ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Friday, November 21, 2025

คันฉ่องส่องไทย: นิติสงคราม–ตุลาการวิบัติ–112 และหายนะของความยุติธรรม

 


คันฉ่องส่องไทย: นิติสงคราม–ตุลาการวิบัติ–112 และหายนะของความยุติธรรม

คันฉ่องส่องไทย: นิติสงคราม–ตุลาการวิบัติ–112 และหายนะของความยุติธรรม

ข้อเขียนนี้มิได้เขียนด้วยความเกลียดชังต่อใคร แต่เขียนด้วยความรักต่อชาติและประชาชนผู้ถูกกดขี่ หากเราไม่พูดวันนี้ จะไม่มีใครกล้าพูดแทนปวงชนอีกแล้ว

1) นิติสงคราม: เครื่องมือของรัฐที่แปลงประชาชนเป็นศัตรูภายใน

ประเทศไทยไม่เคยประกาศ “ภาวะสงคราม” ต่อประชาชน แต่รัฐใช้อำนาจ ราวกับกำลังทำสงครามกับคนในชาติเอง

นิติสงคราม (lawfare) ของไทยประกอบด้วยอย่างน้อยดังนี้:

  • ใช้กฎหมายเป็นอาวุธเพื่อปราบ “ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง” มากกว่าจะคุ้มครองสิทธิของทุกคนอย่างเท่าเทียม
  • ฟ้องไม่จำกัดจำนวนคดี (SLAPP) เพื่อทำให้ผู้ถูกกล่าวหาอ่อนล้า หมดเวลา หมดทรัพยากร และหมดกำลังใจ
  • ใช้อำนาจรัฐตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ศาล จนถึงราชทัณฑ์ เพื่อสร้าง “ต้นทุนชีวิต” แทนที่จะเป็น “ความยุติธรรม”
  • ควบคุมศาลด้วยวัฒนธรรมความกลัว การยกย่องอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ และการตีความตามกระแสของสถาบันหลัก
  • ใช้กฎหมายสูงสุดในการคุ้มครองผู้ปกครอง ไม่ใช่ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย

ผลก็คือประชาชนกลายเป็นเป้าของรัฐ รัฐกลายเป็นศัตรูกับพลเมืองของตัวเอง นี่ไม่ใช่การบังคับใช้กฎหมายธรรมดา แต่คือ ยุทธศาสตร์สงครามเต็มรูปแบบต่อประชาชน

2) ตำรวจ: ด่านหน้าแห่งการผลิตความอยุติธรรม

โครงสร้างตำรวจไทยทำงานราวกับ “หน่วยความมั่นคง” มากกว่า “ผู้พิทักษ์สันติ” ในคดีการเมืองและคดี 112 บทบาทของตำรวจจึงกลายเป็นด่านหน้าของนิติสงครามอย่างชัดเจน

พฤติกรรมที่สะท้อนการบิดเบือน

  • ตั้งข้อหาแบบลวก ๆ โดยเฉพาะคดีการเมืองและคดี 112 แม้หลักฐานจะไม่ชัดเจนหรือมีความสงสัยในข้อกฎหมาย
  • ตีความเจตนาเกินจริง โพสต์สั้น ๆ ไม่กี่คำ กลายเป็นภัยต่อสถาบันและความมั่นคงของรัฐได้ในทันที
  • บุกจับตอนกลางคืน ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ใช่อาชญากรอันตราย ไม่มีอาวุธ และไม่ได้คิดหลบหนี
  • ควบคุมตัวโดยไม่จำเป็น ใช้การกักขังเป็นเครื่องมือกดดัน มากกว่าจะใช้การออกหมายเรียกตามครรลองปกติ
  • ทำงานสัมพันธ์กับหน่วยข่าวความมั่นคงอย่างแนบแน่น ดักข้อมูล สอดส่อง และโยงการแสดงออกทางการเมืองเข้ากับ “ภัยต่อความมั่นคง” แบบเกินเหตุ

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

  • เยาวชนอายุเพียง 14–17 ปี ถูกตั้งข้อหา 112 จากการชูป้าย การติดสติ๊กเกอร์ หรือการตะโกนถ้อยคำเชิงเสียดสี
  • ประชาชนทั่วไปถูกจับกุมกลางดึกเพียงเพราะโพสต์ข้อความประชดประชันบนโซเชียลมีเดีย
  • ผู้ต้องหาหลายรายถูกควบคุมตัวหลายคืนในห้องขัง ทั้งที่สามารถออกหมายเรียกได้ตามปกติ

ในสภาพเช่นนี้ ตำรวจไม่ได้ทำหน้าที่ตามหลักนิติรัฐ หากแต่ทำตาม ความกลัวอำนาจเหนือกฎหมาย และทำตาม “กระแสต้องจัดการคนเห็นต่าง”

3) อัยการ: มือกลั่นกรองที่ไม่เคยกลั่นกรอง

โดยหลักการ อัยการควรเป็นผู้พิทักษ์ประโยชน์สาธารณะและตรวจสอบสำนวนของตำรวจอย่างเข้มงวด แต่ในคดีการเมืองและคดี 112 อัยการกลับทำหน้าที่เสมือน “ตราประทับฝ่ายปกครอง”

การใช้ดุลพินิจที่บิดเบือน

  • สั่งฟ้องคดี 112 แทบทุกคดี แม้เนื้อหาจะกำกวม ผู้กล่าวหาไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง หรือมีข้อสงสัยทางกฎหมายอย่างชัดเจน
  • ปฏิเสธการเลื่อนนัดในหลายกรณี แม้ผู้ต้องหาป่วย อยู่ต่างจังหวัด หรือมีเหตุสุดวิสัย
  • ยื่นอุทธรณ์และคัดค้านการให้ประกันในทางปฏิบัติ เพื่อให้ผู้ต้องหาอยู่ในคุกให้นานที่สุด โดยอ้าง “ความมั่นคงของรัฐ”

เมื่ออัยการกลายเป็นเพียงสายพานสนับสนุนการฟ้องของตำรวจ กระบวนการยุติธรรมส่วนนี้จึงไม่ใช่ “ด่านกรอง” แต่เป็น “ด่านเร่งรัด” ให้คดีการเมืองเดินหน้าอย่างรวดเร็วและหนักหน่วงต่อผู้ถูกกล่าวหา

4) ศาล: เสาหลักสุดท้ายที่ถูกทำให้รับใช้ชนชั้นนำ

อำนาจตุลาการควรเป็นกำแพงสุดท้ายในการปกป้องสิทธิของประชาชน แต่เมื่อวัฒนธรรมความกลัวและการยึดถือชนชั้นนำอยู่เหนือรัฐธรรมนูญฝังรากลึก ศาลก็กลายเป็น กลไกแต่งหน้าของนิติสงคราม มากกว่าจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน

พฤติกรรมในคดีการเมืองและคดี 112

  • ไม่ให้ประกันตัว โดยอ้างอัตราโทษสูง ความเสี่ยงหลบหนี หรือ “กระทบความมั่นคง” แม้ผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและไม่เคยมีประวัติหลบหนี
  • ตีความข้อความเชิงสัญลักษณ์ การแสดงออกเชิงศิลปะ หรือถ้อยคำเสียดสี ว่าเป็น “ดูหมิ่น-หมิ่นประมาท-อาฆาตมาดร้าย” ได้อย่างกว้างและอันตราย
  • ให้ความเชื่อถือพยานและหลักฐานฝ่ายรัฐอย่างมาก แต่ไม่ให้เครดิตกับพยานฝ่ายจำเลยในมาตรฐานเดียวกัน
  • ใช้มาตรฐาน “ความรู้สึก” ของชนชั้นนำ แทนมาตรฐาน “ข้อเท็จจริงและบทบัญญัติกฎหมาย” อย่างเคร่งครัด

ผู้ต้องหาบางรายถูกคุมขังกว่า 1–2 ปี โดยยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หากระบบยุติธรรมทำให้ “การรอคอยคำพิพากษา” เจ็บปวดกว่าตัวคำพิพากษาเอง นั่นคือการทำลายศรัทธาต่อหลักนิติรัฐอย่างรุนแรง

5) ราชทัณฑ์: คุกที่ทำหน้าที่เป็นค่ายปราบขบถพลเมือง

เมื่อศาลปฏิเสธการประกันตัว เรือนจำจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของนิติสงคราม ไม่ได้มีไว้เพื่อ “ฟื้นฟู” หากแต่ใช้ “ทำลายความศรัทธาและศักดิ์ศรีของผู้ต้องหา”

รายละเอียดที่สะท้อนปัญหา

  • ผู้ต้องหาคดี 112 และคดีการเมืองจำนวนมากถูกขังรวมกับนักโทษคดียาเสพติดหรืออาชญากรรมทั่วไป ทั้งที่ความเสี่ยงแตกต่างกัน
  • มีกรณีถูกคุกคาม กดดัน หรือทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยในเรือนจำ ไม่ว่าจะโดยนักโทษด้วยกันเองหรือด้วยระบบที่เลือกปฏิบัติ
  • การได้รับสิทธิรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานไม่เท่าเทียม บางรายไม่ได้รับการดูแลอย่างทันการณ์จนถึงขั้นชีวิตตกอยู่ในอันตราย
  • ญาติและทนายเข้าถึงผู้ต้องหาได้ลำบาก ถูกจำกัดเวลาและเงื่อนไขการเยี่ยมมากกว่าคดีทั่วไป
  • การอดอาหารประท้วงของผู้ต้องหาการเมืองหลายรายถูกเพิกเฉยหรือมองว่าเป็น “การเรียกร้องเกินเลย” มากกว่าจะมองว่าเป็น “สัญญาณอันตรายของความอยุติธรรม”

เรือนจำจึงทำหน้าที่เป็น เครื่องมือทำลายศักดิ์ศรี ไม่ใช่สถานที่ที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

6) คดี 112: เครื่องมือปิดปากที่โหดร้ายที่สุด

มาตรา 112 คือกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล ไม่สอดคล้องกับจิตวิญญาณของรัฐธรรมนูญที่แท้จริง และถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างเป็นระบบ

ความโหดร้ายของโครงสร้างและกระบวนการ

  • ตำรวจสามารถรับแจ้งความและตั้งข้อหาได้ โดยไม่จำเป็นต้องมี “ผู้เสียหายโดยตรง” จากบุคคลในราชวงศ์
  • อัยการมักสั่งฟ้องคดีเกือบทั้งหมด ทำให้คดีลากยาวไปสู่การพิจารณาในศาลจำนวนมาก
  • ศาลไม่ให้ประกันตัวในสัดส่วนสูงมาก โดยอ้างอัตราโทษสูง และผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
  • ผู้ต้องหาจำนวนไม่น้อยยอม “รับสารภาพ” เพื่อให้คดีจบโดยเร็ว เพราะไม่อาจทนต่อการถูกขังระหว่างพิจารณาคดี ทั้งที่ตนเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด
  • มีกรณีผู้ต้องหาบางรายเสียชีวิตในกระบวนการยุติธรรมหรือในเรือนจำ ทั้งที่ยังไม่ถูกพิพากษาเป็นผู้กระทำผิดโดยเด็ดขาด

ทั้งหมดนี้ทำให้มาตรา 112 ไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องศักดิ์ศรีของสถาบัน แต่กลับทำลายศักดิ์ศรีของความยุติธรรมและความเป็นมนุษย์ของประชาชน

7) ทำไมสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น? เพราะชนชั้นปกครองเห็นแก่ตัวและกลัวการตรวจสอบ

เมื่อมองภาพรวมของนิติสงครามและกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบือน จะเห็นรากเหง้าสำคัญอยู่ที่ ชนชั้นปกครองเห็นแก่ตัวและกลัวการตรวจสอบ

  • ชนชั้นนำต้องการ บังคับให้ประชาชน “รักและกลัว” พร้อมกัน แทนที่จะยอมรับการวิพากษ์และตรวจสอบอย่างสุจริต
  • กองทัพต้องการคงบทบาททางการเมืองและผลประโยชน์เชิงโครงสร้าง จึงต้องมี “ศัตรูภายใน” ไว้เป็นข้ออ้าง
  • ศาลต้องการความปลอดภัยในตำแหน่งและสถานะ จึงเลือกไม่ท้าทายอำนาจที่อยู่เหนือกฎหมาย
  • ตำรวจและอัยการต้องการเลื่อนขั้น ความมั่นคงในอาชีพ และอยู่ใน “ข้างที่ปลอดภัย” จึงเลือกทำตามกระแสนโยบายมากกว่าตามหลักกฎหมาย
  • ราชทัณฑ์ทำหน้าที่ตามคำสั่งที่ไม่ได้ออกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมการใช้อำนาจต่อผู้ต้องหา

ทั้งหมดนี้ร่วมกันสร้าง “โครงสร้างการกดทับ” ที่คนไทยทั้งชาติรู้แต่ไม่กล้าพูด เพราะความกลัวถูกผลิตและปลูกฝังอย่างเป็นระบบ ผ่านโรงเรียน ศาสนา สื่อ และกฎหมาย

8) คันฉ่องส่องใจคนไทย: เสาหลักถูกทำลาย ประเทศจึงผุพัง

เมื่อเสาหลักแห่งความยุติธรรมแตกหัก ประเทศจะเหลือเพียงกำแพงที่ร้าวและหลังคาที่พร้อมถล่ม ประเทศไทยวันนี้กำลังเดินอยู่บนเส้นทางนั้น

  • ความกลัว แทนที่ หลักกฎหมาย
  • ความจงรักภักดีที่ถูกบังคับ แทนที่ หลักสิทธิมนุษยชน
  • การตีความอำเภอใจ แทนที่ การพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยหลักฐาน
  • ความอยุติธรรม กลายเป็นเรื่องปกติจนคนชินชา
  • การใช้คุก เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายคิดต่าง กลายเป็น “ระบบถาวร” มากกว่าจะเป็นข้อยกเว้นในภาวะวิกฤต

ประเทศใดที่ให้ “ความกลัว” อยู่เหนือ “ความยุติธรรม” ประเทศนั้นย่อมกลายเป็น รัฐล้มเหลวในมโนธรรมของตัวเอง แม้จะยังมีตึกสูง ถนนใหญ่ และตัวเลข GDP ที่ดูสวยงามเพียงใดก็ตาม

9) คำฝากถึงคนไทยทุกคน

“ชาติที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้องมีความยุติธรรมที่ประชาชนสัมผัสได้จริง ไม่ใช่ระบบที่สร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองผู้อยู่บนยอดพีระมิดเพียงไม่กี่คน”

หากคนไทยยอมรับความจริงร่วมกันว่า เสาหลักของความยุติธรรมกำลังถูกทำลายด้วยนิติสงครามและความเห็นแก่ตัวของชนชั้นปกครอง วันนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เราทวง “ศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าของประเทศ” กลับคืนมาด้วยปัญญาและความกล้าหาญ

อ่านงานกึ่งวิชาการที่นี่

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.