บทสะท้อนเชิงหลักการต่อรัฐไทยในความขัดแย้งไทย–กัมพูชา
บทนำ: การเลือกข้างที่ไม่ละทิ้งหลักการ
ในความขัดแย้งระหว่างรัฐ การ “ไม่เลือกข้าง” มิได้เป็นคุณธรรมโดยอัตโนมัติ หากการเลือกข้างนั้นตั้งอยู่บนการประเมินหลักฐาน ความน่าเชื่อถือ และมาตรฐานสากลอย่างรอบคอบ การยืนอยู่ข้างประเทศไทยในสถานการณ์ความตึงเครียดล่าสุดกับกัมพูชา จึงมิใช่ผลของอคติชาตินิยม หากเป็นข้อสรุปเชิงเหตุผลที่ผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนตามหลักกาลามสูตร—เชื่อเมื่อเห็นเหตุ เห็นผล และตรวจสอบได้
บทความนี้ผู้เขียนตั้งใจ “เลือกข้าง” ประเทศไทยอย่างเปิดเผย แต่เลือกเพราะเคารพศักดิ์ศรีและอธิปไตยของรัฐไทย ไม่ด้อยค่ามนุษย์อีกฝ่ายหนึ่ง และไม่ทำให้หลักการที่ไทยพยายามยืนหยัดต้องพังลงไปพร้อมกับอารมณ์ความสะใจระยะสั้น ที่เรียกกันว่า “ความคลั่งชาติ”
การลงลึกเชิงประจักษ์: ตัวอย่างพฤติกรรมและฐานหลักฐานจากการรายงานข่าว
การเลือกข้างของผู้เขียนในกรณีนี้ตั้งอยู่บนการติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่องจากทั้งแหล่งข่าวไทยและสื่อภาษาอังกฤษที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นรายงานของรัฐไทย การแถลงอย่างเป็นทางการของกองทัพ การรายงานของสื่อระหว่างประเทศ ตลอดจนการประเมินของนักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อพิจารณาร่วมกันแล้ว รูปแบบพฤติกรรมของทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างเชิงคุณภาพ ไม่ใช่เพียงเชิงปริมาณของกำลังที่ใช้
1. การใช้พื้นที่พลเรือนเป็นส่วนหนึ่งของยุทธวิธี
หนึ่งในประเด็นที่ได้รับการรายงานซ้ำจากหลายแหล่ง คือ การตั้งฐานยิงหรือจุดซุกซ่อนอาวุธในหรือใกล้กับบ้านเรือนประชาชนฝั่งกัมพูชา รวมถึงการวางกำลังในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่จริง รายงานลักษณะนี้ปรากฏทั้งในคำชี้แจงของฝ่ายไทยและในการวิเคราะห์ของผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่ลงพื้นที่หรืออ้างอิงภาพถ่ายดาวเทียม
ในเชิงกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดหลักการแยกแยะ (distinction) อย่างชัดเจน เพราะทำให้พื้นที่พลเรือนถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสนามรบโดยปริยาย และเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ
2. การนำพลเรือนและสมาชิกครอบครัวเข้าไปอยู่ในพื้นที่การรบ
มีรายงานที่สร้างความกังวลอย่างมากในสายตานานาชาติ คือ การปรากฏตัวของผู้หญิงและสมาชิกครอบครัวของกำลังติดอาวุธในพื้นที่แนวหน้า การกระทำลักษณะนี้ไม่ใช่เพียงประเด็นทางศีลธรรม แต่เป็นประเด็นเชิงโครงสร้างของวิธีคิดด้านความมั่นคงที่ใช้พลเรือนเป็นเกราะกำบังโดยพฤตินัย
สื่อภาษาอังกฤษหลายสำนักตั้งข้อสังเกตว่า พฤติกรรมเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของกองทัพอาชีพในรัฐสมัยใหม่ และยิ่งทำให้ข้ออ้างเรื่องการคุ้มครองประชาชนของฝ่ายกัมพูชาขาดน้ำหนัก
3. การวางระเบิดและการก่อกวนในพื้นที่ไม่ใช่สนามรบ
อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง คือ การแอบวางระเบิดหรือใช้อาวุธลักษณะก่อกวนในพื้นที่ที่ไม่สามารถจัดเป็นสนามรบได้อย่างชัดเจน พฤติกรรมเช่นนี้เข้าข่ายการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายประเทศและผู้สังเกตการณ์ภายนอกมองการกระทำของฝ่ายกัมพูชาด้วยความระแวง
แม้ฝ่ายกัมพูชาจะพยายามตอบโต้ด้วยการสร้างชุดข่าวหรือข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันต่อไทย แต่หลายกรณีไม่สามารถยืนอยู่ได้เมื่อถูกตรวจสอบด้วยหลักฐานภาพถ่าย เวลา สถานที่ และคำให้การจากแหล่งข่าวหรือคณะอิสระ
4. การใช้พลเรือนเป็นเครื่องมือทางการเมืองในพื้นที่พิพาท
การส่งพลเรือนเข้าไปยั่วยุหรือแสดงตัวในพื้นที่พิพาท เพื่อสร้างภาพทางการเมืองหรือเตรียมการอ้างสิทธิในอนาคต เป็นอีกพฤติกรรมที่ถูกวิจารณ์ในวงวิเคราะห์ระหว่างประเทศ ยุทธวิธีเช่นนี้อาจไม่ผิดกฎหมายโดยตรงในทุกกรณี แต่เมื่อเกิดขึ้นควบคู่กับการวางกำลังติดอาวุธ ย่อมทำให้เส้นแบ่งระหว่างพลเรือนกับนักรบเลือนรางอย่างอันตราย
5. ฝ่ายไทยกับความพยายามรักษากรอบสากล
ในทางตรงกันข้าม การปฏิบัติการของฝ่ายไทย—แม้มีการใช้กำลังทางอากาศซึ่งกัมพูชาไม่มี—ถูกอธิบายและรายงานว่าเน้นเป้าหมายทางทหารที่อ้างว่ามีการซุกซ่อนอาวุธหรือเป็นแหล่งกำลัง การสื่อสารของรัฐไทยพยายามย้ำถึงการป้องกันตนเอง ความจำเป็น และการลดผลกระทบต่อพลเรือน
สื่อภาษาอังกฤษจำนวนหนึ่งสะท้อนท่าทีว่า ไทยมีแรงจูงใจสูงที่จะต้อง “ทำให้ถูกต้องตามกติกา” เพราะต้นทุนทางการทูต เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ในเวทีโลกของไทยสูงกว่าคู่ขัดแย้งอย่างมีนัยสำคัญ
การประเมินความน่าเชื่อถือของคู่ขัดแย้ง
ในเวทีระหว่างประเทศ ความน่าเชื่อถือไม่ได้เกิดจากคำกล่าวอ้าง แต่สะสมจากพฤติกรรมในระยะยาว เมื่อพิจารณาประวัติการสื่อสาร การปฏิบัติตามกติกาสากล และความโปร่งใสในการให้ข้อมูล ไทยยังคงมีเครดิตที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กัมพูชามักถูกตั้งคำถามเรื่องความสม่ำเสมอของข้อมูลและการใช้โฆษณาชวนเชื่อเชิงรัฐ
ข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้ทำให้ไทย “ถูกเสมอ” แต่ทำให้การอธิบายของไทยได้รับการรับฟังมากกว่า และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้เขียนเลือกข้างไทยบนฐานของความน่าจะเป็นและหลักฐานเชิงประจักษ์ นอกเหนือจากการเป็นคนไทยโดยสายเลือด
บทเรียนเชิงยุทธศาสตร์และศีลธรรม
การเผชิญหน้ากับคู่ขัดแย้งที่ไม่ยึดกติกาเดียวกัน คือบททดสอบความเป็นรัฐสมัยใหม่อย่างแท้จริง การตอบโต้แบบลดระดับตนเองอาจสะใจในระยะสั้น แต่ทำลายทุนทางศีลธรรมและการเมืองในระยะยาว
ดังนั้น การ “ต่อยกับมวยวัด” ในที่นี้ มิได้หมายถึงการเหยียดหรือดูหมิ่น แต่เป็นคำเตือนให้ฝ่ายที่อยู่ในกรอบกติกา ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกดึงออกนอกกรอบจนกลายเป็นลดค่าและความชอบธรรมของตน
การเลือกข้างอย่างมีความรับผิดชอบ
ผู้เขียนเลือกข้างไทย เพราะหลักฐานที่มีน้ำหนักจริงจากการรายงานข่าวและการประเมินของแหล่งอิสระสนับสนุนการตัดสินใจนั้น แต่การเลือกข้างนี้มาพร้อมเงื่อนไขสำคัญ คือ ไทยต้องยืนอยู่บนหลักการให้ได้ตลอดกระบวนการ
ความรักชาติที่มีวุฒิภาวะ ไม่ใช่การเชียร์โดยไม่ลืมหูลืมตา หากคือการสนับสนุนประเทศของตนให้ดีกว่า ไม่ใช่เพียงชนะกว่า และหากไทยสามารถรักษาเส้นนี้ได้ ความชอบธรรมจะเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแรงยิ่งกว่าอาวุธใด ๆ
ลักษณะการกระทำที่อยู่นอกบรรทัดฐานของรัฐสมัยใหม่
จากข้อมูลที่เปิดเผยโดยฝ่ายไทยและการรายงานจากหลายแหล่งพ้องกัน การกระทำของฝ่ายกัมพูชาในความขัดแย้งครั้งนี้มีลักษณะบางประการที่ไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานของรัฐหรือกองทัพอาชีพในศตวรรษที่ 21 ได้แก่
ประการแรก การตั้งฐานยิงหรือซุกซ่อนอาวุธในพื้นที่พลเรือน เช่น บ้านเรือนประชาชน หรือการใช้โครงสร้างพลเรือนเป็นฉากกำบังทางทหาร ซึ่งเข้าข่ายการละเมิดหลักการแยกแยะระหว่างเป้าหมายทางทหารกับพลเรือนอย่างชัดเจน
ประการที่สอง การนำผู้หญิงและพลเรือนเข้าไปอยู่ในพื้นที่การรบหรือแนวปะทะร่วมกับกำลังติดอาวุธ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ย่อมเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตพลเรือน และสะท้อนแนวคิดที่ใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือทางยุทธวิธี มากกว่าการคุ้มครองชีวิตตามหลักมนุษยธรรม
ประการที่สาม การแอบวางระเบิดหรือใช้อาวุธลักษณะก่อกวนในพื้นที่ที่ไม่ใช่สนามรบชัดเจน เป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และลดทอนความชอบธรรมของข้ออ้างด้านการป้องกันตนเองอย่างมีนัยสำคัญ
ประการที่สี่ การใช้พลเรือนเป็นเครื่องมือยั่วยุในพื้นที่พิพาท เพื่อสร้างเงื่อนไขทางการเมืองหรือกฎหมายในภายหลัง เป็นกลยุทธ์ที่อาจได้ผลในระยะสั้น แต่บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐในระยะยาว
เมื่อพิจารณาภาพรวม พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้การอ้างความชอบธรรมของฝ่ายกัมพูชามีน้ำหนักลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฝ่ายไทย: ความได้เปรียบที่มาพร้อมภาระหนักกว่า
ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายไทยอยู่ในสถานะที่แตกต่าง ไทยเป็นรัฐที่มีความเชื่อมโยงกับประชาคมโลกสูงกว่า มีพันธกรณีระหว่างประเทศมากกว่า และมีสิ่งที่ต้องรักษาบนเวทีสากลมากกว่าคู่ขัดแย้งโดยเปรียบเทียบ
ความได้เปรียบด้านศักยภาพทางทหาร โดยเฉพาะอากาศยานรบ มิได้เป็นเพียง “ไพ่เหนือกว่า” หากเป็นภาระทางศีลธรรมและการเมืองที่หนักกว่า ไทยไม่อาจใช้มาตรฐานเดียวกับคู่ขัดแย้งที่ไม่ยึดถือบรรทัดฐานเดียวกันได้ เพราะต้นทุนทางความชอบธรรมของไทยสูงกว่า และความเสียหายต่อภาพลักษณ์จะย้อนกลับมาหาไทยโดยตรง
จากการสังเกตเชิงหลักฐาน การปฏิบัติการของไทยพยายามอธิบายตนเองในกรอบการป้องกันตนเอง การเลือกเป้าหมายทางทหาร และการหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อพลเรือน แม้จะไม่อาจสมบูรณ์แบบ แต่ทิศทางโดยรวมสะท้อนความพยายาม “เล่นตามกติกา” มากกว่าการตอบโต้ด้วยอารมณ์หรือการเอาคืนแบบไร้ขอบเขต
“ต่อยกับมวยวัด”: อุปมาที่ต้องใช้ด้วยสติ
คำเปรียบว่า “ต่อยกับมวยวัด จงอย่าบุ่มบ่าม” หากใช้โดยขาดการขัดเกลา ย่อมกลายเป็นการด้อยค่าอีกฝ่ายและเปิดช่องให้อคติครอบงำ แต่หากตีความอย่างมีสติ อุปมานี้มิได้หมายถึงการดูถูก หากหมายถึงความแตกต่างของกติกาและวัฒนธรรมการต่อสู้
มวยอาชีพถูกกำกับด้วยกติกา ผู้ตัดสิน และสายตาสาธารณะ ส่วนมวยวัดอาจไม่มีกรอบเดียวกัน เมื่อผู้เล่นอยู่ในสนามเดียวกัน ฝ่ายที่มีกติกามากกว่า ย่อมต้องระวังมากกว่า ไม่ใช่เพราะอ่อนแอ แต่เพราะมีสิ่งที่ต้องรักษามากกว่า
ในความหมายนี้ ไทยควร “ชนะโดยไม่ลดระดับตนเอง” และไม่ปล่อยให้การยั่วยุหรือพฤติกรรมที่อยู่นอกกติกา ดึงไทยออกจากหลักการที่ตนเองยึดถือ
ข้อคิดต่อรัฐบาล กองทัพ และพลเมืองไทย
ต่อรัฐบาลไทย การสื่อสารต้องหนักแน่นบนหลักฐาน ไม่ใช่อารมณ์ ยิ่งฝ่ายตรงข้ามละเมิดหลักการมากเท่าใด ไทยยิ่งต้องแสดงความเป็นรัฐที่รับผิดชอบมากเท่านั้น
ต่อกองทัพไทย ความได้เปรียบต้องถูกใช้เพื่อจำกัดความรุนแรง ไม่ใช่ขยายมัน ความสำเร็จที่แท้จริงคือการยุติภัยคุกคามโดยไม่สร้างบาดแผลใหม่ทางมนุษยธรรม
ต่อพลเมืองไทย การเข้าข้างประเทศของตนไม่จำเป็นต้องหลับตา การตั้งคำถาม ตรวจสอบ และเรียกร้องให้รัฐยืนอยู่บนหลักการ คือรูปแบบหนึ่งของความรักชาติที่มีวุฒิภาวะ
บทสรุป: จงชนะอย่างมีศักดิ์ศรี
การเลือกข้างไทยในความขัดแย้งครั้งนี้ เป็นการเลือกข้างบนฐานหลักฐาน มิใช่อารมณ์ และเป็นการเลือกที่มาพร้อมข้อเรียกร้องให้ไทยดีกว่าคู่ขัดแย้ง ไม่ใช่เหมือนกัน การชนะที่แท้จริงจึงไม่ใช่เพียงการได้เปรียบทางทหาร แต่คือการรักษาศักดิ์ศรี ความชอบธรรม และมนุษยธรรมไว้ได้พร้อมกัน—แม้ต้องต่อสู้กับฝ่ายที่ไม่เล่นตามกติกาเดียวกัน




