Wednesday, December 10, 2025

จากปากกระบอกปืนสู่รัฐธรรมนูญ 2560: การสถาปนาระบอบกึ่งเผด็จการในนามของ ‘ความมั่นคง

จากปากกระบอกปืนสู่รัฐธรรมนูญ 2560: การสถาปนาระบอบกึ่งเผด็จการในนามของ ‘ความมั่นคง’

จากปากกระบอกปืนสู่รัฐธรรมนูญ 2560: การสถาปนาระบอบกึ่งเผด็จการในนามของ ‘ความมั่นคง’

บทวิเคราะห์เชิงโครงสร้างต่อการจัดวางอำนาจและผลสะเทือนต่อประชาธิปไตยไทยร่วมสมัย

การรัฐประหารไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ยึดอำนาจในช่วงเวลาหนึ่ง แต่คือการประกาศว่ากระบวนการทางการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชน ถูก “พัก” ไว้โดยผู้มีอำนาจนอกระบบในนามของการแก้ไขวิกฤต การเคลื่อนอำนาจเช่นนี้ส่งผลให้สถาบันที่เคยอยู่บนฐานของฉันทามติสาธารณะ ถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างที่ยึดโยงกับอำนาจแบบรวมศูนย์ การจัดวางเช่นนี้ปรากฏให้เห็นชัดในช่วงเปลี่ยนผ่านรัชกาล ซึ่งต้องการเสถียรภาพทางการเมืองอย่างยิ่งยวด และทำให้การรัฐประหารทำหน้าที่เป็น “สะพานเฉพาะกิจ” ที่ขยายตัวเป็นระบอบยาวนานเกินกว่าที่มีการประกาศไว้ในตอนต้น.

วัตถุประสงค์ของบทความนี้ คือการอธิบายโครงสร้าง กลไก และผลสะเทือนของยุคหลังรัฐประหาร ผ่านแนววิเคราะห์เชิงสถาบัน โดยแยกความเข้าใจจากอารมณ์ทางการเมือง เพื่อให้เห็น “ชั้นกลไก” มากกว่าการเห็นเพียง “เหตุการณ์”.

1. ปากกระบอกปืนในฐานะจุดเริ่มต้นของระเบียบอำนาจใหม่

รัฐประหารทำหน้าที่มากกว่าการเปลี่ยนรัฐบาล เนื่องจากเป็นกระบวนการที่สลับศูนย์อำนาจจากระบบที่มีตัวแทนประชาชน ไปสู่ระบบที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือของคณะบุคคลกลุ่มเล็ก การถือครองอำนาจโดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง ทำให้รัฐสามารถบริหารประเทศได้โดยไม่ต้องอ้างอิงต่อฉันทามติของสังคมหรือกระบวนการถ่วงดุลเชิงสถาบัน.

บริบททางการเมืองในปี 2557 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งยืดเยื้อและสภาวะเปลี่ยนผ่านรัชกาล ทำให้การใช้อำนาจพิเศษกลายเป็นคำตอบที่กลุ่มผู้ถืออำนาจมองว่า “เหมาะสมที่สุดในเชิงยุทธศาสตร์” แม้จะลดทอนความยึดโยงทางประชาธิปไตยลงโดยสิ้นเชิง.

ผลลัพธ์ไม่ใช่เพียงการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ แต่คือการรีเซตระบบนิติบัญญัติ การกำกับราชการแผ่นดิน และการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจในรัฐไทยใหม่ทั้งหมด ทำให้สถาบันประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภา ไม่สามารถทำหน้าที่ตามปกติได้.

2. มาตรา 44: กลไกกฎหมายที่ทำหน้าที่แทนอำนาจเบ็ดเสร็จ

มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ทำหน้าที่เป็น “สภานิติบัญญัติ ศาล และฝ่ายบริหารรวมอยู่ในคนเดียว” เพราะให้อำนาจหัวหน้า คสช. ตัดสินใจทุกประเด็นว่าจำเป็นเพื่อความมั่นคงหรือไม่ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบเชิงสถาบันที่รัฐสมัยใหม่พึงมี.

เครื่องมือเช่นนี้ทำให้การออกนโยบายเป็นเรื่องของดุลยพินิจส่วนบุคคล มากกว่ากระบวนการทางเหตุผลสาธารณะ (public reason) ซึ่งลดทอนความโปร่งใสและเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดพลาดเชิงนโยบายในระดับโครงสร้าง.

มาตรา 44 ยังสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้สังคมไทยที่อันตรายในเชิงหลักการ คือความคิดที่ว่า “ความรวดเร็วเหนือเหตุผล” เป็นข้ออ้างที่เพียงพอในการหลีกเลี่ยงกระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมทางการปกครองไปสู่โมเดลอำนาจนิยมภายใต้กฎหมาย.

3. การจำกัดสิทธิมนุษยชนและการสร้างวัฒนธรรมแห่งความเงียบ

ยุคหลังรัฐประหารถูกบันทึกโดยนักวิจัยด้านสิทธิมนุษยชนว่าเป็นช่วงเวลาที่กลไกรัฐถูกใช้เพื่อควบคุมพื้นที่สาธารณะอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการเชิญตัวบุคคล การดำเนินคดีทางการเมือง การใช้ศาลทหารกับพลเรือน หรือการจำกัดเสรีภาพการชุมนุมอย่างกว้างขวาง.

บรรยากาศเช่นนี้ไม่ได้สร้างผลกระทบเฉพาะรายบุคคล แต่ทำให้สังคมเกิด “self-censorship” ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการลดทอนเสรีภาพที่ทรงพลังที่สุด เพราะการจำกัดตนเองนั้นฝังลึกและยากต่อการคลี่คลาย.

ผลในระยะยาวคือความเสื่อมถอยของความสามารถในการตรวจสอบอำนาจรัฐโดยสื่อ นักวิชาการ และภาคประชาชน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของประชาธิปไตยที่ทำงานอย่างมีคุณภาพ.

4. เศรษฐกิจภายใต้ความไม่แน่นอนของอำนาจรวมศูนย์

อำนาจที่รวมศูนย์มากเกินไปทำให้เกิดสภาวะ “policy unpredictability” หรือความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักเศรษฐศาสตร์การเมืองยืนยันว่า มีผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจลงทุนของเอกชนทั้งในและต่างประเทศ.

การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงหลังรัฐประหารที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากเป็นผลสะท้อนของโครงสร้างที่ไม่เปิดให้การแข่งขันเกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรม รวมถึงการเอื้อประโยชน์แก่ทุนบางกลุ่มที่มีสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ.

ความเหลื่อมล้ำระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่และผู้ประกอบการรายย่อยยังเพิ่มขึ้น เพราะระบบที่ขาดการตรวจสอบทำให้กลไกตลาดไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ และส่งผลให้ผลิตภาพของเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว.

5. รัฐธรรมนูญ 2560: สถาปัตยกรรมของการสืบทอดอำนาจทางกฎหมาย

รัฐธรรมนูญ 2560 ได้จัดวาง “จุดยุทธศาสตร์” หลายจุดที่ทำให้กลไกประชาธิปไตยอ่อนแอลงอย่างถาวร แม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในภายหลัง เช่น ระบบวุฒิสภาแต่งตั้ง การคิดคะแนนแบบลดทอนความได้เปรียบของพรรคใหญ่ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ผูกมัดการตัดสินใจของรัฐบาลทุกชุด.

นักรัฐศาสตร์จำนวนมากจัดระบอบประเภทนี้ไว้ในหมวดหมู่ hybrid regime หรือ competitive authoritarianism เพราะมีการเลือกตั้ง แต่กลไกการใช้อำนาจจริงถูกกำกับโดยผู้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง.

ผลที่เกิดขึ้นคือการเมืองแบบที่ประชาชนมีสิทธิเพียงบางชั้น แต่ไม่สามารถกำหนดทิศทางรัฐได้อย่างแท้จริง เนื่องจากโครงสร้างทางกฎหมายถูกออกแบบให้คุมทิศไว้แล้วล่วงหน้า.

6. บทสรุป: ความมั่นคงที่กันประชาชนออกจากศูนย์กลางของรัฐ

เมื่อพิจารณาผลรวมทั้งหมด เราพบรูปแบบร่วมกันอย่างหนึ่ง คือการตีความ “ความมั่นคง” ในแบบที่ทำให้ประชาชนห่างจากการมีส่วนร่วมในรัฐมากขึ้น ขณะที่กลุ่มอำนาจที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง มีบทบาทกำกับประเทศมากขึ้น.

ผลสะสมคือความเสื่อมถอยของกลไกตรวจสอบ การล่มสลายของพื้นที่สาธารณะสำหรับการอภิปรายเหตุผล และการคงอยู่อย่างยืดเยื้อของโครงสร้างอำนาจแบบรวมศูนย์ ซึ่งขัดต่อหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยสมัยใหม่.

หากประชาชนคือหัวใจของรัฐสมัยใหม่ ระบอบที่ถือกำเนิดจากปืนย่อมไม่อาจทำให้ประชาชนอยู่ในศูนย์กลางได้อย่างแท้จริง.

Tuesday, December 9, 2025

รัฐประหารกับทางตันของการพัฒนาประชาธิปไตย: บทพิจารณาเชิงโครงสร้าง

รัฐประหารกับทางตันของการพัฒนาประชาธิปไตย: บทพิจารณาเชิงโครงสร้าง

รัฐประหารกับทางตันของการพัฒนาประชาธิปไตย: บทพิจารณาเชิงโครงสร้าง

จากความเชื่อว่าปืนจะแก้ปัญหาการเมือง ไปสู่ข้อเท็จจริงว่าปืนมักทำลายสถาบันที่ควรจะแก้ปัญหาแทน

โดย คันฉ่องส่องไทย

ร่างปาฐกถาเพื่อการตีพิมพ์ | ฉบับปรับปรุงเชิงวิชาการ

ใจความตั้งต้นของปาฐกถาครั้งนี้เรียบง่ายแต่หนักแน่น:
การรัฐประหารไม่ใช่คำตอบของปัญหาการเมืองร่วมสมัย หากแต่เป็นกลไกที่ “ตัดแขนขา” ของสถาบันประชาธิปไตย แล้วหวังให้สังคมเดินหน้าได้บนขาที่พิการ ทั้งที่ปัญหาแท้จริงอยู่ที่โครงสร้างอำนาจและระบบตรวจสอบถ่วงดุล ไม่ใช่เพียงตัวบุคคลหรือรัฐบาลเฉพาะยุคสมัยใดยุคสมัยหนึ่ง

1. รัฐประหารในฐานะ “คำตอบเทียม” ต่อปัญหาจริงของรัฐสมัยใหม่

ตลอดศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21 หลายประเทศในโลกกำลังพัฒนาพบกับข้อถกเถียงชุดเดียวกันอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นคือ เมื่อการเมืองในระบบรัฐสภาเกิดวิกฤต ความขัดแย้งรุนแรง หรือข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชันเป็นวงกว้าง มักมีเสียงเรียกร้องให้ “อำนาจนอกระบบ” เข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาด โดยถือเอาความรวดเร็วและความมั่นคงเป็นเหตุผลสำคัญ รัฐประหารจึงถูกนำเสนอในฐานะ “ยาช็อก” ที่จะทำให้ร่างกายการเมืองที่ป่วยหนักหยุดชะงัก แล้วเริ่มต้นใหม่บนระเบียบใหม่ที่ถูกอ้างว่าดีกว่าเดิม

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากวรรณกรรมเชิงวิชาการทั้งในด้านรัฐศาสตร์ การพัฒนา และเศรษฐศาสตร์การเมือง มีหลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากที่ชี้ว่า รัฐประหารมักไม่ได้แก้ไขรากของปัญหา หากแต่ “ตรึง” โครงสร้างอำนาจบางชุดให้คงอยู่ยาวนานขึ้น และลดทอนพลังของสถาบันที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ระบบพรรคการเมือง สื่อมวลชนเสรี หรือภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง

2. จากคำสัญญา “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” สู่โครงสร้างอำนาจที่ขยายตัวถาวร

จุดร่วมที่พบได้ในหลายกรณีศึกษา คือ การรัฐประหารมักไม่ยืดอายุอำนาจของรัฐบาลพลเรือนเดิม แต่กลับยืดอายุของ โครงสร้างอำนาจนอกระบบ ให้สถาปนาบทบาทของตนอย่างลงหลักปักฐานยิ่งขึ้น ภายใต้ถ้อยคำที่ฟังดูงดงาม เช่น “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”, “สร้างความปรองดองของชาติ” หรือ “คืนความสงบให้บ้านเมือง” ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งยอมจำนนต่อการระงับสิทธิของตนเองชั่วคราว โดยหวังว่ารัฐประหารจะเป็นสะพานสั้น ๆ ไปสู่ระบอบที่ดีขึ้นในภายหลัง

ในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายประเทศกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง กล่าวคือ ระยะเวลา “ชั่วคราว” มักยืดยาวออกไปเป็นหลายปี พร้อมกับการจัดวางสถาปัตยกรรมกฎหมาย รัฐธรรมนูญ และยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ทำให้รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งในอนาคต ต้องผูกพันกับเงื่อนไขที่ออกแบบโดยคณะรัฐประหารและกลุ่มอำนาจที่สนับสนุนคณะดังกล่าว ส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งถัดไปมิได้เป็น “การเริ่มต้นใหม่” อย่างแท้จริง หากแต่เป็นการเลือกผู้นำภายใต้สนามที่ถูกออกแบบไว้แล้ว

3. อำนาจพิเศษกับต้นทุนที่มองไม่เห็น: เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความเชื่อมั่นระยะยาว

เมื่อผู้นำคณะรัฐประหารได้รับอำนาจพิเศษเหนือโครงสร้างปกติของรัฐสมัยใหม่ ไม่ว่าจะในรูปของคำสั่งพิเศษตามกฎหมายเฉพาะ หรือบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ผลข้างเคียงที่ตามมาคือ การตัดข้ามกระบวนการตรวจสอบและกลไกถ่วงดุลที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันความผิดพลาด ของนโยบายสาธารณะ การตัดสินใจเชิงนโยบายที่มีผลกระทบสูงต่อทรัพยากรของชาติ สิ่งแวดล้อม และหนี้สาธารณะ จึงอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีการพิจารณาอย่างรอบด้านเท่าที่ควร

หลายกรณีศึกษาแสดงให้เห็นว่า การใช้อำนาจพิเศษในการตัดสินใจเกี่ยวกับสัมปทานทรัพยากร แร่ธาตุ หรือโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แม้จะถูกอ้างว่าทำไปเพื่อประโยชน์แห่งชาติและความมั่นคง แต่ในระยะยาวกลับนำไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างประเทศ การชดเชยค่าเสียหายจำนวนมหาศาล และการสูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระดับสากล ต้นทุนเหล่านี้มิได้สะท้อนให้เห็นผ่านถ้อยแถลงในช่วงเวลาที่ใช้อำนาจ หากแต่ปรากฏชัดเมื่อระบอบดังกล่าวเดินมาถึงปลายทาง

4. รัฐประหารกับวินัยการคลัง: หนี้สาธารณะและการเติบโตที่ไม่ยั่งยืน

วรรณกรรมด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองพบว่า ระบอบที่มีการตรวจสอบจากรัฐสภา สื่อ และสถาบันอิสระที่ทำงานอย่างเป็นอิสระ มักมีวินัยการคลังที่เข้มแข็งกว่าในระยะยาว แม้จะมีความล่าช้าในการตัดสินใจเชิงนโยบายสาธารณะก็ตาม ในทางกลับกัน ระบอบที่ผู้นำมีอำนาจรวมศูนย์สูง มักใช้เครื่องมือด้านงบประมาณและการกู้เงินเพื่อค้ำยันอำนาจของตน มากกว่าที่จะใช้เพื่อยกระดับผลิตภาพ (productivity) ของประเทศจริง ๆ

ปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยคือ การก่อหนี้สาธารณะในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวกลับไม่ดีขึ้นในระดับที่สอดคล้องกัน ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้หลายประเทศที่อยู่ภายใต้ระบอบที่เกิดจากรัฐประหารเผชิญสภาพ “เศรษฐกิจโตช้า แต่หนี้โตเร็ว” และเมื่อระบอบดังกล่าวสิ้นสุดลง รัฐบาลถัดไปที่มาจากการเลือกตั้งต้องแบกรับภาระหนี้และข้อผูกพันจำนวนมากที่ไม่ได้เกิดจากฉันทามติของสังคม

5. มิติที่มักถูกละเลย: คุณภาพสถาบัน และศักดิ์ศรีของประชาชน

การประเมินผลของรัฐประหารมักถูกลดทอนให้เหลือเพียงคำถามว่า “เศรษฐกิศจดทะเบียนเติบโตเท่าใด” หรือ “ความสงบเรียบร้อยในท้องถนนมีมากขึ้นหรือไม่” แต่หากเรายกระดับคำถามให้ลึกขึ้น จะเห็นว่าการรัฐประหารมีผลสั่นคลอนต่อคุณภาพของสถาบันทางการเมืองและศักดิ์ศรีของประชาชนอย่างไรบ้าง

ประการแรก การยึดอำนาจโดยไม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งทำให้เกิดสัญญาณเชิงลบต่อหลักนิติรัฐและความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย เมื่อมีการใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ ระหว่างผู้เห็นต่างทางการเมืองกับผู้ใกล้ชิดอำนาจ ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบยุติธรรมย่อมถูกบั่นทอน

ประการที่สอง การจำกัดเสรีภาพการแสดงออก การชุมนุม และการวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการ ทำให้สังคมสูญเสียพื้นที่ในการเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง การเมืองที่ขาดการถกเถียงอย่างเปิดเผยไม่อาจสั่งสมปัญญาสาธารณะ และไม่อาจผลิตผู้นำรุ่นใหม่ที่มีทั้งความรู้ ความรับผิดชอบ และการยอมรับต่อการตรวจสอบจากประชาชน

6. บทเรียนจากประวัติศาสตร์ร่วมสมัย: เมื่อระบอบรัฐประหารมาถึงปลายทาง

เมื่อระบอบที่มีต้นกำเนิดจากการรัฐประหารเดินทางมาถึงช่วงปลายทาง ไม่ว่าจะด้วยการเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่ หรือด้วยแรงกดดันจากสังคมและนานาชาติ ภาพรวมที่มักปรากฏคือ ประเทศเผชิญกับข้อท้าทายเชิงโครงสร้างชุดใหญ่ ทั้งในมิติของดัชนีประชาธิปไตย เสรีภาพสื่อ คุณภาพการศึกษา ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของคนรุ่นใหม่ต่ออนาคตของตนเอง

ความเสียหายเหล่านี้มิได้ปรากฏชัดในวันแรกของการยึดอำนาจ หากแต่ค่อย ๆ สั่งสมทีละน้อย ผ่านการตัดทอนกลไกตรวจสอบ การบิดเบือนระบบยุติธรรม การออกแบบรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่วางอำนาจนอกระบบไว้เหนือสถาบันที่มาจากประชาชน และผ่านบรรยากาศแห่งความกลัวที่ทำให้ผู้คนจำนวนมาก “เลือกจะเงียบ” แทนที่จะมีส่วนร่วมส่งเสียงอย่างสร้างสรรค์

ในแง่นี้ รัฐประหารจึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ณ วันหนึ่งในประวัติศาสตร์ หากแต่เป็นกระบวนการยืดยาวที่กำหนดเพดานของประชาธิปไตย และกำหนดเพดานของความหวังของคนทั้งรุ่น ว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาในสังคมที่ยืนอยู่บนเหตุผลหรือบนเสียงปืน

7. บทสรุปเชิงโครงสร้าง: ทำไมรัฐประหารจึงไม่ใช่คำตอบ

เมื่อมองจากระยะไกลด้วยสายตาเชิงโครงสร้าง จะเห็นภาพร่วมกันอย่างหนึ่งคือ รัฐประหารไม่อาจสร้างสถาบันที่เข้มแข็ง โปร่งใส และรับผิดชอบต่อประชาชนได้ เพราะแก่นแท้ของรัฐประหารเองคือการปฏิเสธหลักการที่ว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน และผู้ใช้อำนาจต้องพร้อมต่อการตรวจสอบและการเปลี่ยนผ่านผ่านกลไกที่สันติและเป็นสถาบัน

สิ่งที่รัฐประหารทำได้ดี คือ การปกป้องโครงสร้างอำนาจของกลุ่มที่จับอาวุธอยู่ในมือ และของกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอำนาจดังกล่าว ทว่าปัญหาของรัฐสมัยใหม่—ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำ ความยากจน การศึกษาไร้คุณภาพ หรือเศรษฐกิจที่ขาดความสามารถในการแข่งขน—ล้วนต้องการสถาบันที่เปิดพื้นที่ให้ปัญญาสาธารณะ ให้การมีส่วนร่วมของประชาชน และให้กลไกตรวจสอบที่ไม่เกรงกลัวอำนาจนอกระบบ

เพราะฉะนั้น หากจะถามว่า “รัฐประหารแก้ปัญหาของประเทศได้หรือไม่” คำตอบเชิงโครงสร้างอาจไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำรุนแรงใด ๆ เพียงแต่ต้องชี้ให้เห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า รัฐประหารถูกออกแบบมาเพื่อจัดการปัญหาของผู้มีอำนาจบางกลุ่ม มากกว่าที่จะจัดการปัญหาของประชาชนทั้งชาติ และตราบใดที่คำตอบทางการเมืองยังอยู่ในมือของปืนมากกว่าปัญญา ระบอบประชาธิปไตยและศักดิ์ศรีของความเป็นพลเมืองย่อมไม่อาจเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ

ฉบับตีโครงสร้างให้กว้างและลึกขึ้น 

1. ภูมิทัศน์อำนาจหลังรัฐประหาร 2557: สาม ป. และการจัดวางขั้วอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านรัชกาล

รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น มิได้เกิดขึ้นในสุญญากาศทางการเมือง หากแต่เกิดขึ้นในบริบทของความขัดแย้งยืดเยื้อระหว่างขั้วการเมืองที่มีฐานเสียงเลือกตั้งกับเครือข่ายอำนาจจารีตนิยมและกองทัพ ขณะเดียวกันก็อยู่ในเงื่อนไขของการเตรียมรับช่วงเปลี่ยนผ่านรัชกาล ซึ่งนักวิชาการจำนวนหนึ่งชี้ว่าเป็นมิติสำคัญของการตัดสินใจใช้กำลังยึดอำนาจในปีนั้น (globalasia.org)

แกนกลางทางอำนาจของรัฐบาลคสช. คือเครือข่ายที่ประชาชนเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า “สาม ป.” ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งสืบสายสัมพันธ์จากกองทัพบก และได้รับการมองว่าเป็น “กลไกประกันความต่อเนื่อง” ของระบอบที่ผสานระหว่างสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และข้าราชการระดับสูงเข้าไว้ด้วยกัน (Wikipedia)

ในมิติของหลักนิติรัฐ รัฐประหารครั้งนี้ถือเป็นการย้อนกลับจากระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาไปสู่การปกครองโดยคณะบุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง พร้อมกับการระงับใช้รัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าแทบทั้งหมด ยกเว้นบทว่าด้วยสถานะของสถาบันกษัตริย์


2. โครงสร้างกฎหมายพิเศษ: มาตรา 44 และการทำให้ “อำนาจรวมศูนย์เหนือทุกสถาบัน”

รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ได้วางมาตรา 44 ไว้เป็นกลไกสำคัญ โดยให้อำนาจหัวหน้า คสช. ออกคำสั่งที่มีผลเสมอกฎหมาย เป็นที่สุด และไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายตุลาการในทางปฏิบัติ รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนระบุชัดว่า มาตรา 44 ทำให้หัวหน้า คสช. สามารถออกคำสั่งใด ๆ ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch+2Human Rights Watch)

ในปี 2558 มีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกทั่วประเทศ และแทนที่ด้วยการใช้มาตรา 44 อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งคณะนักวิชาการและองค์กรสิทธิระหว่างประเทศจำนวนมากเห็นตรงกันว่า การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ได้ทำให้สถานการณ์สิทธิมนุษยชนดีขึ้น แต่กลับเป็นการ “สถาปนาอำนาจพิเศษ” ในรูปแบบใหม่ที่กว้างกว่ากฎอัยการศึกเดิมเสียอีก (Human Rights Watch)

คำสั่งจำนวนมากภายใต้มาตรา 44 มีลักษณะครอบคลุมทั้งมิติการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน การจัดสรรงบประมาณ และสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้เกิดคำถามอย่างมีนัยสำคัญต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ (separation of powers) และระบบถ่วงดุลภายในรัฐสมัยใหม่


3. สิทธิมนุษยชนและการปกครองด้วยความกลัว: คดีการเมือง ศาลทหาร และการควบคุมสื่อ

องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ เช่น Human Rights Watch, Amnesty International และรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บันทึกตรงกันว่า หลังรัฐประหาร 2557 สถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยถดถอยลงอย่างชัดเจน (Human Rights Watch+2U.S. Department of State)

ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  • การเรียกตัวบุคคลไป “ปรับทัศนคติ” ภายใต้อำนาจคำสั่งหัวหน้า คสช. โดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ

  • การนำพลเรือนขึ้นพิจารณาคดีในศาลทหารในคดีที่ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับความมั่นคง

  • การจำกัดเสรีภาพการชุมนุมและการแสดงออก โดยกำหนดห้ามชุมนุมเกินจำนวนคนที่กำหนด และสลายการชุมนุมในหลายกรณี

  • การดำเนินคดีต่อผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ นักกิจกรรม และนักศึกษา ที่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐประหาร (เช่น การชูสามนิ้ว และกิจกรรมอ่านหนังสือเงียบ) (Wikipedia)

Freedom House ประเมินว่า ประเทศไทยในยุคดังกล่าวอยู่ในกลุ่ม “ไม่เสรี” หรือ “เสรีภาพถูกจำกัดอย่างรุนแรง” และเน้นว่าหัวหน้ารัฐบาล (พล.อ.ประยุทธ์) เป็นผู้นำที่มีที่มาจากการรัฐประหาร ก่อนจะเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้การเลือกตั้งในภายหลัง ซึ่งยังอยู่ใต้กติกาที่คณะรัฐประหารออกแบบ (Freedom House)


4. เศรษฐกิจชะลอตัวและทุนใหญ่: การเติบโตต่ำในภูมิภาคเดียวกัน

ในเชิงเศรษฐกิจ หลายสำนักวิเคราะห์ชี้ว่า ภายใต้การนำของรัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี โดย World Economic Forum เคยระบุว่าในปีหนึ่ง ๆ ไทยมีอัตราการเติบโตต่ำที่สุดในภูมิภาค ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและกัมพูชากลับเติบโตสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (World Economic Forum+2World Bank)

บทวิเคราะห์ในสื่อระหว่างประเทศบางฉบับชี้ว่า ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ เศรษฐกิจไทยไม่เคยเติบโตเกิน 4% ต่อปีในช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งในด้านผลิตภาพ (productivity) ที่ชะลอตัว และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน (thegeopolitics.com)

ควบคู่ไปกับนั้น มีข้อวิจารณ์เรื่องนโยบายและโครงการที่ถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่บางกลุ่ม ทั้งในด้านสัมปทาน ทรัพยากร และโครงสร้างพื้นฐาน แม้ในเชิงหลักฐานเชิงปริมาณจะต้องวิเคราะห์ในระดับโครงการต่อโครงการ แต่ภาพรวมที่สะท้อนผ่านดัชนีความเหลื่อมล้ำและรายงานเชิงโครงสร้างระบุว่า ช่องว่างระหว่างกลุ่มทุนขนาดใหญ่กับธุรกิจรายย่อยยังคงสูง และประชาชนส่วนล่างไม่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจเท่าที่ควร (BTI 2024)


5. วิศวกรรมรัฐธรรมนูญ 2560: การสถาปนาระบอบกึ่งเผด็จการผ่านกลไกเลือกตั้ง

รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งร่างและผลักดันโดยคณะรัฐประหารและเครือข่าย ถูกนักวิชาการด้านรัฐธรรมนูญจำนวนหนึ่งมองว่า เป็น “รัฐธรรมนูญเพื่อสกัดกั้นประชาธิปไตยแบบแข่งขัน (competitive democracy)” มากกว่าจะเป็นเครื่องมือในการคลี่คลายความขัดแย้ง (ConstitutionNet)

จุดที่ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้แก่

  • การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา 250 คนโดยคณะรัฐประหาร แล้วให้มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร

  • การกำหนดบทเฉพาะกาลที่เปิดทางให้หัวหน้า คสช. เดิมสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้กรอบการเลือกตั้ง

  • การวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และกลไกบังคับให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องปฏิบัติตาม มิฉะนั้นอาจถูกตีความว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบ

นักวิเคราะห์บางรายใช้คำว่า “constitutionalized military rule” หรือ “การปกครองของกองทัพที่ถูกทำให้กลายเป็นกฎหมายถาวร” เพื่ออธิบายปรากฏการณ์นี้ โดยเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเป็นเครื่องมือสำคัญในการสืบทอดอำนาจของกลุ่มที่มีที่มาจากรัฐประหาร มากกว่าที่จะเป็นเพียง “กติกากลาง” ที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย (Kyoto Review of Southeast Asia)

การเลือกตั้งปี 2562 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคที่สนับสนุนคสช. เกิดขึ้นท่ามกลางข้อกังขาเกี่ยวกับกติกา การนับคะแนน และบทบาทของวุฒิสภาแต่งตั้ง ซึ่งทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมิได้ถูกมองว่าเป็น “reset” ทางประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในสายตาของนักวิชาการและองค์กรนานาชาติหลายแห่ง (Reuters)


6. ความสัมพันธ์กับสถาบันกษัตริย์: ชั้นป้องกันของระบอบและการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

รายงานของ Freedom House และนักวิชาการด้านการเมืองไทยจำนวนมากชี้ว่า ในยุคสมัยหลังรัฐประหาร 2557 โครงสร้างอำนาจที่ผสานกันระหว่างกองทัพ กลุ่มอนุรักษนิยม และสถาบันกษัตริย์ยิ่งถูกทำให้แน่นแฟ้นขึ้น ทั้งในระดับสัญญะและระดับสถาบันทางกฎหมาย (Freedom House+2Kyoto Review of Southeast Asia)

การใช้และบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 (หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” เพื่อจำกัดการวิพากษ์วิจารณ์ไม่เพียงแต่ต่อสถาบันกษัตริย์ หากยังรวมไปถึงการวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลที่ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการขยายบทบาทหรืออำนาจของสถาบันด้วย รายงานของ Thai Lawyers for Human Rights ระบุว่าตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 จำนวนมากกว่า 280 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและนักกิจกรรมรุ่นใหม่ (AP News)

กรณีของนักกิจกรรมและนักการเมืองบางรายที่ถูกดำเนินคดีจากการกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลยุค พล.อ.ประยุทธ์ กับการปรับโครงสร้างอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในแง่ใด ๆ ยิ่งตอกย้ำข้อสังเกตว่า ระบอบดังกล่าวไม่ได้เพียงปกป้อง “สถาบัน” หากแต่ใช้สถาบันเป็นเหตุผลในการปิดกั้นการตรวจสอบอำนาจของรัฐบาลและกลุ่มชนชั้นนำในวงกว้าง


7. บทสรุปเชิงโครงสร้าง: เมื่อรัฐประหารกลายเป็นเครื่องมือรักษาระบอบ มากกว่าการแก้ปัญหาประเทศ

เมื่อมองย้อนกลับไปจากปลายทางของยุค พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจบลงด้วยภาพของเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ประชาธิปไตยที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ไม่เสรี/เสรีภาพจำกัดอย่างสูง” และสังคมที่เต็มไปด้วยคดีการเมืองและบรรยากาศแห่งความกลัว เราอาจสรุปในเชิงโครงสร้างได้ว่า

  • รัฐประหาร 2557 และยุคคสช.–ประยุทธ์ มิได้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ–สังคมของประเทศเป็นหลัก

  • หากแต่ถูกใช้เพื่อ “จัดระเบียบสนามการเมือง” ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัชกาล ยืนยันอำนาจของกองทัพและเครือข่ายชนชั้นนำ และสร้างกลไกรัฐธรรมนูญที่ทำให้การเมืองแบบเลือกตั้งอยู่ใต้เพดานที่กำหนดไว้แล้ว

ในแง่นี้ รัฐประหารไม่ได้เพียง “ยึดอำนาจจากรัฐบาลหนึ่ง” หากแต่ได้สถาปนา “ระบบกำกับระยะยาว” ผ่านรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ กฎหมายพิเศษ และวัฒนธรรมทางการเมืองแบบเกรงใจอำนาจนอกระบบ ซึ่งทำให้การคลี่คลายปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศด้วยกลไกประชาธิปไตยยิ่งเป็นเรื่องยาก

ศึกไทย–กัมพูชา : เตือนสตินายกอนุทิน และคนไทยทั้งชาติ อย่าเกินบทจนพลาด

ศึกไทย–กัมพูชา : เตือนสติผู้นำไทยและคนไทยทั้งชาติ
ศึกไทย–กัมพูชา : เตือนสติผู้นำไทยและคนไทยทั้งชาติ
เมื่อสงครามชายแดนไม่ใช่แค่เรื่องกระสุนและปืนใหญ่ แต่คือเกมมหาอำนาจและวาทกรรมรักชาติที่อาจกลับมาทำร้ายเราเอง
1. ศึกชายแดนที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงซ่อนเร้น

การปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชารอบล่าสุด ไม่ได้เป็นเพียงอุบัติเหตุของทหารหน้าด่าน แต่เป็นผลรวมของ ความขัดแย้งเก่า–ผลประโยชน์ใหม่–และเกมของมหาอำนาจ ที่ซ้อนทับกันอยู่เบื้องหลังแนวป่า แนวเขา และแนวรั้วลวดหนามตลอดแนวชายแดน

เป็นไปได้สูงว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดเกมก่อน และไทยจึงตอบโต้กลับในเชิงยุทธศาสตร์ หากมองในมุม “การใช้กำลังอย่างได้สัดส่วน” เพื่อป้องกันภัยต่อประชาชนและพื้นที่ฝั่งไทย การเน้นโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารที่เป็นภัย นับว่าเป็นจุดยืนที่ พอจะอธิบายได้ในกรอบความมั่นคง แม้จะมีพื้นที่ให้ถกเถียงเรื่องความเหมาะสมของเครื่องมือที่ใช้ก็ตาม

แต่ในขณะที่กระสุนวิ่งอยู่บนฟ้า อีกสนามหนึ่งที่เดือดไม่แพ้กัน คือสนามของ ภาพลักษณ์–โพสต์–คำแถลง–และการสร้าง “ตัวตนทางการเมือง” ของผู้นำรัฐบาลไทย ในสายตาคนไทยเอง และในสายตาของมหาอำนาจที่กำลังจับตาเราอยู่เงียบ ๆ

2. การทหารพออธิบายได้ แต่การเมืองกำลังพาเราออกนอกลู่

หากดูเฉพาะในมิติความมั่นคง การป้องกันชายแดนและตอบโต้เมื่อถูกล้ำเส้น เป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของรัฐไทย การทำลายเป้าหมายที่ถูกระบุว่าเป็น ภัยคุกคามทางทหาร ย่อมถูกใช้เป็นเหตุผลในการอธิบายต่อประชาชนได้ ว่าเป็นการรักษาชีวิตทหารและพลเรือนของเราเอง

แต่สิ่งที่ต้องแยกให้ชัดคือ อย่างหนึ่งคือ “การใช้กำลังเพื่อป้องกันประเทศ” อีกอย่างคือ “การฉวยจังหวะสงครามเพื่อสร้างคะแนนนิยม” ซึ่งสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน และอาจนำพาประเทศไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ในฐานะนายกรัฐมนตรี คุณอนุทินย่อมต้องแสดงออกว่า รักชาติ–ปกป้องแผ่นดิน–ห่วงประชาชน โดยเฉพาะเมื่อใกล้ฤดูเลือกตั้ง และต้องรับมือกับแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งคดีที่ถูกตั้งคำถามจากสังคม เรื่องการฮั้ว ส.ว. ที่ดินเขากระโดง การจัดการน้ำท่วมที่สะท้อนการบริหารจัดการเชิงโครงสร้างที่ล้มเหลว และเศรษฐกิจที่คนส่วนใหญ่ยังไม่สัมผัสได้ว่าดีขึ้นจริง

การแสดงภาพ “นายกชาติ ๆ” จึงแทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทางการเมือง แต่ การโพสต์–การให้สัมภาษณ์–และการใช้ถ้อยคำที่กร่างเกินจำเป็น โดยเฉพาะถ้อยคำที่ทำให้ต่างชาติอ่านได้ว่า เรากำลัง “ยืนข้างหนึ่งข้างใด” ของเกมมหาอำนาจ นั่นไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่เรื่องฉลาดในระยะยาวสำหรับประเทศ

3. เกมมหาอำนาจ : เมื่อวาทกรรมในประเทศสะเทือนไปถึงวอชิงตันและปักกิ่ง

วันนี้ไทยไม่ได้อยู่ในโลกสองขั้วแบบสงครามเย็น แต่เราอยู่ในโลกที่ จีน–สหรัฐ–และพันธมิตรเก่า–ใหม่ ต่างแข่งขันกันสร้างอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไทยคือ รัฐแกนกลาง ที่ทั้งสองฝั่งไม่อยากผลักให้หลุดมือ

ในบริบทที่โดนัลด์ ทรัมพ์ ออกมาประกาศว่าเขามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการหยุดยิง หรือกดให้คู่ขัดแย้งไม่ลุกลาม การที่ผู้นำไทยออกมาส่งสัญญาณสาธารณะในทำนองว่า “พร้อมเดินเกมของตัวเอง ไม่แคร์ใคร” ย่อมถูกตีความได้หลายทาง ทั้งในวอชิงตันและในปักกิ่ง

หากมหาอำนาจอ่านสัญญาณของเราแล้วรู้สึกว่า ไทยกำลังยืนในจุดที่ช่วยลดราคาอิทธิพลของสหรัฐ และทำให้จีนได้ประโยชน์เชิงภาพลักษณ์มากขึ้น นั่นไม่ใช่แค่การเมืองของ “โพสต์หนึ่งโพสต์” แต่คือการส่งสารที่อาจมีราคาแพงในเกมระยะยาว

ไทยไม่ควรถูกมองว่าเป็น “ตัวแทนของจีนพูดใส่หน้าสหรัฐ” แม้ความตั้งใจจริงของผู้นำอาจเป็นแค่การเรียกคะแนนนิยมในประเทศ แต่ในเวทีโลก ไม่มีใครแยก “วาทกรรมหาเสียง” ออกจาก “จุดยืนเชิงยุทธศาสตร์” ได้ชัดเจนเหมือนในหัวของเราเอง

ในโลกของมหาอำนาจ ผู้นำประเทศเล็ก ๆ ไม่มีสิทธิ์ “พูดเล่น” เพราะทุกคำพูดอาจถูกตีความว่าเป็น “การวางหมาก” บนกระดานใหญ่โดยอัตโนมัติ

4. เตือนคนไทย : รักชาติให้เป็น ไม่ใช่รักชาติจนถูกใช้เป็นฉากหลัง

ความรักชาติไม่ใช่ปัญหา แท้จริงแล้วความรักชาติคือพลังสำคัญที่ทำให้ประชาชนยืนหยัดปกป้องบ้านเมือง แต่ “รักชาติแบบไร้เบรก ไร้วิจารณญาณ” คือเครื่องมือชั้นดีของผู้มีอำนาจที่ต้องการหลบเลี่ยงความรับผิดชอบในเรื่องอื่น

ทุกครั้งที่มีการปะทะชายแดน เราจะเห็นวาทกรรม “ห้ามถามมาก เดี๋ยวเสียขวัญทหาร”, “อย่าตำหนิผู้นำในยามศึก”, หรือ “ถ้าคุณถามมาก คุณไม่รักชาติ” ทั้งหมดนี้คือรูปแบบหนึ่งของการใช้ “ความรักชาติ” ไปปิดปากประชาชนจากการตั้งคำถามต่อการบริหารประเทศ

ในขณะเดียวกัน เรื่องที่กระทบชีวิตเราโดยตรงอย่าง เศรษฐกิจที่ฝืด, หนี้สินที่ท่วมครัวเรือน, ความไม่เป็นธรรมในระบบภาษี, ปัญหาทุนมืดและสแกมเมอร์ที่โยงกับผู้มีอิทธิพลสามสัญชาติ ก็จะถูกดันออกไปอยู่ชั้นหลังของความสนใจอย่างรวดเร็ว

การรักชาติที่ไม่มีสติ จึงอาจกลายเป็น “ของขวัญ” ให้กับผู้มีอำนาจ ที่กำลังต้องการพื้นที่หายใจจากแรงกดดันของสังคม ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากอาจกำลังเผชิญปัญหาในชีวิตประจำวันอย่างหนักหน่วงมากกว่าเสียงปืนที่ชายแดนด้วยซ้ำ

ถ้าเรารักชาติจริง เราจำเป็นต้องกล้าถามว่า “การตัดสินใจเชิงความมั่นคงครั้งนี้ ช่วยชีวิตคนไทยส่วนใหญ่ หรือช่วยยืดอำนาจให้ใคร?”
และต้องกล้ารักชาติในแบบที่ไม่ยอมให้ใครใช้คำว่ารักชาติ มาเป็นข้ออ้างปิดปากประชาชน

รักชาติอย่างมีสติ คือการเฝ้าระวังทั้งศัตรูที่ชายแดน และศัตรูของความจริงภายในประเทศไปพร้อมกัน

Monday, December 8, 2025

คดีการหายตัวของสยาม ธีรวุฒิ: บันทึกเพื่อความจริงและความยุติธรรม

คดีการหายตัวของสยาม ธีรวุฒิ: เอกสารเชิงวิเคราะห์ด้านสิทธิมนุษยชนและโครงสร้างอำนาจรัฐไทย
บันทึกคดีการบังคับให้สูญหาย – วิเคราะห์เชิงสิทธิมนุษยชน

คดีการหายตัวของสยาม ธีรวุฒิ:
บันทึกความจริง โครงสร้างอำนาจ และสิทธิของครอบครัว

เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริง ข้อสังเกตเชิงพฤติการณ์ หลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และบริบททางการเมืองในคดีการหายตัวไปของ สยาม ธีรวุฒิ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทยที่เชื่อว่าถูกบังคับให้สูญหาย หลังถูกจับกุมในเวียดนามเมื่อปี 2562

คดีของสยามไม่ใช่เพียง “เรื่องของคนคนหนึ่ง” แต่เป็น คดีเชิงโครงสร้าง ที่สะท้อนปัญหาใหญ่สามระดับพร้อมกัน ได้แก่ (1) การใช้กฎหมายการเมืองหลังรัฐประหาร 2557 (2) การร่วมมือกันของรัฐไทยและรัฐเพื่อนบ้านในปฏิบัติการนอกกฎหมายต่อผู้ลี้ภัย และ (3) การที่ระบบยุติธรรมไทยไม่สามารถ หรือไม่ประสงค์จะรับรองความจริงว่ามีการบังคับให้ประชาชนสูญหาย ส่งผลให้ครอบครัวไม่ได้ทั้งความจริงและไม่ได้รับแม้แต่การเยียวยาขั้นพื้นฐาน

1. วัตถุประสงค์และกรอบการวิเคราะห์

วัตถุประสงค์ของเอกสาร
  • รวบรวมข้อเท็จจริงและไทม์ไลน์การหายตัวของสยาม ธีรวุฒิ อย่างเป็นระบบ
  • ชี้ให้เห็น “จุดพิรุธเชิงโครงสร้าง” และรูปแบบ (pattern) การอุ้มหายผู้ลี้ภัยการเมืองไทยในภูมิภาค
  • เชื่อมโยงคดีนี้กับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้านการบังคับให้สูญหาย
  • เสนอประเด็นที่ศาลไทยในระดับสูง (รวมถึงศาลฎีกา) ควรพิจารณา หากมีคดีเกี่ยวข้องกับสิทธิการเยียวยาของครอบครัว
  • ใช้คดีนี้เป็น “คันฉ่องส่องไทย” ให้สังคมเห็นโครงสร้างอำนาจที่ทำให้คนหนึ่งคนหายไปจากกฎหมายและประวัติศาสตร์อย่างเงียบงัน

ในเชิงวิธีวิทยา เอกสารนี้อาศัยข้อมูลจากรายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนไทยและนานาชาติ, ข่าวสืบสวนเชิงลึก, รายงานของสหประชาชาติ และเอกสารสาธารณะของศาลไทย โดยใช้การวิเคราะห์แบบผสมระหว่าง ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์, ข้อสังเกตเชิงพฤติการณ์, และ หลักสิทธิมนุษยชนสากล

2. ภูมิหลัง: ตัวตนของสยามและบริบทหลังรัฐประหาร 2557

2.1 ตัวตนและการเคลื่อนไหวของสยาม ธีรวุฒิ

  • สยาม ธีรวุฒิ เป็นนักกิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตยในยุคหลังรัฐประหาร 2549 และ 2557
  • เกี่ยวข้องกับกลุ่มกิจกรรมทางการเมือง เช่น กลุ่มละครการเมืองและกิจกรรมเชิงศิลปะ–วัฒนธรรม
  • ถูกเชื่อมโยงกับละครเวที “เจ้าสาวหมาป่า” (The Wolf Bride) ที่ถูกตีความว่าแตะสถาบันกษัตริย์จนเกิดการดำเนินคดีมาตรา 112
  • หลังรัฐประหาร 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีการออกหมายเรียกและหมายจับผู้เกี่ยวข้องกับคดี 112 หลายราย รวมถึงสยาม
  • สยามตัดสินใจลี้ภัยออกนอกประเทศ แทนการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่เขาไม่เชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรม

2.2 บริบทการใช้กฎหมายการเมืองและมาตรา 112 หลังรัฐประหาร

หลังรัฐประหารปี 2557 รัฐบาลทหารใช้กฎหมายความมั่นคง กฎหมายพิเศษ และมาตรา 112 เพื่อจัดการกับฝ่ายเห็นต่างจำนวนมาก รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้มีลักษณะเลือกปฏิบัติและมีเป้าหมายทางการเมืองชัดเจน โดยเฉพาะต่อกลุ่มคนเสื้อแดง นักกิจกรรมเยาวชน และผู้วิจารณ์สถาบันกษัตริย์

ประเด็นสำคัญด้านบริบท
  • การรัฐประหาร 2557 โค่นรัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทย และสถาปนารัฐบาลทหารยาวนานหลายปี
  • การใช้มาตรา 112 และกฎหมายความมั่นคงเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างกว้างขวาง
  • ผู้ลี้ภัยทางการเมืองจำนวนหนึ่งเลือกใช้ประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว กัมพูชา เวียดนาม) เป็นที่พักพิงชั่วคราว
  • ผู้ลี้ภัยเหล่านี้จำนวนไม่น้อยมีบทบาททางสื่อออนไลน์ วิทยุอินเทอร์เน็ต และการวิพากษ์สถาบันฯ อย่างตรงไปตรงมา

3. ไทม์ไลน์ฉบับขยาย: จากละครการเมืองสู่การหายตัว

ปี / วันที่ เหตุการณ์ คำสำคัญ
ก่อน 2557 สยามมีบทบาทในกลุ่มกิจกรรมทางการเมือง และร่วมกับศิลปิน/นักกิจกรรมในการจัดละครการเมือง เช่น “เจ้าสาวหมาป่า” ที่ภายหลังถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 ทำให้สยามถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ละครการเมือง, มาตรา 112
2557 คสช. ทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย และพยายามควบคุมพื้นที่สาธารณะทุกมิติ การออกหมายเรียก–หมายจับนักกิจกรรมและผู้ถูกกล่าวหาคดี 112 เพิ่มสูงขึ้น สยามตัดสินใจหนีออกนอกประเทศไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รัฐประหาร, ลี้ภัย
2558–2561 สยามพำนักอยู่ในลาว ร่วมจัดรายการออนไลน์และเผยแพร่เนื้อหาวิพากษ์การเมืองไทย–สถาบันฯ ร่วมกับผู้ลี้ภัยคนอื่น เช่น ชูชีพ ชีวสุทธิ์ (ลุงสนามหลวง) และกฤษณะ ทัพไทย ในช่วงเดียวกันมีการพบศพผู้ลี้ภัยไทย 2 ศพลอยแม่น้ำโขงที่เชื่อมโยงกับกรณีสุรชัย แซ่ด่าน และมีผู้ลี้ภัยคนอื่นหายตัวไปอย่างน่ากังวล
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ลี้ภัยไทยจำนวนมากรู้สึกว่า “ลาวไม่ปลอดภัยอีกต่อไป”
ผู้ลี้ภัยลาว, คลื่นอุ้มหาย
ต้น 2562 ท่ามกลางข่าวลือและหลักฐานว่ามีการตามล่าผู้ลี้ภัยไทยในลาว สยาม ชูชีพ ชีวสุทธิ์ และกฤษณะ ทัพไทย ตัดสินใจเดินทางออกจากลาวเข้าพื้นที่เวียดนาม โดยใช้เอกสารเดินทางปลอม หวังหลีกเลี่ยงการถูกอุ้มหาย หนีต่อไปเวียดนาม
ต้น 2562 ทางการเวียดนามจับกุมทั้งสามในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายและใช้หนังสือเดินทางปลอม ข้อมูลจาก HRW, Amnesty และสื่อสากลหลายแห่งระบุว่า ทั้งสามถูกควบคุมตัวอยู่ในเวียดนามในช่วงต้นปี 2562 ก่อนจะมีรายงานว่าถูกส่งตัวกลับไทยในภายหลัง ถูกจับในเวียดนาม
ต้น–กลาง พ.ค. 2562 รายงานของ HRW และองค์กรสิทธิอื่นระบุว่าแหล่งข่าวเชื่อถือได้ยืนยันว่า เวียดนามได้ส่งตัวสยามและเพื่อนกลับไทยอย่างลับ ๆ ขณะที่ทางการไทยตอบเพียงว่า “ไม่มีบันทึกการรับตัวหรือควบคุมตัวในระบบ”
คำตอบแบบ “ไม่มีในระบบ” กลายเป็นรูปแบบซ้ำ ๆ ของคำปฏิเสธความรับผิดชอบ
ส่งตัวกลับไทย (ตามรายงาน)
หลัง พ.ค. 2562 หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว ครอบครัว เพื่อน และเครือข่ายนักกิจกรรมไม่สามารถติดต่อสยามได้อีกเลย ทั้งทางโทรศัพท์ โซเชียลมีเดีย และช่องทางส่วนตัวอื่น ๆ การหายไปนี้เกิดขึ้นทันทีหลังข่าวการถูกส่งตัวกลับไทย ขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิง
2562–2566 ครอบครัวโดยเฉพาะคุณกัญญา ธีรวุฒิ แม่ของสยาม ยื่นคำร้องต่อหน่วยงานไทยหลายแห่ง ได้แก่ ตำรวจ, กระทรวงการต่างประเทศ, หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน และสถานทูตเวียดนามในไทย เพื่อขอให้ตรวจสอบชะตากรรมของลูกชาย แต่ได้รับคำตอบว่า “ไม่มีข้อมูล” หรือ “อยู่นอกเขตอำนาจ” ร้องเรียนในประเทศ
เยือนบ้านแม่ รายงานข่าวและคำให้การของครอบครัวระบุว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐไทยอย่างน้อย 2 คน เคยมาที่บ้านของคุณกัญญา ถามว่าสยามกลับมาบ้านแล้วหรือยัง และขอเข้าตรวจค้นบ้านโดยไม่มีหมายค้น แม่ปฏิเสธการตรวจค้น
เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานเชิงพฤติการณ์สำคัญว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐ “รู้และติดตาม” สยาม ขณะที่รัฐในทางการปฏิเสธว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการคุมตัว
เจ้าหน้าที่มาตรวจบ้าน
2564–2565 ครอบครัวเริ่มใช้กลไกตามกฎหมายไทย โดยยื่นคำขอรับค่าตอบแทนผู้เสียหายตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 เพื่อให้รัฐรับรองว่าการหายตัวไปของสยามเป็น “ความเสียหาย” ที่ควรได้รับเยียวยา คณะกรรมการมีมติ “ไม่รับรอง” โดยเห็นว่าไม่มีหลักฐานว่าสยามเสียชีวิตหรือได้รับอันตรายจากการกระทำอาญา ยื่นขอค่าตอบแทน
2567
(คดีคนสาบสูญ)
คุณกัญญายื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ ขอให้ศาลประกาศให้สยามเป็น “บุคคลสาบสูญ” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เนื่องจากหายตัวไปเกิน 5 ปี ศาลมีคำสั่งไม่รับรอง โดยให้เหตุผลว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอตามเกณฑ์ในกฎหมายแพ่ง ศาลไม่รับรองคนสาบสูญ
2567–2568
(ศูนย์ฯ อุ้มหาย)
ครอบครัวยื่นเรื่องต่อศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ภายใต้ พ.ร.บ. 2565 แต่ในเวลาต่อมาศูนย์ฯ มีคำสั่งยุติการสอบสวนกรณีสยาม โดยเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอจะพิสูจน์ว่าเป็นคดีบังคับให้สูญหาย ยุติสอบสวน
5 พ.ย. 2567
อ่านคำพิพากษา 17 ก.พ. 2568
ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคณะกรรมการค่าตอบแทนฯ และศาลชั้นต้น ว่า “ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ตายถึงแก่ความตายหรือได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น” จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนฯ ครอบครัวจึงไม่มีสิทธิได้รับการเยียวยา ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์

จากไทม์ไลน์นี้จะเห็นว่า สยามถูก “กลืนหาย” จากระบบกฎหมายไทยในทุกระดับ ทั้งในด้านสถานภาพบุคคล (คนสาบสูญ) และฐานะผู้เสียหายในคดีอาญา ขณะที่หลักฐานเชิงพฤติการณ์และข้อมูลจากองค์กรสิทธิกลับชี้ไปในทิศทางว่าเขาถูกบังคับให้สูญหาย

4. รูปแบบการอุ้มหายผู้ลี้ภัยไทยในภูมิภาค และการจัดวางสยามในภาพใหญ่

4.1 รายชื่อและรูปแบบผู้ลี้ภัยไทยที่ถูกอุ้มหาย / พบศพ

ภายหลังรัฐประหาร 2557 มีผู้ลี้ภัยทางการเมืองไทยหลายคนที่ถูกอุ้มหายหรือพบเป็นศพลอยแม่น้ำในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะร่วมกันคือ วิจารณ์สถาบันกษัตริย์หรือรัฐบาลทหารอย่างเปิดเผย และ พักพิงในประเทศลาวหรือกัมพูชา ก่อนหายตัวไป

  • สุรชัย แซ่ด่าน และเพื่อนร่วมขบวนการสองราย – สองศพถูกพบลอยแม่น้ำโขงในสภาพถูกฆ่าอย่างทารุณ ส่วนสุรชัยหายตัวไปโดยไม่พบศพ
  • ดีเจซุนโฮ – หายตัวไปในลาว
  • โกตี๋ (วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ) – หายสาบสูญในลาว
  • วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ – ถูกอุ้มหายกลางวันแสก ๆ ที่พนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2563
  • ผู้ลี้ภัยรายอื่น ๆ ที่ถูกรายงานโดย FIDH, OMCT, TLHR และ iLaw ว่า “หายตัวไป” โดยมีข้อมูลเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐไทยและเครือข่ายความมั่นคงในภูมิภาค

กรณีของสยามจึงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของคลื่นการอุ้มหายผู้ลี้ภัยการเมืองไทย ที่มีรูปแบบร่วมคือ การเคลื่อนไหววิพากษ์สถาบันฯ การลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน และการหายตัวไป ท่ามกลางความเงียบของรัฐไทยและรัฐที่ให้ที่พักพิง

4.2 ตำแหน่งของสยามใน pattern นี้

สิ่งที่ทำให้คดีสยามอยู่ใน pattern การอุ้มหายอย่างชัดเจน
  • เป็นผู้ลี้ภัยคดี 112 หลังรัฐประหาร 2557
  • เคลื่อนไหวทางสื่ออย่างต่อเนื่อง วิจารณ์การเมืองและสถาบันฯ
  • อาศัยอยู่ในลาว แล้วต้องหนีต่อไปเวียดนามภายใต้แรงกดดัน
  • ถูกจับกุมโดยรัฐ (เวียดนาม) จากข้อมูลขององค์กรสิทธิมนุษยชน
  • มีรายงานว่า “ถูกส่งตัวกลับไทย” โดยที่รัฐทั้งสองประเทศไม่ชี้แจงอย่างเปิดเผย
  • ขาดการติดต่ออย่างสิ้นเชิงนับแต่นั้น
  • รัฐไทยปฏิเสธว่ามีการควบคุมตัว แต่ก็ไม่มีการสืบสวนอย่างจริงจังเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง

5. หลักฐานเชิงพฤติการณ์ที่สำคัญในคดีสยาม

เนื่องจากคดีการบังคับให้สูญหายมักถูกออกแบบให้ “ไม่มีหลักฐานโดยตรง” (ไม่มีบันทึกการจับกุม ไม่มีศพ ไม่มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร) การประเมินคดีจึงต้องอาศัยหลักฐานเชิงพฤติการณ์ (circumstantial evidence) ที่เชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุมีผล

5.1 พฤติการณ์ก่อนและระหว่างการหายตัว

  • สยามอยู่ในกลุ่มเป้าหมายของรัฐไทยอย่างชัดเจนจากคดี 112 และการเคลื่อนไหวทางการเมือง
  • หลังคลื่นอุ้มหายผู้ลี้ภัยในลาว เขาต้องหนีไปเวียดนามภายใต้ความหวาดกลัว
  • ถูกจับในเวียดนามจากคดีเข้าเมืองผิดกฎหมายและใช้เอกสารปลอม – รัฐเข้าไปควบคุมตัวอย่างเป็นทางการ
  • หลังค่อนไปทางต้นปี 2562 มีรายงานจากองค์กรสิทธิหลายแห่งว่าเขาถูกส่งตัวกลับไทย

5.2 พฤติการณ์หลังการส่งตัว (ตามรายงาน)

  • สยามขาดการติดต่อทุกรูปแบบทันทีหลังจากช่วงเวลาที่ถูกกล่าวหาว่าส่งตัวกลับไทย
  • ครอบครัวค้นหาทุกช่องทาง ทั้งในประเทศและผ่านองค์กรระหว่างประเทศ แต่ไม่พบร่องรอยการมีชีวิตอยู่
  • รัฐไทยตอบในแนวทางเดียวกันทุกครั้งว่า “ไม่มีข้อมูลในระบบ” โดยไม่อธิบายความพยายามตรวจสอบอย่างโปร่งใส

5.3 เหตุการณ์เจ้าหน้าที่มาตรวจบ้านแม่ของสยาม

หนึ่งในหลักฐานเชิงพฤติการณ์ที่สำคัญ คือเหตุการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐไทย (อย่างน้อย 2 นาย) ไปยังบ้านของคุณกัญญา ธีรวุฒิ ถามว่าสยามกลับบ้านแล้วหรือไม่ และขอเข้าตรวจค้นบ้านโดยไม่มีหมายค้น แม้แม่จะปฏิเสธการตรวจค้น แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเชื่อว่าสยามอาจถูกนำตัวกลับมายังไทย หรืออย่างน้อยก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษ

ในขณะเดียวกัน หน่วยงานกลางของรัฐไทยกลับยืนยันว่า “ไม่มีข้อมูล” ว่าสยามถูกควบคุมตัวในระบบของรัฐไทย ความขัดแย้งระหว่าง “การปรากฏตัวของเจ้าหน้าที่ที่บ้านแม่” กับ “คำปฏิเสธระดับทางการ” เป็นข้อบ่งชี้ว่าอาจมีการปฏิบัติการนอกระบบราชการปกติ

5.4 ความเงียบของเวียดนามและการตอบแบบเทคนิคของไทย

  • เวียดนามไม่เคยออกแถลงอย่างเป็นทางการยืนยันหรือปฏิเสธการส่งตัวสยามกลับไทย
  • ไทยใช้ถ้อยคำเชิงเทคนิคว่า “ไม่พบข้อมูลในฐานข้อมูลการควบคุมตัว” ซึ่งไม่ตอบคำถามว่ามีการรับตัวอย่างไม่เป็นทางการหรือไม่
  • ทั้งสองรัฐไม่เคยเปิดเผยเอกสารหรือรายงานผลการสืบสวนต่อสาธารณะ
ในคดีการบังคับให้สูญหาย ความเงียบและการตอบแบบ “ไม่มีข้อมูลในระบบ” ไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างลดทอนความรับผิดชอบ แต่กลับเป็น สัญญาณสำคัญของความไม่โปร่งใส ที่ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดกว่าเดิม

6. กรอบกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

6.1 นิยาม “การบังคับให้สูญหาย” ตามกฎหมายสากล

ตามนิยามที่ใช้โดยสหประชาชาติและอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการถูกบังคับให้สูญหาย (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance – CED) การบังคับให้สูญหายมีองค์ประกอบหลักอย่างน้อยสามประการ:

  1. บุคคลถูกจับกุม กักขัง หรือถูกลักพาตัวโดยเจ้าหน้าที่รัฐ หรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ปฏิบัติภายใต้อำนาจหรือความยินยอมของรัฐ
  2. รัฐปฏิเสธไม่ยอมรับการลิดรอนเสรีภาพดังกล่าว หรือปกปิดชะตากรรมและที่อยู่ของบุคคลนั้น
  3. บุคคลนั้นถูกทำให้ตกอยู่ “นอกการคุ้มครองของกฎหมาย” ญาติไม่สามารถเข้าถึงความจริง ความยุติธรรม และการเยียวยา

ในกรณีของสยาม มีข้อมูลจากองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งที่ระบุว่า เขาถูกจับกุมในเวียดนามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ถูกส่งตัวกลับไทย จากนั้นรัฐทั้งสองประเทศปฏิเสธหรือไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับชะตากรรมของเขา ซึ่งเข้าลักษณะองค์ประกอบของการบังคับให้สูญหายอย่างชัดเจนในมุมมองสากล

6.2 Minnesota Protocol และมาตรฐานการสืบสวน

Minnesota Protocol on the Investigation of Potentially Unlawful Death เป็นมาตรฐานสากลสำหรับการสืบสวนกรณีการตายอย่างน่าสงสัย หรือกรณีที่อาจเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงโดยรัฐ แนวคิดหลักคือ รัฐมีหน้าที่เชิงรุกในการสืบสวน เมื่อมีข้อสงสัยว่ารัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง

ในกรณีสยาม แม้จะไม่มีศพหรือหลักฐานการตายโดยตรง แต่เมื่อมีรายงานจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและกลไกของสหประชาชาติว่าเขาอาจถูกบังคับให้สูญหาย รัฐไทยและเวียดนามควรต้องเปิดการสืบสวนอย่างจริงจังและโปร่งใส ไม่ใช่เพียงตอบว่า “ไม่มีข้อมูลในระบบ” แล้วถือว่าเรื่องยุติลง

6.3 พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

ไทยมีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการทรมานและการบังคับให้สูญหายมีผลใช้บังคับตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในเชิงนิติบัญญัติ แต่รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น ICJ และ CrCF ชี้ให้เห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวยังมีปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติจริงของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสอบสวน

กรณีของสยามซึ่งถูกนำเข้าสู่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ก่อนถูกมีคำสั่งยุติการสอบสวน โดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ เป็นตัวอย่างสะท้อนช่องว่างระหว่าง “ตัวบทกฎหมาย” กับ “การปฏิบัติจริง”

7. การประเมินบทบาทของหน่วยงานรัฐไทยและเวียดนาม

7.1 หน้าที่ของรัฐเมื่อมีข้อกล่าวหาเรื่องการอุ้มหาย

เมื่อมีข้อกล่าวหาว่ามีการอุ้มหายบุคคล โดยเฉพาะหากมีพยานหลักฐานหรือรายงานจากองค์กรสิทธิที่น่าเชื่อถือ รัฐมีหน้าที่:

  • สืบสวนอย่างทันท่วงที เป็นอิสระ และไม่เลือกปฏิบัติ
  • เผยแพร่ข้อมูลสรุปผลการสืบสวนต่อสาธารณะในระดับหนึ่ง
  • คุ้มครองพยานและครอบครัวเหยื่อจากการคุกคาม
  • อำนวยความสะดวกให้ครอบครัวเข้าถึงข้อมูลเท่าที่ไม่กระทบต่อการสืบสวน

7.2 รูปแบบการปฏิเสธความรับผิดชอบของไทยและเวียดนาม

สังเกตลักษณะร่วมของการปฏิเสธจากทั้งสองรัฐ
  • เวียดนามไม่ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการปฏิเสธการส่งตัวสยามกลับไทย
  • ไทยตอบเพียงว่า “ไม่พบบันทึกการควบคุมตัวในระบบ” โดยไม่เปิดเผยว่ามีการสอบสวนภายในหรือไม่
  • ไม่มีการเผยแพร่รายงานการสืบสวนหรือข้อสรุปเชิงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ
  • กระบวนการทางศาลไทยในคดีค่าตอบแทนและคดีคนสาบสูญใช้มาตรฐานพิสูจน์ที่สูงจนไม่สอดคล้องธรรมชาติของคดีอุ้มหาย

8. สิ่งที่ศาลไทย โดยเฉพาะศาลฎีกา ควรพิจารณาในคดีที่เกี่ยวข้อง

หากคดีของครอบครัวสยามเดินหน้าถึงศาลฎีกา หรือหากมีคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการเยียวยาของเหยื่อการบังคับให้สูญหาย ศาลควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้อย่างรอบด้าน:

8.1 ระดับ “ข้อเท็จจริงเฉพาะคดี”

  • ประวัติการลี้ภัยคดี 112 และการเคลื่อนไหวของสยามในลาว–เวียดนาม
  • รายงานจาก HRW, Amnesty, FIDH, TLHR, CrCF, Prachatai ฯลฯ ที่ระบุว่าเขาถูกจับในเวียดนามและถูกส่งตัวกลับไทย
  • การขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิงตั้งแต่ พ.ค. 2562 เป็นต้นมา
  • คำตอบของหน่วยงานรัฐไทยและเวียดนามที่ไม่สอดคล้องกับความพยายามสืบหาความจริงของครอบครัว
  • เหตุการณ์เจ้าหน้าที่ไทยไปที่บ้านแม่ของสยามโดยไม่มีหมายค้น

8.2 ระดับ “บริบทและ pattern”

  • รูปแบบการอุ้มหายผู้ลี้ภัยไทยหลังรัฐประหาร 2557
  • รายชื่อและรายละเอียดของเหยื่อรายอื่น เช่น สุรชัย แซ่ด่าน, ดีเจซุนโฮ, วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ
  • รายงานขององค์กรระหว่างประเทศที่ยืนยันว่าไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องการอุ้มหายและการไม่ลงโทษผู้กระทำผิด

8.3 ระดับ “มาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล”

  • นิยามและองค์ประกอบของการบังคับให้สูญหายตาม CED
  • แนวทางของ UN Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances (WGEID)
  • Minnesota Protocol ว่าด้วยการสืบสวนการตายอย่างผิดกฎหมายหรืออย่างน่าสงสัย
  • พันธกรณีของรัฐต่อครอบครัวเหยื่อในเรื่องสิทธิในการรู้ความจริงและการเยียวยา

8.4 การตีความ พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ และกฎหมายแพ่ง

กรณีของสยามสะท้อนว่าการตีความคำว่า “ผู้เสียหายจากคดีอาญา” และ “คนสาบสูญ” อย่างเคร่งครัดเชิงรูปแบบ โดยไม่เผื่อพื้นที่ให้กับธรรมชาติพิเศษของคดีอุ้มหาย ส่งผลให้เหยื่อและครอบครัวตกอยู่ในสูญญากาศทางกฎหมายอย่างถาวร

หากศาลฎีกากล้าตีความให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล คดีของสยามอาจกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้รัฐไทยยอมรับอย่างเป็นทางการว่า มีการบังคับให้ประชาชนสูญหาย และครอบครัวมีสิทธิได้รับการเยียวยา แม้ยังหา “ตัวผู้กระทำผิด” ไม่พบในวันนี้ก็ตาม

9. บทสรุปเชิง “คันฉ่องส่องไทย”: คดีสยามคือคดีของทั้งประเทศ

คดีของสยาม ธีรวุฒิ ทำให้เราเห็นโครงสร้างอำนาจที่สามารถทำให้คนหนึ่งคนหายไปจากโลก โดยที่กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม “ทำเหมือนไม่เคยมีตัวตนของเขาอยู่ในระบบ”

  1. รัฐที่ทำให้คนหายไปได้ และกฎหมายที่กลบเกลื่อนความจริง
    เมื่อรัฐใช้ทั้งกำลังและความเงียบร่วมกัน คนหนึ่งคนสามารถถูกกลืนหายไปจากบันทึกทางราชการและความทรงจำสาธารณะ คดีสยามจึงเตือนว่า หากเราไม่ยืนยันให้มีการสืบสวนและยอมรับข้อเท็จจริง การบังคับให้สูญหายจะกลายเป็น “เครื่องมือปกติ” ของการปกครอง
  2. ครอบครัวที่ต้องพิสูจน์การตายของลูก โดยไม่มีศพให้เห็น
    การที่ศาลและคณะกรรมการค่าตอบแทนฯ บอกว่า “ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าตายจากการกระทำอาญา” เมื่อไม่มีศพและไม่มีคดีอาญาในระบบ คือการตอกย้ำความทุกข์ของครอบครัว ในเชิงสิทธิมนุษยชน นี่คือการละเมิดซ้ำซ้อนทั้งต่อผู้ที่หายไปและญาติผู้ใกล้ชิด
  3. คำถามต่อสังคมไทยทั้งหมด
    หากเราปล่อยให้ชื่อของสยาม สุรชัย วันเฉลิม และคนอื่น ๆ จางหายไปในฐานะ “ข่าวเก่า” เรากำลังยอมรับอย่างเงียบ ๆ ว่า การทำให้คนหายไปโดยไม่มีความจริงและความยุติธรรม เป็นสิ่งที่สังคมยอมรับได้ การบันทึกและพูดถึงคดีเหล่านี้อย่างต่อเนื่องคือการปฏิเสธอำนาจแบบนั้น
คำอุทิศ

เอกสารฉบับนี้ขอมอบแด่สยาม ธีรวุฒิ และผู้ถูกบังคับให้สูญหายทุกคนในประเทศไทยและภูมิภาค รวมถึงครอบครัวของพวกเขา ที่ยังยืนหยัดเรียกร้องความจริงและความยุติธรรมท่ามกลางความเงียบของรัฐและสังคมส่วนใหญ่

การจดจำชื่อของเขา การเรียบเรียงข้อเท็จจริง และการตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจ คือการไม่ยอมให้ความอยุติธรรม ลบมนุษย์คนหนึ่งออกจากประวัติศาสตร์ ได้สำเร็จ

10. บรรณานุกรมคัดเลือก (Selective Bibliography)

  1. Human Rights Watch. “Thailand: Critics Feared ‘Disappeared’,” 9 May 2019. รายงานเกี่ยวกับการจับกุมสยาม ชูชีพ ชีวสุทธิ์ และกฤษณะ ทัพไทย ในเวียดนาม และข้อสงสัยว่าถูกส่งตัวกลับไทย.
  2. Amnesty International. แถลงการณ์และรายงานเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยไทยในลาว–เวียดนาม และกรณีการส่งตัวกลับไทยของผู้ลี้ภัยการเมืองหลังปี 2557.
  3. Southeast Asia Globe. “The vanishing of Siam Theerawut” – รายงานเชิงลึกว่าด้วยการหายตัวไปของสยามและผลกระทบต่อครอบครัว.
  4. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR). รายงานและบทความหลายชิ้นเกี่ยวกับสยาม ธีรวุฒิ รวมถึงข่าวคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีค่าตอบแทนผู้เสียหาย (2568) และบทความเนื่องในวันครบรอบการหายตัว.
  5. iLaw / TLHR / Prachatai / CrCF. ชุดบทความเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยไทยที่ถูกอุ้มหายในลาว กัมพูชา เวียดนาม รวมทั้งกรณีสุรชัย แซ่ด่าน และวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์.
  6. FIDH & OMCT. รายงานต่อคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการบังคับให้สูญหาย เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยไทยอย่างน้อย 6–9 รายในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง.
  7. UN Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances (WGEID). รายงานประจำปีและจดหมายสื่อสารกับรัฐบาลไทย เกี่ยวกับคดีการบังคับให้สูญหายของผู้ลี้ภัยไทย.
  8. International Commission of Jurists (ICJ). รายงานเกี่ยวกับการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย.
  9. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF). รายงานและข่าวเกี่ยวกับการร้องเรียนของครอบครัวสยามต่อศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และการยุติการสอบสวนในเวลาต่อมา.
  10. US Department of State. Country Reports on Human Rights Practices – Thailand. ส่วนที่กล่าวถึงการอุ้มหาย การทรมาน และการไม่ถูกลงโทษผู้กระทำผิด.
  11. อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการถูกบังคับให้สูญหาย (CED). ข้อความและคำอธิบายนิยาม “การบังคับให้สูญหาย” รวมถึงหลักสิทธิของญาติและเหยื่อ.
  12. Minnesota Protocol on the Investigation of Potentially Unlawful Death. มาตรฐานสากลว่าด้วยการสืบสวนการตายอย่างผิดกฎหมายหรืออย่างน่าสงสัย ใช้อ้างอิงในการวิเคราะห์หน้าที่ของรัฐไทยและเวียดนาม.

The 2025 Thai–Cambodian Border War: Geopolitics, Scam Networks, and the Risk of Defying the United States

The 2025 Thai–Cambodian Border War: Geopolitics, Scam Networks, and the Risk of Defying the United States

The 2025 Thai–Cambodian Border War:

Geopolitics, Transnational Scam Networks, and the Risk of Defying the United States

An analytical essay for scholars and policy practitioners in Thai and Southeast Asian Studies

This article is written from a deliberately non-partisan standpoint. It does not speak “for” Thailand, Cambodia, the United States, or China, but for a research perspective that prioritizes verifiable evidence and the long-term interests of ordinary people on both sides of the border.

Abstract

The resurgence of armed clashes along the Thai–Cambodian border in late 2025, including Thai F-16 airstrikes on Cambodian positions, marked a dramatic breakdown of a ceasefire arrangement brokered with strong pressure from the United States, Malaysia, and China. The escalation unfolded in parallel with an unprecedented crackdown on transnational scam networks in Thailand and Cambodia, centred around a figure publicly identified as Benjamin “Ben Smith” Mauerberger, whose alleged financial and social ties reach into political and business elites on both sides of the frontier. This essay dissects the episode into ten analytical dimensions: the colonial legacy of border making; the conditional ceasefire diplomacy of Donald Trump; the domestic political incentives of Bangkok and Phnom Penh; the role of Chinese weapon systems and security patronage; the entanglement of politics with scam economies; and the broader implications for U.S. strategy and regional order. While the narrative foregrounds Thailand and Cambodia, the central argument is structural: border wars in contemporary mainland Southeast Asia cannot be understood without tracing the interaction between postcolonial boundaries, patron–client politics, asymmetric great-power competition, and increasingly sophisticated transnational criminal networks.

  1. Colonial Cartographies and the Long Shadow of the Preah Vihear Dispute

    The 2025 clashes did not emerge out of an empty landscape. They are the latest flare-up in a century-long dispute rooted in French–Siamese treaties of the early twentieth century, which mapped the frontier along the Dangrek mountain range but often failed to align the legal line with effective demarcation on the ground. Around the Preah Vihear temple complex and adjacent highlands, Thai and Cambodian maps diverge sharply, producing overlapping and competing claims to sovereignty.[1]

    The 1962 judgment of the International Court of Justice (ICJ) awarding the temple itself to Cambodia did not resolve the wider dispute. It confirmed Cambodian sovereignty over the sanctuary, but left large areas of surrounding territory in legal limbo. In the 2000s, Thai nationalist mobilisation against Cambodia’s effort to list Preah Vihear as a UNESCO World Heritage Site turned this cartographic ambiguity into a powerful domestic resource. The temple became, in John Ciorciari’s phrase, an “incendiary symbol” capable of igniting periodic crises whenever political actors found it useful to do so.[2]

    From this vantage point, the 2025 border war is best seen not as an aberration but as the latest “large wave” in a long series of episodes in which unresolved colonial-era borders, combined with domestic politics, give rise to militarised confrontation.

  2. Ceasefire as Economic Leverage: Trump’s Conditional Diplomacy

    In July 2025, as artillery duels and ground skirmishes along the frontier produced mounting casualties and displaced civilians, mediation efforts by Malaysia and China were unable, by themselves, to secure a durable ceasefire. A turning point came when U.S. President Donald Trump reportedly phoned the Thai leadership and linked Thai cooperation on a ceasefire directly to the resumption of trade and tariff negotiations with Washington.[3] In effect, the United States converted a security crisis into an instrument of economic leverage.

    Subsequent U.S. statements suggested that Thailand’s adherence to ceasefire commitments would be treated as an informal condition for favourable tariff arrangements, while Cambodia’s behaviour would be factored into decisions regarding aid, sanctions, and cooperation with international financial institutions.[4] In this sense, the ceasefire was “securitised” in one direction and “commodified” in another.

    Against this backdrop, the decision by both Bangkok and Phnom Penh to accept the risk of being seen as violating the ceasefire in late 2025 signalled a willingness to jeopardise economic benefits from the United States in pursuit of other, less transparent objectives.

  3. F-16s over the Frontier: Escalation and Chinese Rocket Systems

    Thailand’s decision to deploy F-16s to strike Cambodian positions marked a qualitative escalation from the artillery and small-arms engagements that have characterised most previous clashes. According to Thai military sources, the airstrikes targeted sites believed to host heavy artillery and multiple-launch rocket systems, including the Chinese-made PHL-03 and legacy Soviet-designed BM-21 units, which Bangkok claimed could strike deep into Thai territory, including airports and hospitals.[5]

    International media reported that the airstrikes followed the death of a Thai soldier in a blast blamed on renewed Cambodian shelling, and Thai officials framed the operation as a necessary response to Phnom Penh’s alleged violation of prior commitments to withdraw heavy weapons from contested zones.[6] Cambodia countered that the strikes killed several civilians and decried them as disproportionate.

    Beyond the immediate tactical logic, the episode drew attention to the increasingly visible presence of Chinese weapons systems in mainland Southeast Asian conflicts. Thai pilots flying U.S.-origin jets were, in effect, striking at hardware supplied by China. The air war thus became a symbolic confrontation between defence ecosystems as much as between neighbouring states.

  4. Cambodia under the Hun Family: Nationalist Consolidation in a Post-Transition Era

    The 2025 clashes unfolded under the shadow of leadership transition in Cambodia, where Hun Sen had stepped aside in favour of his son, Hun Manet, while retaining extensive informal influence. The new administration faced the dual challenge of consolidating its domestic authority and responding to persistent criticism over human rights abuses, economic inequality, and the concentration of power.

    In such a context, a border confrontation with Thailand offers several political benefits. It allows the government to rally public opinion around an external threat, to portray itself as the guardian of sovereignty, and to redirect attention away from socio-economic grievances. Civilian casualties, deeply tragic in human terms, may be repurposed as evidence of national victimhood in international forums, much as in earlier phases of the Preah Vihear dispute.

    This is not to suggest that Phnom Penh “manufactured” the conflict single-handedly, but rather that the structural incentives of semi-authoritarian regimes make intermittent border tension politically useful — particularly when external patrons can be counted on to mitigate the most severe international consequences.

  5. Bangkok under Anutin: Sovereignty Rhetoric and the Question of Responsibility

    On the Thai side, Prime Minister Anutin Charnvirakul framed the F-16 strikes as a legitimate act of self-defence, insisting that Thailand could not tolerate repeated violations of its territory or threats to civilian populations near the border.[6] He also emphasised that Thailand would not allow outside powers to dictate its security choices, invoking sovereignty to justify decisions taken in defiance of international pressure.

    Yet, once Thailand had explicitly tied its earlier acceptance of a ceasefire to negotiations over tariffs and market access with the United States, the decision to escalate militarily raised serious questions about the government’s sense of responsibility toward those economic commitments. To the extent that future U.S. responses involve tariffs or other forms of economic coercion, it will be ordinary Thai citizens — rather than political elites — who bear the cost.

    An analytically neutral perspective must therefore ask not whether Thai leaders felt “provoked,” but whether they weighed the full spectrum of consequences: strategic, economic, and human.

  6. Scam Economies and the Ben Smith Network: Crime as Structural Context

    Almost in parallel with the border escalation, Thai authorities announced the seizure of more than 300 million U.S. dollars in assets allegedly connected to large-scale transnational scam operations. Investigative reports identified Benjamin “Ben Smith” Mauerberger as a central figure in financial networks that moved funds through real-estate firms, private aviation companies, and a constellation of service businesses across Southeast Asia.[7][8][9]

    While details remain under investigation, reports in Thai and foreign media described overlapping shareholding structures, shared addresses for multiple firms, and patterns of money transfers linking Thailand, Cambodia, and other regional hubs. Fieldwork by journalists and law-enforcement agencies depicted segments of the border region as an “economic frontier” where scam compounds, casinos, and informal logistics networks coexist with impoverished communities and weak state oversight.

    The key analytical point is that such scam economies are not marginal. They rely on the active protection or willful blindness of state officials, and they generate rents that can be reinvested in politics. The Thai–Cambodian border thus becomes, simultaneously, a site of military confrontation and a corridor of criminalised capitalism.

  7. Where Politics Meets Crime: Allegations of Elite Ties across the Border

    In early December 2025, the “Ben Smith” case erupted into parliamentary debate and public controversy. Images circulated of Smith in social settings with prominent political and business figures from both Thailand and Cambodia. Opposition politicians questioned whether Thai authorities had been slow to act because of high-level protection; others asked whether Cambodian facilitation of scam compounds reflected similar entanglements.[10][11][12]

    Prime Minister Anutin acknowledged having met Ben Smith but described him merely as an acquaintance introduced by friends, denying any close relationship and pledging to support investigations wherever they might lead.[10][11] From an analytical distance, the immediate truth of such claims is less important than the structural question they raise: how could a network moving hundreds of millions of dollars operate in and around the Thai–Cambodian frontier without intersecting with political and bureaucratic elites?

    The timing of the military escalation — coming as scrutiny of scam networks intensified — led some observers to speculate that the war, intentionally or not, helped to divert media and public attention. At present this remains a hypothesis, not a proven fact, but it is a hypothesis worth investigating through careful empirical research rather than dismissing as mere conspiracy thinking.

  8. China as Strategic Patron: Weapons, Naval Bases, and Infrastructure

    In the background of the border war stands China, whose security and economic footprint in mainland Southeast Asia has grown dramatically over the past decade. In Cambodia, Chinese support has been crucial for the modernisation of the Ream Naval Base and the expansion of coastal defence capabilities, raising concerns in Washington and among some ASEAN states about a potential Chinese military foothold in the Gulf of Thailand.[13][14] Reports of Chinese-supplied PHL-03 rockets in Cambodian arsenals further illustrate the depth of this security partnership.[5]

    Thailand, though formally allied with the United States, has also deepened its economic and infrastructural ties with China. High-speed rail projects linking China, Laos, and Thailand are emblematic of a broader entanglement under the Belt and Road Initiative (BRI), which provides financing and connectivity but also increases Thai dependence on Chinese capital and markets.[15][16][17]

    When viewed through the lens of asymmetric interdependence, both Thailand and Cambodia thus possess a form of diplomatic insurance: confidence that Beijing will shield them, to some extent, from the harshest Western responses. This may embolden local leaders to take risks — whether military or political — that would be unthinkable in a purely U.S.-dominated regional order.

  9. The Cost of Defiance: Why Challenging U.S. Tariff Threats Is Unlikely to Pay Off

    From a strictly economic perspective, neither Thailand nor Cambodia stands to gain from provoking U.S. displeasure. The United States remains a key export market and a source of investment, technology, and international legitimacy for both countries. Should Washington choose to respond to ceasefire violations with punitive tariffs or other economic measures, the impact on ordinary citizens in terms of employment, prices, and growth could be severe.[3][4]

    Cambodia, while more heavily dependent on China, still relies on Western markets and multilateral institutions. A reputation for disregarding international commitments — whether on ceasefires or on the regulation of scam operations — could expose Phnom Penh to sanctions, reduced aid, or stricter conditions on loans and trade preferences.

    It is therefore difficult to argue that defying U.S. expectations over the border conflict is “rational” from the standpoint of long-term national welfare. It may, however, be rational from the viewpoint of political elites who prioritise short-term regime stability, clientelist networks, and the protection of illicit revenue streams over broader societal interests.

  10. Structural Lessons for Southeast Asia and for U.S. Policy

    For Thai and Cambodian Societies

    The 2025 border war underscores how quickly ambiguous boundaries can be weaponised when democratic oversight is weak and institutions of accountability are fragile. In such settings, frontier zones are more than sites of military confrontation; they are arenas where the interests of political patrons, business conglomerates, and criminal networks intersect.

    Citizens in both countries face a hard question: when governments resort to force, are they defending the lives and dignity of their populations, or the privileges of those who benefit from opaque cross-border economies? The answer will vary from episode to episode, but the question itself should remain central.

    For the United States and the Wider International Community

    For U.S. policymakers, the Thai–Cambodian case offers a cautionary tale about the limits of tying ceasefire agreements narrowly to trade negotiations and tariff incentives. Such linkages can be effective in the short term, but they do not in themselves transform the underlying political economies that make conflict attractive to local elites.

    A more sustainable approach would combine calibrated economic leverage with deeper engagement on issues such as institutional reform, anti-corruption, and the governance of transnational crime. This does not mean imposing external blueprints, but rather supporting local actors who seek to strengthen the rule of law and reduce the permeability between state structures and criminal enterprises.

    More broadly, the 2025 border war illustrates a world in which the line separating state, capital, and criminality has grown increasingly blurred. Great powers compete not only for bases and trade routes, but also for influence over shadow economies that reach from online scam compounds to metropolitan financial centres. Any serious strategy for regional stability must therefore look beyond troop deployments and tariff schedules, and reckon with the dense, often hidden networks that bind borderlands, capitals, and global markets together.

Selected References

  1. Ratcliffe, R. “Why are Thailand and Cambodia engaged in a border conflict?” The Guardian, 24 July 2025.
  2. Ciorciari, J. D. “Thailand and Cambodia: The Battle for Preah Vihear.” Stanford University, 2009.
  3. “Trump’s call broke deadlock in Thailand–Cambodia border crisis.” Reuters, 31 July 2025.
  4. “US pressures Thailand to recommit to Cambodia ceasefire with threat of tariffs.” The Guardian, 15 November 2025.
  5. “China-made rocket among triggers for Thai airstrikes into Cambodia.” Reuters, 8 December 2025.
  6. “Thailand launches airstrikes along disputed border with Cambodia as tensions flare.” The Guardian, 8 December 2025.
  7. “Thailand the new eye of Southeast Asia’s scam centre storm.” Asia Times, December 2025.
  8. “Thailand Seizes $300M in Assets as Scam Crackdown Deepens.” The Diplomat, December 2025.
  9. “Thailand Seizes Over $300M from Transnational Scam Ring.” Khaosod English, 3 December 2025.
  10. “PM admits having merely met Ben Smith as ‘acquaintance’.” Thai Newsroom, 4 December 2025.
  11. “Anutin admits knowing but not being close to ‘Ben Smith’.” Nation Thailand, December 2025.
  12. “Thai PM, Finance Minister Address Photos With Alleged Scam Figure Ben Smith.” Khaosod English, 4 December 2025.
  13. Lowy Institute. “Partnership of Convenience? Ream Naval Base and the Cambodia–China Convergence.” Report, 2024.
  14. CSIS AMTI. “A Tale of Two Reams: Questions Remain at Cambodia’s Growing Naval Base.” Report, 2025.
  15. “Thailand adds last piece in China rail link as bilateral ties get back on track.” South China Morning Post, 6 February 2025.
  16. “China and Thailand to be linked via high-speed rail.” Newsweek, 29 January 2025.
  17. Carnegie Endowment for International Peace. “How Has China’s Belt and Road Initiative Impacted Southeast Asian Countries?” Analytical brief, 2023.
  18. “Thailand and Cambodia reaffirm ceasefire after China-brokered talks.” AP News, 30 July 2025.

จากปากกระบอกปืนสู่รัฐธรรมนูญ 2560: การสถาปนาระบอบกึ่งเผด็จการในนามของ ‘ความมั่นคง

จากปากกระบอกปืนสู่รัฐธรรมนูญ 2560: การสถาปนาระบอบกึ่งเผด็จการในนามของ ‘ความมั่นคง’ จากปากกระบอกปืนสู่รัฐธรรมนูญ 2560: การสถาป...