Tuesday, December 16, 2025

ระบอบไม่สำคัญจริงหรือ? เมื่อ “คนดี” ถูกยกให้แทนกติกา

คันฉ่องส่องไทย

ข้อคิดจากบทเรียนการเมืองโลก—ย้อนมองสังคมไทยแบบไม่เลือกข้าง แต่เลือกหลักการ

บทความนี้สังเคราะห์จากการศึกษาเชิงเปรียบเทียบเรื่องประชาธิปไตยและสังคมนิยม–คอมมิวนิสต์ โดยมุ่งชี้ “กลไก” ที่ทำให้ระบอบรับใช้มนุษย์ หรือทำร้ายมนุษย์—โดยไม่ผูกติดการเมืองเฉพาะที่


เคยได้ยินคำเทศนา—เสียงสงบ สุขุม และเต็มด้วยความหวังแบบไทย ๆ—ว่า “อย่าใฝ่ประชาธิปไตยตามชาวตะวันตก ระบอบใดไม่สำคัญ ขอแค่คนมีอำนาจเป็นคนดี” ฟังแล้วสะอึก ไม่ใช่เพราะอยากเถียงพระ ไม่ใช่เพราะอยากยกตะวันตกขึ้นหิ้ง แต่เพราะคำพูดนี้สะท้อนความเชื่อที่ฝังลึกในสังคมไทยว่า เราเอา “ศีลธรรม” ไปวางแทน “สถาบันต่าง ๆ ของชาติ” แล้วหวังให้มันพยุงบ้านทั้งหลังได้ หลัง ๆ นี้หนักถึงขนาดโยนหินถามทางเรื่อง "นายกคนนอก" หรือแม้แต่ "รัฐบาลพระราชทาน" ไปโน่นเลย

ระบอบไม่สำคัญจริงหรือ… หรือเรากำลังใช้คำว่า “คนดี” เป็นที่หลบภัย เพื่อไม่ต้องพูดเรื่องกติกา การตรวจสอบ และความรับผิด?

ถ้าเราพูดกันอย่างตรงไปตรงมา กาผมรเมืองไม่ใช่บทสวดที่จบแล้วโลกจะสงบ การเมืองคือการจัดวางอำนาจไว้ในมือมนุษย์—มนุษย์ที่หลงได้ พลาดได้ โลภได้ และแม้จะเริ่มต้นด้วยเจตนาดี ก็อาจไหลไปสู่การทำร้ายคนอื่นด้วยความมั่นใจว่า “เรากำลังทำเพื่อส่วนรวม” นี่ไม่ใช่การกล่าวร้ายมนุษย์ แต่มันคือการยอมรับความจริงพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งวิชาการการเมืองทั่วโลก—และประวัติศาสตร์ของไทยเอง—จ่ายค่าเล่าเรียนด้วยความสูญเสียมาแล้วนับไม่ถ้วน

คำปลอบใจที่อันตรายที่สุด: “ถ้าคนดีขึ้นสู่อำนาจ ทุกอย่างจะดีเอง”

ในโลกของความเป็นจริง เราไม่มีระบบคัดกรองใดรับประกันว่า “คนดีเท่านั้น” จะได้อำนาจเสมอ ต่อให้เรามีความหวังอย่างบริสุทธิ์ใจ เราก็ยังเผชิญความไม่แน่นอนสามชั้นเสมอ ชั้นแรก คือมนุษย์เปลี่ยนได้ วันนี้ดี พรุ่งนี้อาจหลงใหลในคำสรรเสริญ ชั้นที่สอง คือคนดีอาจถูกล้อมด้วยระบบที่ปิดการตรวจสอบ จนค่อย ๆ เชื่อว่า “ฉันไม่ต้องอธิบายให้ใครฟัง” ชั้นที่สาม คือความหมายของคำว่า “คนดี” มักถูกนิยามโดยผู้มีอำนาจเอง และเมื่อนิยามถูกผูกขาด คำว่า “คนดี” ก็กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยไม่รู้ตัว

คันฉ่องส่องไทย: ถ้าเราฝากอนาคตไว้กับ “คนดี” โดยไม่มีระบบตรวจสอบ เรากำลังยอมรับโดยปริยายว่า วันหนึ่งถ้าคนดีไม่อยู่—หรือคนดีคิดผิด—เราจะไม่มีทางแก้ไขอย่างสันติ

ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องตะวันตกหรือตะวันออก ไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ แต่เป็นเรื่อง “ธรรมชาติของอำนาจ” ที่เหมือนกันในทุกสังคม อำนาจที่ไม่มีเงื่อนไขตรวจสอบ จะค่อย ๆ ขยายตัวเหมือนน้ำท่วม—ไม่ใช่เพราะคนเลวเสมอไป แต่เพราะระบบเปิดช่องให้ “ความมั่นใจของคนดี” กลายเป็น “สิทธิของคนดี” และกลายเป็น “อำนาจของคนดี” โดยไม่ต้องตอบใคร

ระบอบสำคัญ เพราะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความผิดพลาดของมนุษย์

ประเด็นที่เราศึกษามาทั้งเล่มทำให้เห็นชัดว่า ระบอบการเมืองไม่ควรถูกวัดด้วยถ้อยคำสวยงาม แต่ควรถูกวัดด้วย “กลไก” ที่ระบอบนั้นมีไว้จัดการสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้สามอย่าง: ความขัดแย้ง ความผิดพลาด และความโลภของมนุษย์

ประชาธิปไตยไม่ได้มีค่าเพราะสมบูรณ์แบบ แต่เพราะในหลักการแล้ว มันพยายามสร้างเครื่องมือให้สังคม “แก้ความผิดพลาดได้โดยไม่ต้องฆ่ากัน” มีการถ่วงดุล มีพื้นที่ให้โต้แย้ง มีทางเปลี่ยนรัฐบาลโดยไม่ต้องล้มประเทศ ประเด็นไม่ใช่ว่าทุกประชาธิปไตยทำได้จริงเสมอไป แต่ประเด็นคือ ระบอบนี้อย่างน้อยยอมรับว่า “อำนาจต้องถูกจำกัด”

ขณะเดียวกัน สังคมนิยม–คอมมิวนิสต์ในฐานะอุดมการณ์เริ่มจากความหวังที่จริงแท้—ความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีมนุษย์ และการปลดปล่อยผู้ถูกกดทับจากโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม แต่บทเรียนประวัติศาสตร์จำนวนมากชี้ว่า เมื่อการปลดปล่อยถูกแปลงเป็นรัฐรวมศูนย์ เมื่อความจริงถูกผูกขาดในนามของ “ภารกิจทางประวัติศาสตร์” และเมื่อการตรวจสอบถูกตีตราว่าเป็นศัตรู คำสัญญาแห่งการปลดปล่อยอาจกลับกลายเป็นเครื่องจักรที่ทำร้ายมนุษย์เสียเอง

ปัญหาไทยที่ซ่อนอยู่: เราชอบใช้ “ศีลธรรม” แทน “กติกา”

สังคมไทยมีความงามอย่างหนึ่ง คือให้คุณค่าความดี ความสุภาพ ความเกรงใจ แต่เมื่อคุณค่าดังกล่าวถูกยกขึ้นไปทำหน้าที่แทนสถาบันทางการเมือง ความงามนั้นอาจกลายเป็นกับดัก เพราะศีลธรรมเป็นเรื่องภายในใจ ขณะที่สถาบันเป็นเรื่องการจัดการความขัดแย้งระหว่างผู้คนจำนวนมาก สังคมที่พึ่งศีลธรรมแต่ไม่ลงทุนสร้างกติกา มักต้องกลับมาจ่ายค่าปรับด้วยความไม่เป็นธรรมซ้ำ ๆ

เรามักพูดว่า “ขอคนดี” แต่เราไม่ค่อยถามว่า “ถ้าคนดีทำผิด เราจะทำอย่างไร” เรามักพูดว่า “อย่าขัดแย้ง” แต่เราไม่ค่อยถามว่า “ความขัดแย้งจะถูกจัดการอย่างยุติธรรมได้อย่างไร” เรามักพูดว่า “อย่าทะเลาะกัน” แต่เราไม่ค่อยถามว่า “เมื่อรัฐทำผิด ใครมีสิทธิถาม”

ระบอบที่ดีไม่ใช่ระบอบที่สัญญาว่าจะมีคนดีตลอดไป แต่คือระบอบที่ไม่เปิดช่องให้ใครทำร้ายคนอื่นได้ แม้เขาจะคิดว่าตนเองเป็นคนดีก็ตาม

หลักการพื้นฐานที่ทำให้ระบอบ “รับใช้ทุกคน” ไม่ใช่ “รับใช้ผู้มีอำนาจ”

จากบทเรียนเชิงเปรียบเทียบ สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ชื่อของระบอบ แต่คือหลักการพื้นฐานที่ทำให้ระบอบนั้นไม่ทรยศต่อมนุษย์ ผมจึงขอสรุปเป็น “แก่น” ที่สังคมไทยควรถือเป็นเข็มทิศ ไม่ว่าชอบคำว่าประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม

แก่นแรก คือ อำนาจต้องถูกตรวจสอบได้จริง ไม่ใช่ตรวจสอบได้ในกระดาษ ไม่ใช่ตรวจสอบได้เมื่อผู้มีอำนาจอนุญาต แต่ตรวจสอบได้เป็นกิจวัตร เป็นสิทธิของพลเมือง และเป็นหน้าที่ของสถาบัน เพราะอำนาจที่ไม่ถูกตรวจสอบย่อมขยายตัวเป็นธรรมชาติ

แก่นที่สอง คือ ความจริงต้องไม่ถูกผูกขาด เมื่อความจริงมีเจ้าของ สังคมจะไม่เหลือพื้นที่กลางให้ถกเถียงอย่างมีเหตุผล และเมื่อเหตุผลตาย ความรุนแรงมักเข้ามาแทน ระบอบใดก็ตามที่ทำให้ข้อเท็จจริงกลายเป็นเรื่องของ “ความเชื่อที่ห้ามแตะ” ระบอบนั้นกำลังลดทอนมนุษย์ให้เหลือเพียงผู้ตาม

แก่นที่สาม คือ ต้องมีทางแก้ไขความผิดพลาดโดยสันติ ระบอบที่ไม่มีทางถอย—ไม่มีช่องทางเปลี่ยนผู้นำ เปลี่ยนนโยบาย เปลี่ยนทิศโดยไม่แตกหัก— มักผลักสังคมไปสู่ความสิ้นหวังและความรุนแรงในที่สุด เพราะเมื่อคนไม่เหลือทางเลือก คนก็จะเลือกทางสุดท้าย

แก่นที่สี่ คือ ศักดิ์ศรีของพลเมืองต้องเป็นจริง ไม่ใช่แค่คำสอน พลเมืองต้องมีสิทธิถาม ต้องมีสิทธิวิจารณ์ ต้องมีสิทธิเสนอทางเลือก โดยไม่ถูกตีตราว่าเป็นภัยต่อความสงบหรือความดีงาม เพราะระบอบที่ห้ามถาม จะค่อย ๆ กลายเป็นระบอบที่ห้ามคิด

แก่นที่ห้า คือ ความยุติธรรมทางเศรษฐกิจต้องเดินกับเสรีภาพทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำที่ทับถมทำให้คนสิ้นหวัง และเมื่อสิ้นหวัง คนก็พร้อมแลกเสรีภาพกับคำสัญญา ในอีกด้านหนึ่ง การไล่ล่าความเสมอภาคโดยไม่ยอมให้ตรวจสอบ ก็เปิดทางให้รัฐรวมศูนย์ ระบอบที่รับใช้ทุกคนต้องทำให้สองด้านนี้ถ่วงดุลกันได้ ไม่ใช่ทำให้ด้านหนึ่งกินอีกด้านหนึ่ง

คำถามแบบคันฉ่องส่องไทย ที่เราควรถามตัวเอง (อย่างซื่อสัตย์)

  • ระบบที่เรามีอยู่วันนี้ ป้องกันคนดีจากการทำผิดพลาด ได้จริงหรือไม่ หรือปล่อยให้ความผิดพลาดกลายเป็นโศกนาฏกรรมซ้ำ ๆ?
  • ถ้าผู้มีอำนาจตัดสินใจผิด เรา แก้ไขได้โดยสันติ แค่ไหน หรือเราต้องรอให้เขาเมตตา—หรือหมดอำนาจ—เท่านั้น?
  • พื้นที่ของข้อเท็จจริงในสังคมไทยวันนี้ เปิดให้แข่งขัน หรือถูกบีบให้เหลือเพียง “เรื่องที่พูดได้” กับ “เรื่องที่ห้ามพูด”?
  • เรากำลังสร้าง พลเมืองผู้มีวิจารณญาณ หรือกำลังสร้างคนที่ต้องเชื่อฟังเพื่อจะถูกมองว่าเป็นคนดี?
  • สิ่งที่เราเรียกว่าความสงบ คือความสงบที่เกิดจากความยุติธรรม หรือความสงบที่เกิดจากการทำให้คนเงียบ?

บทเรียนสุดท้ายที่ไม่ควรลืม: ระบอบคือเครื่องมือของมนุษย์ ไม่ใช่เครื่องบูชาของใคร

เมื่อเราฟังคำเทศนาว่า “ระบอบไม่สำคัญ ขอแค่คนดี” ผมอยากให้เราถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วถามอย่างสุภาพว่า ถ้าคนดีเป็นคนดีจริง เหตุใดจึงกลัวการตรวจสอบ? ถ้าคนดีตั้งใจทำเพื่อส่วนรวม เหตุใดจึงไม่ให้สังคมมีเครื่องมือแก้ความผิดพลาด? ถ้าคนดีเชื่อในธรรม เหตุใดจึงไม่ยอมให้ความจริงถูกทดสอบด้วยเหตุผล?

คำตอบที่ตรงที่สุดคือ การตรวจสอบไม่ได้มีไว้เพื่อลดคุณค่าความดี แต่มีไว้เพื่อทำให้ความดีไม่ต้องพึ่ง “ความเป็นผู้วิเศษ” ของใครคนหนึ่ง และเพื่อทำให้ความดี “ยืนได้” แม้คนดีจะจากไป

ผมจึงขอสรุปแบบคันฉ่องส่องไทยว่า ระบอบสำคัญ เพราะมันคือกติกาที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันได้อย่างไม่ทำร้ายกัน และ คนดีสำคัญ เพราะไม่มีระบบใดทำงานได้หากคนไร้คุณธรรมเต็มเมือง แต่ถ้าเราต้องเลือกระหว่าง “ศีลธรรมลอย ๆ” กับ “กติกาที่ตรวจสอบได้” เราควรยืนอยู่ข้างกติกา เพราะกติกาที่ดีคือการทำให้ความดีไม่ต้องพึ่งปาฏิหาริย์

— คันฉ่องส่องไทย