นิติสงครามกับการล่มสลายของกระบวนการยุติธรรมไทย: วิเคราะห์ผ่านคดีมาตรา 112 และคดีการเมืองร่วมสมัย
บทความวิชาการว่าด้วยการใช้กฎหมายเป็นอาวุธ (lawfare) บทบาทของตำรวจ–อัยการ–ศาล–ราชทัณฑ์ และกรณีศึกษาที่สะท้อนวิกฤตสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
คำสำคัญ: นิติสงคราม, มาตรา 112, กระบวนการยุติธรรม, สิทธิมนุษยชน, ตุลาการธิปไตย, การเมืองไทยร่วมสมัย
1. บทนำ: จากนิติรัฐสู่ “นิติสงคราม”
ในเชิงอุดมคติ รัฐสมัยใหม่ควรยืนอยู่บนหลักนิติรัฐ (rule of law) ซึ่งหมายถึงการที่กฎหมายมีความเป็นกลาง ใช้บังคับอย่างเสมอภาค และมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ทว่าหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และ 2557 เป็นต้นมา ประเทศไทยกลับถูกวิพากษ์อย่างต่อเนื่องว่าได้เคลื่อนจาก “นิติรัฐ” ไปสู่ “นิติสงคราม” (lawfare) คือการใช้กฎหมายเป็นอาวุธทางการเมืองต่อฝ่ายตรงข้ามและต่อพลเมืองในวงกว้าง
การที่กฎหมายด้านความมั่นคง เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ถูกนำมาใช้กับการแสดงออกเชิงการเมืองอย่างสันติ การชุมนุม การวิพากษ์วิจารณ์ หรือแม้แต่การเสียดสีเชิงสัญลักษณ์ของประชาชน ทำให้เกิดคำถามสำคัญในแวดวงวิชาการกฎหมายและรัฐศาสตร์ว่า กระบวนการยุติธรรมไทยยังมีความเป็นอิสระและเป็นกลางเพียงใด และกำลังมุ่งปกป้อง “ความมั่นคงของชนชั้นนำ” มากกว่า “สิทธิและเสรีภาพของพลเมือง” หรือไม่
บทความนี้จึงมุ่งสำรวจโครงสร้างและพฤติกรรมของสถาบันหลักในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ ตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ ผ่านกรอบคิดเรื่องนิติสงคราม รัฐอำนาจนิยมแบบตุลาการ (judicial authoritarianism) และรัฐแห่งความกลัว พร้อมวิเคราะห์กรณีศึกษาที่เป็น “หลุมดำ” ของสิทธิมนุษยชน เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังยืนอยู่ตรงไหน ระหว่าง “นิติรัฐ” กับ “รัฐที่บังคับใช้ความกลัวด้วยกฎหมาย”
2. นิติสงครามในบริบทไทย: โครงสร้างและกลไก
2.1 ระดับบทบัญญัติกฎหมาย: การออกแบบให้ตีความกว้างและยืดหยุ่นต่ออำนาจ
มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาเป็นตัวอย่างสำคัญของกฎหมายที่ถูกวิจารณ์ว่ามีโครงสร้างเปิดให้ตีความได้กว้างและไร้เพดาน กล่าวคือ บทบัญญัติใช้ถ้อยคำกว้าง เช่น “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” โดยไม่ได้กำหนดเกณฑ์การพิสูจน์ความเสียหาย หรือขอบเขตของการวิพากษ์ในฐานะ “การวิจารณ์โดยสุจริต” ในทางสาธารณะ อีกทั้งไม่ได้จำกัดคู่ความให้เป็นผู้เสียหายโดยตรงจากราชวงศ์ ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษแทนได้ และเปิดช่องให้เกิดการฟ้องปิดปาก (SLAPP)
เมื่อประกอบกับกฎหมายอื่น เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่เปิดช่องให้ดำเนินคดีซ้ำซ้อนจากการโพสต์หรือแชร์ข้อความเดียวกัน และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ถูกใช้ควบคุมการชุมนุมทางการเมืองในช่วงยืดเยื้อหลังโควิด-19 จึงทำให้ โครงสร้างกฎหมายไทยเอื้อให้รัฐใช้ “เครื่องมือทางกฎหมาย” แทน “การโต้แย้งเชิงเหตุผล” กับประชาชน
2.2 ระดับกระบวนการ: การลงโทษผ่านขั้นตอนมากกว่าคำพิพากษา
ในหลายกรณี การลงโทษผู้เห็นต่างไม่ได้เกิดจากคำพิพากษาหรือโทษจำคุกเพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดจาก “การทำให้การต่อสู้คดีมีต้นทุนสูง” ทั้งในแง่เวลา เสรีภาพ สุขภาพ และเศรษฐกิจ เช่น การจับกุมกลางดึก การไม่ออกหมายเรียกก่อน การคัดค้านการประกันตัวซ้ำ ๆ การใช้เงินประกันในวงเงินสูงเกินเหตุ หรือการปล่อยให้คดีลากยาวโดยไม่มีความจำเป็นเชิงพยานหลักฐาน
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้กระบวนการยุติธรรมกลายเป็น “การลงโทษก่อนพิพากษา” (punishment before conviction) ซึ่งขัดอย่างยิ่งกับหลักการสันนิษฐานความบริสุทธิ์ และบิดเบือนบทบาทของตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “เครื่องจักรปราบปราม” แทนที่จะเป็น “กลไกคุ้มครองสิทธิ”
3. ตำรวจ: ด่านหน้าของรัฐความมั่นคงเหนือรัฐกฎหมาย
สถาบันตำรวจไทยถูกผูกเข้ากับวาทกรรม “ความมั่นคงของชาติและสถาบันหลัก” อย่างเข้มข้น ในคดีการเมืองและคดี 112 ตำรวจจึงทำหน้าที่เป็นด่านหน้าของนิติสงคราม โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้
- การตั้งข้อหาอย่างกว้างและลวก: แม้ถ้อยคำหรือการแสดงออกจะคลุมเครือเชิงสัญลักษณ์ แต่กลับตีความเป็นภัยต่อสถาบันได้อย่างรวดเร็ว
- การจับกุมในเวลาวิสามัญ: การบุกจับกลางคืนหรือตอนรุ่งสาง แม้ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีพฤติการณ์หลบหนีหรือใช้อาวุธ
- การใช้การควบคุมตัวเป็นเครื่องมือกดดัน: เลือกใช้การจับกุมแทนการออกหมายเรียก ทั้งที่กรณีส่วนใหญ่ไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรง
- ความสัมพันธ์กับหน่วยข่าว: การเก็บข้อมูล ดักฟัง หรือติดตามการเคลื่อนไหวของนักกิจกรรมและประชาชนอย่างกว้างขวาง
ตัวอย่างเชิงประจักษ์
การดำเนินคดีต่อเยาวชนอายุไม่ถึง 18 ปี จากการชูป้ายหรือการปราศรัยสั้น ๆ ในพื้นที่ชุมนุม รวมทั้งการจับกุมนักกิจกรรมและประชาชนจากการโพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ในเวลากลางดึก ล้วนสะท้อนวัฒนธรรมการปฏิบัติหน้าที่ที่มุ่งสร้าง “ความหวาดกลัวต่อรัฐ” มากกว่าการอำนวยความยุติธรรม
4. อัยการ: ด่านกรองที่กลับกลายเป็นสายพานของการฟ้อง
ในหลักทฤษฎี อัยการควรมีบทบาทสำคัญในการกลั่นกรองสำนวน ว่าคดีใดสมควรนำขึ้นสู่ศาล คดีใดเป็นเพียงการใช้กระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้ง และคดีใดที่แม้จะมีมูลทางกฎหมาย แต่ไม่สมควรดำเนินคดีต่อในแง่ประโยชน์สาธารณะ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติของคดี 112 และคดีการเมืองในไทย อัยการกลับถูกวิจารณ์ว่าใช้ดุลพินิจแบบ “สั่งฟ้องโดยอัตโนมัติ”
ลักษณะปัญหาหลัก
- อัตราการสั่งฟ้องสูงมาก: คดี 112 ส่วนใหญ่ถูกสั่งฟ้องขึ้นสู่ศาล แม้หลักฐานอ่อนหรือมีข้อโต้แย้งทางกฎหมาย
- ละเลยหลักประโยชน์สาธารณะ: ไม่ใช้ดุลพินิจในการยุติคดีที่ชัดเจนว่าเป็นการฟ้องเพื่อปิดปาก
- การคัดค้านประกันตัว: ในหลายคดี อัยการมีบทบาทสำคัญในการคัดค้านการให้ประกันตัวด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง
กรณีอย่าง “อากง SMS” และ “อัญชัญ” สะท้อนให้เห็นว่า อัยการมีส่วนสำคัญในการผลักคดีไปสู่การพิพากษา แม้คดีจะก่อให้เกิดคำถามทางจริยธรรมและสิทธิมนุษยชนอย่างหนักหน่วงในสังคม
5. ศาล: จากที่พึ่งสุดท้ายสู่กลไกแต่งหน้าของนิติสงคราม
อำนาจตุลาการในระบบประชาธิปไตยควรเป็น “เสาหลักสุดท้าย” ในการปกป้องสิทธิของคนส่วนน้อยและผู้ถูกกล่าวหา แต่ในบริบทไทย ศาลถูกวิพากษ์ว่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจนิยม จนเกิดแนวคิด “ตุลาการธิปไตยภายใต้อิทธิพลเหนือรัฐธรรมนูญ”
พฤติกรรมที่สะท้อนวิกฤตตุลาการ
- การไม่อนุญาตให้ประกันตัวในคดี 112: แม้รัฐธรรมนูญรับรองหลักสันนิษฐานความบริสุทธิ์ แต่ศาลมักอ้างอัตราโทษสูงและความมั่นคง
- การตีความกฎหมายกว้างเกินเพดาน: การแสดงออกเชิงศิลปะ การเสียดสี หรือการแชร์บทความข่าว ถูกตีความว่าเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน
- การลงโทษระดับสูง: หลายคดีมีโทษจำคุกนับสิบปี ในระดับที่สูงกว่าคดีอาญาร้ายแรงบางประเภท
- ความล่าช้าในกระบวนการ: การปล่อยให้คดีลากยาว ขณะที่ผู้ต้องหาถูกคุมขังระหว่างพิจารณา เป็นการลงโทษทางอ้อม
คดีเช่น ไผ่ ดาวดิน ที่ถูกลงโทษจากการแชร์บทความสื่อสากล หรือคดีนักเรียนที่แต่งแฟนซีชุดไทยในขบวนพาเหรด กลายเป็นหลักฐานเชิงสัญลักษณ์ของการตีความที่ไร้เพดานและวางอยู่บน “ความรู้สึกถึงความเหมาะสม” มากกว่าบทบัญญัติกฎหมายอย่างแคบและชัดเจน
6. ราชทัณฑ์: คุกในฐานะค่ายปราบขบถพลเมือง
เมื่อศาลปฏิเสธการให้ประกันตัว เรือนจำกลายเป็นพื้นที่สำคัญที่สะท้อนการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือปราบปรามทางการเมือง ผู้ต้องหาคดีการเมืองและคดี 112 จำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับการขังรวมกับนักโทษคดีอาญาร้ายแรง การเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำกัด การจำกัดสิทธิในการเยี่ยมของครอบครัวและทนาย รวมทั้งการเผชิญแรงกดดันทางจิตใจและร่างกาย
การเสียชีวิตของผู้ต้องหาบางรายในเรือนจำหรือในความควบคุมของรัฐ เช่น กรณีธวัชชัย อนุกูล รวมถึงการอดอาหารประท้วงของนักกิจกรรมอย่าง “ตะวัน–แบม” ที่ถูกคุมขังโดยยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ล้วนสะท้อนภาวะที่ระบบราชทัณฑ์ไม่ได้ทำหน้าที่ฟื้นฟูหรือปฏิบัติต่อผู้ต้องหาในฐานะมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียม แต่ทำหน้าที่เสมือน “พื้นที่ลงโทษทางการเมือง” อย่างแยบยล
7. มาตรา 112: โครงสร้างกฎหมายที่ทำให้สังคมหวาดกลัวตนเอง
มาตรา 112 ไม่ได้เป็นเพียง “ข้อความในประมวลกฎหมายอาญา” หากแต่ทำหน้าที่เป็น “สถาปัตยกรรมทางความกลัว” ในจิตสำนึกสาธารณะ ด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
- โทษจำคุกสูง: โทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปีต่อหนึ่งกรรม และหลายคดีมีการนับโทษทุกข้อความ ทำให้โทษรวมอาจสูงถึงหลายสิบปี
- ไม่มีข้อจำกัดเรื่องผู้เสียหาย: เปิดช่องให้บุคคลใดก็ได้สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษแทนราชวงศ์
- การตีความกว้าง: การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์หรือศิลปะสามารถถูกตีความให้เข้าข่ายความผิดได้
- การไม่ให้ประกันตัวเป็นหลัก: ทำให้การถูกกล่าวหาตามมาตรานี้มีผลเทียบเท่าการลงโทษทางสังคมทันที
- การใช้ร่วมกับกฎหมายอื่น: เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดคดีซ้อนคดีจากเหตุเดียวกัน
ภายใต้โครงสร้างดังกล่าว มาตรา 112 จึงทำหน้าที่ “ปิดปาก” สังคมอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแค่ผู้ถูกดำเนินคดี แต่รวมถึงผู้สังเกตการณ์ นักวิชาการ สื่อ และประชาชนทั่วไป ที่ถูกทำให้เรียนรู้ว่าการตั้งคำถาม หรือแม้แต่การอภิปรายเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์อาจนำไปสู่ความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อเสรีภาพและความปลอดภัยของตนเอง
8. กรณีศึกษาที่สำคัญ: ภาพสะท้อนวิกฤตสิทธิมนุษยชน
ส่วนนี้จะยกกรณีศึกษาสำคัญที่ถูกอ้างถึงอย่างกว้างขวางในแวดวงสิทธิมนุษยชนและวิชาการ เพื่อใช้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ประกอบการวิเคราะห์เชิงทฤษฎีข้างต้น
8.1 คดี “อากง SMS”: ความอำมหิตของการลงโทษในโลกดิจิทัล
คดีอากง SMS
ชายสูงอายุถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความ SMS ที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันกษัตริย์หลายข้อความ แม้จะมีข้อโต้แย้งเชิงเทคนิคเกี่ยวกับหมายเลขโทรศัพท์และการเข้าถึงเครื่องมือสื่อสาร แต่ท้ายที่สุดศาลพิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลานาน การเสียชีวิตของเขาในเรือนจำระหว่างการต่อสู้คดี ทำให้คดีนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการใช้มาตรา 112 โดยไม่คำนึงถึงสัดส่วนของโทษและความเปราะบางทางร่างกายของผู้ต้องหา
8.2 คดี “อัญชัญ”: โทษรวมระดับหลายสิบปีจากคลิปเสียง
คดีอัญชัญ
หญิงวัยกลางคนถูกดำเนินคดีจากคลิปเสียงหลายตอนที่กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ ศาลพิพากษาลงโทษทุกกรรมและนับโทษต่อเนื่อง ทำให้โทษรวมในชั้นต้นสูงถึงหลายสิบปี ก่อนจะลดโทษจากการรับสารภาพในภายหลัง คดีนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาสองประการ คือ (1) การนับโทษทุกข้อความทวีโทษจนเกินสัดส่วน และ (2) บทบาทของการไม่ให้ประกันตัว ซึ่งผลักผู้ต้องหาให้เลือกระหว่าง “ยอมรับสารภาพ” กับ “สู้คดีโดยต้องเสี่ยงต่อการถูกขังยาว”
8.3 คดีไผ่ ดาวดิน: แชร์บทความสื่อสากลก็ผิดได้
คดีไผ่ ดาวดิน
นักกิจกรรมคนรุ่นใหม่ถูกดำเนินคดีจากการแชร์บทความข่าวของสื่อสากลเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทย แม้เนื้อหาดังกล่าวจะถูกเผยแพร่ในระดับนานาชาติก่อนแล้ว แต่การแชร์ผ่านบัญชีส่วนตัวในสื่อสังคมออนไลน์ ก็ยังถูกตีความว่าเป็นการเผยแพร่เนื้อหาอันเป็นปัญหา และถูกลงโทษจำคุก คดีนี้จึงเป็นตัวอย่างของการตีความมาตรา 112 ที่กระทบต่อเสรีภาพในการรับรู้และส่งต่อข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นหัวใจของสังคมประชาธิปไตย
8.4 คดีเยาวชนและนักเรียน: สิทธิเด็กภายใต้มาตรา 112
คดีเยาวชนและนักเรียน
เยาวชนหลายรายถูกตั้งข้อหา 112 จากการปราศรัย การชูป้าย การติดสติ๊กเกอร์ หรือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในโรงเรียนและพื้นที่สาธารณะ บางรายอายุไม่ถึง 18 ปี ซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) การนำเด็กและเยาวชนเข้าสู่กระบวนการอาญาด้วยข้อหาหนักทางการเมืองเช่นนี้ ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงว่าเป็นการละเมิดหลัก “ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก” และสร้างบาดแผลทางจิตใจระยะยาว
8.5 คดี “ตะวัน–แบม”: การอดอาหารประท้วงและสิทธิในการประกันตัว
คดีตะวัน–แบม
นักกิจกรรมหญิงสองรายถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 และคดีการเมืองอื่น การถูกปฏิเสธสิทธิการประกันตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจอดอาหารประท้วงเป็นเวลานานจนเกิดภาวะเสี่ยงต่อชีวิต คดีนี้กลายเป็นกระจกสะท้อนที่สำคัญต่อบทบาทของศาลและราชทัณฑ์ต่อสิทธิในร่างกายและชีวิตของผู้ต้องหา และทำให้สังคมตั้งคำถามต่อการใช้การคุมขังเป็นเครื่องมือกดดันมากกว่าการคุ้มครองความยุติธรรม
8.6 คดีนักเรียนชุดไทยแฟนซีและการแสดงออกเชิงศิลปะ
คดีนักเรียนชุดไทยแฟนซี
กลุ่มนักเรียนแต่งกายชุดไทยในรูปแบบแฟนซีและเดินพาเหรดในกิจกรรมของโรงเรียน การแสดงออกดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นการเสียดสีและหมิ่นสถาบันจนมีการดำเนินคดีตามมาตรา 112 กรณีเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามว่า เสรีภาพทางศิลปะ การเสียดสีเชิงการเมือง และการใช้แฟนซีเป็นสัญลักษณ์ ถูกจำกัดอย่างไรภายใต้โครงสร้างกฎหมายอาญาไทย
8.7 คดีธวัชชัย อนุกูล: การเสียชีวิตในความควบคุมของรัฐ
คดีธวัชชัย อนุกูล
การเสียชีวิตของธวัชชัย อนุกูล ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่รัฐ มีรายงานชันสูตรพลิกศพที่ระบุถึงบาดแผลและความผิดปกติหลายประการ คดีนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของคำถามใหญ่ต่อความโปร่งใสและความรับผิดของรัฐต่อชีวิตของผู้ถูกควบคุมตัว แม้อาจไม่ใช่คดี 112 โดยตรง แต่ก็เกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิในชีวิตและร่างกายภายใต้การดูแลของรัฐ ซึ่งเป็นหัวใจของหลักสิทธิมนุษยชน
9. สรุป: ความอยุติธรรมเชิงโครงสร้างและภาวะ “รัฐล้มเหลวในมโนธรรมของตนเอง”
จากกรอบคิดเรื่องนิติสงครามและกรณีศึกษาหลายมิติ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การใช้มาตรา 112 และกฎหมายด้านความมั่นคงอื่น ๆ ในประเทศไทย มิใช่เพียงปัญหาการตีความบทบัญญัติกฎหมายเท่านั้น หากแต่เป็นวิกฤตเชิงโครงสร้างที่ทำให้ตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ ทำงานสอดประสานกันในฐานะ “เครื่องจักรปราบปราม” มากกว่า “กลไกคุ้มครองสิทธิ”
ประเทศใดที่ให้ “ความกลัว” อยู่เหนือ “ความยุติธรรม” ประเทศนั้นย่อมค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่ภาวะ “รัฐล้มเหลวในมโนธรรมของตัวเอง” ต่อให้ยังมีความสงบภายนอก ตึกสูง ถนนใหญ่ หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่หากประชาชนจำนวนมากไม่รู้สึกว่าตนได้รับความยุติธรรมอย่างแท้จริง รัฐนั้นย่อมขาดความชอบธรรมเชิงคุณค่าซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของประชาธิปไตย
การอภิปรายเชิงวิชาการเกี่ยวกับมาตรา 112 และนิติสงครามในไทยจึงมิใช่การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ หากแต่เป็นความพยายามที่จะปกป้องแก่นกลางของนิติรัฐและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนทุกคนในประเทศเดียวกัน
เชิงอรรถและบรรณานุกรมย่อ (สำหรับการขยายความในงานวิจัย)
- Amnesty International. รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้มาตรา 112 และการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก.
- Human Rights Watch (HRW). รายงานประจำปีว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ครอบคลุมคดีการเมืองและการใช้กฎหมายด้านความมั่นคงต่อผู้เห็นต่าง.
- ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน. ฐานข้อมูลคดีการเมืองและคดีมาตรา 112 รวมทั้งบทวิเคราะห์แนวโน้มเชิงโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรม.
- iLaw. ฐานข้อมูลคดีมาตรา 112 และรายงานวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบเกี่ยวกับมาตรา 112 กับมาตรากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในต่างประเทศ.
- สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR). เอกสารแสดงความห่วงกังวลต่อการใช้มาตรา 112 และข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย.
- รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และงานวิจัยทางวิชาการของนักกฎหมาย/รัฐศาสตร์ไทย ที่ศึกษาบทบาทของตุลาการไทยภายใต้โครงสร้างอำนาจนิยม.
- Transparency International. ดัชนีการรับรู้การทุจริตในภาครัฐไทย โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับตำรวจและกระบวนการยุติธรรม.

