ต่อไปนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงวิชาการและอิงจากข้อวิจารณ์ที่มีอยู่ในวงสนทนาไม่เป็นทางการ สื่อสากล และกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั้งในและนอกประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ มิใช่เพื่อหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ข้อวิจารณ์อย่างไม่เป็นทางการต่อกษัตริย์วชิราลงกรณ์

1. ด้านพฤติกรรมส่วนตัว

  • การพำนักในต่างประเทศ พระองค์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศเยอรมนี โดยเฉพาะในช่วงปีแรก ๆ ของการครองราชย์ ทำให้เกิดคำวิจารณ์เรื่อง “กษัตริย์ไม่อยู่ในประเทศ” ขณะประชาชนประสบปัญหาโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจ
  • พฤติกรรมส่วนตัวที่สื่อต่างชาตินำเสนอ มีภาพข่าวและรายงานจากสื่อเยอรมัน เช่น Bild และ Süddeutsche Zeitung กล่าวถึงพฤติกรรมส่วนพระองค์ที่ดูไม่เหมาะสมต่อฐานะประมุขแห่งรัฐ เช่น การพำนักในโรงแรมหรูพร้อมผู้ติดตามหญิงจำนวนมาก, การแต่งกายแบบไม่เป็นทางการในพื้นที่สาธารณะ ฯลฯ
  • เรื่อง “เจ้าคุณพระ” และความสัมพันธ์ส่วนตัว การแต่งตั้ง “เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี” ได้รับเสียงวิจารณ์จากสังคมว่าไม่เหมาะสม เพราะพระองค์ทรงแต่งตั้งตำแหน่งเฉพาะตัวในรูปแบบโบราณซึ่งขัดกับหลักความเท่าเทียมในโลกสมัยใหม่ และมีลักษณะคล้ายการใช้ตำแหน่งข้าราชการเป็นเรื่องส่วนตัว

2. ด้านการเมืองและการปกครอง

  • การรวมอำนาจในกองทัพและทรัพย์สิน มีการโอนหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยจากกองทัพมาอยู่ภายใต้พระราชอำนาจโดยตรง (หน่วย ร.๑ ทม.รอ. และ ร.๑๑ ทม.รอ.) ทรัพย์สินของสำนักพระราชวัง (Crown Property Bureau) ได้รับการโอนมาอยู่ภายใต้พระราชอำนาจโดยตรงและถูกเปลี่ยนจาก “ทรัพย์สินของสถาบันกษัตริย์” มาเป็น “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” ซึ่งขัดกับหลักการของระบบรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย
  • การแทรกแซงการเมือง สถาบันพระมหากษัตริย์ควรยืนอยู่เหนือการเมือง แต่มีการวิจารณ์ว่าพระองค์มีบทบาทแฝงต่อการจัดตั้งรัฐบาล และการสนับสนุนผู้นำเผด็จการหลังรัฐประหาร 2557 มีหลักฐานและรายงานว่า พระองค์ทรงอนุมัติแต่งตั้งวุฒิสมาชิกและมีผลต่อการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในปี 2562

3. การละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากล (Universal Declaration of Human Rights)

  • การสนับสนุนมาตรา 112 และการไม่ยับยั้งการใช้ มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาของไทย (หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) ถูกใช้เพื่อจับกุมและดำเนินคดีประชาชนที่วิจารณ์สถาบันฯ โดยมีโทษรุนแรง (3–15 ปีต่อข้อหา) → ขัดกับมาตรา 19 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) ที่ระบุเรื่อง เสรีภาพในการแสดงออก
  • การไม่ทรงแสดงออกถึงเจตจำนงในการปฏิรูปสถาบันตามเสียงประชาชน กลุ่มเยาวชนปลดแอกและคณะราษฎร 2563 เคยยื่นข้อเสนอ 10 ข้อในการปฏิรูปสถาบันฯ แต่ไม่มีการตอบสนองหรือการแสดงความเปิดกว้างจากฝั่งสถาบัน
  • การไม่เข้าแทรกแซงเมื่อรัฐใช้ความรุนแรงต่อประชาชน หลายเหตุการณ์ เช่น การสลายการชุมนุมปี 2563 มีเสียงเรียกร้องให้สถาบันฯ แสดงจุดยืนต่อการใช้ความรุนแรงของรัฐต่อประชาชน แต่กลับไม่มีการตรัสหรือแสดงออกใด ๆ จึงถูกมองว่า “นิ่งเฉย” หรือ “สนับสนุนโดยปริยาย”

4. การแสดงออกด้านสัญลักษณ์อำนาจและการสร้างความเกรงขาม

  • การโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลใกล้ชิด เช่น เจ้าคุณพระฯ หรือหญิงในราชสำนัก ด้วยตำแหน่งและยศทหารอย่างเป็นทางการ ถูกวิจารณ์ว่าใช้กองทัพและระบบราชการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
  • การเปลี่ยนชื่อพระบรมราชานุสาวรีย์ หรือถอดพระบรมฉายาลักษณ์ของอดีตกษัตริย์บางพระองค์ในสถานที่ราชการ ถือเป็นการ “ปรับภาพจำของสถาบัน” ใหม่เพื่อยกระดับตนเอง

5. ชีวิตส่วนตัวในต่างแดนและปฏิกิริยาของรัฐต่างประเทศ

  • เยอรมนีในฐานะที่พำนักหลัก มีรายงานว่าพระองค์ทรงอยู่ในโรงแรม Grand Hotel Sonnenbichl เมือง Garmisch-Partenkirchen พร้อมข้าราชบริพารและหญิงติดตามจำนวนมาก ทางการเยอรมันเคยตั้งคำถามในรัฐสภาว่า "กษัตริย์ไทยสามารถใช้อำนาจบริหารจากแผ่นดินเยอรมนีได้หรือไม่?" ซึ่งเข้าข่ายละเมิดอธิปไตยของรัฐเจ้าบ้าน รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี Heiko Maas เคยระบุว่า “เราจะไม่ยอมให้กษัตริย์ไทยบริหารประเทศจากดินแดนเยอรมัน”
  • การเดินทางและภาพลักษณ์สาธารณะ มีภาพของพระองค์ในชุดครอปท็อป เสื้อกล้าม หรือกางเกงยีนส์ขาสั้นในห้างสรรพสินค้า ซึ่งถูกเผยแพร่ในสื่อต่างประเทศและเป็นที่วิจารณ์ว่าขัดต่อความสง่างามของพระราชอิสริยยศ

6. การจัดโครงสร้างราชสำนักแบบย้อนยุคอำนาจเบ็ดเสร็จ

  • การคืนอำนาจให้กับกษัตริย์ในเชิงโครงสร้าง มีการออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อขอคืนอำนาจหลายเรื่อง เช่น กฎหมายที่เคยถูกตราไว้ว่าไม่ให้กษัตริย์มีอำนาจลงพระปรมาภิไธยโดยไม่ผ่านคณะรัฐมนตรี → พระองค์ทรงคืนอำนาจลงพระปรมาภิไธยโดยตรงในหลายกรณี ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญปี 2560 มีการแก้ไขให้ “สามารถประกาศกฎหมายได้แม้กษัตริย์จะไม่ประทับในประเทศ” ซึ่งถูกมองว่า “ร่างตามความประสงค์ของพระองค์”
  • ข้าราชบริพารหญิงในระบบใหม่ การปรากฏตัวของข้าราชบริพารหญิงที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายชัดเจน แต่ได้รับยศทหารและตำแหน่งราชการ ทำให้เกิดคำถามว่าเป็นการ “รวมอำนาจส่วนตัวกับระบบราชการ” แบบที่ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล

7. ทรัพย์สินและความไม่โปร่งใสของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (CPB)

  • การโอนทรัพย์สินมาเป็นของส่วนพระองค์ เดิม CPB ดูแลทรัพย์สินของสถาบันกษัตริย์ในนามประเทศ (คล้ายทรัพย์สินแห่งรัฐ) ในปี 2561 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้แก้กฎหมายให้ CPB อยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์โดยตรง และทรัพย์สินกลายเป็น “ส่วนพระองค์” มีการตั้งข้อสังเกตว่า ทรัพย์สินนี้อาจมีมูลค่ามากกว่า 40,000–60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ขึ้นอยู่กับการประเมิน) และเป็นหนึ่งในการโอนทรัพย์สินสาธารณะสู่ส่วนบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยไม่มีการตรวจสอบสาธารณะ
  • ไม่มีระบบตรวจสอบหรือรายงานบัญชีสาธารณะ CPB ไม่มีหน้าที่รายงานต่อรัฐสภา ไม่มีการเปิดเผยบัญชีทางการเงิน และไม่ต้องเสียภาษี

8. ความเงียบต่อการลักพาตัวและคุกคามผู้ลี้ภัย

  • มีนักเคลื่อนไหวไทยในลาวและกัมพูชาหลายคน เช่น วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์, สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์, กาสะลอง, และ ชูชีพ หายตัวไปอย่างลึกลับ
  • พระองค์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ไม่เคยมีถ้อยแถลงแสดงความห่วงใยหรือเรียกร้องการสอบสวน ทั้งที่ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์สิทธิมนุษยชนไทย
  • สิ่งนี้นำไปสู่ข้อกล่าวหาว่า "อาจรับรู้หรือยอมรับโดยปริยายต่อการอุ้มฆ่า" ซึ่งขัดกับมาตรา 3, 5, 9 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

9. บทบาทเชิงสัญลักษณ์ในระบอบประชาธิปไตยแบบไทย

  • ไม่ทรงยับยั้งการทำรัฐประหารปี 2557 ต่างจากอดีตที่กษัตริย์ภูมิพลเคยทรงเป็นตัวกลางยุติความขัดแย้งหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์พฤษภา 2535 ปี 2557 พระองค์ไม่เพียงไม่ทรงขัดขวาง แต่ยังรับรองการแต่งตั้งผู้นำรัฐประหารอย่าง “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดคำถามว่า “สถาบันกษัตริย์ยังยืนอยู่เหนือการเมืองจริงหรือไม่”
  • การเปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้ปกป้องประชาชน" เป็น "ผู้ปกป้องระเบียบเดิม" กลุ่มประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะเยาวชน ตั้งคำถามว่า สถาบันฯ ยังเป็นศูนย์รวมใจของชาติได้จริงหรือไม่ หากไม่สะท้อนเสียงประชาชน

10. ความแตกต่างเชิงบุคลิกภาพเมื่อเทียบกับในหลวงรัชกาลก่อน

  • พระราชจริยวัตรและบุคลิกของรัชกาลที่ 10 ถูกเปรียบเทียบอย่างหนักกับรัชกาลที่ 9
  • พระองค์ทรงไม่มีพระราชดำรัสหรือโครงการพัฒนาชัดเจนอย่างต่อเนื่องที่ประชาชนรู้สึกมีส่วนร่วม
  • ส่งผลต่อความนิยมและความเชื่อมั่นต่อสถาบันโดยรวม โดยเฉพาะในรุ่นคนหนุ่มสาว