ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Saturday, November 22, 2025

แผนอนาคตใหม่ร่วมของวัง เจ้าสัว และเครือข่ายจีนที่ครอบงำแผ่นดินไทย

ระบอบกำลังสร้าง “ขั้วอนุรักษนิยมใหม่” เพื่อแทนที่เพื่อไทย



การปล่อยให้อนุทินขึ้นเป็นนายกฯ “รัฐบาลชั่วคราวเพื่อยุบสภา” ไม่ใช่อุบัติเหตุ
และ ไม่ใช่การให้เกียรติแบบชั่วคราว แต่เป็น “การทดสอบและปูฐาน” สำหรับ ขั้วอนุรักษนิยมใหม่ ที่จะมาแทนที่เพื่อไทยในระยะยาว  เหตุผล ก็คือ:

เพื่อไทย “เน่า” ในสายตาระบอบ

  • ถึงแม้จะเป็นพรรคอันดับ 1 หรือ 2 ในสภา
  • แต่เป็น “ขุมกำลังทางการเมืองของชินวัตร” ซึ่งเป็นคู่ปรับทางอำนาจแท้จริงของวัง
  • ระบอบ ไม่เคย ไว้วางใจเพื่อไทย เพราะ “อำนาจทางเลือกตั้ง” + “อำนาจเงิน” + “ฐานสามัญชน” ทำให้ชินวัตรเป็นคู่ต่อรองที่อันตราย


ดังนั้น สิ่งที่เราเห็นคือ:

ระบอบกำลังทำลายความสามารถต่อรองของเพื่อไทยในระยะยาว

  • เปิดคดีล้างขุมทรัพย์ตระกูลชินวัตร
  • ดึงฐานเสียงชนบทออกจากเพื่อไทย
  • ดูดพรรคเล็ก-พรรคภูมิภาคเข้าพลังอนุทิน
  • และสร้างเรื่องราว (narrative) ว่า “เพื่อไทยคือปัญหา—คือทุนสามานย์—ต้องถูกทำลาย”

นี่คือแผนบ่อนเซาะ “เสาหลักฝ่ายเสียงเลือกตั้ง” เพื่อทำให้ขั้วอนุรักษนิยมขึ้นแทนได้ง่าย


ภูมิใจไทยเป็น “ตัวเลือกใหม่ของระบอบ” แต่ขาดคุณสมบัติสำคัญ


นี่คือข้อมูลตรงตามความจริง:

สิ่งที่ภูมิใจไทยมี

  • ความอ่อนน้อม–ทำงานตามคำสั่งระบอบ
  • ไม่ท้าทายวัง
  • อยู่ภายใต้ทุนใหญ่ได้
  • มีสายสัมพันธ์แน่นกับทุนจีน/ธุรกิจจีน
  • รูปแบบบริหารแบบ “เจ้าพ่อ-ขุนศึก” ซึ่งเหมาะกับการเก็บส่วย/คุมจังหวัด
  • คล่องตัวสูงในดีลนอกระบบ

แต่...

สิ่งที่ภูมิใจไทย ไม่มี

  • วิสัยทัศน์–นโยบายที่สร้างฐานความชอบธรรมจริง
  • ผู้นำที่มีบารมีระดับชาติ (อนุทินเป็นแค่เครื่องมือ ไม่ใช่ผู้นำการเมืองใหญ่)
  • ความสะอาดและความโปร่งใส (ประวัติเต็มไปด้วยคดี คอรัปชัน และดีลมืดกับกลุ่มทุน)
  • ทีม technocrat จริง ๆ ที่มีศักยภาพเทียบชินวัตรหรือพรรคสายก้าวหน้า (พรรคประชาชน)

พูดแบบนักสืบวาทกรรมคมก็ต้องบอกว่า

ภูมิใจไทยเป็น “ตัวปีนกำแพง” ไม่ใช่ “ตัวครองเมือง”

ระบอบรู้ดีว่าต้องการ “ของใหม่” ที่มาค้ำขั้วอนุรักษนิยมให้แข็งแรงกว่านี้

นี่คือที่มาของ “บุคคลแบบศุภจี”


ศุภจี = prototype ของ “ขั้วอำนาจในอนาคต”


การที่คุณ
ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ถูกดึงเข้ารัฐบาล “ปลายฤดูกาล” และให้รับบทบาทที่เชื่อมจีนโดยตรง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยเพราะ

ศุภจีเป็น “ต้นแบบ” ของคนที่จะมาแทนพรรคการเมืองแบบเดิม

กล่าวคือ ระบอบกำลังทดลองสิ่งใหม่


สร้างพรรคอนุรักษนิยมสมัยใหม่

ผสมระหว่าง

  • เทคโนแครตที่เชื่อฟัง
  • นักธุรกิจที่มี connection จีน–ทุนใหญ่
  • คนของเจ้าสัว
  • พวกที่สถาบันคุมได้ 100%


นี่คือพรรคแบบใหม่ที่ระบอบอยากสร้างหลังยุคเปลี่ยนรัชกาล

พรรคที่ “ไม่ต้องชนะใจประชาชน”
แต่ “ชนะด้วยรัฐ–ทุน–ระบบราชการ–สื่อ–กองกำลัง”


ทำไมจีนมีบทบาทสำคัญในระบอบใหม่นี้?


จีนต้องการ สองขาไก่ของตน: พม่า + ไทย เพื่อเป็นฐานการดูดทรัพยากร สยายเขตหากิน และขยายอาณาเขตอำนาจ


แต่ไทยต่างจากพม่าเพราะไทยมี “สถาบันกษัตริย์” เป็น soft-power/legitimacy ที่ใช้ได้ในภูมิภาค

จีนรู้ดีว่า:

วังไทยสามารถให้ความชอบธรรมจีนได้

ทั้งในสายตาประชาชนไทยและในระดับภูมิรัฐศาสตร์
จีนต้องการ “พระบารมีของไทย” เพื่อ:

  • ทำลาย soft-power ของสหรัฐในอาเซียน
  • ผูกมิตรกับกองทัพไทย
  • ใช้ภาพลักษณ์ “จีน–ไทยพี่น้องกัน”
  • ผูกเศรษฐกิจไทยกับจีนแบบถอนตัวไม่ได้

แล้วใครเป็นผู้ประสานวัง–รัฐบาล–จีนได้ดีที่สุดในโมเดลใหม่?

เทคโนแครตที่ไม่ใช่นักการเมือง
นักธุรกิจที่คุยกับจีนโดยไม่มีภาพลักษณ์ทางการเมืองติดตัว
คนที่เชื่อฟังระบอบ แต่ขายความเป็นมืออาชีพได้

คือโปรไฟล์แบบ… ศุภจี สุธรรมพันธุ์ นั่นเอง!!!

คันฉ่องส่องไทย: พรรคเพื่อไทยในฐานะ “พรรคปฏิปักษ์ปฏิวัติ”

คันฉ่องส่องไทย: พรรคเพื่อไทยในฐานะ “พรรคปฏิปักษ์ปฏิวัติ”

คันฉ่องส่องไทย: พรรคเพื่อไทยในฐานะ “พรรคปฏิปักษ์ปฏิวัติ”

เวลาเรามองตระกูลชินวัตรและพรรคในเครือ ไม่ว่าจะเป็นไทยรักไทย พลังประชาชน หรือเพื่อไทย ภาพแรกที่คนจำนวนมากเห็นคือภาพของผู้ถูกกระทำ ถูกยึดอำนาจ ถูกสลายพรรค ถูกย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกือบยี่สิบปี แต่ในอีกด้านหนึ่ง หากสังเกตจากพฤติกรรมของคนในครอบครัว การยืนเกมของพรรค การเลือกพันธมิตรทางการเมือง และการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของประชาชน เราจะเห็นสิ่งที่ชัดขึ้นทีละน้อยว่า พรรคนี้ไม่ได้เป็น “พรรคปฏิวัติ” ที่อยากเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ หากแต่เป็น “พรรคปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ที่ทำหน้าที่ดึงสังคมให้หันกลับไปสู่ระบอบเดิมทุกครั้งที่ประชาชนกำลังจะถ่างหนีออกมา

คำว่า “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” มาจากภาษาการเมืองยุคพรรคคอมมิวนิสต์ หมายถึงพวกที่คอยขัดขวางการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ไม่จำเป็นต้องเป็นเผด็จการทหาร ไม่จำเป็นต้องเอาปืนจ่อหัวประชาชน แต่อาจอยู่ในรูปพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง มีฐานมวลชน มีวาทกรรมประชาธิปไตย แต่เมื่อสถานการณ์เอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ กลับยืนอยู่ในฝั่งที่ “เบรก” ปรับเพดาน ลดข้อเรียกร้อง ดึงเกมกลับเข้าสู่กรอบที่ระบอบเดิมสบายใจจะอยู่ด้วย และนี่คือภาพที่สอดรับกันแทบทุกยุคเมื่อมองย้อนเส้นทางของพรรคในเครือชินวัตร

รากฐานทางความคิดของไทยรักไทย-เพื่อไทย ไม่ได้ตั้งอยู่บนอุดมการณ์ปฏิวัติโครงสร้าง แต่ตั้งอยู่บนความเชื่อแบบ “พัฒนา-บริหาร-จัดการ” คือใช้รัฐเป็นเครื่องมือแจกจ่ายผลประโยชน์ ทำให้เศรษฐกิจโต ยกระดับรายได้ สร้างศักดิ์ศรีให้ชาวบ้านในฐานะ “ลูกค้าการเมือง” ที่ได้รับบริการจากรัฐ โดยไม่แตะโครงสร้างอำนาจหลัก เช่น บทบาททหาร ศาล องค์กรอิสระ โครงสร้างสถาบัน และทุนใหญ่ที่ผูกขาดเศรษฐกิจ พูดง่าย ๆ คือ ยอมรับระบอบเดิมทุกระดับ แต่ขอ “พื้นที่บริหาร” เพื่อทำให้ระบบดูดีขึ้นในสายตาประชาชน

การยืนยันท่าที “จงรักภักดี” ของครอบครัวชินวัตรอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะผ่านคำให้สัมภาษณ์ พฤติกรรมในพิธีการ หรือท่าทีในยามวิกฤต ยิ่งตอกย้ำว่าพรรคนี้ไม่เคยมีเป้าหมายจะเปลี่ยนสมการอำนาจใหญ่ของประเทศ ต่างจากภาคประชาชนที่หลายระลอกเริ่มตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจทั้งชุด ตั้งแต่ยุคคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ จนถึงการลุกฮือของเยาวชนในปี 2563–2564 พรรคในเครือชินวัตรกลับเลือกตำแหน่งที่ปลอดภัยในกรอบ “อนุรักษ์นิยมแบบพลเรือน” คือยอมรับโครงสร้างหลักทั้งหมด แล้วแข่งขันกันภายในกรอบนั้นเฉพาะเรื่องนโยบายและการบริหาร

ถ้ามองด้วยแว่น “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” เราจะเห็นแพตเทิร์นสำคัญอย่างหนึ่งคือ ทุกครั้งที่เงื่อนไขในสังคมเอื้อให้ประชาชนรวมพลังกันกดดันระบอบเดิม พรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทยจะไม่เดินนำหน้าประชาชนไปสู่การเปลี่ยนโครงสร้าง ตรงกันข้าม กลับทำหน้าที่เป็น “ตัวดึงกลับ” หรือ “กันชน” ระหว่างมวลชนกับอำนาจจริง เช่น การเสนอแนวคิดปรองดองแบบห้ามแตะโครงสร้าง การยอมรับดีลใต้โต๊ะ การส่งสัญญาณให้มวลชนถอยในจังหวะที่รัฐใช้ความรุนแรง ทั้งหมดนี้ทำให้พลังที่กำลังจะปะทุเพื่อเปลี่ยนระบบ กลายเป็นพลังที่ถูกดูดกลับเข้าไปอยู่ในกรอบเลือกตั้งแบบขอไปที

ตัวอย่างที่เห็นชัดคือช่วงหลังรัฐประหาร 2549 และ 2557 หากพรรคเลือกยืนกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ปฏิเสธกติกาที่ไม่เป็นธรรม และเชื่อมพลังคนเสื้อแดงกับขบวนการคนรุ่นใหม่ในเวลาต่อมา ไทยอาจเดินหน้าสู่การปฏิรูปเชิงโครงสร้างได้ไกลกว่านี้มาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการถอย การหาทางประนีประนอม การคุยดีลลับเพื่อ “กลับเข้าสู่เกม” แม้ต้องยอมให้กติกาเอียงเอื้อฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างโจ่งแจ้งก็ตาม นี่แหละคือบทบาทของพรรคปฏิปักษ์ปฏิวัติ ที่ยอมเสียอนาคตระยะยาวของประชาธิปไตย เพื่อแลกกับโอกาสได้กลับมาอยู่ในรัฐบาลอย่างจำกัดจำเขี่ย

เงื่อนไขในปี 2566 ยิ่งทำให้คำว่า “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ชัดขึ้นไปอีก ผลการเลือกตั้งสะท้อนชัดว่าคนไทยจำนวนมากพร้อมโหวตให้พรรคที่ชูธงปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างก้าวไกล พร้อมตั้งคำถามต่อสถาบันอำนาจที่เคยแตะไม่ได้ พร้อมปฏิรูปกองทัพ กฎหมายอาญามาตรา 112 และระบบเศรษฐกิจที่เอื้อทุนผูกขาด แต่แทนที่พรรคเพื่อไทยจะใช้จังหวะนี้เชื่อมมือกับกระแสก้าวหน้า กลับเลือก “ข้ามขั้ว” ไปยืนกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม เพื่อแลกตำแหน่งนายกฯ และส่วนแบ่งอำนาจในรัฐบาลผสม

การตัดสินใจครั้งนั้นไม่ใช่แค่การดีลระหว่างนักการเมืองกับชนชั้นนำ แต่เป็นการ “ตัดตอนโมเมนตัม” ของประชาชนที่กำลังจะถ่างตัวออกจากระบอบเดิม จากเดิมที่ประเทศมีโอกาสได้รัฐบาลที่ยืนอยู่บนฐานเสียงประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนระบบ กลับกลายเป็นรัฐบาลที่ประกอบด้วยพรรคอนุรักษ์นิยมเดิม ๆ โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นสะพานเชื่อม ทำให้กระแสเปลี่ยนแปลงถูกดึงกลับสู่ความปกติแบบเดิมที่ชนชั้นนำคุ้นเคย นี่คือบทบาทคลาสสิกของ “พรรคปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ที่ทำหน้าที่ปิดประตูประวัติศาสตร์ไว้เบื้องหลังคำว่า “เสถียรภาพ”

แน่นอนว่า พรรคเพื่อไทยก็มีด้านที่สร้างคุณูปการ เช่น ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าตัวเองมีศักดิ์ศรี รัฐต้องบริการประชาชน ไม่ใช่ให้น้ำหนักเฉพาะชนชั้นกลางเมืองและทุนใหญ่ นโยบายอย่าง 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน หรือโครงการที่ทำให้เศรษฐกิจฐานล่างขยับได้บ้าง ล้วนเป็นก้าวสำคัญที่ไม่ควรถูกปฏิเสธ แต่นั่นคือคุณูปการในฐานะ “ผู้จัดการรัฐสวัสดิการบางส่วน” ไม่ใช่คุณูปการในฐานะ “พลังปฏิวัติ” ที่อยากเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจจากบนลงล่างให้ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศจริง ๆ

เมื่อมองทั้งเส้นเรื่อง เราจึงเห็นภาพที่ซ้อนกันอยู่สองชั้น ชั้นแรกคือภาพของเหยื่อ ที่ถูกยึดอำนาจ ถูกวางหมากสกัด ถูกทำลายพรรค ชั้นที่สองคือภาพของ “กันชนของระบอบเดิม” ที่คอยรับแรงกระแทกจากประชาชน แล้วถ่ายเทแรงนั้นให้เบาลงก่อนส่งต่อไปถึงโครงสร้างอำนาจจริง เพื่อให้ระบบอยู่รอดต่อไปได้โดยไม่จำเป็นต้องปฏิรูปตัวเองอย่างแท้จริง พรรคเพื่อไทยจึงไม่ใช่ศัตรูของประชาธิปไตยแบบโจ่งแจ้ง แต่เป็น “เบรกมือของประวัติศาสตร์” ที่ดึงรถไว้ทุกครั้งที่สังคมกำลังจะพุ่งออกจากเส้นทางเดิม

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “ทักษิณโดนย่ำยีแค่ไหน” แต่คือ “เราจะยอมให้โครงสร้างอำนาจแบบนี้ใช้พรรคการเมืองที่เรารักเป็นเกราะกำบังตัวเองต่อไปอีกนานแค่ไหน” ถ้าประชาชนไม่แยกให้ออกว่าระหว่าง “พรรคที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นชั่วคราว” กับ “พรรคที่พร้อมเปลี่ยนโครงสร้างให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน” มีเส้นแบ่งอยู่ตรงไหน เราก็จะยังติดอยู่ในวงจรเดิม คือเลือกพรรคที่ช่วยให้ระบอบเดิมอยู่รอดในหน้ากากใหม่ไปเรื่อย ๆ โดยที่ความหวังเรื่องประชาธิปไตยเต็มใบยังคงเป็นเพียงภาพลวงตาในระยะยาว

เมื่อใช้คันฉ่องส่องไทยมองพรรคเพื่อไทยอย่างซื่อสัตย์ต่อข้อเท็จจริง คำตอบเรื่อง “อนุรักษ์นิยมหรือไม่” จึงชัดสำหรับคนที่ไม่หลอกตัวเอง และคำว่า “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ก็ไม่ใช่คำด่าทางอุดมการณ์ แต่เป็นคำอธิบายบทบาทจริงที่พรรคนี้เล่นอยู่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือพรรคที่อยู่ข้างประชาชนเท่าที่ไม่ไปแตะโครงสร้างอำนาจ และอยู่ข้างระบอบเดิมเท่าที่จะยังได้กลับมาแบ่งปันอำนาจในรัฐบาล ในขณะที่ความฝันเรื่องประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจจริง ๆ ยังคงต้องรอให้ใครสักคนและมวลชนทั้งประเทศลุกขึ้นมาเขียนเกมใหม่บนกระดานใหม่ แทนที่จะเล่นอยู่บนกระดานใบเดิมที่คนอื่นขีดเส้นให้เหมือนเช่นที่ผ่านมา

คันฉ่องส่องไทย: เกมชินวัตรบนกระดานที่คนอื่นขีดเส้น

 

คันฉ่องส่องไทย: เกมชินวัตรบนกระดานที่คนอื่นขีดเส้น

คันฉ่องส่องไทย: เกมชินวัตรบนกระดานที่คนอื่นขีดเส้น

เวลาพูดถึง “วิบากกรรมของทักษิณ” หรือ “กรรมทางการเมืองของตระกูลชินวัตร” คนจำนวนมากมักมองไปที่ตัวบุคคล ว่าคือคนที่เคยท้าทายอำนาจเก่า ใช้อำนาจรัฐผิดทาง หรือเลือกเล่นเกมการเมืองเสี่ยงเกินไป แล้วสุดท้ายก็ต้องถูกระบบ “เล่นงานคืน” ถูกใช้แล้วทิ้ง ถูกหักหลัง ถูกบดขยี้อย่างที่บทวิเคราะห์การเมืองทั้งหลายมักสรุปกัน

แต่ถ้ามองผ่าน “คันฉ่องส่องไทย” เราจะเห็นอีกชั้นหนึ่งที่ลึกกว่านั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เพียง “กรรมส่วนตัวของทักษิณ” หากเป็น “วิบากกรรมของโครงสร้างการเมืองไทยทั้งระบบ” ที่ไม่เคยยอมให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริง ใครก็ตามที่พยายามใช้กลไกเลือกตั้งให้ประชาชนมีน้ำหนักมากขึ้น ล้วนต้องเผชิญชะตาคล้าย ๆ กัน ไม่ว่าจะชื่อปรีดี ป๋วย ชาติชาย ยิ่งลักษณ์ ธนาธร พิธา หรือทักษิณเอง

ถ้าเรามองการเมืองไทยเหมือนกระดานหมาก เกมนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากการที่ผู้เล่นทุกฝ่ายตกลงกติกากันอย่างเสมอภาค หากเป็นกระดานที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งขีดเส้นไว้ก่อนแล้วว่า รูปแบบไหนรับได้ แรงแค่ไหนพอทน ใครก็ตามที่เดินหมากจนไปแตะ “เส้นแดง” ของโครงสร้างอำนาจ ก็จะถูกสกัด ถูกเล่นงาน หรือถูกบีบให้ถอย ตั้งแต่นั้นมา ผู้เล่นทุกคนก็ต้องอยู่ในเกมที่ “แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม” เพียงแต่จะแพ้เร็วหรือแพ้ช้า และระหว่างทางจะได้ใช้ประโยชน์จากชัยชนะชั่วคราวมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

ในมุมนี้ การกลับมาของทักษิณ การที่พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล ข้ามขั้วทางการเมือง และท้ายที่สุดถูก “ตัดกำลัง-บดขยี้-ใช้แล้วทิ้ง” จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับกระดานแบบไทย ๆ เพราะนี่คือเกมที่ออกแบบมาเพื่อให้คนคุมกระดานรักษาอำนาจของตัวเอง ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้พรรคการเมืองใด หรือประชาชนฐานล่างกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางประเทศจริง ๆ

หลายคนบอกว่า ทักษิณและเพื่อไทย “ประเมินผิด” ไม่คิดว่าต้องจ่ายราคาแพงขนาดนี้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราอาจต้องยอมรับความจริงตรง ๆ ว่า การไปเจรจากับอำนาจที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนความชอบธรรมตั้งแต่แรก ย่อมไม่ใช่ดีลแบบ win-win เพราะฝ่ายที่ไม่เคยยึดโยงกับประชาชน ไม่มีแรงกดดันให้ต้องรักษาสัญญาใด ๆ ไว้กับใคร นอกจากรักษาอำนาจของตัวเองให้ได้นานที่สุด

พรรคเพื่อไทยในห้วงเวลาหนึ่ง จึงกลายเป็น “เครื่องมือสำรอง” ที่ถูกหยิบมาใช้ยามจำเป็น คือมีฐานเสียง มีความชอบธรรมจากประชาชนในระดับหนึ่ง พอจะช่วยประคองเสถียรภาพการเมืองในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อได้ แต่ไม่เคยถูกยอมรับให้เป็น “หัวใจของระบอบ” ที่จะขยับประเทศไปสู่ประชาธิปไตยเต็มใบจริง ๆ เมื่อทำภารกิจที่ระบบต้องการเสร็จ ก็ถูกลดบทบาท ถูกบีบ ถูกทำลายความนิยม แล้ววงจรก็วนกลับไปสู่การมองหาคนใหม่ พรรคใหม่ กลุ่มใหม่ ที่จะถูกหยิบมาใช้ในจังหวะต่อไป

ส่วนคะแนนนิยมที่ลดลงของเพื่อไทย หากมองผ่านคันฉ่องส่องไทย เราไม่ได้มองเพียงว่า เพราะ “สื่อโจมตี” หรือ “โพลชี้นำ” เท่านั้น แม้สิ่งเหล่านี้จะมีจริง แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ ประชาชนจำนวนไม่น้อยเริ่ม “มองเห็น” โครงสร้างอำนาจที่แท้จริงมากขึ้น เห็นว่าพรรคไหนยืนอยู่ข้างการปฏิรูปโครงสร้าง พรรคไหนเลือกจะประนีประนอม พรรคไหนเลือกจะ “อยู่กับระบบ” มากกว่าอยู่กับประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนระบบนั้น

การข้ามฟาก การทิ้งแนวร่วมที่ได้รับคะแนนเสียงอันดับหนึ่งจากประชาชน จึงไม่ได้เป็นเพียงการ “ดีลการเมือง” ธรรมดา หากเป็นสัญญาณบางอย่างที่ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรู้สึกว่า เสียงของตนเองถูกนำไปใช้ต่อรองบนโต๊ะ ที่ตนไม่เคยถูกเชิญให้เข้าไปนั่ง ความเชื่อมั่นจึงสึกกร่อน คะแนนนิยมจึงร่วงลง ไม่ใช่เพราะประชาชนไม่เข้าใจการเมือง แต่เพราะ “เข้าใจมากขึ้น” ต่างหาก

เมื่อมองย้อนกลับไปตั้งแต่ 2549 จนถึงปัจจุบัน สิ่งที่เกิดขึ้นกับทักษิณและตระกูลชินวัตรจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแยกโดดเดี่ยว แต่เป็นหนึ่งในชุดเหตุการณ์ยาวนานที่สะท้อนว่ารัฐไทยไม่เคยยอมให้ประชาชนถืออำนาจจริง ใครก็ตามที่ได้รับความนิยมสูง ใช้กลไกเลือกตั้งดันนโยบายที่ไปแตะผลประโยชน์เก่า จะถูกตราหน้าว่า “อันตราย” “ซื้อเสียง” หรือ “ล้มเจ้า” แล้วตามมาด้วยการจัดระเบียบใหม่ทุกครั้ง

ในแง่นี้ โศกนาฏกรรมไม่ใช่เรื่องของทักษิณคนเดียว แต่เป็นโศกนาฏกรรมของประเทศที่ติดอยู่ในระบบที่มีเจ้าของโต๊ะเล่นคุมเกมอยู่ตลอดเวลา ประชาชนอาจได้เลือกพรรค ได้เห็นการเปลี่ยนตัวนายกฯ แต่ระบอบลึกข้างใต้แทบไม่ขยับไปไหน ผลคือ ทุกครั้งที่มีความหวังว่า “รอบนี้อาจต่างออกไป” เราก็ย้อนกลับมาพบภาพเดิม คือการรัฐประหาร การตัดสิทธิ การยุบพรรค และการใช้พรรคที่มีฐานเสียงเป็นเพียง “ตัวช่วยชั่วคราว” ในยามที่ชนชั้นนำต้องการ

เมื่อเกมถูกขีดเส้นโดยคนที่ไม่เคยเล่นเพื่อประชาชน ผู้เล่นทุกคนบนกระดาน — ไม่ว่าจะชื่อชินวัตร หรือชื่ออื่น — ก็มีแต่แพ้ในระยะยาว บางคนแพ้เพราะต่อสู้กับระบบจนถูกทำลาย บางคนแพ้เพราะเลือกประนีประนอมจนสูญเสียศรัทธาของมวลชน ส่วนผู้แพ้ตัวจริงคือประชาชน ที่ต้องอยู่ในประเทศที่ใช้การเลือกตั้งเป็นเพียงพิธีกรรม แต่มิใช่เครื่องมือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจอย่างแท้จริง

สิ่งที่ “คันฉ่องส่องไทย” อยากชวนให้เห็นจึงไม่ใช่เพียงชะตากรรมของทักษิณหรือพรรคเพื่อไทย แต่คือภาพใหญ่ของโต๊ะที่ทุกคนกำลังเล่นอยู่ ถ้าเรายังโทษแต่ตัวหมาก โทษแต่คนเดินหมาก โดยไม่กล้าตั้งคำถามกับคนที่ขีดเส้นกระดานและออกแบบกติกา ประเทศไทยก็จะยังติดอยู่ในวงจรเดิมต่อไปไม่รู้จบ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนพรรค แต่ไม่เคยเปลี่ยน “โครงสร้าง” จริง ๆ เสียที

Friday, November 21, 2025

⚠️ ผมเตือนพวกคุณแล้วนะ! ⚠️ อย่าพลาดแบบพม่า​ (เมียนมาร์)



💥 ความพังของพม่า คือบทเรียนเลือดที่คนไทยต้องอ่านด้วย หัวใจ 📖
และเข้าใจว่าโลกเข้าสู่ยุคที่รัฐไม่ได้ถูกกลืนโดยทหารหรือปืน 🔫 เหมือนในอดีต

แต่ถูกกลืนโดยการยึดกุมด้านต่อไปนี้...

  • 💰 เงิน
  • 🛢️ ทรัพยากร
  • 📉 หนี้
  • 🏗️ โครงสร้างพื้นฐาน
  • 🤝 เครือข่ายผลประโยชน์
  • 📡 การครอบงำข้อมูลข่าวสาร
  • 😴 และการอ่อนแรงของประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันภัยใกล้ตัว
🇹🇭 ไทยจะไม่เป็นพม่า หากไทยเลือกยืนกับ โลกเสรี 🌍—ขั้วที่ได้เคยช่วยให้ไทยฟื้น สร้าง เติบโต 🚀 และอยู่บนหลักนิติรัฐที่พิสูจน์ตนมาหลายทศวรรษ ⚖️
แต่หากไทยปล่อยให้ จีนปัก “ขาที่สอง” สำเร็จ 🐉 หลังจากปักขาแรกที่พม่าสำเร็จแล้ว
อนาคตเราอาจจะไม่แตกต่างจากพม่ามากนัก—แค่ หรูหรากว่า ✨ และ พังช้ากว่า ⏳💥