ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Saturday, November 8, 2025

“คนไทย” กับการประดิษฐ์ชาติ: การทับซ้อนของอัตลักษณ์กับอำนาจ (บทความก้อม วิชาการชาวบ้าน)

“คนไทย” กับการประดิษฐ์ชาติ: การทับซ้อนของอัตลักษณ์กับอำนาจ

“คนไทย” กับการประดิษฐ์ชาติ: การทับซ้อนของอัตลักษณ์กับอำนาจ

โดย คันฉ่องส่องไทย · เผยแพร่บนเว็บไซต์ส่วนตัว · 2025

บทคัดย่อ (Abstract)

บทความนี้ตั้งคำถามต่อแนวคิด “คนไทย” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นอัตลักษณ์ดั้งเดิมของประชาชนในประเทศไทย ทั้งที่ในความเป็นจริง “ความเป็นไทย” เป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐศูนย์กลางเพื่อรวมอำนาจและสร้างเอกภาพทางการเมืองในช่วงศตวรรษที่ 19–20 การวิเคราะห์นี้อาศัยกรอบแนวคิด Imagined Communities ของ Benedict Anderson และแนววิเคราะห์เชิงหลังอาณานิคม (postcolonial analysis) เพื่อชี้ให้เห็นว่า “ชาติไทย” เป็นสิ่งที่ถูกจินตนาการขึ้นมาโดยชนชั้นนำและได้รับการสืบทอดผ่านระบบการศึกษา ศาสนา และวาทกรรม “รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์” การเข้าใจรากทางการเมืองของ “ความเป็นไทย” จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อยตนเองจากอำนาจที่ปิดกั้นความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม

1. การสร้างชาติและการกำเนิด “คนไทย”

แนวคิด “คนไทย” มิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หากถูกผลิตขึ้นในช่วงการปฏิรูปรัฐสมัยรัชกาลที่ 5 ภายใต้แรงกดดันของจักรวรรดินิยมตะวันตก สยามในขณะนั้นต้องรวบรวมดินแดนหลากหลายเชื้อชาติ—ล้านนา ลาว มลายู เขมร มอญ จีน ฯลฯ—เข้ามาอยู่ภายใต้รัฐเดียว เพื่อสร้าง “เอกภาพแห่งอาณาจักร” และป้องกันการตกเป็นอาณานิคม

รัฐศูนย์กลางจึงใช้เครื่องมือทางสถาบัน เช่น ระบบราชการ การศึกษา และกฎหมาย เพื่อกลืนให้ทุกท้องถิ่น “กลายเป็นไทย” ภาษาไทยกลางถูกยกให้เป็นภาษาของชาติ ศิลปวัฒนธรรมและความเชื่อของท้องถิ่นถูกลดชั้นให้เป็นเพียง “ของพื้นบ้าน” ขณะที่พิธีกรรมและศิลปะจากราชสำนักถูกยกให้เป็น “ไทยแท้”

2. “ความเป็นไทย” ในฐานะกลไกควบคุม

โครงการสร้าง “ชาติไทย” ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงสร้างเอกภาพทางวัฒนธรรม แต่ยังเป็นการสร้าง “ความชอบธรรมทางการเมือง” ให้แก่ชนชั้นปกครอง การผูกคำว่า “ชาติ–ศาสนา–พระมหากษัตริย์” เข้าด้วยกันทำให้การตั้งคำถามต่อสถาบันหรือรัฐกลายเป็น “การทรยศต่อชาติ”

การอ้าง “ความเป็นไทย” จึงไม่ใช่เรื่องอัตลักษณ์ล้วน ๆ แต่เป็นการวางโครงควบคุมความคิด เพื่อให้ประชาชนยอมรับอำนาจที่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์

ระบบการศึกษาถูกออกแบบให้ประชาชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในแบบราชาชาตินิยม เช่น สยามเป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรมและความดีงาม ขณะที่เพื่อนบ้านถูกมองเป็น “ผู้รุกราน” หรือ “ผู้ด้อยกว่า” ส่งผลให้เกิดความเข้าใจแบบแคบและปิดกั้นการมองเห็นรากเหง้าร่วมของภูมิภาค

3. การกลืนและการทำให้ลืม

เมื่อ “ความเป็นไทย” ถูกทำให้เป็นมาตรฐานกลาง อัตลักษณ์อื่น ๆ ถูกทำให้หายไปอย่างเป็นระบบ วัฒนธรรมล้านนาและอีสานถูกมองว่า “ไม่สุภาพ” หรือ “ไม่ถูกหลักภาษาไทยกลาง” ประวัติศาสตร์ของรัฐปัตตานีและหัวเมืองมลายูถูกตัดออกจากแบบเรียน ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่รู้ว่าพื้นที่เหล่านั้นเคยมีรัฐและระเบียบสังคมของตนเองก่อนการรวมศูนย์

การกลืนเช่นนี้มิใช่เพียงเรื่องภาษา หากเป็นการทำลายหน่วยความจำทางวัฒนธรรม (cultural memory) เพื่อให้ทุกคนมองตนเองผ่านกรอบเดียว—คือ “ไทย” ในความหมายของรัฐ

4. ชาติ: ชุมชนจินตกรรมและการครอบงำทางความคิด

ตามแนวคิดของ Benedict Anderson ชาติคือ “ชุมชนจินตกรรม” ที่ประชาชนเชื่อว่ามีความเป็นหนึ่งเดียว ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันจริง “ความเป็นไทย” ก็เช่นเดียวกัน — เป็นผลจากการจินตนาการร่วมผ่านสื่อ พิธีกรรม เพลงชาติ และคำสอนทางศาสนา

แต่ในบริบทไทย ชุมชนจินตกรรมนี้มักเป็น “ชุมชนภายใต้การบังคับให้จินตนาการ” (enforced imagination) เพราะรัฐเป็นผู้กำหนดว่าจะจินตนาการชาติอย่างไร ใครเป็นคนดีของชาติ และใครเป็นภัยต่อชาติ

5. รักชาติด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยความกลัว

การรักชาติอย่างแท้จริงจึงไม่ใช่การยอมรับทุกสิ่งที่รัฐนิยาม แต่คือการรักบนฐานของความจริงและความยุติธรรม การรักชาติที่ไม่ยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมคือการทำลายชาติจากภายใน การฟื้นฟู “ความเป็นไทย” จึงต้องเริ่มจากการคืนพื้นที่ให้เสียงของทุกกลุ่มชาติพันธุ์และความคิดที่แตกต่าง

6. บทสรุป: ความเป็นไทยในอนาคต

หากเรายอมรับว่าชาติเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น เราก็สามารถ “สร้างใหม่” ได้เสมอ — สร้างชาติที่เคารพความหลากหลาย ไม่กีดกันความแตกต่าง ไม่ยัดเยียดให้ทุกคนต้องเป็น “ไทยแบบเดียวกัน” นั่นต่างหากคือ “ความเป็นไทย” ที่มีศักดิ์ศรีของมนุษย์และสอดคล้องกับยุคประชาธิปไตย

บรรณานุกรมเบื้องต้น

  • Anderson, Benedict. Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread of Nationalism. Verso, 1983.
  • Winichakul, Thongchai. Siam Mapped: A History of the Geo-Body of a Nation. University of Hawaii Press, 1994.
  • Keyes, Charles. Thailand: Buddhist Kingdom as Modern Nation-State. Westview Press, 1987.
  • Reynolds, Craig J. National Identity and Its Defenders: Thailand, 1939–1989. Silkworm Books, 1991.
  • ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. การเมืองไทยสมัยรัชกาลที่ 5. สำนักพิมพ์มติชน, 2545.
  • ณัฐพล ใจจริง. ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี. ฟ้าเดียวกัน, 2563.

© 2025 เผยแพร่เพื่อการศึกษาและการตั้งคำถามเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับรัฐไทย

ขอบคุณภาพจากมติชนรายสัปดาห์



สำหรับคอวิชาการที่อยากอ่านสาระเพิ่ม “คนไทย”: การประดิษฐ์ชาติและการปกครองด้วยอัตลักษณ์

“คนไทย”: การประดิษฐ์ชาติและการปกครองด้วยอัตลักษณ์

โดย คันฉ่องส่องไทย (Kanchong Songthai) · ในนามเครือข่ายความรู้ของ มหาวิทยาลัยประชาชน (People’s University) และ Education for Peace Foundation · เผยแพร่ครั้งแรก: 2025

Abstract

This article critically examines the category “khon Thai” (“Thai people”) as a historically constructed identity rather than an ahistorical and primordial essence. Building on Anderson’s concept of imagined communities, Hobsbawm’s notion of invented traditions, and Thongchai Winichakul’s analysis of the geo-body of Siam, the article argues that “Thainess” emerged as part of the late 19th–early 20th century state-making project, aimed at centralizing power, defending territorial integrity against colonial pressures, and disciplining diverse cultural groups into a single national subject. The paper further contends that the Thai state has deployed identity as a political technology — through education, royal-nationalist historiography, language standardization, and moral–religious discourses — to delimit legitimate political speech and to render alternative historical memories invisible. The conclusion proposes a pluralistic and civic-oriented understanding of “Thainess” that acknowledges multiple historical polities and cultural lineages within present-day Thailand.

Keywords: Thainess; nation-building; imagined community; geo-body; identity and power; postcolonial Thailand

1. บทนำ

ความคิดเรื่อง “คนไทย” เป็นหนึ่งในวาทกรรมที่ทรงอิทธิพลที่สุดต่อการจัดระเบียบความรับรู้ของสังคมไทยยุคใหม่ ทว่าความคิดนี้กลับถูกใช้อย่างกว้างขวางราวกับเป็นข้อเท็จจริงทางธรรมชาติ ไม่มีการตั้งคำถามว่าอัตลักษณ์ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเมื่อใด ใครเป็นผู้มีอำนาจนิยาม และเหตุใดจึงมีอำนาจครอบงำเหนืออัตลักษณ์ย่อยอื่น ๆ อาทิ คนลาว คนล้านนา คนปัตตานี-มลายู หรือชุมชนจีนสยาม บทความนี้มีจุดมุ่งหมายในการรื้อถอน (de-naturalize) ภาพลวงดังกล่าว และอธิบายให้เห็นว่า “คนไทย” เป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ที่ผูกพันอย่างลึกซึ้งกับการสร้างรัฐชาติ การรวมศูนย์อำนาจ และการใช้อัตลักษณ์เป็นเทคโนโลยีทางการเมือง

ถ้าเรายอมรับว่าชาติเป็นสิ่งที่ถูกจินตนาการ (imagined) ดังที่ Benedict Anderson (1983) เสนอ การวิเคราะห์ “คนไทย” ก็จำเป็นต้องจัดวางในกรอบเดียวกัน กล่าวคือ ต้องมองมันในฐานะ “รูปแบบการจินตนาการร่วมที่ถูกทำให้เป็นทางการโดยรัฐ” มากกว่าจะเป็นคำอธิบายทางชาติพันธุ์ที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางมานุษยวิทยา ในบริบทไทย จุดหักเหสำคัญอยู่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งรัฐสยามต้องเผชิญแรงกดดันจากจักรวรรดินิยมตะวันตก การกำหนดอธิปไตยเหนือดินแดน (territorial sovereignty) และการสร้างประชากรที่ภักดีต่อรัฐเดียวกันจึงกลายเป็นวาระระยะยาวของชนชั้นนำ

ดังนั้น บทความนี้จะชี้ว่า “คนไทย” มิได้เป็นเพียงคำเรียกประชากรในทางสถิติ แต่เป็น “อัตลักษณ์ทางการเมือง” (political identity) ที่รัฐใช้สร้างความชอบธรรมของตนเอง และใช้เป็นเส้นแบ่งระหว่าง “ผู้จงรักภักดี” กับ “ผู้เบี่ยงเบน” ในพื้นที่ความคิดและการแสดงออก

2. กรอบแนวคิดทางทฤษฎี

การวิเคราะห์นี้ยืนบนสามเสาหลักทางทฤษฎี ได้แก่ (1) แนวคิด “ชุมชนจินตกรรม” ของ Benedict Anderson (1983) ซึ่งอธิบายว่าชาติสมัยใหม่เกิดจากการที่ผู้คนจำนวนมากที่ไม่รู้จักกันถูกทำให้จินตนาการว่าตนเป็นสมาชิกชุมชนเดียวกัน ผ่านภาษา สื่อ และสถาบัน (2) แนวคิด “ประเพณีที่ถูกประดิษฐ์” (invented traditions) ของ Eric Hobsbawm (1983) ซึ่งชี้ว่าหลายสิ่งที่ถูกอ้างว่าเป็นของดั้งเดิมนั้นจริง ๆ แล้วสร้างขึ้นใหม่เพื่อรองรับรัฐสมัยใหม่ และ (3) งานของธงชัย วินิจจะกูล (1994) ว่าด้วย “ร่างภูมิกายาของชาติ” (geo-body) ที่ทำให้เราเข้าใจว่าดินแดนไทยในปัจจุบันคือผลของการทำให้พื้นที่มีความหมายทางการเมือง

นอกจากนั้น บทความยังอาศัยกรอบของ Michel Foucault ว่าด้วยอำนาจแบบวินัย (disciplinary power) และอำนาจแบบปกครองชีพ (governmentality) ในการอธิบายว่ารัฐไทยไม่ได้ใช้อำนาจผ่านการบังคับด้วยกำลังเท่านั้น หากยังใช้อำนาจผ่านหลักสูตรการศึกษา ประวัติศาสตร์ชาติแบบราชาชาตินิยม พิธีกรรมรัฐ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อผลิต “ตัวแบบพลเมืองไทย” ที่เชื่อง สยบยอม และมีขอบเขตการพูดที่จำกัด

3. การสร้างรัฐและอัตลักษณ์ “คนไทย” ในประวัติศาสตร์

การก่อรูปของ “คนไทย” สัมพันธ์โดยตรงกับกระบวนการสร้างรัฐสมัยใหม่ของสยามในช่วงรัชกาลที่ 5 การปฏิรูปการปกครอง พ.ศ. 2435 (ร.ศ. 111) ที่เปลี่ยนหัวเมืองประเทศราชเป็นมณฑลเทศาภิบาล ทำให้พื้นที่ที่เคยมีความเป็นอิสระสูง เช่น ล้านนา ปัตตานี อีสาน ถูกดึงเข้าสู่การควบคุมของรัฐส่วนกลางอย่างเป็นระบบ การสร้างระบบราชการ การจัดเก็บภาษี การเกณฑ์ทหาร และการใช้อำนาจตุลาการแบบรวมศูนย์ ล้วนมีผลทางอ้อมต่อการทำให้ประชากรเหล่านี้ “กลายเป็นราษฎรของสยาม” แทนที่จะเป็นพลเมืองของรัฐท้องถิ่นเดิม

ต่อมาในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2482 เป็นต้นไป) การเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” ไม่ได้เป็นเพียงการปรับปรุงสำนวน หากเป็นการเลื่อนฐานคิดจาก “รัฐราชวงศ์ที่มีไพร่ฟ้าหลากชาติพันธุ์” ไปสู่ “รัฐชาติที่มีพลเมืองเชื้อชาติไทย” การออกประกาศวัฒนธรรม การส่งเสริมภาษาไทยกลาง การกำหนดมารยาทและการแต่งกายแบบรัฐนิยม ล้วนสะท้อนความพยายามสร้าง “ชาติที่เป็นเนื้อเดียว” (cultural homogenization) ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของชาติพันธุ์นิยมสมัยใหม่ (modern ethnic nationalism)

ในระดับประวัติศาสตร์ภูมิภาค แนวโน้มนี้ยังสัมพันธ์กับการทำสนธิสัญญากับมหาอำนาจตะวันตกที่บังคับให้สยามกำหนดเขตแดนชัดเจน การนิยามว่าใครอยู่ในและนอกเขตแดนนี้ นำไปสู่ภาวะที่ผู้คนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ถูกเหมารวมว่าเป็น “ไทย” แม้จะไม่มีประสบการณ์วัฒนธรรมแบบกลางมาก่อน

4. “ความเป็นไทย” กับอำนาจการปกครองและวาทกรรมรัฐ

เมื่อรัฐสมัยใหม่มุ่งรวมดินแดนและประชากรสำเร็จ ขั้นตอนถัดมาคือการสร้าง “จิตสำนึกชาติ” (national consciousness) ให้ผู้คนรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของชาติเดียวกัน สิ่งนี้กระทำผ่านโรงเรียน วัด ระบบสื่อของรัฐ และพิธีกรรมสาธารณะ เช่น การเคารพธงชาติและการร้องเพลงชาติพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งล้วนเป็นตัวอย่างของ “ประเพณีที่ถูกประดิษฐ์” (Hobsbawm 1983) ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความต่อเนื่องทางอารมณ์ระหว่างประชาชนกับรัฐ

วาทกรรม “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ทำหน้าที่เป็นกรอบอุดมการณ์หลักของรัฐไทยสมัยใหม่ กล่าวคือ ชาติถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์จนไม่อาจวิจารณ์ พระมหากษัตริย์ถูกวางไว้ในฐานะศูนย์รวมของชาติ และพุทธศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือด้านศีลธรรมเพื่ออบรมให้พลเมืองเป็น “คนดีของชาติ” เมื่อองค์ประกอบทั้งสามนี้ถูกร้อยเข้าด้วยกัน การคัดค้านระบอบการเมืองที่เป็นอยู่จึงถูกตีความได้ง่ายว่าเป็นการคัดค้านชาติด้วย

ที่สำคัญ รัฐไทยยังใช้อัตลักษณ์เป็นเครื่องมือนิยาม “ศัตรูภายใน” โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น ซึ่งรัฐใช้คำว่า “คอมมิวนิสต์” และ “ไม่รักชาติ” เพื่อลดทอนความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เช่นเดียวกับในยุคปัจจุบันที่บุคคลหรือกลุ่มที่วิพากษ์สถาบันกษัตริย์อาจถูกกล่าวหาว่า “ไม่ใช่คนไทยแท้” จึงเห็นได้ว่าความเป็นไทยในเชิงวาทกรรมมีฟังก์ชันทางการเมืองอย่างชัดเจน

5. การลืมและการทำให้หลากหลายกลายเป็นหนึ่ง

ปรากฏการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งของการสร้าง “คนไทย” คือการทำให้ประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ย่อยถูกกลบเลือน (historical silencing) ตัวอย่างเช่น ในภาคอีสาน กลุ่มคนที่พูดภาษาไท-ลาวเป็นจำนวนมากถูกเปลี่ยนสถานะจาก “คนลาว” ให้กลายเป็น “คนไทยภาคอีสาน” ผ่านระบบโรงเรียนและการห้ามใช้ภาษาท้องถิ่นในพื้นที่ทางการ อันที่จริงงานของ Charles Keyes (1987) และ Andrew Walker (2012) แสดงให้เห็นว่าอีสานมีพลวัตทางการเมืองและเศรษฐกิจของตนเอง แต่รัฐไทยเลือกเล่าอีสานในฐานะ “ชายขอบที่จงรักภักดี”

ในภาคใต้ตอนล่าง ประวัติศาสตร์ของรัฐปัตตานีซึ่งเคยเป็นรัฐมลายูมุสลิมที่มีอำนาจและเครือข่ายการค้าเป็นของตนเอง ถูกลดทอนให้เหลือเพียง “หัวเมืองมลายูที่ก่อกบฏ” ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย ความทรงจำเกี่ยวกับความรุ่งเรืองของปัตตานีจึงถูกกันออกจาก “ประวัติศาสตร์แห่งชาติ” การไม่ยอมรับประวัติศาสตร์ย่อยเหล่านี้ทำให้ความขัดแย้งทางอัตลักษณ์ดำรงอยู่ยาวนาน

กรณีล้านนาก็คล้ายกัน การที่อักษรธรรมล้านนาถูกกันออกจากระบบการศึกษาแบบรัฐ ทำให้คนรุ่นใหม่เชื่อว่า “ภาษาไทยกลางคือมาตรฐานเดียวของความเป็นไทย” ทั้งที่ในอดีต ดินแดนนี้มีสถาบันกษัตริย์ วรรณกรรม และระบบกฎหมายเป็นของตนเอง การทำให้ความหลากหลายหายไปเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการทำให้กลายเป็นหนึ่งเดียวเชิงวัฒนธรรม” (cultural unification project) ของรัฐชาติไทย

6. วิวัฒน์ของ “คนไทย” ภายใต้บริบทโลกสมัยใหม่

แม้รัฐไทยจะพยายามตรึงความหมายของ “ความเป็นไทย” ให้คงที่ แต่กระแสโลกาภิวัตน์ การเคลื่อนย้ายแรงงาน การสื่อสารดิจิทัล และการเมืองประชาธิปไตยแบบใหม่ ได้ทำให้ประชากรกลุ่มต่าง ๆ เริ่มตั้งคำถามต่อวาทกรรมชาติแบบเดิม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงองค์ความรู้ข้ามชาติ พวกเขามองว่าอัตลักษณ์ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับชาติแบบชาติพันธุ์ (ethnic nation) แต่อาจผูกกับหลักสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมทางสังคม หรือประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม

ในเชิงทฤษฎี แนวคิดของ Jürgen Habermas ว่าด้วย “constitutional patriotism” เสนอว่าความรักชาติแบบใหม่ควรตั้งอยู่บนการยึดมั่นในรัฐธรรมนูญและสิทธิของปัจเจก มากกว่าการยึดถือสายเลือดหรือชาติพันธุ์ หากนำมาปรับใช้กับไทย ก็อาจหมายความว่า การเป็น “คนไทย” ควรหมายถึงการเคารพสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีของกันและกัน มากกว่าการสยบยอมต่ออุดมการณ์ที่รัฐกำหนดฝ่ายเดียว

นอกจากนี้ การที่ไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมโดยข้อเท็จจริง แต่กลับดำเนินนโยบายชาติแบบเอกวัฒนธรรม (mono-cultural nationalism) ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างรัฐกับพลเมือง ตัวอย่างนโยบายของแคนาดา หรือสโลแกน “Bhinneka Tunggal Ika” ของอินโดนีเซีย แสดงให้เห็นว่ารัฐชาติสามารถยอมรับความหลากหลายและสร้างเอกภาพไปพร้อมกันได้ ซึ่งเป็นบทเรียนที่ไทยควรพิจารณา

7. บทสรุป

การทำความเข้าใจ “คนไทย” ในฐานะอัตลักษณ์ที่ถูกประดิษฐ์ มิได้มีเป้าหมายเพื่อลบล้างชาติหรือบ่อนทำลายความเป็นปึกแผ่นของสังคม หากเพื่อเปิดเผยเงื่อนไขทางอำนาจที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธินิยามชาติและกำหนดว่าใคร “พึงเป็นไทย” และใคร “เป็นอื่น” การรู้เท่าทันกระบวนการสร้างชาติจะทำให้เราสามารถออกแบบ “ความเป็นไทยแบบใหม่” ที่เปิดกว้าง เป็นประชาธิปไตย และรับใช้ประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ใช่เฉพาะชนชั้นนำหรือวาทกรรมแบบรัฐนิยมเท่านั้น

ในอนาคต หากสังคมไทยเลือกเคลื่อนไปสู่ประชาธิปไตย substantive ที่แท้จริง ความเป็นไทยจะต้องถูกปลดจากการผูกขาดของรัฐและชนชั้นนำ แล้วคืนให้เป็นพื้นที่ต่อรองร่วมกันของประชาชนทุกส่วน การรักชาติในความหมายใหม่นี้จึงมิใช่การยอมจำนนต่ออำนาจ แต่คือการยืนยันสิทธิของทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินนี้ให้ได้รับการมองเห็นในประวัติศาสตร์ชาติ

บรรณานุกรม

  • Anderson, Benedict. 1983. Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread of Nationalism. London: Verso.
  • Hobsbawm, Eric, and Terence Ranger, eds. 1983. The Invention of Tradition. Cambridge: Cambridge University Press.
  • Winichakul, Thongchai. 1994. Siam Mapped: A History of the Geo-Body of a Nation. Honolulu: University of Hawai‘i Press.
  • Keyes, Charles F. 1987. “Thailand: Buddhist Kingdom as Modern Nation-State.” Boulder, CO: Westview Press.
  • Reynolds, Craig J. 1991. National Identity and Its Defenders: Thailand 1939–1989. Chiang Mai: Silkworm Books.
  • Walker, Andrew. 2012. Thailand’s Political Peasants: Power in the Modern Rural Economy. Madison: University of Wisconsin Press.
  • ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. 2545. การเมืองไทยสมัยรัชกาลที่ 5. กรุงเทพฯ: มติชน.
  • ณัฐพล ใจจริง. 2563. ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี. กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน.

© 2025 คันฉ่องส่องไทย · มหาวิทยาลัยประชาชน · Education for Peace Foundation — เผยแพร่เพื่อการศึกษา วิพากษ์ และการคืนความทรงจำให้แก่ประชาชน

Wednesday, November 5, 2025

🗽 Mamdani’s Core Campaign Promises & Communism-Aligned Attributes


Zohran Mamdani’s key promises as NYC mayor focus on affordability, equity, and progressive reform.
Here are the main policies he pledged during his campaign:



  Freeze rents citywide  

To combat the housing crisis, Mamdani proposed halting rent increases for all tenants across New York City A B.

  Make public buses free  

He aims to eliminate fares on city buses to improve accessibility and reduce transportation costs A.

  Raise the minimum wage  

Mamdani supports increasing the city’s minimum wage to better reflect the cost of living A.

  Tax the wealthy more aggressively  

He plans to raise taxes on New York’s richest residents to fund public services and reduce inequality A.


  Expand affordable childcare  

His platform includes increasing access to low-cost childcare to support working families C.

  Support solidarity economies  

Mamdani advocates for cooperative business models and community-owned enterprises to empower local neighborhoods C.

  Oppose ICE and Trump-era immigration policies  

He has pledged to dismantle systems that enable federal immigration enforcement in NYC and position himself as “Trump’s worst nightmare” D.

  Support Palestinian rights and criticize Israeli policies  

Mamdani has taken a strong stance on international issues, particularly advocating for Palestinian rights D.


🔍 Communism-Aligned Attributes in Mamdani’s Policies


  Collective ownership and redistribution of wealth

  ⁠◦  Policy: Taxing the wealthy more aggressively

  ⁠◦  Communist parallel: Emphasizes reducing income inequality through redistribution of resources from the rich to the working class.

  Universal access to essential services

  ⁠◦  Policy: Free public buses and expanded affordable childcare

  ⁠◦  Communist parallel: Advocates for state-provided services to ensure equal access regardless of income.

  Housing as a human right

  ⁠◦  Policy: Citywide rent freeze

  ⁠◦  Communist parallel: Rejects housing as a commodity; supports government intervention to protect tenants and prevent profit-driven exploitation.

  Worker empowerment and solidarity economies

  ⁠◦  Policy: Support for cooperative businesses and solidarity economies

  ⁠◦  Communist parallel: Promotes collective ownership and democratic control of production, aligning with Marxist ideas of worker-led enterprises.

  Anti-imperialism and international solidarity

  ⁠◦  Policy: Support for Palestinian rights and criticism of U.S. foreign policy

  ⁠◦  Communist parallel: Reflects anti-colonial and anti-imperialist stances often found in leftist movements globally.



Tuesday, November 4, 2025

คนเสื้อแดง ตายเพราะทหารยิง หรือชายชุดดำฆ่า? ความจริงที่คนไทยต้องรับรู้

 


1) ข้อเท็จจริงตั้งต้นจากรายงานของรัฐเอง

คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (TRCT/กสมส.) ที่รัฐบาลตั้งเอง รายงานเมื่อปี 2555 ว่าเหตุการณ์ เม.ย.–พ.ค. 2553 มีผู้เสียชีวิตราว 92 คน และบาดเจ็บกว่า 2,000 คน และระบุชัดว่าการปฏิบัติการของฝ่ายความมั่นคงเป็น “ปัจจัยสำคัญ” ของการตายจำนวนมาก ไม่ใช่ตายเอง หรือยิงกันเองทั้งหมดอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อบางสายพูดไว้. CSIS

นี่คือหลักฐานระดับ “รัฐรับรู้และบันทึกไว้แล้ว” ว่ามีการใช้กำลังทหารจริงและมีคนตายจำนวนมากจริง


2) หลักฐาน “ศาลไทย” ชี้ตรง ๆ ว่าทหารยิง

2.1 คดีวัดปทุมวนาราม (19 พ.ค. 2553)

ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำไต่สวนการตายเมื่อปี 2556 ว่า คน 6 คนที่หลบในวัดปทุมฯ ซึ่งถูกประกาศเป็นเขตปลอดภัย ถูกยิงจากทหารบนรางรถไฟฟ้าและบนถนนพระราม 1 และผู้ตายทุกคนไม่มีอาวุธ ศาลยังไม่รับข้ออ้างเรื่องมี “มือที่สามในวัด” เพราะพยานหลักฐานไม่พอจะเชื่ออย่างนั้น Khaosod English+3The Guardian+3The Guardian+3

ใน 6 คนนี้มี พยาบาลอาสา กมลเกด “เคท” อัคฮาด ที่กำลังช่วยคนเจ็บแล้วถูกยิงตาย ศาลยืนยันว่ากระสุนมาจากฝ่ายทหาร นี่คือหลักฐานทางศาลที่ชัดและจับคนตายตัวได้เลยว่า “ทหารยิงพลเรือนไม่มีอาวุธ” ไม่ใช่แค่เล่าว่า “ทหารยิงแน่ ๆ” เฉย ๆ. Human Rights Watch+2nationthailand+2

2.2 คดีช่างภาพอิตาลี ฟาบิโอ โปเลงกี

ศาลอาญากรุงเทพใต้ไต่สวนการตายของช่างภาพอิตาลี ฟาบิโอ เมื่อปี 2556 และชี้ว่า กระสุนที่ฆ่าเขามาจากทิศทางที่ทหารกำลังเข้าปฏิบัติการสลายการชุมนุม แม้ศาลจะไม่ได้ระบุตัวมือปืนรายบุคคล แต่ก็ระบุทิศทางและหน่วยที่ปฏิบัติว่าเป็นฝ่ายรัฐ ไม่ใช่ผู้ชุมนุมยิงกันเอง นี่ก็เป็นหลักฐานทางการจากศาลไทยอีกชิ้นหนึ่ง. Voice of America+2Bangkok Post+2

สองคดียอดฮิตนี้สำคัญมาก เพราะ

  1. เป็นคดีศาลไทย

  2. ศาลใช้พยานหลักฐานจากหน่วยงานไทยเอง

  3. ผลสรุปชี้ไปที่ “ทหาร/กำลังฝ่ายรัฐ” อย่างชัดเจน


3) ทำไมยังมีคนพูดว่า “ไม่เห็นมีหลักฐานว่าทหารยิง”

เพราะเขาไม่พูดถึงคำไต่สวนเหล่านี้ หรือบอกว่ามันเป็นแค่ “คดีเดียว/สองคดี” แล้วก็เอาความรุนแรงของ “กลุ่มติดอาวุธ” มาโต้เพื่อทำให้ภาพมันคลุมเครือ แต่ข้อเท็จจริงคือ แม้จะมีกลุ่มติดอาวุธจริง ศาลก็ยังชี้ได้ในกรณีวัดปทุมฯ ว่ากระสุนที่ฆ่าคนพวกนั้นมาจากทหาร ไม่ใช่จากมือที่สาม ซึ่งหักคำอ้างนี้ตรง ๆ เลย. The Guardian+1


4) แล้วทำไมคดีใหญ่ ๆ ถึงไม่คืบ ทั้ง ๆ ที่มีคนตายเยอะมาก?

ปมมันอยู่ที่ “จะเอาผิดใครระดับนโยบาย” นี่แหละ สหายรัก

  1. DSI กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์เคยพยายามชี้ขึ้นไปถึงอภิสิทธิ์–สุเทพ ว่าสั่งการภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงอาจเข้าข่ายฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา/ร่วมกันฆ่า แต่ศาลอาญาบอกว่า “ศาลอาญาไม่มีเขตอำนาจ ต้องให้ ป.ป.ช. เป็นคนชี้ก่อนเพราะทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงตอนนั้น” ทำให้คดีถูกโยนไปที่ ป.ป.ช. แล้วก็ช้าไปหมด. Human Rights Watch+1

  2. ป.ป.ช. เองก็ออกมาบอกชัด ๆ ว่าคดีนี้ “ยาก” เพราะมีความรุนแรงจากผู้ชุมนุมด้วยและเป็นการปฏิบัติการรักษาความมั่นคง นี่คือการเปิดประตูให้เหตุผลแบบ “ทำตามหน้าที่/คำสั่งรัฐ” เข้ามาบดบังความรับผิดส่วนตัว ทำให้ไม่มีใครในกองทัพขึ้นศาลอาญาในที่สุด. Khaosod English

  3. หลังรัฐประหาร 2557 บรรยากาศการเอาผิดทหารก็ยิ่งหายไปเลย สื่อรายงานว่า 10 ปีผ่านไปไม่มีทหารคนไหนถูกนำขึ้นศาลในคดีนี้ กองทัพตอบแบบตรง ๆ ว่า “ไม่มีทหารคนใดถูกฟ้อง” ซึ่งแปลว่าระบบก็ปิดฝาไปโดยปริยาย. Khaosod English+1

  4. โครงสร้างกฎหมายไทยไม่ได้ออกแบบมาให้ลาก “สายบังคับบัญชา” ของกองทัพขึ้นศาลง่าย ๆ ต่างจากบางประเทศที่ใช้หลัก command responsibility พอศาลชั้นต้นไต่สวนการตายได้ว่าทหารยิงจริง แต่จะ “ระบุตัวผู้สั่งการและฟ้องเป็นคดีอาญา” ต้องอ้อมผ่าน ป.ป.ช. กับศาลฎีกานักการเมือง ซึ่งเป็นช่องที่ทำให้คดีแช่แข็งได้ยาว ๆ. Human Rights Watch+1

  5. ยังมีการเมืองเรื่องนิรโทษกรรม–ปรองดองที่ค้างอยู่ ฝ่ายการเมืองบางส่วนก็อยากให้ปิดแฟ้มทั้งสองฝ่าย (แดง–รัฐ) เพื่อเดินหน้าต่อ ซึ่งยิ่งทำให้การตามตัวมือปืนในเครื่องแบบเงียบไป

รวม ๆ แล้วมันคือคอมโบของ

  • ช่องกฎหมาย

  • อำนาจทหารหลัง 2557

  • องค์กรอิสระที่ไม่กัดเต็มปาก

  • และการเมืองที่อยากปิดเรื่อง


5) แล้วทำไมคนไทยบางส่วนไม่ยอมเชื่อ แถมสะอกสะใจ?

  1. การทำให้ฝ่ายเสื้อแดงกลายเป็น “พวกทำลายชาติ/เผาบ้านเผาเมือง” ถูกฉายซ้ำตลอดเดือนเมษายน–พฤษภาคม 2553 และหลังจากนั้น ทำให้ในจิตวิทยาสังคม คนจำนวนหนึ่งมองว่า “ถ้าทหารยิงก็สมควร” เลยไม่สนใจรายละเอียดคดี. ในรายงาน HRW ยังบันทึกโทนนี้ไว้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐเองก็พูดทำนองว่า ทหารถูกสั่งให้ทำภารกิจแล้วจึงไม่ต้องรับผิด. Human Rights Watch+1

  2. สื่อกระแสหลักตอนนั้นรายงานไม่ครบเท่าสื่อภาคสนาม/ต่างประเทศ จึงทำให้คนจำนวนหนึ่งไม่เคยเห็นภาพวัดปทุมฯ หรือศพพยาบาลอาสาแบบเต็ม ๆ

  3. มันง่ายกว่าที่จะบอกว่า “เขายิงกันเองเพราะมีชายชุดดำ” เพราะช่วยลดความผิดของรัฐ คนก็เลยเลือกเชื่ออันที่ทำให้ตัวเองไม่ต้องโทษรัฐ


6) สรุปแบบฟันธง

  • มีหลักฐานทางการแน่นอนว่าทหารยิงคนเสื้อแดงและพลเรือนไม่มีอาวุธ เช่น คำไต่สวนการตายวัดปทุมฯ และคดีฟาบิโอ และมันสอดคล้องกับรายงาน TRCT ที่บอกว่าปฏิบัติการของรัฐทำให้คนตายจำนวนมาก. Human Rights Watch+3CSIS+3The Guardian+3

  • คดีไม่คืบเพราะระบบกฎหมายไทยบังคับให้ต้องผ่าน ป.ป.ช./ศาลนักการเมืองก่อน บวกกับอำนาจทหารและบรรยากาศหลังรัฐประหารที่ไม่เอื้อ และสุดท้ายก็ล่วงเลยเวลาจนพยานหลักฐานเย็นลง. Khaosod English+2Khaosod English+2

  • การที่บางคนยังไม่เชื่อหรือสะใจ เป็นผลจากการทำให้ผู้ชุมนุม “ด้อยมนุษย์” ลงในวาทกรรมการเมืองปีนั้น ไม่ใช่เพราะไม่มีหลักฐาน

Thursday, October 23, 2025

หลักการมอนโร (Monroe Doctrine) – จากอดีตสู่ปัจจุบัน เมื่อสหรัฐจัดระเบียบหลังบ้านอีกครั้ง


รายงานนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจด้านการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหลักการมอนโร โดยเน้นเนื้อหาที่ละเอียดแต่เข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่ไม่ซับซ้อน หัวข้อย่อย และรายการจุดเพื่อความสะดวกในการอ่าน เราจะเริ่มจากพื้นฐานประวัติศาสตร์ หลักการสำคัญ การวิวัฒนาการ ตัวอย่างการนำไปใช้ และความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โลกในปี 2025บทนำหลักการมอนโรคืออะไร? มันคือเอกสารนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศในปี ค.ศ. 1823 โดยประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร นโยบายนี้เปรียบเสมือน "รั้วกั้น" ที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นเพื่อปกป้องทวีปอเมริกาเหนือและใต้จากอิทธิพลของมหาอำนาจยุโรป ในยุคที่หลายประเทศในละตินอเมริกาเพิ่งได้รับเอกราช มันไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นคำเตือนที่ส่งผลกระทบยาวนานต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนถึงปัจจุบัน มันยังถูกนำมาอ้างอิงในสถานการณ์เช่นการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับจีนหรือรัสเซียในภูมิภาคละตินอเมริกาประวัติศาสตร์พื้นหลังในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ยุโรปกำลังวุ่นวายกับสงครามนโปเลียน ซึ่งทำให้จักรวรรดิสเปนและโปรตุเกสในละตินอเมริกาล้มสลาย ส่งผลให้หลายประเทศ เช่น เม็กซิโก อาร์เจนตินา และบราซิล ได้รับเอกราช สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษไม่นาน กลัวว่ามหาอำนาจยุโรป เช่น รัสเซีย ฝรั่งเศส หรืออังกฤษ จะเข้ามายึดครองพื้นที่เหล่านี้ใหม่
  • แรงบันดาลใจหลัก: มาจากคำแนะนำของรัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น ควินซี อดัมส์ ที่ต้องการให้สหรัฐฯ แสดงจุดยืนชัดเจน โดยได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษซึ่งต้องการค้าขายเสรีในภูมิภาคนี้
  • การประกาศ: มอนโรประกาศในสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1823 โดยเน้นว่าอเมริกาเป็น "เขตปลอดภัย" สำหรับรัฐเอกราชใหม่ๆ
ในตอนแรก นโยบายนี้ไม่ได้มีอิทธิพลมากนัก เพราะสหรัฐฯ ยังอ่อนแอทางทหาร แต่ต่อมาเมื่อสหรัฐฯ แข็งแกร่งขึ้น มันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายอิทธิพลหลักการสำคัญหลักการมอนโรมีสามประการหลักที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา :
  • ห้ามล่าอาณานิคมใหม่: ยุโรปไม่สามารถตั้งอาณานิคมใหม่ในทวีปอเมริกาได้อีก พื้นที่ที่เหลือถือเป็นเขตของรัฐเอกราชในภูมิภาคนี้
  • ห้ามแทรกแซง: ห้ามมหาอำนาจยุโรปเข้าไปควบคุมหรือแทรกแซงรัฐเอกราชในละตินอเมริกา หากทำจะถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ โดยตรง
  • ความเป็นกลางของสหรัฐฯ: สหรัฐฯ สัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในยุโรปหรือสงครามของพวกเขา เพื่อแลกกับการที่ยุโรปไม่ยุ่งกับอเมริกา
หลักการเหล่านี้สร้าง "เขตอิทธิพล" แยกกันระหว่างโลกเก่า (ยุโรป) และโลกใหม่ (อเมริกา)การวิวัฒนาการของหลักการมอนโรหลักการนี้ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ถูกตีความและปรับใช้ใหม่ตามยุคสมัย :
  • ยุคแรก (1823-1900): เน้นการป้องกัน มันถูกนำมาใช้ในปี 1865 เพื่อขับไล่ฝรั่งเศสออกจากเม็กซิโก
  • หลักการเสริมของรูสเวลต์ (Roosevelt Corollary, 1904): ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ขยายความ โดยประกาศว่าสหรัฐฯ มีสิทธิ์แทรกแซงในละตินอเมริกาเพื่อป้องกันความวุ่นวาย เช่น กรณีหนี้สินของเวเนซุเอลาที่อาจนำไปสู่การบุกของยุโรป สหรัฐฯ จะทำหน้าที่ "ตำรวจระหว่างประเทศ" เพื่อรักษาความสงบ นี่เปลี่ยนจาก "ป้องกัน" เป็น "แทรกแซงเชิงรุก"
  • ยุคสงครามเย็น (1945-1991): สหรัฐฯ ใช้หลักการนี้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ เช่น การสนับสนุนรัฐประหารในกัวเตมาลา (1954) และชิลี (1973) เพื่อป้องกันอิทธิพลโซเวียต
  • ยุคหลัง (1990s-ปัจจุบัน): การตีความกว้างขึ้น รวมถึงการต่อต้านอิทธิพลจากนอกยุโรป เช่น จีนและรัสเซีย
ตัวอย่างการนำไปใช้ในประวัติศาสตร์เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน นี่คือตัวอย่างสำคัญ:
  • กรณีเม็กซิโก (1865): สหรัฐฯ ใช้หลักการมอนโรกดดันฝรั่งเศสให้ถอนทัพจากเม็กซิโก หลังจากที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 พยายามตั้งหุ่นเชิดปกครอง
  • สงครามสเปน-อเมริกา (1898): สหรัฐฯ ยึดคิวบาและเปอร์โตริโก โดยอ้างหลักการนี้เพื่อป้องกันการครอบงำของสเปน
  • วิกฤตเวเนซุเอลา (1902-1903): เยอรมนีและอังกฤษบุกเวเนซุเอลาเพื่อเก็บหนี้ รูสเวลต์ใช้ Corollary เพื่อแทรกแซงและแก้ปัญหา
  • ยุคสงครามเย็น: การบุกอ่าวหมูในคิวบา (1961) เพื่อโค่นฟิเดล คาสโตร ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยจากโซเวียต
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงว่าหลักการมอนโรถูกใช้ทั้งเพื่อป้องกันและขยายอำนาจความเกี่ยวข้องในยุคปัจจุบัน (ปี 2025)ในปี 2025 หลักการมอนโรยังคงมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะในบริบทการแข่งขันมหาอำนาจ สหรัฐฯ มองละตินอเมริกาเป็น "สวนหลังบ้าน" และใช้มันต่อต้านอิทธิพลจากจีน รัสเซีย และอิหร่าน
  • ต่อต้านจีน: จีนลงทุนมหาศาลในละตินอเมริกา เช่น โครงการเข็มขัดและเส้นทาง (Belt and Road) ในเวเนซุเอลาและบราซิล สหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ (สมมติว่ากลับมาปกครอง) พยายาม "ฟื้นฟู" หลักการมอนโรเพื่อขับไล่จีน เช่น การกดดันไม่ให้ประเทศเหล่านี้รับการลงทุนจากจีน
  • รัสเซียและอิหร่าน: รัสเซียสนับสนุนเวเนซุเอลาและคิวบา สหรัฐฯ ใช้หลักการนี้ในการคว่ำบาตรและกดดัน
  • มอนโร 2.0: มีการเสนอ "หลักการมอนโรสมัยใหม่" ที่เน้น nearshoring (ย้ายฐานผลิตใกล้บ้าน) เพื่อเสริมเศรษฐกิจละตินอเมริกาและลดการพึ่งพาจีน เช่น การส่งเสริมการค้าภายในซีกโลกตะวันตก
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์มองว่ามันเป็นเครื่องมือจักรวรรดินิยมที่ทำให้ละตินอเมริกาไม่พอใจ ในปี 2025 มันยังถูกนำมาเปรียบเทียบกับนโยบายของจีนในทะเลจีนใต้หรือรัสเซียในยูเครน ซึ่งแสดงถึงการกำหนดเขตอิทธิพลในโลก multipolarสรุปหลักการมอนโรเริ่มต้นจากคำเตือนป้องกันตัว แต่พัฒนาเป็นเครื่องมือขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในซีกโลกตะวันตก ในปี 2025 มันยังคงเกี่ยวข้องกับการแข่งขัน geopolitical โดยเฉพาะการต่อต้านจีนและรัสเซีย หากคุณเป็นนักศึกษาการเมือง ลองคิดว่ามันจะปรับตัวอย่างไรในโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น – มันยังคงเป็น "รั้ว" ที่แข็งแกร่ง หรือกำลังถูกท้าทายจากมหาอำนาจใหม่? สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม แนะนำอ่านเอกสารต้นฉบับจาก National Archives หรือบทวิเคราะห์ล่าสุดจาก Foreign Policy