รัฐประหารกับทางตันของการพัฒนาประชาธิปไตย: บทพิจารณาเชิงโครงสร้าง
ร่างปาฐกถาเชิงวิชาการ
รัฐประหารกับทางตันของการพัฒนาประชาธิปไตย: บทพิจารณาเชิงโครงสร้าง
จากความเชื่อว่าปืนจะแก้ปัญหาการเมือง ไปสู่ข้อเท็จจริงว่าปืนมักทำลายสถาบันที่ควรจะแก้ปัญหาแทน
โดย คันฉ่องส่องไทย
ร่างปาฐกถาเพื่อการตีพิมพ์ | ฉบับปรับปรุงเชิงวิชาการ
ใจความตั้งต้นของปาฐกถาครั้งนี้เรียบง่ายแต่หนักแน่น:
การรัฐประหารไม่ใช่คำตอบของปัญหาการเมืองร่วมสมัย หากแต่เป็นกลไกที่ “ตัดแขนขา” ของสถาบันประชาธิปไตย
แล้วหวังให้สังคมเดินหน้าได้บนขาที่พิการ ทั้งที่ปัญหาแท้จริงอยู่ที่โครงสร้างอำนาจและระบบตรวจสอบถ่วงดุล
ไม่ใช่เพียงตัวบุคคลหรือรัฐบาลเฉพาะยุคสมัยใดยุคสมัยหนึ่ง
1. รัฐประหารในฐานะ “คำตอบเทียม” ต่อปัญหาจริงของรัฐสมัยใหม่
ตลอดศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21 หลายประเทศในโลกกำลังพัฒนาพบกับข้อถกเถียงชุดเดียวกันอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นั่นคือ เมื่อการเมืองในระบบรัฐสภาเกิดวิกฤต ความขัดแย้งรุนแรง หรือข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชันเป็นวงกว้าง
มักมีเสียงเรียกร้องให้ “อำนาจนอกระบบ” เข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาด โดยถือเอาความรวดเร็วและความมั่นคงเป็นเหตุผลสำคัญ
รัฐประหารจึงถูกนำเสนอในฐานะ “ยาช็อก” ที่จะทำให้ร่างกายการเมืองที่ป่วยหนักหยุดชะงัก แล้วเริ่มต้นใหม่บนระเบียบใหม่ที่ถูกอ้างว่าดีกว่าเดิม
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากวรรณกรรมเชิงวิชาการทั้งในด้านรัฐศาสตร์ การพัฒนา และเศรษฐศาสตร์การเมือง
มีหลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากที่ชี้ว่า รัฐประหารมักไม่ได้แก้ไขรากของปัญหา
หากแต่ “ตรึง” โครงสร้างอำนาจบางชุดให้คงอยู่ยาวนานขึ้น และลดทอนพลังของสถาบันที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล
ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ระบบพรรคการเมือง สื่อมวลชนเสรี หรือภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง
2. จากคำสัญญา “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” สู่โครงสร้างอำนาจที่ขยายตัวถาวร
จุดร่วมที่พบได้ในหลายกรณีศึกษา คือ การรัฐประหารมักไม่ยืดอายุอำนาจของรัฐบาลพลเรือนเดิม แต่กลับยืดอายุของ
โครงสร้างอำนาจนอกระบบ ให้สถาปนาบทบาทของตนอย่างลงหลักปักฐานยิ่งขึ้น ภายใต้ถ้อยคำที่ฟังดูงดงาม เช่น
“ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”, “สร้างความปรองดองของชาติ” หรือ “คืนความสงบให้บ้านเมือง”
ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งยอมจำนนต่อการระงับสิทธิของตนเองชั่วคราว โดยหวังว่ารัฐประหารจะเป็นสะพานสั้น ๆ
ไปสู่ระบอบที่ดีขึ้นในภายหลัง
ในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายประเทศกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง กล่าวคือ ระยะเวลา “ชั่วคราว” มักยืดยาวออกไปเป็นหลายปี
พร้อมกับการจัดวางสถาปัตยกรรมกฎหมาย รัฐธรรมนูญ และยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ทำให้รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งในอนาคต
ต้องผูกพันกับเงื่อนไขที่ออกแบบโดยคณะรัฐประหารและกลุ่มอำนาจที่สนับสนุนคณะดังกล่าว
ส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งถัดไปมิได้เป็น “การเริ่มต้นใหม่” อย่างแท้จริง หากแต่เป็นการเลือกผู้นำภายใต้สนามที่ถูกออกแบบไว้แล้ว
3. อำนาจพิเศษกับต้นทุนที่มองไม่เห็น: เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความเชื่อมั่นระยะยาว
เมื่อผู้นำคณะรัฐประหารได้รับอำนาจพิเศษเหนือโครงสร้างปกติของรัฐสมัยใหม่ ไม่ว่าจะในรูปของคำสั่งพิเศษตามกฎหมายเฉพาะ
หรือบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ผลข้างเคียงที่ตามมาคือ การตัดข้ามกระบวนการตรวจสอบและกลไกถ่วงดุลที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันความผิดพลาด
ของนโยบายสาธารณะ การตัดสินใจเชิงนโยบายที่มีผลกระทบสูงต่อทรัพยากรของชาติ สิ่งแวดล้อม และหนี้สาธารณะ
จึงอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีการพิจารณาอย่างรอบด้านเท่าที่ควร
หลายกรณีศึกษาแสดงให้เห็นว่า การใช้อำนาจพิเศษในการตัดสินใจเกี่ยวกับสัมปทานทรัพยากร แร่ธาตุ หรือโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
แม้จะถูกอ้างว่าทำไปเพื่อประโยชน์แห่งชาติและความมั่นคง แต่ในระยะยาวกลับนำไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างประเทศ
การชดเชยค่าเสียหายจำนวนมหาศาล และการสูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระดับสากล
ต้นทุนเหล่านี้มิได้สะท้อนให้เห็นผ่านถ้อยแถลงในช่วงเวลาที่ใช้อำนาจ หากแต่ปรากฏชัดเมื่อระบอบดังกล่าวเดินมาถึงปลายทาง
4. รัฐประหารกับวินัยการคลัง: หนี้สาธารณะและการเติบโตที่ไม่ยั่งยืน
วรรณกรรมด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองพบว่า ระบอบที่มีการตรวจสอบจากรัฐสภา สื่อ และสถาบันอิสระที่ทำงานอย่างเป็นอิสระ
มักมีวินัยการคลังที่เข้มแข็งกว่าในระยะยาว แม้จะมีความล่าช้าในการตัดสินใจเชิงนโยบายสาธารณะก็ตาม
ในทางกลับกัน ระบอบที่ผู้นำมีอำนาจรวมศูนย์สูง มักใช้เครื่องมือด้านงบประมาณและการกู้เงินเพื่อค้ำยันอำนาจของตน
มากกว่าที่จะใช้เพื่อยกระดับผลิตภาพ (productivity) ของประเทศจริง ๆ
ปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยคือ การก่อหนี้สาธารณะในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวกลับไม่ดีขึ้นในระดับที่สอดคล้องกัน
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้หลายประเทศที่อยู่ภายใต้ระบอบที่เกิดจากรัฐประหารเผชิญสภาพ “เศรษฐกิจโตช้า แต่หนี้โตเร็ว”
และเมื่อระบอบดังกล่าวสิ้นสุดลง รัฐบาลถัดไปที่มาจากการเลือกตั้งต้องแบกรับภาระหนี้และข้อผูกพันจำนวนมากที่ไม่ได้เกิดจากฉันทามติของสังคม
5. มิติที่มักถูกละเลย: คุณภาพสถาบัน และศักดิ์ศรีของประชาชน
การประเมินผลของรัฐประหารมักถูกลดทอนให้เหลือเพียงคำถามว่า “เศรษฐกิศจดทะเบียนเติบโตเท่าใด” หรือ
“ความสงบเรียบร้อยในท้องถนนมีมากขึ้นหรือไม่” แต่หากเรายกระดับคำถามให้ลึกขึ้น
จะเห็นว่าการรัฐประหารมีผลสั่นคลอนต่อคุณภาพของสถาบันทางการเมืองและศักดิ์ศรีของประชาชนอย่างไรบ้าง
ประการแรก การยึดอำนาจโดยไม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งทำให้เกิดสัญญาณเชิงลบต่อหลักนิติรัฐและความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย
เมื่อมีการใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ ระหว่างผู้เห็นต่างทางการเมืองกับผู้ใกล้ชิดอำนาจ
ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบยุติธรรมย่อมถูกบั่นทอน
ประการที่สอง การจำกัดเสรีภาพการแสดงออก การชุมนุม และการวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการ
ทำให้สังคมสูญเสียพื้นที่ในการเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง
การเมืองที่ขาดการถกเถียงอย่างเปิดเผยไม่อาจสั่งสมปัญญาสาธารณะ และไม่อาจผลิตผู้นำรุ่นใหม่ที่มีทั้งความรู้ ความรับผิดชอบ
และการยอมรับต่อการตรวจสอบจากประชาชน
6. บทเรียนจากประวัติศาสตร์ร่วมสมัย: เมื่อระบอบรัฐประหารมาถึงปลายทาง
เมื่อระบอบที่มีต้นกำเนิดจากการรัฐประหารเดินทางมาถึงช่วงปลายทาง ไม่ว่าจะด้วยการเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่
หรือด้วยแรงกดดันจากสังคมและนานาชาติ ภาพรวมที่มักปรากฏคือ ประเทศเผชิญกับข้อท้าทายเชิงโครงสร้างชุดใหญ่
ทั้งในมิติของดัชนีประชาธิปไตย เสรีภาพสื่อ คุณภาพการศึกษา ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
และความเชื่อมั่นของคนรุ่นใหม่ต่ออนาคตของตนเอง
ความเสียหายเหล่านี้มิได้ปรากฏชัดในวันแรกของการยึดอำนาจ หากแต่ค่อย ๆ สั่งสมทีละน้อย
ผ่านการตัดทอนกลไกตรวจสอบ การบิดเบือนระบบยุติธรรม การออกแบบรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่วางอำนาจนอกระบบไว้เหนือสถาบันที่มาจากประชาชน
และผ่านบรรยากาศแห่งความกลัวที่ทำให้ผู้คนจำนวนมาก “เลือกจะเงียบ” แทนที่จะมีส่วนร่วมส่งเสียงอย่างสร้างสรรค์
ในแง่นี้ รัฐประหารจึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ณ วันหนึ่งในประวัติศาสตร์
หากแต่เป็นกระบวนการยืดยาวที่กำหนดเพดานของประชาธิปไตย และกำหนดเพดานของความหวังของคนทั้งรุ่น
ว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาในสังคมที่ยืนอยู่บนเหตุผลหรือบนเสียงปืน
7. บทสรุปเชิงโครงสร้าง: ทำไมรัฐประหารจึงไม่ใช่คำตอบ
เมื่อมองจากระยะไกลด้วยสายตาเชิงโครงสร้าง จะเห็นภาพร่วมกันอย่างหนึ่งคือ
รัฐประหารไม่อาจสร้างสถาบันที่เข้มแข็ง โปร่งใส และรับผิดชอบต่อประชาชนได้
เพราะแก่นแท้ของรัฐประหารเองคือการปฏิเสธหลักการที่ว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
และผู้ใช้อำนาจต้องพร้อมต่อการตรวจสอบและการเปลี่ยนผ่านผ่านกลไกที่สันติและเป็นสถาบัน
สิ่งที่รัฐประหารทำได้ดี คือ การปกป้องโครงสร้างอำนาจของกลุ่มที่จับอาวุธอยู่ในมือ และของกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอำนาจดังกล่าว
ทว่าปัญหาของรัฐสมัยใหม่—ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำ ความยากจน การศึกษาไร้คุณภาพ
หรือเศรษฐกิจที่ขาดความสามารถในการแข่งขน—ล้วนต้องการสถาบันที่เปิดพื้นที่ให้ปัญญาสาธารณะ
ให้การมีส่วนร่วมของประชาชน และให้กลไกตรวจสอบที่ไม่เกรงกลัวอำนาจนอกระบบ
เพราะฉะนั้น หากจะถามว่า “รัฐประหารแก้ปัญหาของประเทศได้หรือไม่”
คำตอบเชิงโครงสร้างอาจไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำรุนแรงใด ๆ เพียงแต่ต้องชี้ให้เห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า
รัฐประหารถูกออกแบบมาเพื่อจัดการปัญหาของผู้มีอำนาจบางกลุ่ม มากกว่าที่จะจัดการปัญหาของประชาชนทั้งชาติ
และตราบใดที่คำตอบทางการเมืองยังอยู่ในมือของปืนมากกว่าปัญญา
ระบอบประชาธิปไตยและศักดิ์ศรีของความเป็นพลเมืองย่อมไม่อาจเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ
ฉบับตีโครงสร้างให้กว้างและลึกขึ้น
1. ภูมิทัศน์อำนาจหลังรัฐประหาร 2557: สาม ป. และการจัดวางขั้วอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านรัชกาล
รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น มิได้เกิดขึ้นในสุญญากาศทางการเมือง หากแต่เกิดขึ้นในบริบทของความขัดแย้งยืดเยื้อระหว่างขั้วการเมืองที่มีฐานเสียงเลือกตั้งกับเครือข่ายอำนาจจารีตนิยมและกองทัพ ขณะเดียวกันก็อยู่ในเงื่อนไขของการเตรียมรับช่วงเปลี่ยนผ่านรัชกาล ซึ่งนักวิชาการจำนวนหนึ่งชี้ว่าเป็นมิติสำคัญของการตัดสินใจใช้กำลังยึดอำนาจในปีนั้น (globalasia.org)
แกนกลางทางอำนาจของรัฐบาลคสช. คือเครือข่ายที่ประชาชนเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า “สาม ป.” ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งสืบสายสัมพันธ์จากกองทัพบก และได้รับการมองว่าเป็น “กลไกประกันความต่อเนื่อง” ของระบอบที่ผสานระหว่างสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และข้าราชการระดับสูงเข้าไว้ด้วยกัน (Wikipedia)
ในมิติของหลักนิติรัฐ รัฐประหารครั้งนี้ถือเป็นการย้อนกลับจากระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาไปสู่การปกครองโดยคณะบุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง พร้อมกับการระงับใช้รัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าแทบทั้งหมด ยกเว้นบทว่าด้วยสถานะของสถาบันกษัตริย์
2. โครงสร้างกฎหมายพิเศษ: มาตรา 44 และการทำให้ “อำนาจรวมศูนย์เหนือทุกสถาบัน”
รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ได้วางมาตรา 44 ไว้เป็นกลไกสำคัญ โดยให้อำนาจหัวหน้า คสช. ออกคำสั่งที่มีผลเสมอกฎหมาย เป็นที่สุด และไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายตุลาการในทางปฏิบัติ รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนระบุชัดว่า มาตรา 44 ทำให้หัวหน้า คสช. สามารถออกคำสั่งใด ๆ ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch+2Human Rights Watch)
ในปี 2558 มีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกทั่วประเทศ และแทนที่ด้วยการใช้มาตรา 44 อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งคณะนักวิชาการและองค์กรสิทธิระหว่างประเทศจำนวนมากเห็นตรงกันว่า การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ได้ทำให้สถานการณ์สิทธิมนุษยชนดีขึ้น แต่กลับเป็นการ “สถาปนาอำนาจพิเศษ” ในรูปแบบใหม่ที่กว้างกว่ากฎอัยการศึกเดิมเสียอีก (Human Rights Watch)
คำสั่งจำนวนมากภายใต้มาตรา 44 มีลักษณะครอบคลุมทั้งมิติการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน การจัดสรรงบประมาณ และสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้เกิดคำถามอย่างมีนัยสำคัญต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ (separation of powers) และระบบถ่วงดุลภายในรัฐสมัยใหม่
3. สิทธิมนุษยชนและการปกครองด้วยความกลัว: คดีการเมือง ศาลทหาร และการควบคุมสื่อ
องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ เช่น Human Rights Watch, Amnesty International และรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บันทึกตรงกันว่า หลังรัฐประหาร 2557 สถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยถดถอยลงอย่างชัดเจน (Human Rights Watch+2U.S. Department of State)
ประเด็นสำคัญ ได้แก่
-
การเรียกตัวบุคคลไป “ปรับทัศนคติ” ภายใต้อำนาจคำสั่งหัวหน้า คสช. โดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ
-
การนำพลเรือนขึ้นพิจารณาคดีในศาลทหารในคดีที่ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับความมั่นคง
-
การจำกัดเสรีภาพการชุมนุมและการแสดงออก โดยกำหนดห้ามชุมนุมเกินจำนวนคนที่กำหนด และสลายการชุมนุมในหลายกรณี
-
การดำเนินคดีต่อผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ นักกิจกรรม และนักศึกษา ที่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐประหาร (เช่น การชูสามนิ้ว และกิจกรรมอ่านหนังสือเงียบ) (Wikipedia)
Freedom House ประเมินว่า ประเทศไทยในยุคดังกล่าวอยู่ในกลุ่ม “ไม่เสรี” หรือ “เสรีภาพถูกจำกัดอย่างรุนแรง” และเน้นว่าหัวหน้ารัฐบาล (พล.อ.ประยุทธ์) เป็นผู้นำที่มีที่มาจากการรัฐประหาร ก่อนจะเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้การเลือกตั้งในภายหลัง ซึ่งยังอยู่ใต้กติกาที่คณะรัฐประหารออกแบบ (Freedom House)
4. เศรษฐกิจชะลอตัวและทุนใหญ่: การเติบโตต่ำในภูมิภาคเดียวกัน
ในเชิงเศรษฐกิจ หลายสำนักวิเคราะห์ชี้ว่า ภายใต้การนำของรัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี โดย World Economic Forum เคยระบุว่าในปีหนึ่ง ๆ ไทยมีอัตราการเติบโตต่ำที่สุดในภูมิภาค ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและกัมพูชากลับเติบโตสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (World Economic Forum+2World Bank)
บทวิเคราะห์ในสื่อระหว่างประเทศบางฉบับชี้ว่า ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ เศรษฐกิจไทยไม่เคยเติบโตเกิน 4% ต่อปีในช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งในด้านผลิตภาพ (productivity) ที่ชะลอตัว และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน (thegeopolitics.com)
ควบคู่ไปกับนั้น มีข้อวิจารณ์เรื่องนโยบายและโครงการที่ถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่บางกลุ่ม ทั้งในด้านสัมปทาน ทรัพยากร และโครงสร้างพื้นฐาน แม้ในเชิงหลักฐานเชิงปริมาณจะต้องวิเคราะห์ในระดับโครงการต่อโครงการ แต่ภาพรวมที่สะท้อนผ่านดัชนีความเหลื่อมล้ำและรายงานเชิงโครงสร้างระบุว่า ช่องว่างระหว่างกลุ่มทุนขนาดใหญ่กับธุรกิจรายย่อยยังคงสูง และประชาชนส่วนล่างไม่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจเท่าที่ควร (BTI 2024)
5. วิศวกรรมรัฐธรรมนูญ 2560: การสถาปนาระบอบกึ่งเผด็จการผ่านกลไกเลือกตั้ง
รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งร่างและผลักดันโดยคณะรัฐประหารและเครือข่าย ถูกนักวิชาการด้านรัฐธรรมนูญจำนวนหนึ่งมองว่า เป็น “รัฐธรรมนูญเพื่อสกัดกั้นประชาธิปไตยแบบแข่งขัน (competitive democracy)” มากกว่าจะเป็นเครื่องมือในการคลี่คลายความขัดแย้ง (ConstitutionNet)
จุดที่ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้แก่
-
การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา 250 คนโดยคณะรัฐประหาร แล้วให้มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร
-
การกำหนดบทเฉพาะกาลที่เปิดทางให้หัวหน้า คสช. เดิมสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้กรอบการเลือกตั้ง
-
การวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และกลไกบังคับให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องปฏิบัติตาม มิฉะนั้นอาจถูกตีความว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบ
นักวิเคราะห์บางรายใช้คำว่า “constitutionalized military rule” หรือ “การปกครองของกองทัพที่ถูกทำให้กลายเป็นกฎหมายถาวร” เพื่ออธิบายปรากฏการณ์นี้ โดยเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเป็นเครื่องมือสำคัญในการสืบทอดอำนาจของกลุ่มที่มีที่มาจากรัฐประหาร มากกว่าที่จะเป็นเพียง “กติกากลาง” ที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย (Kyoto Review of Southeast Asia)
การเลือกตั้งปี 2562 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคที่สนับสนุนคสช. เกิดขึ้นท่ามกลางข้อกังขาเกี่ยวกับกติกา การนับคะแนน และบทบาทของวุฒิสภาแต่งตั้ง ซึ่งทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมิได้ถูกมองว่าเป็น “reset” ทางประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในสายตาของนักวิชาการและองค์กรนานาชาติหลายแห่ง (Reuters)
6. ความสัมพันธ์กับสถาบันกษัตริย์: ชั้นป้องกันของระบอบและการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
รายงานของ Freedom House และนักวิชาการด้านการเมืองไทยจำนวนมากชี้ว่า ในยุคสมัยหลังรัฐประหาร 2557 โครงสร้างอำนาจที่ผสานกันระหว่างกองทัพ กลุ่มอนุรักษนิยม และสถาบันกษัตริย์ยิ่งถูกทำให้แน่นแฟ้นขึ้น ทั้งในระดับสัญญะและระดับสถาบันทางกฎหมาย (Freedom House+2Kyoto Review of Southeast Asia)
การใช้และบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 (หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” เพื่อจำกัดการวิพากษ์วิจารณ์ไม่เพียงแต่ต่อสถาบันกษัตริย์ หากยังรวมไปถึงการวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลที่ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการขยายบทบาทหรืออำนาจของสถาบันด้วย รายงานของ Thai Lawyers for Human Rights ระบุว่าตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 จำนวนมากกว่า 280 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและนักกิจกรรมรุ่นใหม่ (AP News)
กรณีของนักกิจกรรมและนักการเมืองบางรายที่ถูกดำเนินคดีจากการกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลยุค พล.อ.ประยุทธ์ กับการปรับโครงสร้างอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในแง่ใด ๆ ยิ่งตอกย้ำข้อสังเกตว่า ระบอบดังกล่าวไม่ได้เพียงปกป้อง “สถาบัน” หากแต่ใช้สถาบันเป็นเหตุผลในการปิดกั้นการตรวจสอบอำนาจของรัฐบาลและกลุ่มชนชั้นนำในวงกว้าง
7. บทสรุปเชิงโครงสร้าง: เมื่อรัฐประหารกลายเป็นเครื่องมือรักษาระบอบ มากกว่าการแก้ปัญหาประเทศ
เมื่อมองย้อนกลับไปจากปลายทางของยุค พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจบลงด้วยภาพของเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ประชาธิปไตยที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ไม่เสรี/เสรีภาพจำกัดอย่างสูง” และสังคมที่เต็มไปด้วยคดีการเมืองและบรรยากาศแห่งความกลัว เราอาจสรุปในเชิงโครงสร้างได้ว่า
-
รัฐประหาร 2557 และยุคคสช.–ประยุทธ์ มิได้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ–สังคมของประเทศเป็นหลัก
-
หากแต่ถูกใช้เพื่อ “จัดระเบียบสนามการเมือง” ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัชกาล ยืนยันอำนาจของกองทัพและเครือข่ายชนชั้นนำ และสร้างกลไกรัฐธรรมนูญที่ทำให้การเมืองแบบเลือกตั้งอยู่ใต้เพดานที่กำหนดไว้แล้ว
ในแง่นี้ รัฐประหารไม่ได้เพียง “ยึดอำนาจจากรัฐบาลหนึ่ง” หากแต่ได้สถาปนา “ระบบกำกับระยะยาว” ผ่านรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ กฎหมายพิเศษ และวัฒนธรรมทางการเมืองแบบเกรงใจอำนาจนอกระบบ ซึ่งทำให้การคลี่คลายปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศด้วยกลไกประชาธิปไตยยิ่งเป็นเรื่องยาก