ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Sunday, May 29, 2016

ข้อคิดว่าด้วย คดีสลายม็อบ 7 ตุลาคม 2551 จากมุมมองตำรวจท่านหนึ่ง

มีเสียงดังก้องจากชาวตำรวจหลายราย ผ่านมายังคอลัมน์นี้ เพื่อขอร่วมวงถกเถียงคดีสลายม็อบ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งผู้นำรัฐบาลและผู้นำตำรวจถูกฟ้องร้องกล่าวหา โดยเน้นย้ำว่าคดีนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานให้รัฐบาลชุดต่อๆ ไปต้องยึดถือเป็นแนวทาง

 จึงน่าเป็นห่วงว่า จะกระทบต่อชีวิตของประชาชนที่มีสิทธิเสรีภาพในการเคลื่อนไหวชุมนุมอย่างถูกกฎหมาย

 รวมทั้งกระทบต่อขวัญกำลังใจของตำรวจด้วย
 

 คิดง่ายๆ ว่า ถ้าคดี 7 ตุลาคม 2551 เป็นปฏิบัติการด้วยตำรวจปจ. ใช้เพียงแก๊สน้ำตา ป.ป.ช.สรุปว่ามีความผิด


 ขณะที่คดี 99 ศพ เมษายน-พฤษภาคม 2553 ใช้เจ้าหน้าที่กองทัพพร้อมกระสุนจริง ป.ป.ช.สรุปว่าไม่มีความผิด


 แล้วต่อไปเมื่อมีการชุมนุมประท้วงทางการเมือง รัฐบาลจะใช้แนวทางไหน!?!


 ตำรวจที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ยืนยันว่า รัฐบาลและผู้บังคับบัญชา สั่งการให้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชน ตามแผนกรกฎ 48 ไม่มีอาวุธ อดทนอดกลั้น


 แต่ในทางกลับกัน มีตำรวจถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บ 41 ราย ปรากฏในรายงานของโรงพยาบาลตำรวจชัดเจน


 บางราย เช่น ด.ต.ทวีป กลั่นเนียม ถูกเหล็กแหลมแทงที่ชายโครงขวา บาดเจ็บสาหัส แพทย์ระบุว่าหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจถึงแก่ความตายได้


 อีกทั้งต่อมาศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งลงวันที่ 9 ตุลาคม 2551 วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ชุมนุมนั้นผิดกฎหมาย ไม่สงบและมีอาวุธ


 ขณะที่การปฏิบัติของตำรวจ เป็นไปตามมติครม.เมื่อปี 2535 และเป็นไปตามหลักปฏิบัติที่ใช้ในนานาประเทศ


 ส่วนการที่มีผู้ชุมนุมเสียชีวิต 2 ราย ควรจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดที่ชัดเจน


 ข้อกล่าวหาที่ว่าตำรวจใช้แก๊สน้ำตารุนแรงจนเสียชีวิตนั้น จะต้องพิสูจน์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์!


 โดยมีการตรวจพิสูจน์สภาพศพของผู้เสียชีวิตไปแล้วว่า สภาพบาดแผลมีสารซีโฟร์


 แต่การตรวจแก๊สน้ำตามีแต่สารอาร์ดีเอ็กซ์ ไม่มีซีโฟร์ โดยอาร์ดีเอ็กซ์ไม่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้


 ดังนั้นต้องทำคดีผู้เสียชีวิต 2 รายตามหลักกฎหมายให้แน่ชัด


 มิใช่คลุมเครือแล้วกล่าวหาว่าเพราะแก๊สน้ำตา แล้วกล่าวโทษผู้สั่งการระดับรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ!


 ขอยืนยันว่า ตำรวจปฏิบัติไปตามแผนกรกฎ 48 มุ่งควบคุมฝูงชน มิใช่การมุ่งทำอันตรายต่อชีวิตและร่างกายผู้ชุมนุม


 ขณะเดียวกันทั้งมติก.ตร. ทั้งคำพิพากษาศาลปกครองกลาง และคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 93/2527 ให้ยกโทษและคืนตำแหน่งให้กับพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ


 เป็นกรณีชี้ว่าคดีได้ถึงที่สุดแล้ว โดยไม่มีความผิด


 ทั้งหมดนี้สมควรอย่างยิ่งที่ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันจะนำมารวบรวมเพื่อตัดสินใจให้ถูกต้อง


 นี่คือมุมมองจากฝ่ายตำรวจในคดีที่จะต้องยึดเป็นหลักปฏิบัติต่อไป!

พบภาพ “พระพุทธเจ้า” ที่ ‘เมสไอนัค’ อัฟกานิสถาน วอนแชร์ทั่วโลก หวังจีนยับยั้งขุดแร่

พบภาพ "พระพุทธเจ้า" ที่ 'เมสไอนัค' อัฟกานิสถาน วอนแชร์ทั่วโลก หวังจีนยับยั้งขุดแร่

Source: http://www.matichon.co.th/news/152931

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊ก Saving Mes Aynak ซึ่งผลักดันการอนุรักษ์แหล่งโบราณคดี 'เมสไอนัค'อายุกว่า 2,000 ปีในประเทศอัฟกานิสถาน ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการค้นพบภาพสีน้ำมันรูปพระพุทธเจ้า และมีบุคคลอื่นๆนั่งเรียงเป็นแถว โดยระบุว่าเป็นการค้นพบใหม่เมื่อเร็วๆนี้ และขอให้ช่วยแชร์ภาพดังกล่าวไปทั่วโลก ให้ผู้คนได้รับรู้ถึงความสำคัญของแหล่งโบราณคดีดังกล่าวซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกทำลายโดยกลุ่ม "ตาลีบัน" แต่ปัญหาสำคัญในขณะนี้คือกรณีที่จีนต้องการขุดแร่ทองแดงจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งหมายถึงการทำลายแหล่งโบราณคดีโดยปริยาย

หลังภาพและข้อมูลถูกเผยแพร่ ได้ถูกแชร์แล้วเกือบ 1,000 ครั้ง และมีผู้คนจากทั่วโลกเข้าไปแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กดังกล่าว ส่วนใหญ่ระบุว่าทุกคนต้องร่วมมือกันในการปกป้องแหล่งอารยธรรมอันทรงคุณค่านี้ และแสดงความห่วงใยต่อการที่จีนจะทำการขุดแร่ นอกจากนี้บางรายระบุว่าโลกควรร่วมกันเรียกร้องให้จีนและอัฟกานิสถานหันกลับมาดูแลมรดกทางวัฒนธรรมเพื่อเก็บรักษาไว้ให้คนรุ่นหลัง




พบภาพ “พระพุทธเจ้า” ที่ ‘เมสไอนัค’ อัฟกานิสถาน วอนแชร์ทั่วโลก หวังจีนยับยั้งขุดแร่

พบภาพ "พระพุทธเจ้า" ที่ 'เมสไอนัค' อัฟกานิสถาน วอนแชร์ทั่วโลก หวังจีนยับยั้งขุดแร่

Source: http://www.matichon.co.th/news/152931

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊ก Saving Mes Aynak ซึ่งผลักดันการอนุรักษ์แหล่งโบราณคดี 'เมสไอนัค'อายุกว่า 2,000 ปีในประเทศอัฟกานิสถาน ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการค้นพบภาพสีน้ำมันรูปพระพุทธเจ้า และมีบุคคลอื่นๆนั่งเรียงเป็นแถว โดยระบุว่าเป็นการค้นพบใหม่เมื่อเร็วๆนี้ และขอให้ช่วยแชร์ภาพดังกล่าวไปทั่วโลก ให้ผู้คนได้รับรู้ถึงความสำคัญของแหล่งโบราณคดีดังกล่าวซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกทำลายโดยกลุ่ม "ตาลีบัน" แต่ปัญหาสำคัญในขณะนี้คือกรณีที่จีนต้องการขุดแร่ทองแดงจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งหมายถึงการทำลายแหล่งโบราณคดีโดยปริยาย

หลังภาพและข้อมูลถูกเผยแพร่ ได้ถูกแชร์แล้วเกือบ 1,000 ครั้ง และมีผู้คนจากทั่วโลกเข้าไปแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กดังกล่าว ส่วนใหญ่ระบุว่าทุกคนต้องร่วมมือกันในการปกป้องแหล่งอารยธรรมอันทรงคุณค่านี้ และแสดงความห่วงใยต่อการที่จีนจะทำการขุดแร่ นอกจากนี้บางรายระบุว่าโลกควรร่วมกันเรียกร้องให้จีนและอัฟกานิสถานหันกลับมาดูแลมรดกทางวัฒนธรรมเพื่อเก็บรักษาไว้ให้คนรุ่นหลัง




''พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ชาติอิตาลียอมรับเป็นทางการแล้ว''


ราวสิบกว่าปีมาแล้ว สื่อมวลชนในยุโรปได้แถลงกันยกใหญ่ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่จะเติบโตเร็วที่สุดในสมัยศตวรรษที่ 21 เพราะเห็นว่ากระแสผู้นับถือเติบโตเร็วมากทั้งในทวีปยุโรป, ออสเตรเลีย และอเมริกาเหนือ ไม่ว่าฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, อังกฤษ, สเปน, ออสเตรเลีย ฯลฯ วัดวาอารามผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง คนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการนำพระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศฝรั่งเหล่านี้แต่ไหนแต่ไรมาส่วนมากแล้วนับถือศาสนาคริสต์มาก่อน และกระแสชาวคริสต์หันมานับถือพระพุทธศาสนานี้ก็ก่อตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19

ประเทศยุโรปบางแห่ง เช่น อิตาลีได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ยกพระพุทธศาสนาให้เป็นหนึ่งในศาสนาสำคัญของชาติ ไม่ต่างอะไรกับศาสนาคริสต์

สมเด็จพระสันตปาปา จอห์น ปอล ที่สอง ซึ่งเป็นประมุขของคริสตจักร นิกายโรมันคาทอลิก ทรงมองเห็นกระแสดังกล่าว ครั้งได้ประทานสัมภาษณ์แก่วิตโดริโอ เมสซุรี่ นักเขียนและนักสื่อมวลชนที่มีชื่อของอิตาลี เมื่อ ค.ศ. 2536 อันเป็นช่วงที่มีการเฉลิมฉลองครบ 15 นับแต่ที่พระองค์ได้ทรงรับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสันตปาปา จึงทรงตั้งพระทัยวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาพระพุทธศาสนาอย่างตรงๆ ต่อมาบทประทานสัมภาษณ์ซึ่งมีหลายตอนนี้มาพิมพ์รวมเล่มในรูปหนังสือชื่อ Crossing the Threshhold of Hope (London, Jonathan Cape, 1994) มีทั้งหมด 244 หน้า (รวมดรรชนีคำศัพท์)

ตอนที่ทรงวิพากษ์วิจารณ์คำสอนพระพุทธเจ้า (ซึ่งทรงเข้าพระทัยผิดๆ อยู่มาก) อยู่ในบทที่ 12 มีทั้งหมด 7 หน้า (ตั้งแต่หน้า 84-90) 
สาเหตุที่ทรงวิจารณ์พระพุทธศาสนา มีกล่าวชัดในบทประทานสัมภาษณ์ กล่าวคือทรงต้องการเตือนสติชาวคริสต์ทำนองว่าไม่ควรด่วนเข้าไปนับถือคำสอนพระพุทธศาสนา แต่ควรใช้วิจารณญาณ (For this reason, it is not inappropriate to caution those Christians who enthusiastically welcome certain ideas originating in the religious traditions of the Far East, pp.89-90)
ที่เป็นดังนี้ เพราะกระแสคนหันมานับถือพระพุทธศาสนา และช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างแข็งขันในยุโรป ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมักเป็นชาวคริสต์มาก่อน หลายคนเคยเป็นบาทหลวงระดับสูง ต่อมาก็มีฝรั่งนักวิชาการชาวพุทธหลายคนทั้งพระ ทั้งฆราวาส ซึ่งเคยเป็นชาวคริสต์มาก่อน ได้เขียนตอบโต้พระองค์ลงวารสารต่างๆ มากมาย ที่โดดเด่นก็ คือ กลุ่มพระสงฆ์ชาวอิตาเลี่ยนในอิตาลี นำโดย พระฐานวโร ได้เข้าเฝ้าเพื่อทูลชี้แจงให้สมเด็จพระสันตปาปาทรงทราบด้วยซ้ำว่าทรงอธิบายพระพุทธศาสนาผิดๆ

ยุโรปตอนนี้จึงเหมือนอินเดียครั้งพุทธกาล ศาสนาเดิมที่ผู้คนนับถือคือศาสนาพราหมณ์ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาก็มีผู้เคยนับถือศาสนาพราหมณ์มานับถือ และขวนขวายเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่

ที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเดือดเนื้อร้อนพระทัยว่าใครจะหันมานับถือศาสนาของพระองค์หรือไม่ ทรงสอนให้ผู้ฟังเทศน์ของพระองค์รู้จักไตร่ตรองหาเหตุผลให้รอบคอบก่อนถึงจะเชื่อ หลายคนที่หันมานับถือคำสอนของพระองค์เคยให้ความอุปถัมภ์ศาสนาอื่นมาก่อนก็มี พระองค์ก็ทรงแนะให้คนเหล่านี้กลับไปคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ มิหนำซ้ำพระองค์ยังคงแนะให้บรรดาผู้หันมานับถือพระพุทธศาสนาเหล่านี้ยังคงอุปถัมภ์บำรุงศาสนาอื่นๆ ที่ตนเคยนับถือตามปกติไปด้วย

แต่เดิม ศาสนาคริสต์ถูกลัทธิมาร์กซ์โจมตีอย่างรุนแรงมาร์กซ์ได้ประณามศาสนาว่า คือยาเสพติด เพราะสอนให้ประชาชนศรัทธาแบบหัวปักหัวปำโดยไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรอง หลายอย่างขัดแย้งหลักวิทยาศาสตร์ เช่น โลกแบน, โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ฯลฯ นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบความจริงใหม่ ๆ หลายคนถูกศาสนจักรลงโทษจนตายในคุก

แต่เมื่อพระพุทธศาสนาเข้าสู่ยุโรป พระพุทธศาสนาได้สอนให้ปัญญาชนชาวยุโรปได้เข้าใจความหมายของ Religion เสียใหม่ว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าคือคำสอน ซึ่งทรงสอนให้ผู้ฟังใช้ปัญญาพิจารณาอย่างถ่องแท้ก่อนจะปลงใจเชื่อ ไม่ใช่เทวโองการ (Gospel)จากพระเจ้าซึ่งแย้งไม่ได้ พระสงฆ์หรือพุทธสาวกก็มิใช่มิชชันนารี ซึ่งมีภารกิจหลักคือจาริกไปชี้ชวนให้ใครต่อใครมานับถือพระศาสนา พระสงฆ์หรือพุทธสาวกมีหน้าที่เพียงอธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้าให้คนที่สนใจฟังเท่านั้น ใครไม่สนใจฟัง ชาวพุทธก็ไม่เคยใช้กฎหมายหรือรัฐธรรมนูญบังคับให้นับถือ ไม่เคยตั้งกองทุนให้การศึกษาฟรี แล้วสร้างเงื่อนไขให้ผู้รับทุนเปลี่ยนมาเป็นชาวพุทธ ไม่เคยสร้างที่พักอาศัยให้หรือแจกทานให้อาหารฟรีๆ แล้ววางเงื่อนไขให้คนมาขออาศัยตนต้องหันมานับถือศาสนาในภาวะจำยอม

ขณะที่ศาสนาคริสต์ต้องใช้ความพยายาม อย่างหนักเพื่อดึงศรัทธาชาวยุโรปให้นับถือเหมือนเดิม ในเวลาเดียวกันก็พยายามแสวงหาผู้นับถือใหม่ๆ ในประเทศเอเชียให้มากยิ่งขึ้น การเผยแพร่หนังสือ "พลังชีวิต" ซึ่งจัดพิมพ์โดยมูลนิธิอาร์เธอร์ เอส เดอมอส ในประเทศไทยคือหนึ่งในความพยายามดังกล่าวนี้

ความใจกว้างและมีหลักคำสอนที่เป็นสัจธรรม เชิญชวนให้มาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติเองและเน้นให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนนับถือ ทำให้พระพุทธศาสนาได้รับการยอมรับจากวิญญูชนไปทั่วโลก นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ดัง ๆ ระดับโลกจำนวนมาก เช่น โซเพน ฮาวเออร์, ไอน์สไตน์ ต่างหันมานับถือพระพุทธศาสนา
นับแต่พระพุทธศาสนาเข้ายุโรปสมัยศตวรรษที่ 19 ก็มีงานวิจัยหลายชิ้นแสดงสถิติว่าคนยุโรปและอเมริกาชาติต่าง ๆ หันมาเข้าวัดในพระพุทธศาสนามากขึ้นบ้าง ประกาศตนเป็นพุทธมามกะมากขึ้นบ้าง สถานปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาซึ่งรวมทั้งวัดวาอารามเพิ่มขึ้นที่นั่นที่นี่ประจำบ้าง

เดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาก็มีข่าวออกมาอีกว่า ดาราฮอลลี้วูดอังกฤษ ชื่อ ออร์นันโด บลูม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้แสดงนำในหนังเรื่อง The Lord of the Rings ได้ทำพิธีประกาศตนเป็นพุทธมามกะต่อหน้าสาธารณชนอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว

ระหว่างทหารอเมริกันพยายามไล่บี้ทหารอิรักอย่างเมามันตามคำสั่งของประธานาธิบดีบุชไม่นานมานี้ ทหารอเมริกันคนหนึ่งนามว่า เจเรมี่ ฮินซ์แมน วัย 26 ปี ได้ตัดสินใจหนีทัพอเมริกาในอิรักไปปักหลักลี้ภัยในแคนาดา เขาให้เหตุผลว่าสงครามที่อเมริกาทำกับชาวอิรักเป็นสงครามผิดกฎหมาย ประเด็นที่น่าสนใจก็คือเขาเป็นชาวพุทธที่สนใจปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง เขาให้สัมภาษณ์ว่าคำสอนพระพุทธศาสนาสอนให้เขาไม่อยากทำสงคราม เขาตั้งปฏิญาณว่าจะรับใช้ชาติหรือพิทักษ์ชาติจากการรุกรานของข้าศึกศัตรู แต่มิใช่ไปทำสงครามแบบก้าวร้าวต่อชาติอื่นดังที่ทหารอเมริกันกำลังทำอยู่ในอิรักเวลานี้

ผมได้ข่าวจากหนังสือพิมพ์ Lanka Daily News ในลังกาตั้งแต่ 23 ต.ค. ที่แล้วว่าปัจจุบันพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เติบโตเร็วที่สุดในแคนาดา ประเทศแคนาดาเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างที่สุดในอเมริกาเหนือ พระพุทธศาสนาเข้าแคนาดาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และมาบูมขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2503-2513 (1960s) เป็นต้นมา ช่วงนั้นมีการสำรวจพบว่าวัดชาวพุทธมีแค่ 18 วัด มีชาวแคนาดาปฏิบัติธรรมราวๆ 10,000 คน แต่เมื่อสำรวจผู้นับถือพระพุทธศาสนาอีกครั้งในพ.ศ. 2528 ชาวพุทธมีเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 คน หกปีหลังจากนั้นคือพ.ศ. 2534 รัฐบาลสำรวจคร่าวๆ อีกครั้งพบว่าผู้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะมีเพิ่มเป็น163,415 คน รัฐมาสำรวจครั้งล่าสุดอีกครั้ง เมื่อพ.ศ. 2544 พบว่าพุทธมามกะแท้ ๆ มีไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน แซงหน้าจำนวนผู้นับถือศาสนาฮินดูและศาสนาซิกข์ ซึ่งเคยตามหลัง จำนวนผู้นับถือยังเติบโตแบบก้าวกระโดดเช่นนี้ทุกปี

ผลสำรวจยังบอกว่าวัด, สถานที่ปฏิบัติธรรม หรือศูนย์กลางของชาวพุทธในแคนาดาตอนนี้มีเกือบๆ จะถึงหนึ่งพันแห่งทั่วประเทศ เมืองที่มีชาวพุทธมากที่สุดคือ ออนตาริโอ, บริติชโคลัมเบีย และควิเบก ข่าวยังลงด้วยว่าแม้จำนวนคนนับถือจะยังอยู่เรือนแสน แต่จำนวนผู้แสดงความสนใจและเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาบ้างแล้วมีหลายล้านคนทั่วประเทศ

เมื่อ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา โฆษกประจำรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กระพือข่าวว่า องค์ทะไลลามะจะได้รับอนุญาตให้เข้ารัสเซีย หลังจากถูกแบนเพราะเกรงจะกระทบความสัมพันธ์กับจีน หลังจากรัสเซียเซ็นสัญญามิตรภาพกับจีน เมื่อ พ.ศ. 2544 แต่ชาวรัสเซียก็แสดงจุดยืนชัดเจนว่าองค์ทะไลลามะจะมาเยือนด้วยภารกิจศาสนา เมื่อกระแสประชาชนเรียกร้องหนักขึ้น รัสเซียก็ยอมอนุญาตให้ท่านเข้ารัสเซียแต่โดยดี ปลาย พ.ย.ที่ผ่านมา ท่านทะไลลามะจึงมีโอกาสแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทและประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกที่เมืองกัลมิเกีย ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงมอสโกประมาณหนึ่งพันไมล์

ชาวรัสเซียหลายคนในเมืองนี้มีบรรพบุรุษเป็นชาวมองโกลซึ่งอพยพจากทางตะวันตกของจีนเข้าสู่รัสเซียเมื่อราว 4 ร้อยกว่าปีมาแล้ว พระพุทธศาสนาที่นำเข้ามาจึงเป็น พระพุทธศาสนาแบบทิเบต ผลปรากฏว่า มีชาวพุทธและผู้สนใจทั่วๆ ไปชาวรัสเซียแห่กันมาฟังธรรมล้นหลามเป็นจำนวนหลายพันคน

ผู้สื่อข่าวรายงานลงใน Ireland Online ว่าจากจำนวนประชากรของเมืองนี้ ทั้งหมดราว 3 แสนคน ประมาณครึ่งหนึ่งนับถือพระพุทธศาสนา รัสเซียมีประชากรราว 144 ล้านคน ในจำนวนนี้มีราว 1 ล้านคน ที่ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ

ผมดูภาพรวมพระพุทธศาสนาจากข่าวสารต่างๆ แล้วก็รู้สึกได้ว่าวัฒนธรรมแบบพุทธกำลังเติบโตและเบ่งบานในหลาย ๆ ประเทศของทวีปยุโรป, ออสเตรเลีย และอเมริกาบางแห่ง เช่น รัสเซียแม้จะเติบโตช้า แต่ปีที่กำลังจะผ่านไปนี้ก็เริ่มมีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ผมคิดว่าปัญญาชนในประเทศทุนนิยมทั่วโลกเวลานี้คงเอือมระอากับ "ทุนนิยมเสรี" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า กระแสโลกาภิวัตน์กันไม่น้อยและก็คงเห็นชัดเจนแล้วว่ามีแต่ศาสนาเท่านั้นที่จะช่วยเปลี่ยนให้มนุษย์มีความเป็นผู้เป็นคน(ใจสูง) มากขึ้น ท่ามกลางกระแสสังคมที่มีแต่นายทุนจอมตะกละตะกรามแสวงหากำไรสูงสุดอยู่ทุกแห่ง ดังนั้น จึงเริ่มผ่อนปรนให้ผู้นำศาสนาทำงานได้สะดวกขึ้น

ที่มา : ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลhttp://www.siamrath.co.th/Education.asp?ReviewID=89725
http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php…

via minds https://www.minds.com/newsfeed/583684127237087232


--
....
piangdin :-)
President, Thai Alliance for Human Rights http://thai-ahr.org               .
President, Thai People's Revolutionary University for Democracy http://thai-ahr.org