ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Thursday, September 18, 2025

ยุทธศาสตร์ “ทวงคืนบากรัม” กับภูมิรัฐศาสตร์สหรัฐ-จีน-รัสเซีย


ทรัมพ์ประกาศในแถลงข่าวร่วมกับนายกฯ สตาร์เมอร์ว่าสหรัฐฯ “กำลังพยายามเอาฐานบากรัมคืน” โดยชูเหตุผลด้านระยะใกล้จีนและศักยภาพยุทธศาสตร์ของฐานนี้ หลังการถอนทัพปี 2021 ที่ปล่อยให้ตาลีบันยึดครองไป (ไม่มีรายละเอียดเรื่องการคุยกับตาลีบัน)    บากรัมเคยเป็นหัวใจปฏิบัติการของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน และถูกทิ้งในกรกฎา 2021 ตามกรอบข้อตกลง “โดฮา” ปี 2020 ที่เปิดทางสู่การถอนกำลังเต็มรูปแบบภายใน 14 เดือนและการปล่อยนักโทษตาลีบัน 5,000 คน (ข้อตกลงไม่พูดถึงการคงบากรัม) 

เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ชู

  • ทำเล/ระยะต่อจีน: บากรัมอยู่ไม่ไกลพรมแดนจีนบริเวณซินเจียงผ่าน “วาคานคอร์ริดอร์” (พรมแดนจีน-อัฟกานิสถานยาว ~92 กม.) ช่วยเพิ่มมิติข่าวกรอง/ข่มขวัญต่อทรัพย์สินยุทธศาสตร์ของจีนแถบนี้ เมื่อเทียบฐานสหรัฐฯ ในอินโด-แปซิฟิกที่ไกลกว่าอย่างมาก 

  • สกัด BRI/CPEC: จีนผลักดันเหมือง-โครงสร้างพื้นฐานในอัฟกานิสถาน และการต่อขยาย CPEC เชื่อมกวาดาร์-เอเชียกลาง หากสหรัฐฯ มีจุดยืนทางทหาร/ข่าวกรองในอัฟกานิสถาน จะเพิ่มอำนาจต่อรองต่อเส้นทางบกของจีน-ปากีสถาน 

  • คานรัสเซียในเอเชียกลาง: รัสเซียยังมีอิทธิพลความมั่นคงในเอเชียกลางผ่านเครือข่ายฐาน/พันธมิตรเดิม การกลับไปยืนใกล้ “หลังบ้าน” ของ CSTO จะเพิ่มแต้มต่อเชิงภูมิรัฐศาสตร์ให้วอชิงตัน (ท่ามกลางข้อจำกัดหลังปิดฐานคีร์กีซฯ/อุซเบกิสถานไปก่อนหน้า) 

ข้อจำกัด/อุปสรรคใหญ่

  1. อธิปไตยของตาลีบัน: จะกลับไปได้ต้องได้ “ยินยอม” โดยปริยายหรือกรอบข้อตกลงใหม่กับตาลีบัน (ซึ่งกำลังใกล้ชิดจีนมากขึ้น) มิฉะนั้นเสี่ยงเป็นการละเมิดอธิปไตยและจุดชนวนความไม่สงบรอบใหม่ 

  2. การเมืองภูมิภาค: ปากีสถาน (CPEC), จีน (ความมั่นคงซินเจียง/เหมือง), รัสเซีย (อิทธิพลในเอเชียกลาง), อิหร่าน (ชายแดนตะวันตก) ล้วนเป็น “วีโต้เพลเยอร์”

  3. โลจิสติกส์/เส้นทางส่งกำลัง: สหรัฐฯ ไม่มีฐานแนวหน้าในเอเชียกลางแล้ว การคงกำลังที่บากรัมต้องพึ่งเส้นทางบิน/บกผ่านปากีสถานหรือรัฐเอเชียกลาง—เสี่ยงถูก “ปิดคอขวด” ได้ทุกเมื่อ 

  4. ต้นทุนทางการเมือง: ภาพจำการถอนตัวปี 2021 และเหตุระเบิด Abbey Gate ทำให้การ “รีเอ็นทรี” ต้องอธิบายต่อสาธารณะอย่างหนักว่าคุ้มความเสี่ยง/ค่าใช้จ่ายหรือไม่ (ทรัมพ์ใช้ประเด็นนี้โจมตีไบเดนอยู่แล้ว) 


ฉากทัศน์ (3–4 แบบ ที่อาจจะเกิดขึ้น)

ฉากทัศน์ A: ดีลจำกัดกับตาลีบัน (“Bagram-lite”)

สหรัฐฯ ไม่ปักธงเต็มรูปแบบ แต่ได้สิทธิใช้งานบางส่วน: จุดเติมเชื้อเพลิง/ข่าวกรอง/โดรน แลกกับผ่อนคลายคว่ำบาตร/ความช่วยเหลือเศรษฐกิจ ตาลีบันรักษาหน้า-จีนยอมได้บางระดับถ้าคุมเงื่อนไขต่อต้านกลุ่มติดอาวุธในซินเจียงเข้มข้นขึ้น 


ฉากทัศน์ B: “ฐานร่วมมนุษยธรรม-ต่อต้านก่อการร้าย” หลายฝ่าย

กรอบพหุภาคีผ่านยูเอ็น/โอไอซี ใช้บากรัมเป็นฮับช่วยเหลือมนุษยธรรม-CT เฉพาะกิจ ลดธงชาติสหรัฐฯ ให้เป็น “นานาชาติ” ลดแรงเสียดทาน แต่ประสิทธิภาพด้านข่าวกรอง/ข่มขวัญจีน-รัสเซียจะลดลง


ฉากทัศน์ C: ไม่ได้ฐาน แต่ได้ “สิทธิบิน/สิทธิข่าวกรอง”

สหรัฐฯ ได้ corridor การบิน/การเข้าถึงทรัพย์สินข่าวกรองในอัฟกานิสถาน-ปากีสถานแทนการกลับไปตั้งฐานจริง ผลเชิงยุทธศาสตร์ปานกลางแต่เสี่ยงน้อยกว่า


ฉากทัศน์ D: ชนวนปะทุ

จีน-ปากีสถาน/รัสเซียใช้แรงกดดันรวม (การทูต-เศรษฐกิจ-ข่าวสาร) ให้ตาลีบัน “ห้าม” สหรัฐฯ กลับฐาน ทำให้วอชิงตันต้องถอยไปใช้ฐานห่างไกลเดิม และหันไปเพิ่มแรงกดในอินโด-แปซิฟิกแทน


ตัวชี้วัดที่ต้องจับตา (What to watch)

  • สัญญาณ “ช่องทางลับ” สหรัฐฯ-ตาลีบัน (เชิงดีลผ่อนคว่ำบาตร/ปล่อยตัว/แลกข่าวกรอง) 

  • ความคืบหน้า CPEC-Afghanistan และโครงการจีน (เช่น เหมือง Mes Aynak, เครือข่ายถนน-ทางรถไฟ Gwadar-Termez) ซึ่งยิ่งคืบ สหรัฐฯ ยิ่งมีแรงจูงใจกลับไปคานอิทธิพล 

  • ท่าทีรัสเซีย-จีนต่อ “สถานะทางกฎหมาย” ของกองกำลังต่างชาติในอัฟกานิสถาน (แรงกดดันผ่าน SCO/CSTO)

  • สัญญาณจากเพนตากอนเรื่องโลจิสติกส์: เส้นทางบิน, สิทธิ์ผ่านน่านฟ้า, ขีดความสามารถโดรน/ISR ระยะไกลแทนการตั้งฐาน

เราอาจสรุปได้ว่า การ“ทวงคืนบากรัม” คือการทวง “เลเวอเรจภาคพื้น” ใกล้ซินเจียง-เอเชียกลาง เพื่อกดดัน BRI/CPEC และคานอิทธิพลรัสเซีย แต่กุญแจเปิดประตูชื่อ ตาลีบัน—และเบื้องหลังคือ จีน-ปากีสถาน-รัสเซีย ที่ถือสิทธิยับยั้งทางภูมิรัฐศาสตร์อยู่ หากเกิดขึ้นจริง โฉมหน้าความมั่นคงแถบเอเชียกลางจะเปลี่ยนทันที; หากไม่สำเร็จ สหรัฐฯ น่าจะหันไป “ทางเลือกกึ่งไฮบริด” คือสิทธิข่าวกรอง-การบิน และเสริมแรงกดทางทะเล/อากาศฝั่งอินโด-แปซิฟิกควบคู่กันไป

Wednesday, September 17, 2025

ผลงานศาลรัฐธรรมนูญไทย ตั้งแต่ 2549 เป็นต้นมา

 

2549 (ค.ศ. 2006)

  • 8 พ.ค. 2549 — คำวินิจฉัยให้ “การเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549” เป็นโมฆะ

    เหตุผลหลัก: การจัดการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามหลักความเสมอภาค/เป็นวันเดียวกันทั่วประเทศ และมีปัญหาการจัดคูหาที่เปิดให้สังเกตหมายเลขได้ เป็นต้น (นำไปสู่วิกฤตทางการเมืองต่อเนื่องในปีเดียวกัน). 

2550 (ค.ศ. 2007) — 

คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ

  • 30 พ.ค. 2550 — “ยุบพรรคไทยรักไทย” และเพิกถอนสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหาร 111 คน 5 ปี

    คดีมาจากการทุจริตเลือกตั้ง/จ้างพรรคเล็กในการเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549; พรรคประชาธิปัตย์ “รอด” ไม่ถูกยุบในคดีเดียวกัน. 

2551 (ค.ศ. 2008)

  • 9 ก.ย. 2551 — ให้ “สมัคร สุนทรเวช” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    เหตุ: มีสัญญาจ้างทำรายการโทรทัศน์ (ถือเป็นลูกจ้างเอกชน ขัดคุณสมบัติ). 

  • 2 ธ.ค. 2551 — “ยุบพรรคพลังประชาชน, ชาติไทย, มัชฌิมาธิปไตย”

    เหตุ: ทุจริตเลือกตั้ง/คดีเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค—ทำให้นายกฯ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” พ้นตำแหน่งโดยผลของคำวินิจฉัย. 

2553 (ค.ศ. 2010)

  • ปลาย พ.ย.–ต้น ธ.ค. 2553 — “ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์”

    มติ 4–2 เหตุผลสำคัญ: ขั้นตอน/กำหนดยื่นคำร้องไม่ชอบ (พ้นกำหนด 15 วัน) จึงไม่วินิจฉัยประเด็นอื่น. 


2555 (ค.ศ. 2012)

  • 13 ก.ค. 2555 — คำวินิจฉัยที่ 18–22/2555 (คดีแก้รัฐธรรมนูญ ม.291/ม.68)

    ศาลยกคำร้อง “ล้มล้าง” แต่ “วางหลัก” ว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องผ่านประชามติ/ขั้นตอนที่เหมาะสมก่อน (เป็นจุดเริ่มของแนวทาง “ต้องมีประชามติ” หากจะยกร่างใหม่ทั้งฉบับ). 

2556 (ค.ศ. 2013)

  • 20 พ.ย. 2556 — แก้ที่มา “วุฒิสภาเลือกตั้งทั้งหมด” ขัดรัฐธรรมนูญ

    ศาลชี้กระบวนการตราและเนื้อหาแก้ไขไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (วุฒิสภาควรมีที่มาหลากหลาย/ตรวจถ่วงดุล).

2557 (ค.ศ. 2014)

  • 21 มี.ค. 2557 — “โมฆะการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557”

    ให้เหตุผลว่าไม่สามารถจัดให้ลงคะแนน “วันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร” ได้ และการจัดการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ. 

  • 7 พ.ค. 2557 — ให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    เหตุ: โยกย้ายเลขาธิการ สมช. (นายถวิล เปลี่ยนศรี) โดยมิชอบ ขัดหลักคุณธรรม/มาตรฐานจริยธรรม.

2562 (ค.ศ. 2019)

  • 7 มี.ค. 2562 — “ยุบพรรคไทยรักษาชาติ”

    เหตุ: เสนอชื่อทูลกระหม่อมอุบลรัตนฯ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ขัดหลักการปกครอง/สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ.

  • 11 ก.ย. 2562 — ไม่รับคำร้อง “ถวายสัตย์ไม่ครบ” (นายกฯ ประยุทธ์)

    ศาลชี้เป็นเรื่องการเมือง/อยู่นอกอำนาจวินิจฉัยของศาล. 

  • 18 ก.ย. 2562 — วินิจฉัย “ประยุทธ์” ในฐานะหัวหน้า คสช. ไม่ใช่ “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ”

    จึงไม่ติดลักษณะต้องห้าม เป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้. 

  • 20 พ.ย. 2562 — วินิจฉัย “ธนาธร” ขาดคุณสมบัติ ส.ส. (ถือหุ้นสื่อ V-Luck Media ณ วันสมัคร) พ้นสมาชิกภาพ ส.ส.

2563 (ค.ศ. 2020)

  • 21 ก.พ. 2563 — “ยุบพรรคอนาคตใหม่” + แบนกรรมการบริหาร 10 ปี

    เหตุ: เงินกู้จากหัวหน้าพรรคเป็น “เงินบริจาคเกินเพดาน/แหล่งที่มาไม่ชอบ” ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง. 

  • 2 ธ.ค. 2563 — คดีบ้านพักทหารของ “ประยุทธ์”

    วินิจฉัย “ไม่ผิด” — อยู่บ้านพักทหารได้ ไม่ขัดข้อห้ามรับประโยชน์.

2564 (ค.ศ. 2021)

  • 10 พ.ย. 2564 — คำวินิจฉัยที่ 19/2564

    ชี้ว่า “ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันฯ” ของแกนนำชุมนุม 10 สิงหา 2563 เข้าข่าย “ล้มล้างการปกครอง” และสั่ง “งดกระทำ” การดังกล่าว. 

2565 (ค.ศ. 2022)

  • 24 ส.ค. 2565 — ศาลรับคำร้อง “ครบ 8 ปี” และ “สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่” ชั่วคราว (ประยุทธ์);

    30 ก.ย. 2565 — วินิจฉัยนับวาระ 8 ปีตั้งแต่ 6 เม.ย. 2560 (รัฐธรรมนูญ 2560 มีผล) จึงยังดำรงตำแหน่งต่อได้จนถึงปี 2568. 

2566–2567 (ค.ศ. 2023–2024)

  • 24 ม.ค./3 เม.ย. 2567 — คดีหุ้นสื่อ iTV ของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”

    ศาลวินิจฉัยว่าไม่เป็น “สื่อ” ตามข้อห้ามในวันสมัคร ส.ส. (ยกคดี/ไม่ผิด). 

  • 31 ม.ค. 2567 — สั่ง “พรรคก้าวไกล” ยุติการผลักดันแก้ ม.112

    เหตุถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ (มาตรา 49) — คำสั่ง “ให้หยุดกระทำ”. 

  • 7 ส.ค. 2567 — “ยุบพรรคก้าวไกล” + แบนผู้บริหาร 10 ปี

    สืบเนื่องจากคดี 31 ม.ค. 2567 ข้างต้น. 

  • 14 ส.ค. 2567 — ให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    เหตุ: แต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” ทั้งที่มีลักษณะต้องห้าม/ขัดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง (มติ 5–4). 

2568 (ค.ศ. 2025)

  • 29 ส.ค. 2568 — ให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    เหตุหลัก: พฤติการณ์ขัดจริยธรรมร้ายแรงจากกรณีโทรศัพท์คุยกับ “ฮุน เซน” (มติ 6–3) — ศาลเห็นว่าไม่เหมาะสมต่อประโยชน์ชาติในภาวะวิกฤตชายแดน. 

  • 10 ก.ย. 2568 — วางหลัก “ทำรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง” ให้ประชาชนเห็นชอบ “จะยกร่างใหม่ทั้งฉบับหรือไม่”; 2) เห็นชอบ “ที่มา/องค์ประกอบ ส.ส.ร.”; 3) เห็นชอบ “ร่างฉบับสุดท้าย” ก่อนประกาศใช้. (เสียงข้างมาก 5–2 / รายงานข่าวระบุ 6–1 ในบางสำนัก). 

  • กรณี “ฮั้ว สว.” ที่เป็นข่าวล่าสุด

    1. คดี “ภูมิธรรม - ทวี”

      คำร้องกล่าวหา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าแทรกแซงฮั้วการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยใช้ DSI (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) เป็นเครื่องมือเพื่อแทรกแซง/ครอบงำการตรวจสอบของ กกต. ในกระบวนการเลือก ส.ว. 

      • ศาลรัฐธรรมนูญได้เรียกพยานบุคคลและเอกสารเพิ่มเติมภายใน 15 วัน เพื่อให้ชี้แจงประเด็นข้อเท็จจริงและความเห็นตามประเด็นที่ศาลกำหนด และเอกสารที่เกี่ยวข้องต้องรับรองความถูกต้อง 

      • นอกจากนี้ศาลอนุญาตให้ขยายเวลาในการจัดทำความเห็นและส่งเอกสารหลักฐาน เพื่อประโยชน์ในการพิจารณา คดีถอดถอน “ภูมิธรรม-ทวี” หลังถูกสมาชิกวุฒิสภา 92 คนยื่นเรื่อง 

    2. คดี “กกต. เอื้อภูมิใจไทย – เนวิน / เครือข่าย”

      • นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่ากกต. และเลขาธิการกกต. มีการจัดการเลือก ส.ว. ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม โดยเอื้อต่อพรรคภูมิใจไทยและนายเนวิน ชิดชอบ/เครือข่าย ฯลฯ 

      • ศาลรัฐธรรมนูญ มติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา คดีนี้ 

Tuesday, September 16, 2025

รายงานวิเคราะห์เชิงลึก: แนวโน้มการเมืองไทยในยุครัชกาลที่ 10 (วชิราลงกรณ์)

 รายงานวิเคราะห์เชิงลึก: แนวโน้มการเมืองไทยในยุครัชกาลที่ 10 (วชิราลงกรณ์)



สรุปผู้บริหาร (Executive Summary)


ยุคนี้เห็นสองแรงสวนทางชัดเจน:

(1) การรวมศูนย์อำนาจของสถาบัน+เครือข่ายรัฐ (ทหาร-ศาล-กฎหมายพิเศษ-งบประมาณเกี่ยวเนื่องราชสำนัก) ที่แน่นขึ้น, และ

(2) การตื่นตัวและขยายเพดานถกเถียงของสังคม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา

ผลลัพธ์คือประชาธิปไตยเชิงพิธีกรรมยังดำเนิน แต่สาระของการแข่งขันเชิงนโยบายถูกจำกัดด้วยกติกาและเครื่องมือทางอำนาจจำนวนมาก ตั้งแต่โครงสร้างวุฒิสภาแต่งตั้ง, การยุบพรรค, จนถึงการบังคับใช้ .112 ที่เข้มข้นกว่าทศวรรษก่อนหน้า ซึ่งกระทบเสรีภาพและธรรมาภิบาลโดยตรง (ดูสถิติคดีและเหตุการณ์สำคัญท้ายเอกสาร).  



1) โครงสร้างอำนาจและการจัดวางกำลัง (Power Architecture)


1.1 กองกำลังและราชการในพระองค์

* .. 2562 รัฐบาลใช้อำนาจพระราชกำหนดโอนกรมทหารราบที่ 1 และ 11 (King’s Guard) พร้อมกำลังคน-ยุทโธปกรณ์-งบประมาณ ไปขึ้นตรงหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (รส.)” ภายใต้พระราชอำนาจ โดยตัดผ่านโซ่บังคับบัญชาปกติของกองทัพ ถือเป็นสัญญะสำคัญของการขยายกำลังรักษาพระองค์ในทางปฏิบัติ.  

* .. 2560 กฎหมายระเบียบบริหารราชการในพระองค์จัดหน่วยงานที่เกี่ยวกับงานราชสำนัก 5 แห่งให้อยู่ใต้พระราชอำนาจโดยตรงและปรับโครงสร้างต่อเนื่องในปีถัด มา เพิ่มความยืดหยุ่นทางกฎหมายในการจัดอัตรากำลัง/โครงสร้าง.  


1.2 ทรัพย์สินและงบประมาณที่เกี่ยวเนื่อง

* .. 2560–2561 แก้...ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้กษัตริย์ทรงมีอำนาจควบคุมสำนักงานทรัพย์สินฯ และถือครองทรัพย์ในพระองค์โดยตรง เปลี่ยนจากโครงแบบเดิมที่รัฐมนตรีคลังกำกับ ทำให้มิติธรรมาภิบาล-การตรวจสอบถอยหลังลงอย่างมีนัย.  

* งบประมาณด้านสถาบันปี 2022 ประเมินรวมหลายกระทรวงราว 3.576 หมื่นล้านบาท (1.148% ของงบแผ่นดิน) และปีงบ 2024 ยังคงระดับสูง แม้เอกสารบางส่วนปรับปรุงรูปแบบเปิดเผย แต่โครงสร้างการตรวจสอบยังจำกัด.  



2) กติกาการเมืองและสถาบัน (Rules & Referees)


2.1 รัฐธรรมนูญ 2560 และสนามไม่เสมอ

* วุฒิสภา 250 คนมาจากการแต่งตั้งโดย คสช. มีสิทธิร่วมโหวตนายกฯ ในช่วงแรกภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้เสียงประชาชนถูกหักล้างด้วยกลไกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง นำไปสู่การขัดขวางผู้นำจากขั้วปฏิรูปแม้ชนะเลือกตั้งปี 2566.  


2.2 เครื่องมือทางตุลาการและองค์กรอิสระ

* ยุบพรรคการเมือง: อนาคตใหม่ถูกยุบ (.. 2563) ด้วยเหตุเงินกู้ผู้นำพรรค; ต่อมา ก้าวไกล ถูกยุบ (7 .. 2567) และแบนแกนนำ 10 ปี จากนโยบายเสนอแก้ .112 สะท้อนการตีความกฎหมาย-รัฐธรรมนูญในแนวทางจำกัดพื้นที่นโยบายของฝ่ายปฏิรูป.  



3) สิทธิ เสรีภาพ และความมั่นคง (Rights, Speech & Security)


3.1 มาตรา 112 และกฎหมายความมั่นคง-ไซเบอร์

* ตั้งแต่การชุมนุม 2563 เป็นต้นมา มีผู้ถูกกล่าวหา/ดำเนินคดีการเมืองนับพันคดี โดย อย่างน้อย ~280 คดีเป็น .112 ตามสถิติที่องค์กรสิทธิอ้างอิงจาก TLHR; ผู้ต้องขัง/คุมขังรอคดีจำนวนหนึ่งยังดำรงอยู่ถึงปี 2025.  

* นักกฎหมายสิทธิอย่าง อานนท์ นำภา ถูกพิพากษาจำคุกหลายคดีจาก .112 ต่อเนื่องถึงปี 2025 สะท้อนการตีความที่เข้มงวดขึ้น.  

* หลักฐานนิติวิทยาศาสตร์โดย Citizen Lab/Amnesty ยืนยันการโจมตี สปายแวร์ Pegasus ต่อแอ็กทิวิสต์ไทยอย่างน้อย ~30 รายช่วง 2020–2021 ซึ่งกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการรวมกลุ่ม/แสดงออกอย่างร้ายแรง.  


3.2 ผลเชิงสังคม

* การคุมเข้มกฎหมายพูด-...คอมพิวเตอร์-ความมั่นคง ทำให้การถกเถียงที่แตะต้องสถาบันแพร่สู่สาธารณะได้ยากขึ้น แม้สังคมออนไลน์ช่วยเปิดพื้นที่ แต่ต้นทุนทางกฎหมายสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับทศวรรษก่อน.  



4) ธรรมาภิบาล-งบประมาณ-เศรษฐกิจการเมือง (Governance & Political Economy)

* ธรรมาภิบาลงบประมาณ: แม้ราชการพยายามเพิ่มเอกสารงบประมาณฉบับย่อและตั้ง PBO ในสภา แต่การจัดสรรที่เกี่ยวเนื่องสถาบันยังตรวจสอบเชิงประสิทธิผล/ความคุ้มค่าได้จำกัด และการเปิดเผยเชิงรายการ (program-level) ยังไม่เทียบมาตรฐาน OECD.  

* รัฐวิสาหกิจและอำนาจเชิงโครงสร้าง: เครือข่ายรัฐ-รัฐวิสาหกิจมีสัดส่วนเศรษฐกิจสูง ยังคงเป็นฐานอำนาจเชิงนโยบาย/จัดสรรผลประโยชน์ ซึ่งสัมพันธ์กับการเมืองแบบอุปถัมภ์.  


5) ภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ (International Standing)

* การยุบก้าวไกลและแนวโน้มคดีการเมือง ทำให้องค์กรสิทธิ-ยูเอ็น-สื่อโลกวิจารณ์ว่าถอยหลังทางประชาธิปไตย กระทบความเชื่อมั่นต่อ rule-of-law และเสรีภาพการเมืองของไทย.  



6) ด้านที่ดีขึ้นจริง ในยุคนี้มีอะไรบ้าง?

1. การตื่นรู้และส่วนร่วมสาธารณะ: คนรุ่นใหม่ยกระดับเพดานอภิปรายเรื่องโครงสร้างอำนาจ-สถาบัน-รัฐธรรมนูญ สร้างทุนทางสังคมใหม่ แม้ต้องเผชิญความเสี่ยงทางกฎหมาย. (สอดคล้องกับสถิติการเคลื่อนไหวและคดีของ TLHR/Amnesty)  

2. การพัฒนาบางมิติของเครื่องมือกำกับคุณภาพกฎหมาย (Sec.77): กรอบกฎหมายให้ทำ RIA/ทบทวนกฎหมาย เพิ่มภาษาของธรรมาภิบาลในนโยบาย ถึงแม้การบังคับใช้จริงยังไม่สม่ำเสมอ.  

3. ความโปร่งใสเชิงรูปแบบบางประการของงบประมาณ: มีการสื่อสารงบฉบับย่อและพัฒนาพอร์ทัลข้อมูล แม้ยังไม่ถึงระดับตรวจสอบเชิงเนื้อหา.  



7) ความเสื่อมถอย/เป็นปฏิปักษ์ต่อหลักประชาธิปไตย-ธรรมาภิบาล-สิทธิมนุษยชน

* การรวมศูนย์กำลังและทรัพย์สินภายใต้พระราชอำนาจ (โอนหน่วยรบ, แก้กฎหมายทรัพย์สิน): ลดกลไกตรวจสอบจากฝ่ายการเมืองและสาธารณะ.  

* “สนามเลือกตั้งไม่เสมอ” (วุฒิสภาแต่งตั้งร่วมโหวตนายกฯ ช่วงต้นรัฐธรรมนูญ 2560 + ยุบพรรคคู่แข่งเชิงโครงสร้าง): ทำให้ผลเลือกตั้งแปรเปลี่ยนทางการเมืองได้โดยองค์กรที่ไม่ได้มาจากประชาชน.  

* การใช้กฎหมายอาญาความมั่นคง/คอมพิวเตอร์/112 ต่อผู้เห็นต่างในระดับสูงผิดสัดส่วน เมื่อเทียบมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล.  

* การเฝ้าระวังดิจิทัลระดับรัฐ (Pegasus): ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล-เสรีภาพสื่อสารอย่างร้ายแรง.  



8) ฉากทัศน์ 2–4 ปีข้างหน้า (Scenarios)

1. Status Quo-Plus: กติกาหลักยังเดิม ใช้การยุบพรรค-คดีการเมือง-บังคับใช้ 112” เป็นกันชนต่อวาระปฏิรูป ขณะแก้ภาพลักษณ์ด้วยความโปร่งใสเชิงรูปแบบ (งบ/พอร์ทัลข้อมูล) เพื่อรับแรงกดดันนานาชาติ

2. Re-balancing แบบค่อยเป็นค่อยไป: เกิดฉันทมติการเมืองบางพรรคต่อรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชนลดอำนาจดุลพิทักษ์ (guardian powers) บางส่วน แลกกับการรับรองสถานะและงบที่เหมาะสมของสถาบัน

3. Polarization-Backlash: เหตุการณ์ทางการเมือง/เศรษฐกิจรุนแรง กระตุ้นการใช้เครื่องมือมั่นคงเข้มข้นขึ้น วงจรยุบพรรค-จำกัดเสรีภาพขยาย



9) ข้อเสนอเชิงหลักการ (Actionable Principles)

* Roadmap รธน.ใหม่โดยประชาชน: กระบวนการสภาร่าง รธน. ที่มาจากการเลือกตั้งตรง-โปร่งใส-มีส่วนร่วมสูง เพื่อปรับสมดุลอำนาจให้สมกับสังคมสมัยใหม่ (บทเรียนปี 2540–2560)

* ยุติการใช้ความผิดอาญาต่อการพูด-ชุมนุมอย่างสงบ และออก กฎหมายอภัยโทษเชิงสิทธิ สำหรับคดีการเมืองหลังปี 2563 ตามหลักสากล (Amnesty เรียกร้องชัด).  

* ปฏิรูปความมั่นคงดิจิทัล: ห้าม-ควบคุมสปายแวร์เชิงพาณิชย์, จัดทำศาล/กลไกอนุมัติที่เป็นอิสระ-ตรวจสอบได้ก่อน-หลังการสอดแนม, แจ้งผู้ถูกกระทบเมื่อพ้นเหตุ; สอดรับแนวโน้มมาตรการนานาชาติ.  

* ธรรมาภิบาลงบประมาณเกี่ยวเนื่องสถาบัน: เปิดเผยเชิงรายการ-วัตถุประสงค์-ตัวชี้วัดผลลัพธ์ และให้ สตง./PBO/คณะ กมธ. สภา ตรวจสอบแบบ performance audit ได้จริง.  



ภาคผนวก: เหตุการณ์และหมุดหมายสำคัญ


* 2017: กฎหมายราชการในพระองค์ + แก้ ...ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์.  

* 2019: โอน .1-.11 รักษาพระองค์ขึ้นตรง รส. ด้วย ...ฉุกเฉิน.  

* 2020: ยุบพรรคอนาคตใหม่.  

* 2020–2021: ชุมนุมคนรุ่นใหม่, คดีการเมือง-112 เพิ่มสูง; ตรวจพบ Pegasus กับนักกิจกรรมอย่างน้อย ~30 ราย.  

* 2023: พรรคก้าวไกลชนะที่นั่งมากสุดแต่ถูกสกัดการตั้งรัฐบาลด้วยวุฒิสภาแต่งตั้ง.  

* 2024: ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล-แบนแกนนำ 10 ปี; ยูเอ็น-องค์กรสิทธิวิจารณ์หนัก.  

* 2025: Amnesty ระบุภาพรวม 1,974 คนถูกดำเนินคดีจากการเมืองตั้งแต่ 2020; 280 คดีเป็น .112; ผู้ต้องขังบางส่วนยังอยู่ระหว่างพิจารณา/ลงโทษ.