (lawfare) บทบาทของตำรวจ–อัยการ–ศาล–ราชทัณฑ์ และกรณีศึกษาที่สะท้อนวิกฤตสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

บทคัดย่อ: บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ปรากฏการณ์ “นิติสงคราม” (lawfare) ในบริบทไทย โดยเฉพาะการใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และกฎหมายด้านความมั่นคงอื่น ๆ เป็นเครื่องมือทางการเมืองต่อพลเมืองและผู้เห็นต่าง โครงสร้างอำนาจที่ผสานระหว่างกองทัพ สถาบันกษัตริย์ ศาล และระบบราชการ ทำให้กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ศาล จนถึงราชทัณฑ์ ทำหน้าที่เสมือน “โซ่ตรวนเดียวกัน” ในการปราบปรามสิทธิการมีส่วนร่วมทางการเมือง อันขัดต่อหลักนิติรัฐและสิทธิมนุษยชนสากล บทความใช้กรอบคิดเรื่องรัฐอำนาจนิยมแบบตุลาการ (judicial authoritarianism) และรัฐแห่งความกลัว (state of fear) วิเคราะห์ควบคู่กับกรณีศึกษาเด่น ได้แก่ คดีอากง SMS คดีอัญชัญ คดีไผ่ ดาวดิน คดีเยาวชนและนักเรียน คดีนักกิจกรรมอย่าง “ตะวัน–แบม” ตลอดจนคดีการเสียชีวิตในกระบวนการยุติธรรมอย่างธวัชชัย อนุกูล เพื่อชี้ให้เห็นว่า การใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่เพียงสร้างความอยุติธรรมเชิงปัจเจก แต่ยังทำลาย “เสาหลักของรัฐสมัยใหม่” และเร่งให้เกิดภาวะ “รัฐล้มเหลวในมโนธรรมของตนเอง”

คำสำคัญ: นิติสงคราม, มาตรา 112, กระบวนการยุติธรรม, สิทธิมนุษยชน, ตุลาการธิปไตย, การเมืองไทยร่วมสมัย

1. บทนำ: จากนิติรัฐสู่ “นิติสงคราม”

ในเชิงอุดมคติ รัฐสมัยใหม่ควรยืนอยู่บนหลักนิติรัฐ (rule of law) ซึ่งหมายถึงการที่กฎหมายมีความเป็นกลาง ใช้บังคับอย่างเสมอภาค และมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ทว่าหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และ 2557 เป็นต้นมา ประเทศไทยกลับถูกวิพากษ์อย่างต่อเนื่องว่าได้เคลื่อนจาก “นิติรัฐ” ไปสู่ “นิติสงคราม” (lawfare) คือการใช้กฎหมายเป็นอาวุธทางการเมืองต่อฝ่ายตรงข้ามและต่อพลเมืองในวงกว้าง

การที่กฎหมายด้านความมั่นคง เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ถูกนำมาใช้กับการแสดงออกเชิงการเมืองอย่างสันติ การชุมนุม การวิพากษ์วิจารณ์ หรือแม้แต่การเสียดสีเชิงสัญลักษณ์ของประชาชน ทำให้เกิดคำถามสำคัญในแวดวงวิชาการกฎหมายและรัฐศาสตร์ว่า กระบวนการยุติธรรมไทยยังมีความเป็นอิสระและเป็นกลางเพียงใด และกำลังมุ่งปกป้อง “ความมั่นคงของชนชั้นนำ” มากกว่า “สิทธิและเสรีภาพของพลเมือง” หรือไม่

บทความนี้จึงมุ่งสำรวจโครงสร้างและพฤติกรรมของสถาบันหลักในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ ตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ ผ่านกรอบคิดเรื่องนิติสงคราม รัฐอำนาจนิยมแบบตุลาการ (judicial authoritarianism) และรัฐแห่งความกลัว พร้อมวิเคราะห์กรณีศึกษาที่เป็น “หลุมดำ” ของสิทธิมนุษยชน เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังยืนอยู่ตรงไหน ระหว่าง “นิติรัฐ” กับ “รัฐที่บังคับใช้ความกลัวด้วยกฎหมาย”

2. นิติสงครามในบริบทไทย: โครงสร้างและกลไก

2.1 ระดับบทบัญญัติกฎหมาย: การออกแบบให้ตีความกว้างและยืดหยุ่นต่ออำนาจ

มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาเป็นตัวอย่างสำคัญของกฎหมายที่ถูกวิจารณ์ว่ามีโครงสร้างเปิดให้ตีความได้กว้างและไร้เพดาน กล่าวคือ บทบัญญัติใช้ถ้อยคำกว้าง เช่น “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” โดยไม่ได้กำหนดเกณฑ์การพิสูจน์ความเสียหาย หรือขอบเขตของการวิพากษ์ในฐานะ “การวิจารณ์โดยสุจริต” ในทางสาธารณะ อีกทั้งไม่ได้จำกัดคู่ความให้เป็นผู้เสียหายโดยตรงจากราชวงศ์ ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษแทนได้ และเปิดช่องให้เกิดการฟ้องปิดปาก (SLAPP)

เมื่อประกอบกับกฎหมายอื่น เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่เปิดช่องให้ดำเนินคดีซ้ำซ้อนจากการโพสต์หรือแชร์ข้อความเดียวกัน และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ถูกใช้ควบคุมการชุมนุมทางการเมืองในช่วงยืดเยื้อหลังโควิด-19 จึงทำให้ โครงสร้างกฎหมายไทยเอื้อให้รัฐใช้ “เครื่องมือทางกฎหมาย” แทน “การโต้แย้งเชิงเหตุผล” กับประชาชน

2.2 ระดับกระบวนการ: การลงโทษผ่านขั้นตอนมากกว่าคำพิพากษา

ในหลายกรณี การลงโทษผู้เห็นต่างไม่ได้เกิดจากคำพิพากษาหรือโทษจำคุกเพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดจาก “การทำให้การต่อสู้คดีมีต้นทุนสูง” ทั้งในแง่เวลา เสรีภาพ สุขภาพ และเศรษฐกิจ เช่น การจับกุมกลางดึก การไม่ออกหมายเรียกก่อน การคัดค้านการประกันตัวซ้ำ ๆ การใช้เงินประกันในวงเงินสูงเกินเหตุ หรือการปล่อยให้คดีลากยาวโดยไม่มีความจำเป็นเชิงพยานหลักฐาน

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้กระบวนการยุติธรรมกลายเป็น “การลงโทษก่อนพิพากษา” (punishment before conviction) ซึ่งขัดอย่างยิ่งกับหลักการสันนิษฐานความบริสุทธิ์ และบิดเบือนบทบาทของตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “เครื่องจักรปราบปราม” แทนที่จะเป็น “กลไกคุ้มครองสิทธิ”

3. ตำรวจ: ด่านหน้าของรัฐความมั่นคงเหนือรัฐกฎหมาย

สถาบันตำรวจไทยถูกผูกเข้ากับวาทกรรม “ความมั่นคงของชาติและสถาบันหลัก” อย่างเข้มข้น ในคดีการเมืองและคดี 112 ตำรวจจึงทำหน้าที่เป็นด่านหน้าของนิติสงคราม โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้

  • การตั้งข้อหาอย่างกว้างและลวก: แม้ถ้อยคำหรือการแสดงออกจะคลุมเครือเชิงสัญลักษณ์ แต่กลับตีความเป็นภัยต่อสถาบันได้อย่างรวดเร็ว
  • การจับกุมในเวลาวิสามัญ: การบุกจับกลางคืนหรือตอนรุ่งสาง แม้ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีพฤติการณ์หลบหนีหรือใช้อาวุธ
  • การใช้การควบคุมตัวเป็นเครื่องมือกดดัน: เลือกใช้การจับกุมแทนการออกหมายเรียก ทั้งที่กรณีส่วนใหญ่ไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรง
  • ความสัมพันธ์กับหน่วยข่าว: การเก็บข้อมูล ดักฟัง หรือติดตามการเคลื่อนไหวของนักกิจกรรมและประชาชนอย่างกว้างขวาง

ตัวอย่างเชิงประจักษ์

การดำเนินคดีต่อเยาวชนอายุไม่ถึง 18 ปี จากการชูป้ายหรือการปราศรัยสั้น ๆ ในพื้นที่ชุมนุม รวมทั้งการจับกุมนักกิจกรรมและประชาชนจากการโพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ในเวลากลางดึก ล้วนสะท้อนวัฒนธรรมการปฏิบัติหน้าที่ที่มุ่งสร้าง “ความหวาดกลัวต่อรัฐ” มากกว่าการอำนวยความยุติธรรม

4. อัยการ: ด่านกรองที่กลับกลายเป็นสายพานของการฟ้อง

ในหลักทฤษฎี อัยการควรมีบทบาทสำคัญในการกลั่นกรองสำนวน ว่าคดีใดสมควรนำขึ้นสู่ศาล คดีใดเป็นเพียงการใช้กระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้ง และคดีใดที่แม้จะมีมูลทางกฎหมาย แต่ไม่สมควรดำเนินคดีต่อในแง่ประโยชน์สาธารณะ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติของคดี 112 และคดีการเมืองในไทย อัยการกลับถูกวิจารณ์ว่าใช้ดุลพินิจแบบ “สั่งฟ้องโดยอัตโนมัติ”

ลักษณะปัญหาหลัก

  • อัตราการสั่งฟ้องสูงมาก: คดี 112 ส่วนใหญ่ถูกสั่งฟ้องขึ้นสู่ศาล แม้หลักฐานอ่อนหรือมีข้อโต้แย้งทางกฎหมาย
  • ละเลยหลักประโยชน์สาธารณะ: ไม่ใช้ดุลพินิจในการยุติคดีที่ชัดเจนว่าเป็นการฟ้องเพื่อปิดปาก
  • การคัดค้านประกันตัว: ในหลายคดี อัยการมีบทบาทสำคัญในการคัดค้านการให้ประกันตัวด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง

กรณีอย่าง “อากง SMS” และ “อัญชัญ” สะท้อนให้เห็นว่า อัยการมีส่วนสำคัญในการผลักคดีไปสู่การพิพากษา แม้คดีจะก่อให้เกิดคำถามทางจริยธรรมและสิทธิมนุษยชนอย่างหนักหน่วงในสังคม

5. ศาล: จากที่พึ่งสุดท้ายสู่กลไกแต่งหน้าของนิติสงคราม

อำนาจตุลาการในระบบประชาธิปไตยควรเป็น “เสาหลักสุดท้าย” ในการปกป้องสิทธิของคนส่วนน้อยและผู้ถูกกล่าวหา แต่ในบริบทไทย ศาลถูกวิพากษ์ว่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจนิยม จนเกิดแนวคิด “ตุลาการธิปไตยภายใต้อิทธิพลเหนือรัฐธรรมนูญ”

พฤติกรรมที่สะท้อนวิกฤตตุลาการ

  • การไม่อนุญาตให้ประกันตัวในคดี 112: แม้รัฐธรรมนูญรับรองหลักสันนิษฐานความบริสุทธิ์ แต่ศาลมักอ้างอัตราโทษสูงและความมั่นคง
  • การตีความกฎหมายกว้างเกินเพดาน: การแสดงออกเชิงศิลปะ การเสียดสี หรือการแชร์บทความข่าว ถูกตีความว่าเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน
  • การลงโทษระดับสูง: หลายคดีมีโทษจำคุกนับสิบปี ในระดับที่สูงกว่าคดีอาญาร้ายแรงบางประเภท
  • ความล่าช้าในกระบวนการ: การปล่อยให้คดีลากยาว ขณะที่ผู้ต้องหาถูกคุมขังระหว่างพิจารณา เป็นการลงโทษทางอ้อม

คดีเช่น ไผ่ ดาวดิน ที่ถูกลงโทษจากการแชร์บทความสื่อสากล หรือคดีนักเรียนที่แต่งแฟนซีชุดไทยในขบวนพาเหรด กลายเป็นหลักฐานเชิงสัญลักษณ์ของการตีความที่ไร้เพดานและวางอยู่บน “ความรู้สึกถึงความเหมาะสม” มากกว่าบทบัญญัติกฎหมายอย่างแคบและชัดเจน

6. ราชทัณฑ์: คุกในฐานะค่ายปราบขบถพลเมือง

เมื่อศาลปฏิเสธการให้ประกันตัว เรือนจำกลายเป็นพื้นที่สำคัญที่สะท้อนการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือปราบปรามทางการเมือง ผู้ต้องหาคดีการเมืองและคดี 112 จำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับการขังรวมกับนักโทษคดีอาญาร้ายแรง การเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำกัด การจำกัดสิทธิในการเยี่ยมของครอบครัวและทนาย รวมทั้งการเผชิญแรงกดดันทางจิตใจและร่างกาย

การเสียชีวิตของผู้ต้องหาบางรายในเรือนจำหรือในความควบคุมของรัฐ เช่น กรณีธวัชชัย อนุกูล รวมถึงการอดอาหารประท้วงของนักกิจกรรมอย่าง “ตะวัน–แบม” ที่ถูกคุมขังโดยยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ล้วนสะท้อนภาวะที่ระบบราชทัณฑ์ไม่ได้ทำหน้าที่ฟื้นฟูหรือปฏิบัติต่อผู้ต้องหาในฐานะมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียม แต่ทำหน้าที่เสมือน “พื้นที่ลงโทษทางการเมือง” อย่างแยบยล

7. มาตรา 112: โครงสร้างกฎหมายที่ทำให้สังคมหวาดกลัวตนเอง

มาตรา 112 ไม่ได้เป็นเพียง “ข้อความในประมวลกฎหมายอาญา” หากแต่ทำหน้าที่เป็น “สถาปัตยกรรมทางความกลัว” ในจิตสำนึกสาธารณะ ด้วยลักษณะดังต่อไปนี้

  • โทษจำคุกสูง: โทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปีต่อหนึ่งกรรม และหลายคดีมีการนับโทษทุกข้อความ ทำให้โทษรวมอาจสูงถึงหลายสิบปี
  • ไม่มีข้อจำกัดเรื่องผู้เสียหาย: เปิดช่องให้บุคคลใดก็ได้สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษแทนราชวงศ์
  • การตีความกว้าง: การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์หรือศิลปะสามารถถูกตีความให้เข้าข่ายความผิดได้
  • การไม่ให้ประกันตัวเป็นหลัก: ทำให้การถูกกล่าวหาตามมาตรานี้มีผลเทียบเท่าการลงโทษทางสังคมทันที
  • การใช้ร่วมกับกฎหมายอื่น: เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดคดีซ้อนคดีจากเหตุเดียวกัน

ภายใต้โครงสร้างดังกล่าว มาตรา 112 จึงทำหน้าที่ “ปิดปาก” สังคมอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแค่ผู้ถูกดำเนินคดี แต่รวมถึงผู้สังเกตการณ์ นักวิชาการ สื่อ และประชาชนทั่วไป ที่ถูกทำให้เรียนรู้ว่าการตั้งคำถาม หรือแม้แต่การอภิปรายเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์อาจนำไปสู่ความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อเสรีภาพและความปลอดภัยของตนเอง

8. กรณีศึกษาที่สำคัญ: ภาพสะท้อนวิกฤตสิทธิมนุษยชน

ส่วนนี้จะยกกรณีศึกษาสำคัญที่ถูกอ้างถึงอย่างกว้างขวางในแวดวงสิทธิมนุษยชนและวิชาการ เพื่อใช้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ประกอบการวิเคราะห์เชิงทฤษฎีข้างต้น

8.1 คดี “อากง SMS”: ความอำมหิตของการลงโทษในโลกดิจิทัล

คดีอากง SMS

ชายสูงอายุถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความ SMS ที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันกษัตริย์หลายข้อความ แม้จะมีข้อโต้แย้งเชิงเทคนิคเกี่ยวกับหมายเลขโทรศัพท์และการเข้าถึงเครื่องมือสื่อสาร แต่ท้ายที่สุดศาลพิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลานาน การเสียชีวิตของเขาในเรือนจำระหว่างการต่อสู้คดี ทำให้คดีนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการใช้มาตรา 112 โดยไม่คำนึงถึงสัดส่วนของโทษและความเปราะบางทางร่างกายของผู้ต้องหา

8.2 คดี “อัญชัญ”: โทษรวมระดับหลายสิบปีจากคลิปเสียง

คดีอัญชัญ

หญิงวัยกลางคนถูกดำเนินคดีจากคลิปเสียงหลายตอนที่กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ ศาลพิพากษาลงโทษทุกกรรมและนับโทษต่อเนื่อง ทำให้โทษรวมในชั้นต้นสูงถึงหลายสิบปี ก่อนจะลดโทษจากการรับสารภาพในภายหลัง คดีนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาสองประการ คือ (1) การนับโทษทุกข้อความทวีโทษจนเกินสัดส่วน และ (2) บทบาทของการไม่ให้ประกันตัว ซึ่งผลักผู้ต้องหาให้เลือกระหว่าง “ยอมรับสารภาพ” กับ “สู้คดีโดยต้องเสี่ยงต่อการถูกขังยาว”

8.3 คดีไผ่ ดาวดิน: แชร์บทความสื่อสากลก็ผิดได้

คดีไผ่ ดาวดิน

นักกิจกรรมคนรุ่นใหม่ถูกดำเนินคดีจากการแชร์บทความข่าวของสื่อสากลเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทย แม้เนื้อหาดังกล่าวจะถูกเผยแพร่ในระดับนานาชาติก่อนแล้ว แต่การแชร์ผ่านบัญชีส่วนตัวในสื่อสังคมออนไลน์ ก็ยังถูกตีความว่าเป็นการเผยแพร่เนื้อหาอันเป็นปัญหา และถูกลงโทษจำคุก คดีนี้จึงเป็นตัวอย่างของการตีความมาตรา 112 ที่กระทบต่อเสรีภาพในการรับรู้และส่งต่อข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นหัวใจของสังคมประชาธิปไตย

8.4 คดีเยาวชนและนักเรียน: สิทธิเด็กภายใต้มาตรา 112

คดีเยาวชนและนักเรียน

เยาวชนหลายรายถูกตั้งข้อหา 112 จากการปราศรัย การชูป้าย การติดสติ๊กเกอร์ หรือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในโรงเรียนและพื้นที่สาธารณะ บางรายอายุไม่ถึง 18 ปี ซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) การนำเด็กและเยาวชนเข้าสู่กระบวนการอาญาด้วยข้อหาหนักทางการเมืองเช่นนี้ ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงว่าเป็นการละเมิดหลัก “ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก” และสร้างบาดแผลทางจิตใจระยะยาว

8.5 คดี “ตะวัน–แบม”: การอดอาหารประท้วงและสิทธิในการประกันตัว

คดีตะวัน–แบม

นักกิจกรรมหญิงสองรายถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 และคดีการเมืองอื่น การถูกปฏิเสธสิทธิการประกันตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจอดอาหารประท้วงเป็นเวลานานจนเกิดภาวะเสี่ยงต่อชีวิต คดีนี้กลายเป็นกระจกสะท้อนที่สำคัญต่อบทบาทของศาลและราชทัณฑ์ต่อสิทธิในร่างกายและชีวิตของผู้ต้องหา และทำให้สังคมตั้งคำถามต่อการใช้การคุมขังเป็นเครื่องมือกดดันมากกว่าการคุ้มครองความยุติธรรม

8.6 คดีนักเรียนชุดไทยแฟนซีและการแสดงออกเชิงศิลปะ

คดีนักเรียนชุดไทยแฟนซี

กลุ่มนักเรียนแต่งกายชุดไทยในรูปแบบแฟนซีและเดินพาเหรดในกิจกรรมของโรงเรียน การแสดงออกดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นการเสียดสีและหมิ่นสถาบันจนมีการดำเนินคดีตามมาตรา 112 กรณีเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามว่า เสรีภาพทางศิลปะ การเสียดสีเชิงการเมือง และการใช้แฟนซีเป็นสัญลักษณ์ ถูกจำกัดอย่างไรภายใต้โครงสร้างกฎหมายอาญาไทย

8.7 คดีธวัชชัย อนุกูล: การเสียชีวิตในความควบคุมของรัฐ

คดีธวัชชัย อนุกูล

การเสียชีวิตของธวัชชัย อนุกูล ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่รัฐ มีรายงานชันสูตรพลิกศพที่ระบุถึงบาดแผลและความผิดปกติหลายประการ คดีนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของคำถามใหญ่ต่อความโปร่งใสและความรับผิดของรัฐต่อชีวิตของผู้ถูกควบคุมตัว แม้อาจไม่ใช่คดี 112 โดยตรง แต่ก็เกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิในชีวิตและร่างกายภายใต้การดูแลของรัฐ ซึ่งเป็นหัวใจของหลักสิทธิมนุษยชน

9. สรุป: ความอยุติธรรมเชิงโครงสร้างและภาวะ “รัฐล้มเหลวในมโนธรรมของตนเอง”

จากกรอบคิดเรื่องนิติสงครามและกรณีศึกษาหลายมิติ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การใช้มาตรา 112 และกฎหมายด้านความมั่นคงอื่น ๆ ในประเทศไทย มิใช่เพียงปัญหาการตีความบทบัญญัติกฎหมายเท่านั้น หากแต่เป็นวิกฤตเชิงโครงสร้างที่ทำให้ตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ ทำงานสอดประสานกันในฐานะ “เครื่องจักรปราบปราม” มากกว่า “กลไกคุ้มครองสิทธิ”

ประเทศใดที่ให้ “ความกลัว” อยู่เหนือ “ความยุติธรรม” ประเทศนั้นย่อมค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่ภาวะ “รัฐล้มเหลวในมโนธรรมของตัวเอง” ต่อให้ยังมีความสงบภายนอก ตึกสูง ถนนใหญ่ หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่หากประชาชนจำนวนมากไม่รู้สึกว่าตนได้รับความยุติธรรมอย่างแท้จริง รัฐนั้นย่อมขาดความชอบธรรมเชิงคุณค่าซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของประชาธิปไตย

“ชาติที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้องมีความยุติธรรมที่ประชาชนสัมผัสได้จริง ไม่ใช่ระบบที่สร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองผู้อยู่บนยอดพีระมิดเพียงไม่กี่คน”

การอภิปรายเชิงวิชาการเกี่ยวกับมาตรา 112 และนิติสงครามในไทยจึงมิใช่การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ หากแต่เป็นความพยายามที่จะปกป้องแก่นกลางของนิติรัฐและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนทุกคนในประเทศเดียวกัน

  1. Amnesty International. รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้มาตรา 112 และการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก.
  2. Human Rights Watch (HRW). รายงานประจำปีว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ครอบคลุมคดีการเมืองและการใช้กฎหมายด้านความมั่นคงต่อผู้เห็นต่าง.
  3. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน. ฐานข้อมูลคดีการเมืองและคดีมาตรา 112 รวมทั้งบทวิเคราะห์แนวโน้มเชิงโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรม.
  4. iLaw. ฐานข้อมูลคดีมาตรา 112 และรายงานวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบเกี่ยวกับมาตรา 112 กับมาตรากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในต่างประเทศ.
  5. สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR). เอกสารแสดงความห่วงกังวลต่อการใช้มาตรา 112 และข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย.
  6. รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และงานวิจัยทางวิชาการของนักกฎหมาย/รัฐศาสตร์ไทย ที่ศึกษาบทบาทของตุลาการไทยภายใต้โครงสร้างอำนาจนิยม.
  7. Transparency International. ดัชนีการรับรู้การทุจริตในภาครัฐไทย โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับตำรวจและกระบวนการยุติธรรม.

คันฉ่องส่องไทย: นิติสงคราม–ตุลาการวิบัติ–112 และหายนะของความยุติธรรม

 


คันฉ่องส่องไทย: นิติสงคราม–ตุลาการวิบัติ–112 และหายนะของความยุติธรรม

คันฉ่องส่องไทย: นิติสงคราม–ตุลาการวิบัติ–112 และหายนะของความยุติธรรม

ข้อเขียนนี้มิได้เขียนด้วยความเกลียดชังต่อใคร แต่เขียนด้วยความรักต่อชาติและประชาชนผู้ถูกกดขี่ หากเราไม่พูดวันนี้ จะไม่มีใครกล้าพูดแทนปวงชนอีกแล้ว

1) นิติสงคราม: เครื่องมือของรัฐที่แปลงประชาชนเป็นศัตรูภายใน

ประเทศไทยไม่เคยประกาศ “ภาวะสงคราม” ต่อประชาชน แต่รัฐใช้อำนาจ ราวกับกำลังทำสงครามกับคนในชาติเอง

นิติสงคราม (lawfare) ของไทยประกอบด้วยอย่างน้อยดังนี้:

  • ใช้กฎหมายเป็นอาวุธเพื่อปราบ “ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง” มากกว่าจะคุ้มครองสิทธิของทุกคนอย่างเท่าเทียม
  • ฟ้องไม่จำกัดจำนวนคดี (SLAPP) เพื่อทำให้ผู้ถูกกล่าวหาอ่อนล้า หมดเวลา หมดทรัพยากร และหมดกำลังใจ
  • ใช้อำนาจรัฐตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ศาล จนถึงราชทัณฑ์ เพื่อสร้าง “ต้นทุนชีวิต” แทนที่จะเป็น “ความยุติธรรม”
  • ควบคุมศาลด้วยวัฒนธรรมความกลัว การยกย่องอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ และการตีความตามกระแสของสถาบันหลัก
  • ใช้กฎหมายสูงสุดในการคุ้มครองผู้ปกครอง ไม่ใช่ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย

ผลก็คือประชาชนกลายเป็นเป้าของรัฐ รัฐกลายเป็นศัตรูกับพลเมืองของตัวเอง นี่ไม่ใช่การบังคับใช้กฎหมายธรรมดา แต่คือ ยุทธศาสตร์สงครามเต็มรูปแบบต่อประชาชน

2) ตำรวจ: ด่านหน้าแห่งการผลิตความอยุติธรรม

โครงสร้างตำรวจไทยทำงานราวกับ “หน่วยความมั่นคง” มากกว่า “ผู้พิทักษ์สันติ” ในคดีการเมืองและคดี 112 บทบาทของตำรวจจึงกลายเป็นด่านหน้าของนิติสงครามอย่างชัดเจน

พฤติกรรมที่สะท้อนการบิดเบือน

  • ตั้งข้อหาแบบลวก ๆ โดยเฉพาะคดีการเมืองและคดี 112 แม้หลักฐานจะไม่ชัดเจนหรือมีความสงสัยในข้อกฎหมาย
  • ตีความเจตนาเกินจริง โพสต์สั้น ๆ ไม่กี่คำ กลายเป็นภัยต่อสถาบันและความมั่นคงของรัฐได้ในทันที
  • บุกจับตอนกลางคืน ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ใช่อาชญากรอันตราย ไม่มีอาวุธ และไม่ได้คิดหลบหนี
  • ควบคุมตัวโดยไม่จำเป็น ใช้การกักขังเป็นเครื่องมือกดดัน มากกว่าจะใช้การออกหมายเรียกตามครรลองปกติ
  • ทำงานสัมพันธ์กับหน่วยข่าวความมั่นคงอย่างแนบแน่น ดักข้อมูล สอดส่อง และโยงการแสดงออกทางการเมืองเข้ากับ “ภัยต่อความมั่นคง” แบบเกินเหตุ

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

  • เยาวชนอายุเพียง 14–17 ปี ถูกตั้งข้อหา 112 จากการชูป้าย การติดสติ๊กเกอร์ หรือการตะโกนถ้อยคำเชิงเสียดสี
  • ประชาชนทั่วไปถูกจับกุมกลางดึกเพียงเพราะโพสต์ข้อความประชดประชันบนโซเชียลมีเดีย
  • ผู้ต้องหาหลายรายถูกควบคุมตัวหลายคืนในห้องขัง ทั้งที่สามารถออกหมายเรียกได้ตามปกติ

ในสภาพเช่นนี้ ตำรวจไม่ได้ทำหน้าที่ตามหลักนิติรัฐ หากแต่ทำตาม ความกลัวอำนาจเหนือกฎหมาย และทำตาม “กระแสต้องจัดการคนเห็นต่าง”

3) อัยการ: มือกลั่นกรองที่ไม่เคยกลั่นกรอง

โดยหลักการ อัยการควรเป็นผู้พิทักษ์ประโยชน์สาธารณะและตรวจสอบสำนวนของตำรวจอย่างเข้มงวด แต่ในคดีการเมืองและคดี 112 อัยการกลับทำหน้าที่เสมือน “ตราประทับฝ่ายปกครอง”

การใช้ดุลพินิจที่บิดเบือน

  • สั่งฟ้องคดี 112 แทบทุกคดี แม้เนื้อหาจะกำกวม ผู้กล่าวหาไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง หรือมีข้อสงสัยทางกฎหมายอย่างชัดเจน
  • ปฏิเสธการเลื่อนนัดในหลายกรณี แม้ผู้ต้องหาป่วย อยู่ต่างจังหวัด หรือมีเหตุสุดวิสัย
  • ยื่นอุทธรณ์และคัดค้านการให้ประกันในทางปฏิบัติ เพื่อให้ผู้ต้องหาอยู่ในคุกให้นานที่สุด โดยอ้าง “ความมั่นคงของรัฐ”

เมื่ออัยการกลายเป็นเพียงสายพานสนับสนุนการฟ้องของตำรวจ กระบวนการยุติธรรมส่วนนี้จึงไม่ใช่ “ด่านกรอง” แต่เป็น “ด่านเร่งรัด” ให้คดีการเมืองเดินหน้าอย่างรวดเร็วและหนักหน่วงต่อผู้ถูกกล่าวหา

4) ศาล: เสาหลักสุดท้ายที่ถูกทำให้รับใช้ชนชั้นนำ

อำนาจตุลาการควรเป็นกำแพงสุดท้ายในการปกป้องสิทธิของประชาชน แต่เมื่อวัฒนธรรมความกลัวและการยึดถือชนชั้นนำอยู่เหนือรัฐธรรมนูญฝังรากลึก ศาลก็กลายเป็น กลไกแต่งหน้าของนิติสงคราม มากกว่าจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน

พฤติกรรมในคดีการเมืองและคดี 112

  • ไม่ให้ประกันตัว โดยอ้างอัตราโทษสูง ความเสี่ยงหลบหนี หรือ “กระทบความมั่นคง” แม้ผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและไม่เคยมีประวัติหลบหนี
  • ตีความข้อความเชิงสัญลักษณ์ การแสดงออกเชิงศิลปะ หรือถ้อยคำเสียดสี ว่าเป็น “ดูหมิ่น-หมิ่นประมาท-อาฆาตมาดร้าย” ได้อย่างกว้างและอันตราย
  • ให้ความเชื่อถือพยานและหลักฐานฝ่ายรัฐอย่างมาก แต่ไม่ให้เครดิตกับพยานฝ่ายจำเลยในมาตรฐานเดียวกัน
  • ใช้มาตรฐาน “ความรู้สึก” ของชนชั้นนำ แทนมาตรฐาน “ข้อเท็จจริงและบทบัญญัติกฎหมาย” อย่างเคร่งครัด

ผู้ต้องหาบางรายถูกคุมขังกว่า 1–2 ปี โดยยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หากระบบยุติธรรมทำให้ “การรอคอยคำพิพากษา” เจ็บปวดกว่าตัวคำพิพากษาเอง นั่นคือการทำลายศรัทธาต่อหลักนิติรัฐอย่างรุนแรง

5) ราชทัณฑ์: คุกที่ทำหน้าที่เป็นค่ายปราบขบถพลเมือง

เมื่อศาลปฏิเสธการประกันตัว เรือนจำจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของนิติสงคราม ไม่ได้มีไว้เพื่อ “ฟื้นฟู” หากแต่ใช้ “ทำลายความศรัทธาและศักดิ์ศรีของผู้ต้องหา”

รายละเอียดที่สะท้อนปัญหา

  • ผู้ต้องหาคดี 112 และคดีการเมืองจำนวนมากถูกขังรวมกับนักโทษคดียาเสพติดหรืออาชญากรรมทั่วไป ทั้งที่ความเสี่ยงแตกต่างกัน
  • มีกรณีถูกคุกคาม กดดัน หรือทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยในเรือนจำ ไม่ว่าจะโดยนักโทษด้วยกันเองหรือด้วยระบบที่เลือกปฏิบัติ
  • การได้รับสิทธิรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานไม่เท่าเทียม บางรายไม่ได้รับการดูแลอย่างทันการณ์จนถึงขั้นชีวิตตกอยู่ในอันตราย
  • ญาติและทนายเข้าถึงผู้ต้องหาได้ลำบาก ถูกจำกัดเวลาและเงื่อนไขการเยี่ยมมากกว่าคดีทั่วไป
  • การอดอาหารประท้วงของผู้ต้องหาการเมืองหลายรายถูกเพิกเฉยหรือมองว่าเป็น “การเรียกร้องเกินเลย” มากกว่าจะมองว่าเป็น “สัญญาณอันตรายของความอยุติธรรม”

เรือนจำจึงทำหน้าที่เป็น เครื่องมือทำลายศักดิ์ศรี ไม่ใช่สถานที่ที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

6) คดี 112: เครื่องมือปิดปากที่โหดร้ายที่สุด

มาตรา 112 คือกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล ไม่สอดคล้องกับจิตวิญญาณของรัฐธรรมนูญที่แท้จริง และถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างเป็นระบบ

ความโหดร้ายของโครงสร้างและกระบวนการ

  • ตำรวจสามารถรับแจ้งความและตั้งข้อหาได้ โดยไม่จำเป็นต้องมี “ผู้เสียหายโดยตรง” จากบุคคลในราชวงศ์
  • อัยการมักสั่งฟ้องคดีเกือบทั้งหมด ทำให้คดีลากยาวไปสู่การพิจารณาในศาลจำนวนมาก
  • ศาลไม่ให้ประกันตัวในสัดส่วนสูงมาก โดยอ้างอัตราโทษสูง และผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
  • ผู้ต้องหาจำนวนไม่น้อยยอม “รับสารภาพ” เพื่อให้คดีจบโดยเร็ว เพราะไม่อาจทนต่อการถูกขังระหว่างพิจารณาคดี ทั้งที่ตนเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด
  • มีกรณีผู้ต้องหาบางรายเสียชีวิตในกระบวนการยุติธรรมหรือในเรือนจำ ทั้งที่ยังไม่ถูกพิพากษาเป็นผู้กระทำผิดโดยเด็ดขาด

ทั้งหมดนี้ทำให้มาตรา 112 ไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องศักดิ์ศรีของสถาบัน แต่กลับทำลายศักดิ์ศรีของความยุติธรรมและความเป็นมนุษย์ของประชาชน

7) ทำไมสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น? เพราะชนชั้นปกครองเห็นแก่ตัวและกลัวการตรวจสอบ

เมื่อมองภาพรวมของนิติสงครามและกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบือน จะเห็นรากเหง้าสำคัญอยู่ที่ ชนชั้นปกครองเห็นแก่ตัวและกลัวการตรวจสอบ

  • ชนชั้นนำต้องการ บังคับให้ประชาชน “รักและกลัว” พร้อมกัน แทนที่จะยอมรับการวิพากษ์และตรวจสอบอย่างสุจริต
  • กองทัพต้องการคงบทบาททางการเมืองและผลประโยชน์เชิงโครงสร้าง จึงต้องมี “ศัตรูภายใน” ไว้เป็นข้ออ้าง
  • ศาลต้องการความปลอดภัยในตำแหน่งและสถานะ จึงเลือกไม่ท้าทายอำนาจที่อยู่เหนือกฎหมาย
  • ตำรวจและอัยการต้องการเลื่อนขั้น ความมั่นคงในอาชีพ และอยู่ใน “ข้างที่ปลอดภัย” จึงเลือกทำตามกระแสนโยบายมากกว่าตามหลักกฎหมาย
  • ราชทัณฑ์ทำหน้าที่ตามคำสั่งที่ไม่ได้ออกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมการใช้อำนาจต่อผู้ต้องหา

ทั้งหมดนี้ร่วมกันสร้าง “โครงสร้างการกดทับ” ที่คนไทยทั้งชาติรู้แต่ไม่กล้าพูด เพราะความกลัวถูกผลิตและปลูกฝังอย่างเป็นระบบ ผ่านโรงเรียน ศาสนา สื่อ และกฎหมาย

8) คันฉ่องส่องใจคนไทย: เสาหลักถูกทำลาย ประเทศจึงผุพัง

เมื่อเสาหลักแห่งความยุติธรรมแตกหัก ประเทศจะเหลือเพียงกำแพงที่ร้าวและหลังคาที่พร้อมถล่ม ประเทศไทยวันนี้กำลังเดินอยู่บนเส้นทางนั้น

  • ความกลัว แทนที่ หลักกฎหมาย
  • ความจงรักภักดีที่ถูกบังคับ แทนที่ หลักสิทธิมนุษยชน
  • การตีความอำเภอใจ แทนที่ การพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยหลักฐาน
  • ความอยุติธรรม กลายเป็นเรื่องปกติจนคนชินชา
  • การใช้คุก เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายคิดต่าง กลายเป็น “ระบบถาวร” มากกว่าจะเป็นข้อยกเว้นในภาวะวิกฤต

ประเทศใดที่ให้ “ความกลัว” อยู่เหนือ “ความยุติธรรม” ประเทศนั้นย่อมกลายเป็น รัฐล้มเหลวในมโนธรรมของตัวเอง แม้จะยังมีตึกสูง ถนนใหญ่ และตัวเลข GDP ที่ดูสวยงามเพียงใดก็ตาม

9) คำฝากถึงคนไทยทุกคน

“ชาติที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้องมีความยุติธรรมที่ประชาชนสัมผัสได้จริง ไม่ใช่ระบบที่สร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองผู้อยู่บนยอดพีระมิดเพียงไม่กี่คน”

หากคนไทยยอมรับความจริงร่วมกันว่า เสาหลักของความยุติธรรมกำลังถูกทำลายด้วยนิติสงครามและความเห็นแก่ตัวของชนชั้นปกครอง วันนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เราทวง “ศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าของประเทศ” กลับคืนมาด้วยปัญญาและความกล้าหาญ

อ่านงานกึ่งวิชาการที่นี่