รายงานวิเคราะห์เชิงลึก: แนวโน้มการเมืองไทยในยุครัชกาลที่ 10 (วชิราลงกรณ์)
สรุปผู้บริหาร (Executive Summary)
ยุคนี้เห็น “สองแรงสวนทาง” ชัดเจน:
(1) การรวมศูนย์อำนาจของสถาบัน+เครือข่ายรัฐ (ทหาร-ศาล-กฎหมายพิเศษ-งบประมาณเกี่ยวเนื่องราชสำนัก) ที่แน่นขึ้น, และ
(2) การตื่นตัวและขยายเพดานถกเถียงของสังคม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา
ผลลัพธ์คือประชาธิปไตยเชิงพิธีกรรมยังดำเนิน แต่สาระของการแข่งขันเชิงนโยบายถูกจำกัดด้วยกติกาและเครื่องมือทางอำนาจจำนวนมาก ตั้งแต่โครงสร้างวุฒิสภาแต่งตั้ง, การยุบพรรค, จนถึงการบังคับใช้ ม.112 ที่เข้มข้นกว่าทศวรรษก่อนหน้า ซึ่งกระทบเสรีภาพและธรรมาภิบาลโดยตรง (ดูสถิติคดีและเหตุการณ์สำคัญท้ายเอกสาร).
1) โครงสร้างอำนาจและการจัดวางกำลัง (Power Architecture)
1.1 กองกำลังและราชการในพระองค์
* พ.ศ. 2562 รัฐบาลใช้อำนาจ “พระราชกำหนด” โอนกรมทหารราบที่ 1 และ 11 (King’s Guard) พร้อมกำลังคน-ยุทโธปกรณ์-งบประมาณ ไปขึ้นตรง “หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (รส.)” ภายใต้พระราชอำนาจ โดยตัดผ่านโซ่บังคับบัญชาปกติของกองทัพ ถือเป็นสัญญะสำคัญของการขยาย “กำลังรักษาพระองค์” ในทางปฏิบัติ.
* พ.ศ. 2560 กฎหมาย “ระเบียบบริหารราชการในพระองค์” จัดหน่วยงานที่เกี่ยวกับงานราชสำนัก 5 แห่งให้อยู่ใต้พระราชอำนาจโดยตรงและปรับโครงสร้างต่อเนื่องในปีถัด ๆ มา เพิ่มความยืดหยุ่นทางกฎหมายในการจัดอัตรากำลัง/โครงสร้าง.
1.2 ทรัพย์สินและงบประมาณที่เกี่ยวเนื่อง
* พ.ศ. 2560–2561 แก้ “พ.ร.บ.ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ให้กษัตริย์ทรงมีอำนาจควบคุมสำนักงานทรัพย์สินฯ และถือครองทรัพย์ในพระองค์โดยตรง เปลี่ยนจากโครงแบบเดิมที่รัฐมนตรีคลังกำกับ ทำให้มิติธรรมาภิบาล-การตรวจสอบถอยหลังลงอย่างมีนัย.
* งบประมาณด้านสถาบันปี 2022 ประเมินรวมหลายกระทรวงราว 3.576 หมื่นล้านบาท (1.148% ของงบแผ่นดิน) และปีงบ 2024 ยังคงระดับสูง แม้เอกสารบางส่วนปรับปรุงรูปแบบเปิดเผย แต่โครงสร้างการตรวจสอบยังจำกัด.
2) กติกาการเมืองและสถาบัน (Rules & Referees)
2.1 รัฐธรรมนูญ 2560 และ “สนามไม่เสมอ”
* วุฒิสภา 250 คนมาจากการแต่งตั้งโดย คสช. มีสิทธิร่วมโหวตนายกฯ ในช่วงแรกภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้ “เสียงประชาชน” ถูกหักล้างด้วยกลไกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง นำไปสู่การขัดขวางผู้นำจากขั้วปฏิรูปแม้ชนะเลือกตั้งปี 2566.
2.2 เครื่องมือทางตุลาการและองค์กรอิสระ
* ยุบพรรคการเมือง: อนาคตใหม่ถูกยุบ (ก.พ. 2563) ด้วยเหตุเงินกู้ผู้นำพรรค; ต่อมา ก้าวไกล ถูกยุบ (7 ส.ค. 2567) และแบนแกนนำ 10 ปี จากนโยบายเสนอแก้ ม.112 สะท้อนการตีความกฎหมาย-รัฐธรรมนูญในแนวทางจำกัดพื้นที่นโยบายของฝ่ายปฏิรูป.
3) สิทธิ เสรีภาพ และความมั่นคง (Rights, Speech & Security)
3.1 มาตรา 112 และกฎหมายความมั่นคง-ไซเบอร์
* ตั้งแต่การชุมนุม 2563 เป็นต้นมา มีผู้ถูกกล่าวหา/ดำเนินคดีการเมืองนับพันคดี โดย อย่างน้อย ~280 คดีเป็น ม.112 ตามสถิติที่องค์กรสิทธิอ้างอิงจาก TLHR; ผู้ต้องขัง/คุมขังรอคดีจำนวนหนึ่งยังดำรงอยู่ถึงปี 2025.
* นักกฎหมายสิทธิอย่าง อานนท์ นำภา ถูกพิพากษาจำคุกหลายคดีจาก ม.112 ต่อเนื่องถึงปี 2025 สะท้อนการตีความที่เข้มงวดขึ้น.
* หลักฐานนิติวิทยาศาสตร์โดย Citizen Lab/Amnesty ยืนยันการโจมตี สปายแวร์ Pegasus ต่อแอ็กทิวิสต์ไทยอย่างน้อย ~30 รายช่วง 2020–2021 ซึ่งกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการรวมกลุ่ม/แสดงออกอย่างร้ายแรง.
3.2 ผลเชิงสังคม
* การคุมเข้มกฎหมายพูด-พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์-ความมั่นคง ทำให้ “การถกเถียงที่แตะต้องสถาบัน” แพร่สู่สาธารณะได้ยากขึ้น แม้สังคมออนไลน์ช่วยเปิดพื้นที่ แต่ต้นทุนทางกฎหมายสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับทศวรรษก่อน.
4) ธรรมาภิบาล-งบประมาณ-เศรษฐกิจการเมือง (Governance & Political Economy)
* ธรรมาภิบาลงบประมาณ: แม้ราชการพยายามเพิ่มเอกสาร “งบประมาณฉบับย่อ” และตั้ง PBO ในสภา แต่การจัดสรรที่เกี่ยวเนื่องสถาบันยังตรวจสอบเชิงประสิทธิผล/ความคุ้มค่าได้จำกัด และการเปิดเผยเชิงรายการ (program-level) ยังไม่เทียบมาตรฐาน OECD.
* รัฐวิสาหกิจและอำนาจเชิงโครงสร้าง: เครือข่ายรัฐ-รัฐวิสาหกิจมีสัดส่วนเศรษฐกิจสูง ยังคงเป็นฐานอำนาจเชิงนโยบาย/จัดสรรผลประโยชน์ ซึ่งสัมพันธ์กับการเมืองแบบอุปถัมภ์.
5) ภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ (International Standing)
* การยุบ “ก้าวไกล” และแนวโน้มคดีการเมือง ทำให้องค์กรสิทธิ-ยูเอ็น-สื่อโลกวิจารณ์ว่าถอยหลังทางประชาธิปไตย กระทบความเชื่อมั่นต่อ rule-of-law และเสรีภาพการเมืองของไทย.
6) ด้านที่ “ดีขึ้น” จริง ๆ ในยุคนี้มีอะไรบ้าง?
1. การตื่นรู้และส่วนร่วมสาธารณะ: คนรุ่นใหม่ยกระดับ “เพดานอภิปราย” เรื่องโครงสร้างอำนาจ-สถาบัน-รัฐธรรมนูญ สร้างทุนทางสังคมใหม่ แม้ต้องเผชิญความเสี่ยงทางกฎหมาย. (สอดคล้องกับสถิติการเคลื่อนไหวและคดีของ TLHR/Amnesty)
2. การพัฒนาบางมิติของเครื่องมือกำกับคุณภาพกฎหมาย (Sec.77): กรอบกฎหมายให้ทำ RIA/ทบทวนกฎหมาย เพิ่ม “ภาษา” ของธรรมาภิบาลในนโยบาย ถึงแม้การบังคับใช้จริงยังไม่สม่ำเสมอ.
3. ความโปร่งใสเชิงรูปแบบบางประการของงบประมาณ: มีการสื่อสารงบฉบับย่อและพัฒนาพอร์ทัลข้อมูล แม้ยังไม่ถึงระดับตรวจสอบเชิงเนื้อหา.
7) ความเสื่อมถอย/เป็นปฏิปักษ์ต่อหลักประชาธิปไตย-ธรรมาภิบาล-สิทธิมนุษยชน
* การรวมศูนย์กำลังและทรัพย์สินภายใต้พระราชอำนาจ (โอนหน่วยรบ, แก้กฎหมายทรัพย์สิน): ลดกลไกตรวจสอบจากฝ่ายการเมืองและสาธารณะ.
* “สนามเลือกตั้งไม่เสมอ” (วุฒิสภาแต่งตั้งร่วมโหวตนายกฯ ช่วงต้นรัฐธรรมนูญ 2560 + ยุบพรรคคู่แข่งเชิงโครงสร้าง): ทำให้ผลเลือกตั้งแปรเปลี่ยนทางการเมืองได้โดยองค์กรที่ไม่ได้มาจากประชาชน.
* การใช้กฎหมายอาญาความมั่นคง/คอมพิวเตอร์/112 ต่อผู้เห็นต่างในระดับสูงผิดสัดส่วน เมื่อเทียบมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล.
* การเฝ้าระวังดิจิทัลระดับรัฐ (Pegasus): ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล-เสรีภาพสื่อสารอย่างร้ายแรง.
8) ฉากทัศน์ 2–4 ปีข้างหน้า (Scenarios)
1. Status Quo-Plus: กติกาหลักยังเดิม ใช้ “การยุบพรรค-คดีการเมือง-บังคับใช้ 112” เป็นกันชนต่อวาระปฏิรูป ขณะแก้ภาพลักษณ์ด้วยความโปร่งใสเชิงรูปแบบ (งบ/พอร์ทัลข้อมูล) เพื่อรับแรงกดดันนานาชาติ
2. Re-balancing แบบค่อยเป็นค่อยไป: เกิดฉันทมติการเมืองบางพรรคต่อ “รัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน” ลดอำนาจดุลพิทักษ์ (guardian powers) บางส่วน แลกกับการรับรองสถานะและงบที่เหมาะสมของสถาบัน
3. Polarization-Backlash: เหตุการณ์ทางการเมือง/เศรษฐกิจรุนแรง กระตุ้นการใช้เครื่องมือมั่นคงเข้มข้นขึ้น วงจร “ยุบพรรค-จำกัดเสรีภาพ” ขยาย
9) ข้อเสนอเชิงหลักการ (Actionable Principles)
* Roadmap รธน.ใหม่โดยประชาชน: กระบวนการสภาร่าง รธน. ที่มาจากการเลือกตั้งตรง-โปร่งใส-มีส่วนร่วมสูง เพื่อปรับ “สมดุลอำนาจ” ให้สมกับสังคมสมัยใหม่ (บทเรียนปี 2540–2560)
* ยุติการใช้ความผิดอาญาต่อการพูด-ชุมนุมอย่างสงบ และออก กฎหมายอภัยโทษเชิงสิทธิ สำหรับคดีการเมืองหลังปี 2563 ตามหลักสากล (Amnesty เรียกร้องชัด).
* ปฏิรูปความมั่นคงดิจิทัล: ห้าม-ควบคุมสปายแวร์เชิงพาณิชย์, จัดทำศาล/กลไกอนุมัติที่เป็นอิสระ-ตรวจสอบได้ก่อน-หลังการสอดแนม, แจ้งผู้ถูกกระทบเมื่อพ้นเหตุ; สอดรับแนวโน้มมาตรการนานาชาติ.
* ธรรมาภิบาลงบประมาณเกี่ยวเนื่องสถาบัน: เปิดเผยเชิงรายการ-วัตถุประสงค์-ตัวชี้วัดผลลัพธ์ และให้ สตง./PBO/คณะ กมธ. สภา ตรวจสอบแบบ performance audit ได้จริง.
ภาคผนวก: เหตุการณ์และหมุดหมายสำคัญ
* 2017: กฎหมายราชการในพระองค์ + แก้ พ.ร.บ.ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์.
* 2019: โอน ร.1-ร.11 รักษาพระองค์ขึ้นตรง รส. ด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน.
* 2020: ยุบพรรคอนาคตใหม่.
* 2020–2021: ชุมนุมคนรุ่นใหม่, คดีการเมือง-112 เพิ่มสูง; ตรวจพบ Pegasus กับนักกิจกรรมอย่างน้อย ~30 ราย.
* 2023: พรรคก้าวไกลชนะที่นั่งมากสุดแต่ถูกสกัดการตั้งรัฐบาลด้วยวุฒิสภาแต่งตั้ง.
* 2024: ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล-แบนแกนนำ 10 ปี; ยูเอ็น-องค์กรสิทธิวิจารณ์หนัก.
* 2025: Amnesty ระบุภาพรวม 1,974 คนถูกดำเนินคดีจากการเมืองตั้งแต่ 2020; 280 คดีเป็น ม.112; ผู้ต้องขังบางส่วนยังอยู่ระหว่างพิจารณา/ลงโทษ.