Thursday, March 12, 2015

การทำลายถาวรวัตถุของศาสนาอื่น อันเป็นมรดกวัฒนธรรมชาวโลก คือความใจแคบของผู้คลั่งศาสนาบางคน




 
เมื่อปลายปี 2006 ช่วงรัฐประหารในเมืองไทย (ปี 49) ผมได้มีโอกาสไปยืน ณ จุดเกิดเหตุ
ที่เมืองบามิยัน ซึ่งเป็นเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน
และที่แห่งนี้ เคยเป็นฐานอันสำคัญของศาสนาพุทธในอัฟกานิสถานเลยทีเดียว
โดยการทำลายเป็นฝีมือของพวกคลั่งศาสนา ในชื่อกลุ่ม ตาลีบัน

ได้เห็นซากปรักหักพังที่เคยเป็นส่วนประกอบของ the Big Buddha และทราบว่า
ทางยูเนสโก ได้มีความพยายามที่จะสร้างองค์พระขึ้นมาใหม่ โดยใช้วัสดุเดิมที่พอเหลืออยู่
ไม่ทราบว่าวันนี้จะสำเร็จหรือยัง ไม่น่าเชื่อว่า ผ่านไปนับเกือบเก้าปีแล้ว

พอดีเห็นข่าวจากบีบีซี กล่าวถึงเบื้องหลัง... เลยยกมาให้พี่น้องอ่าน เพื่อเป็นความรู้นะครับ

piangdin

เรื่องเล่าจากชายคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้ทำลายสมบัติของบ้านเกิด
(เครดิต BBC Thai)

เมื่อ 16 ปีก่อนตอนที่กลุ่มตาลีบันเข้ายึดเมืองบามิยันในอัฟกานิสถานได้สำเร็จ หลังจากสู้รบต่อเนื่องกันมาหลายเดือน ทั้งโลกต้องตกตะลึงเมื่อกลุ่มตาลีบันทำลายพระพุทธรูปแห่งบามิยันซึ่งเป็นมรดกโลกที่ทรงคุณค่าและเป็นพระพุทธรูปยืนที่สูงที่สุดในโลก
เมียร์ซา ฮุสเซน หนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกกลุ่มตาลีบันจับตัวไว้เป็นนักโทษบอกว่า ตอนนั้นเขาอายุ 26 ปี กลุ่มตาลีบันจับตัวพวกผู้ชายไว้ได้ 25 คน ส่วนคนที่เหลือก็หนีตายไปที่อื่น กลุ่มนักโทษได้รับอาหารวันละน้อยนิด ไม่มีเครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องกันหนาวใด ๆ และหากไม่ได้ดั่งใจจะถูกฆ่าทิ้งตอนไหนก็ได้ นั่นก็เพราะชาวเมืองบามิยันส่วนใหญ่เป็นมุสลิมชีอะห์ ซึ่งกลุ่มตาลีบันถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของชาวมุสลิมซุนนีย์
ถัดมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิเมื่อปี 2544 ผู้บัญชาการกลุ่มตาลีบันเริ่มปฏิบัติการทำลายพระพุทธรูปแห่งบามิยัน โดยเริ่มจากการใช้รถถังกราดยิงใส่องค์พระพุทธรูป แต่ก็ไม่ได้ผลมากนัก กลุ่มตาลีบันจึงเริ่มวางแผนใช้ระเบิดแทน
ฮุสเซน เล่าว่า เหล่านักโทษต้องแบกวัตถุระเบิดทั้งหลายเข้าไปยังฐานพระพุทธรูปด้วยมือเปล่า ซึ่งหากผิดพลาดก็ตายได้ง่าย ๆ หรือไม่ก็ถูกกำจัดทิ้ง เขาจำได้ว่ามีนักโทษคนหนึ่งซึ่งขาเจ็บและแบกระเบิดไม่ไหว ผู้คุมก็เลยยิงทิ้งตรงนั้นแล้วบอกให้นักโทษอีกคนลากศพไปทิ้ง
ภารกิจฝังระเบิดนี้ใช้เวลาถึง 3 วันเต็ม ๆ สายไฟระโยงระยางถูกเชื่อมต่อกับตัวบังคับระเบิดซึ่งอยู่ที่มัสยิดที่ใกล้ที่สุด กลุ่มตาลีบันกดระเบิดขณะพร้อมใจกันโห่ร้องว่า “อัลลอฮุ อักบัรฺ” ซึ่งเป็นการกล่าวสรรเสริญว่าพระอัลเลาะห์เจ้าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
แต่กลุ่มตาลีบันก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าแรงระเบิดนี้ทำลายได้แค่ขาข้างหนึ่งของพระพุทธรูปเท่านั้น
จากนั้นกลุ่มตาลีบันจึงนำวัตถุระเบิดมาเพิ่มอีก ฮุสเซนบอกว่าวัตถุที่ว่านี้ดูเผิน ๆ เหมือนสบู่ก้อนและมีลักษณะหยุ่น ๆ เหมือนแป้งนวด
แผนการระเบิดครั้งใหม่นี้ กลุ่มตาลีบันใช้วิธีระเบิดวันละ 2-3 ครั้ง ต่อเนื่องกันไปเป็นเวลาทั้งหมด 25 วัน จนกระทั่งไม่เหลือซากของพระพุทธรูปอีกเลย หลังจากนั้นกลุ่มตาลีบันก็เฉลิมฉลองกับความสำเร็จในครั้งนี้ มีการเชือดวัวถึง 9 ตัวเพื่อเป็นการบวงสรวง
ชีวิตของเมียร์ซา ฮุสเซนในวันนี้ เขาเป็นช่างซ่อมจักรยานในเมืองบามิยันบ้านเกิด ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานมากแล้ว แต่ความทรงจำอันเลวร้ายนี้ยังแจ่มชัดอยู่ในใจเสมอ เขาบอกว่า ตอนนั้นเขาไม่มีทางเลือกจึงต้องจำใจทำ ซึ่งมันทำให้เขาเสียใจมาก ถึงตอนนี้ก็ยังเสียใจอยู่ และก็คงรู้สึกเสียใจแบบนี้ไปจนตาย
ฮุสเซนกล่าวทิ้งท้ายว่า เขาอยากให้รัฐบาลและชาวต่างชาติช่วยกันระดมทุนเพื่อสร้างพระพุทธรูปแห่งบามิยันขึ้นใหม่ แต่ดูเหมือนความหวังของฮุสเซนคงจะยังไม่เป็นจริงโดยเร็ว เพราะที่ผ่านมาก็มีการถกเถียงกันมาหลายปีแล้วว่าจะสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ หรือจะคงสภาพเดิมไว้แบบนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงความหลัง แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเสียที

===============

วันนี้ มีการสร้างใหม่ จนองค์พระเป็นรูปร่าง ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกในอนาคตสักวันหนึ่ง เมื่ออัฟกานิสถานกลับสู่สันติสุขอีกครั้ง แต่เมื่อใดล่ะ?






รายงานจากยูเนสโก 2011


รายงานจากนาโต 2011

คนที่หลงไปเลือกตั้งใต้รัฐธรรมนูญโจร โง่ยิ่งกว่าคนคลั่งภูมิพล โดย อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน-2015-03-09




อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน-2015-03-09 คนที่หลงไปเลือกตั้งใต้รัฐธรรมนูญโจร โง่ยิ่งกว่าคนคลั่งภูมิพล
http://youtu.be/5ZqWWyte6MU

ผมขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมสั้น ๆ ดังนี้นะครับ


วันนี้และวันต่อจากนี้ไป ใต้เกือกเผด็จการทหารเพื่อพระราชา
เรามีอะไรที่ควรสานต่อ หรือเอามาใช้ต่อไปสืบถึงลูกหลานบ้าง?

ระบบราชการถูกวางฐานให้มีอำนาจอิสระจากนักการเมือง
ระบบราชการถูกคนที่มีหัวอนุรักษ์นิยมไปจองตำแหน่งสำคัญ ๆ ทุกระดับ
ระบบตุลาการ ยังถูกคนของเครือข่ายเจ้าและเผด็จการทหารไทย กุมอำนาจโดยสิ้นเชิง
ระบบทหารและตำรวจ ถูกกลไกเผด็จการเอาคนของตนจ่อขึ้นต่อท่ออำนาจ

องคมนตรี ยังมีอำนาจแผ่ไพศาล เหนือทุกระบบที่กล่าวมา
ระบบเจ้าไทย ยังต้องการครอบงำศาสนา เพื่อหวังครอบงำจิตใจคน
สถาบันการศึกษาและวัฒนธรรม ถูกลัทธิคลั่งเจ้าครอบงำ

ทหารเพื่อพระราชา กำลังออกไปสร้างการครอบงำจิตสำนึก จนจะเป็นรัฐทหารอยู่แล้ว
รัฐธรรมนูญ และอำนาจนิติบัญญัติ ถูกวางกรอบให้รับใช้ชนชั้นศักดินาและเผด็จการ ทำลายอำนาจที่แท้จริงของประชาชน

ระบบกษัตริย์จะยิ่งมีอำนาจเหนือ แล้วเอื้อให้วงจรอุบาทว์เกิดขึ้นอีกต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน
เครือข่ายเจ้าไทย ยิ่งได้รับการหนุนหลังและรับใช้ทุนจากจีน จะยิ่งสานพลังอำนาจครอบงำ
รัฐบาลที่มาจากประชาชนเลือกตั้งเข้าไป  จะไม่สามารถทำอะไรได้

รัฐบาลทักษิณ เคยทำได้  8/10 เขาเห็นอันตรายของการให้อำนาจประชาชนตัดสินเชิงอำนาจ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้เวลาสองปี ทำอะไรได้ไม่ถึง 4/10 แค่ขยับจะเลยขึ้นเลข  5 วันนี้เขารวบกลับ
ย้อนมาแล้ว อำนาจตัวแทนประชาชน จะเหลือไม่ถึง 1/10

แล้วนักการเมืองไร้สำนึก ยังจะสยบยอม 
พาเสียงประชาชนไปให้ความชอบธรรมต่อระบอบเหี้ยนี้อีกหรือ?
แล้วนักการเมืองพวกนี้ ยังคิดจะไปขอต่อรองอำนาจ 

เพื่อขอร่วมข่มขืนประชาชนอีกหรือ?
  • ใครก็ตามคิดจะเลือกตั้งใต้รัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการจับยัด  ถือว่า ทรยศประชาชน
  • ใครก็ตามที่อยู่นิ่งเฉย ไม่เคยคิดทำให้ประชาชนเข้มแข็ง  มันคือ คนทรยศจิตวิญญาณประชาธิปไตย
  • ใครก็ตามที่ขัดขวางการเติบโตของประชาชนทางจิตสำนึก การรวมตัวจัดตั้ง การวาดผังอนาคต ฯลฯ  คนเหล่านั้น คือศัตรูของประชาชน


ประวัติศาสตร์เลือด สู่อาณาจักรคอมมิวนิสต์จีน... สารคดีจาก ซีไอเอ (ภาษาอังกฤษ)

The Bloody History of China - CIA Cold War Documentary on a Communist Empire_Full
Length Film (1967)
 






สงครามสื่อ ซันชิโร่ (เพลงร็อคเพื่อชีวิต เพื่อสะท้อนสังคม)


สงครามสื่อ ซันชิโร่ (เพลงร็อคเพื่อชีวิต เพื่อสะท้อนสังคม)
เพลงคุณภาพจากศิลปินร็อคเพื่อชีวิต
เสียงสูงแบบเร้าใจ เนื้อหาสะท้อนสังคมยุคสื่อสังคมออนไลน์
สนับสนุนกันด้วยนะครับ
https://youtu.be/-82FrpegI_w





เพลงประจำรายการชวนคิดชวนคุย มหาวิทยาลัยประชาชน (ชื่อ ปีศาจ)

สุดยอดฝีมือการแต่ง เรียบเรียงเสียงประสาน เนื้อหา ดนตรี และเสียงร้องครับ
ขอบคุณศิลปินประวัติศาสตร์


Wednesday, March 11, 2015

ทฤษฎีปฎิวัติเพียงดิน ต้องแทงตรงหัวใจให้ทะลุหลัง...

เผยแพร่ครั้งแรก เดือนพฤศจิกายน  2553

หากจะมองภาพการต่อสู้ระหว่างฝ่ายรักษ์เจ้า หรือฝ่ายศักดินานิยม กับฝ่ายประชาธิปไตยในระยะปีที่สี่หลังการรัฐประหาร 49 มาจนถึงเวลานี้ ต้องถือว่ายากจะบอกว่าใครจะชนะในระยะใกล้นี้ ยังก้ำกึ่งและมีสิทธิออกได้หลายหน้าเสียด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ประชาชนจะต้องชนะในระยะยาวในที่สุด แต่จะเพราะเทพอสูรเป๋และภาคียอมโยนผ้าขอแพ้ หรือจะชนะแตกแบบเลือดกลบหน้าสู้ต่อไม่ได้ หรือจะโดนประชาชนน็อค  ก็ต้องเกิดโดยประชาชนชนะแน่ ๆ  แต่ในระยะนี้ ต้องย้ำว่า ยังกำ้กึ่งครับ

ที่ว่าก้ำกึ่งนั้น แปลว่า คณะรักษ์เจ้าเคล้าศักดินานิยม มีโอกาสจะสามารถเตะถ่วงและยึดอำนาจได้อีกหลายปี ก็คือชนะในยกต่อไปนั่นเอง  และมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าเราอาจจะต้องทรมาณเหมือนดูละครน้ำเน่าบ้านทรายทองอีกซักสองสามตอนนะครับ  ที่เห็นชัด ๆ เราก็เห็นการจับแกนนำเราขังคุก ไล่ต้อนแกนนำไม่ให้โงหัว พยายามสยบและสลายทุกกลุ่มที่จะคิดการต่อต้านรัฐบาล เข้าครอบครองสื่อทุกแขนง ป้อนข้อมูลเน่าให้กับระบบต่าง ๆ ทุกระบบ ใช้ตีนมือระบอบราชการ (กิจการของพระราชา) ฯลฯ  ภาพที่เห็นเวลานี้ จึงเหมือนว่า พวกเทพอสูรและภาคีต่างย่างสามขุมไล่ต้อนฝ่ายประชาธิปไตย แถมมีกรรมการคอยจับตีนมือฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อหวังให้อีกฝ่ายต่อย ๆ เตะเอา ... ภาพที่เห็นปลายยกที่ผ่านมาและในอีกยกต่อไปที่กำลังจะเริ่ม ต้องถือว่าน่าอึดอัด เพราะ ฝ่ายประชาชน ยังคงต้องถอยและแย็ปหมัดเพื่อป้องกันตัวเองไปก่อน

สิ่งที่ผมเกรงไว้ว่าจะพัฒนาต่อไปจากนี้ ก็คือภาพจำลองสองภาพครับ

หนึ่ง หากมีการเลือกตั้งปีหน้านี้ เราอาจจะแพ้อย่างราบคาบ แล้วพวกศักดินาจะอ้างความชอบธรรม และฝ่ายประชาธิปไตยจะแดงกระจัดกระจาย แล้วก็กลายเป็นผู้ก่อการร้ายที่จะถูกเขาจัดการอย่างถูกกฎหมาย ยิ่งใช้ความรุนแรง ก็จะยิ่งโดนเขายุให้ฆ่าฟันล้างล่า จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง หรือสงครามกองโจร ที่ต้องอาศัยเวลาและการสูญเสียมหาศาลก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้ 

และสอง หากเสื้อแดงแกร่งเกินต้าน และพวกแก๊งค์เทพอสูรรู้ว่าเลือกตั้งแล้วจะแพ้ พวกเขาจะหน้าด้านยืดอายุรัฐบาล หรือหาโอกาสตั้งรัฐบาลอวยเจ้าและเฝ้าล่าแดงให้จงได้  จากนั้น ก็จะดำเนินการเหมือนที่กำลังทำอยู่ แต่จะยิ่งเพิ่มอัตราความโหด  ประชาชนจะตายในหลักพันหลักหมื่น ไม่ด้อยกว่าเหตุสมมุติข้างบน หรือต่อให้รัฐบาลฝั่งทักษิณต่ออำนาจไปได้ เขาก็จะต้องหาทางล้ม และใช้เครือข่ายต่าง ๆ ที่เขาวางไว้แล้วนั้น เข้าเล่นงานเพื่อกระชับอำนาจให้จงได้ในที่สุด

การคงอยู่ของไดโนเสาร์เหล่าตอแหลศักดินานั้น ไม่มีทางที่จะตั้งอยู่บนความรุ่งเรืองและสุขสบายของประชาชน เพราะพวกนี้ กำเนิดก็ผิดธรรมชาติ อยู่ก็ผิดศีลธรรม และปล่อยไว้ก็เป็นพิษแบบโรคติดต่อร้ายแรง   ดังนั้น ไม่มีทางเลือกหรอกครับ หากประชาชนจะยอมให้เกิดเหตุการณ์สองอย่างข้างบน เราจะสูญเสียมหาศาล  ดังนั้น หากอยากกู้บ้านแปงเมือง ก็ต้องลุกมาปฎิวัติ   หากอยากให้บ้านเมืองลงเอยด้วยดี เราก็ต้องจัดการป้องกันและต่อสู้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสองสิ่งนี้

ผมฟังคุณชูพงศ์และคุณแอนตี้มานาน เห็นด้วยและชื่นชมกับทั้งสองท่านอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะในแง่การชี้เป้าว่า กษัตริย์คือตัวปัญหาสำคัญของบ้านเมือง และเชื่อตามว่า กษัตริย์และกลุ่มผลประโยชน์รอบวัง คือก๊กที่ชิงอำนาจจากประชาชนไปใช้ปกป้องและแสวงหาผลประโยชน์ร่วมอย่างเป็นระบบ เป็นแก๊งค์ และเป็นภัยยิ่งต่ออนาคตของประเทศชาติ  แต่ผมไม่เห็นด้วยว่าเราควรจะทิ้งแนวรบทางรัฐสภาเสียสิ้นเชิง  เพราะยิ่งเราปล่อยให้พวกอภิสิทธิชนตอแหลอยู่ในอำนาจ  ความเสี่ยงของการเกิดภาพจำลองทั้งสองภาพข้างบนจะยิ่งเพิ่มขึ้น และประชาชนจะชนะยากขึ้น และสูญเสียมากขึ้น

การจะสู้และจะก้าวไปสู่การปฎิวัติประชาชนนั้น จะต้องทำอะไรหลายอย่าง ซึ่งผมได้เน้นไว้หลายครั้ง ดังที่ระบุไว้เป็นภารกิจมดแดง http://unrad.net/?p=7  และหัวใจของปัญหาที่เราต้องแทงให้ทะลุไปถึงแผ่นหลังของตัวปัญหา หัวใจของปัญหาเมืองไทยมีหลายด้าน ซึ่งเราต้องแทงให้ทะลุเข้าไปถึงใจกลาง ส่วนจะจัดการอย่างไรนั้น เราต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำต่อไป แต่ทิศทางต้องชัด คือจัดการกับทุกส่วนของหัวใจปัญหาต่อไปนี้:-

ข้างนอกสุดของหัวใจของปัญหาแห่งชาติไทย คือ พลังมวลชนที่ถูกเขาสกดไว้ด้วยมนตราไสยศาสตร์  ทำตัวจัดขวางประชาชนด้วยกันเอง  หากไม่แก้ไขให้มวลชนตื่น เราก็จะพบกับความลำบากในการเคลื่อนไหวใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฎิวัติในอนาคต

ถัด ๆ กันเข้าไปนี้ ก็จะพบว่ามีสื่อ สถานศึกษา หน่วยงานราชการ และหน่วยงานการเมืองทั้งหลาย ที่อยู่ในกำกับของก๊กเทพอสูร พวกนี้เป็นสิ่งที่จะพบได้ทั่วไป และจะเป็นเหมือนตัวมนตร์สกด หรือสารแพร่พิษ ที่ทำให้มวลชนจำนวนมากต่อต้านการพัฒนา หรือวางเฉย หรือไม่กล้าสู้ หริอหลายส่วนยังตามืดบอดอีกต่อไป

ลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ก็คือรัฐบาลนอมินีก๊กมาร  รัฐบาลนี้ คือตีนมือของเทพอสูร เป็นเครื่องจักสำคัญ เราคงเห็นแล้วว่า รัฐบาลที่มีหัวหน้ารัฐบาลหน่อมแน้ม และมีกำนันเก่ามากุมอำนาจมหาดไทย มันกลับสามารถใช้งานเครือข่ายตีนมือระบอบราชาธิปไตยอย่างดีและยึดอำนาจมาปั่นต่อ จนทำให้เหล่าเสื้อแดงรวนไปหลายครา เรียกว่ามาแรงจนแดงต้องหลบเชียวนะครับ....

และส่วนที่ลึกลงไป ที่กำกับรัฐบาลและสื่อสารกันอย่างใกล้ชิดกับขั้วปัญหา ก็คือกลุ่มทุนที่่ได้ประโยชน์กับการอยู่ร่วมกับรัฐบาลนอมินีและราชสำนัก และระดับนี้ จะมีขุนศึก (ทหารตำรวจ) เป็นกลไกสำคัญ  หากไม่แก้กลุ่มนี้ ก็จะไม่มีทางเข้าถึงแก่นกลางของปัญหาได้

และในที่สุดตรงกลางสุดของปัญหา ก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเอง  ปัจจุบันนี้ ความสงสัยเกี่ยวกับบทบาทและฐานะที่แท้จริงของสถาบันฯ นั้น แทบไม่เหลือแล้วครับ  คงไม่ต้องขยายความเลย สำหรับคนเสื้อแดงที่ได้รู้ ได้ยิน ได้เห็น และได้สัมผัสมาตลอดสี่ปีที่ผ่านมา

การจะปฎิวัติ จะต้องแทงหัวใจปัญหาเหล่านี้ให้ทะลุ จะต้องเอาพวกนี้มาเป็นพวกของประชาชนให้จงได้   หากเอามาเป็นพวกไม่ได้ ก็ต้องทำลาย หรือกดให้หมดอำนาจหรือพลังที่เป็นพิษต่อประชาชนให้ได้  จะทำอย่างเดียว ด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ 

การจะจัดการกับพี่น้องประชาชนที่ถูกสกดจิต ทำอย่างไร การเผยแพร่ความจริง และสร้างภาพเชิงสัญลักษณื ทำได้ดีแล้ว แต่ต้องทำมากกว่าเดิม ลึกกว่าเดิม และมุ่งเป้ากระจายออกไปหาประชาชนสีอื่น ๆ อย่างมีความคาดหวังให้สูงยิ่งขึ้น

การจัดการกับสื่อ สถานศึกษา วัดโบสถ์มัสยึด กลไกที่เป็นกลุ่มก้อนในสังคม ที่ยังรับใช้ลัทธิไดโนเสาร์ ต้องทำอย่างไรบ้าง เป็นโจทย์สำคัญอย่างยิ่ง

เรื่องการแย่งอำนาจรัฐ ก็จะต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อไทยอาจจะเป๋ แต่ประชาชนจะต้องไม่เป๋ ไม่ยอม และจะต้องดึงเพื่อไทยมารับใช้ให้ได้  ตอนนี้ยังไม่ชัด แต่จะต้องทำให้ชัดกว่านี้

ส่วนกลุ่มขุนศึกและนายทุนอิงวังนั้น การจัดการหรือดึงพวกเขาเข้ามาสนับสนุนการปฎิวัติประชาธิปไตย จะต้องทำอย่างมีเป้าหมาย และหากพวกนี้พยศและทำร้ายประชาชน ประชาชนยิ่งจะต้องมีวิธีปรามและกำราบพวกเขาอย่างเด็ดขาด  ตรงนี้อ่อนไหวมาก ๆ และเป็นจุดบ่งชี้สำคัญ!!!! ใครจะทำ และทำอย่างไร???? เป็นคำถามที่แกนนำการปฎิวัติในวันนี้และในอนาคตต้องคิด  เพราะหากไม่สามารถกดหรือดึงพวกนี้มาเข้าข้างประชาชน เราชนะไม่ได้ครับ หรือจะชนะได้ ก็ต้องฆ่าล้างโคตรกันไปข้างหนึ่งทีเดียว แต่คงล้างโคตรประชาชนไม่ได้  ดังนั้น หากจะล้างโคตรแล้วชนะ ก็คือ ฝ่ายขุนศึกและนายทุนศักดินาน่ะแหละ ที่จะต้องถูกล้มล้าง 

และในที่สุด ก็ต้องมาถึงแกนกลางที่สุดของปัญหา  ชั้นในสุด  หากคิดจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หากไม่แตะถึงแกนกลาง ก็จะไม่มีทางแทงทะลุหัวใจ และจะไม่สามารถหยุดกลไกพิษหรือวงจรอุบาทว์ได้  จะทำอย่างไร  จะล้อมวังจับตัวฆ่าฟัน จะล้อมวังแล้วบังคับให้เจรจายกอำนาจคืนประชาชน จะกราบบังคมทูลแบบเนียน ๆ และประณีประนอมผ่านสภา จะลอบฆ่าล่าล้าง  จะกราบแล้วขอร้องให้ท่านคืนอำนาจแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น  แต่สิ่งเหล่านี้ ต้องเกิด และจะต้องเกิดภายในไม่เกินรัชกาลที่สิบแน่นอน  เพราะเวลานี้ปัญหา ประเทศไทย เหมือนหนองที่มีน้ำหนองเหลืองบวมพองเกินผิวหน้าของหนังจะรับได้แล้ว  และการจัดการกับฝี ไม่มีทางอื่นใดที่จะเลี่ยงการเอาหัวฝีออกได้เลย 

จะเห็นว่า สิ่งที่กล่าวมา คือ ทฤษฎีปฎิวัติเพียงดิน  เพราะนี่คือการปฎิวัติของประชาชนชาวดิน ที่ไร้อำนาจบาตรใหญ่ ไร้กลไกอำนาจในระบอบอำนาจเดิม  ดังนั้น หากจะเจาะเข้าไปแก้ปัญหา ก็ต้องแทงให้ทะลุให้จงได้  จะทำอย่างไร?  นี่เป็นโจทย์ที่คนเสื้อแดงหลายฝ่ายพยายามคิด แต่อย่าลืมว่า หากคิดได้เท่าเดิม ทำได้เท่าเดิม และไม่มองสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด และทำในทุกจุด  เราจะเสี่ยงที่จะถูกถึงไปอยู่ในเกมอำนาจโฉดสองเกมของลัทธิไดโนเสาร์  เราจะสูญเสียอย่างมหาศาล... 


การปฎิวัติเพียงดิน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ทำไม่ได้... ทำน้อยก็ไม่ได้... ทำแบบไม่ครบวงจรก็ไม่ได้.. . และทำแบบไม่สามัคคีพลังประชาชนก็ไม่ได้... ประชาชนไทย พร้อมแค่ไหนและมุ่งมั่นเพียงใดล่ะครับ?



TAHR เรียกร้องให้คนไทย ส่งจดหมายถึงกงสุลและฑูตต่างประเทศในไทย เพื่อหยุดพลตรีเหรียญทอง ก่อนสายเกินไป

TAHR เรียกร้องให้คนไทย ส่งจดหมายถึงกงสุลและฑูตต่างประเทศในไทย เพื่อหยุดพลตรีเหรียญทอง ก่อนสายเกินไป

ดาวน์โหลดจดหมาย เพื่อลงนามและส่งไปรษณีย์ จากลิ้งค์ข้างล่างนี้
http://www.mediafire.com/view/p0tofau4o9trb3b/RianThong-HRAbuses-official.pdf
http://www.mediafire.com/view/6gnizz2q7qqe30f/RianThong-HRAbuses-official(2).pdf




Tuesday, March 10, 2015

กลับมาแล้วเด๊อ
!!!
ดร.เพียงดิน รักไทย 2015-03-11 ดร.เพียงดิน ชี้ทางออกประเทศไทย  ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
http://youtu.be/k8vp2E5FiLA






 *************************
http://unrad.net/content  มหาวิทยาลัยประชาชน นปช.ยูเอสเอ และเครือข่าย  สนับสนุนการเผยแพร่ เพื่อให้ความรู้และตีแผ่ความจริง
เพื่อสร้างสำนึกการปฏิวัติสู่การเป็นประชาธิปไตย ด้วยสันติวิธี
Truth, Peace, Revolution, Universal Human Rights, Democracy
คุ้มครองโดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (http://tahr-global.org)
-------------------------------------------------------------------------------------



Sunday, March 8, 2015

ดร.จารุวงศ์ เรืองสุวรรณ ตัวแทนองค์การเสรีไทย กล่าวถึงจุดยืนเสรีไทย ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด 6 มีนาคม 2558

 
ดร.จารุวงศ์ เรืองสุวรรณ ตัวแทนองค์การเสรีไทย กล่าวถึงจุดยืนเสรีไทย ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด 6 มีนาคม 2558 

 -------------------

Saturday, March 7, 2015

ตัวแทนองค์การเสรีไทยฯ และภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ร่วมพูดคุยเรื่องการเมืองไทยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

6 มีนาคม 2558 ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  โปรแกรมไทยศึกษา ได้จัดประชุมแลกเปลี่ยนความรู้และความเห็น (Forum) ในหัวข้อ Human Rights & Everyday Governance in Thailand: Past, Present, and Future

ในการนี้ ผู้ก่อตั้งและอำนวยการโปรแกรมไทยศึกษา ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  Professor Dr. Michael Herzfeld ได้เชิญนักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศ ที่มีความสนใจเรื่องปัญหาในประเทศไทย มาร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนกัน บนความเชื่อที่ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยวันนี้ มันยุ่งยากและทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่สุด โดยไม่มีแนวโน้มว่าจะพบทางออกใด ๆ ได้ง่าย ๆ หากไม่มีการเปิดบทสนทนา ที่ให้โอกาสคนที่เห็นต่างในหมู่คนไทยที่หลากหลาย ได้มานั่งพูดคุยกันอย่างเปิดอก สร้างสรรค์ และเป็นพี่น้องกัน โดยใช้เวทีแห่งเสรีภาพทางวิชาการในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อระดับโลกแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้น

ดร.เพียงดิน รักไทย ในฐานะประธานบริหารภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (Thai Alliance for Human Rights และอธิการบดีมหาวิทยาลัยประชาชน (Thai People's Revolutionary University for Democracy) ร่วมกับ ดร.จารุวงศ์ เรืองสุวรรณ บุตรท่านจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ในฐานะตัวแทนขององค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย (The Organization of FreeThais for Human Rights and Democracy) ได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และได้รับโอกาสให้พูดก่อนมีการสรุปประจำวัน โดยทั้งสองท่าน เห็นตรงกันว่า ปัญหาประเทศไทย ต้องมีการพูดคุยกันอย่างเปิดใจ ไม่มองกันเป็นศัตรู โดยองค์การเสรีไทยฯ และองค์กรที่ดร.เพียงดิน ดูแลอยู่นั้น จะร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศด้วยวิถีทางประชาธิปไตยและสันติวิธี โดยจะเน้นการเผยแพร่องค์ความรู้และความจริง และการชี้แจงให้นานาชาติรับทราบ และให้ความช่วยเหลือเพื่อไม่ให้เกิดการเข่นฆ่าประชาชนอีกครั้ง อันจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบในที่สุด

โดยค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าที่พักของทั้งสองท่าน ได้รับการอุปการะโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เพื่อให้โอกาสเสียงที่ถูกปิดกั้นได้มีโอกาสแสดงออก  ทั้งนี้ มีการเชิญตัวแทนจากสถานเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงวอชิงตันดีซีให้เข้าร่วมได้ แต่น่าเสียดาย ที่มีรายงานว่า ตัวแทนรัฐบาลทหารไทย ไม่สามารถเดินทางออกจากกรุงวอชิงตันดีซีได้ เพราะอากาศที่เป็นอุปสรรค

พบกับการสรุปเรื่องราวต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ในโอกาสต่อไป

(หมายเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้เข้าร่วมแสดงความเห็น จึงไม่มีการอนุญาตให้ถ่ายภาพหรือบันทึกเสียงจากห้องเสวนา)


























Wednesday, March 4, 2015

เณรน้อยขอพูด: ความจริงและความหวังดีจาก ดร.เพียงดิน รักไทย ถึงพี่น้องร่วมอุดมการณ์



เณรน้อยขอพูด: ความจริงและความหวังดีจาก ดร.เพียงดิน รักไทย ถึงพี่น้องร่วมอุดมการณ์

Tuesday, March 3, 2015

ความจริง ที่เผด็จการทหารของพระราชาและเครือข่ายหลอกลวงชาวโลกไม่ได้

ความพยายามของฝ่ายเผด็จการทหารเพื่อพระราชาและเครือข่าย ที่เป็นวัวสันหลังหวะ เป็นผู้ร้าย เป็นโจรที่พยายามจำแลงตัวเป็นพระ เจ้าอาวาส​ ฯลฯ

ผมกำลังร่างหนังสือ สะท้อนความคิดของพี่น้องไทย ในเวทีโลกระดับต่าง ๆ
ว่าท่านคิดอย่างไรกับตัวแทนเผด็จการไทยวันนี้ จะฟ้อง จะบอกอะไรชาวโลก
มีตัวเลข สถิติ และประเด็นใดบ้าง ควรสื่อให้ชาวโลกทราบ


ขอพี่น้องช่วยกันตกแต่งข้อเขียนสำหรับหนังสือนี้ ข้างล่าง ตรง Comment นะครับ

ขอบคุณครับ


piangdin
3 มีนาคม  2558

-----------------------------------------------------------
สิ่งที่เผด็จการในเครือข่ายพระราชาหลอกลวงชาวโลก และความตอแหลที่ดำรงอยู่มานาน


  • กษัตริย์ภูมิพลเป็นประมุขประบอบระชาธิปไตย แต่อนุมัติให้ทหารของตนฉีกรัฐธรรมนูญบ่อยที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลก
  • อ้างว่า เป็นกษัตริย์ที่ประชาชนทุกคนรัก เพราะมีบุญบารมีและทำดีไว้มากกว่าใครในแผ่นดิน แต่กลับเขียนกฎหมายห้ามวิพากษ์ วิจารณ์ หรือฟ้องร้อง
  • ร่ำรวยสุดในบรรดาประมุขและพระราชาของโลก แต่ชูนโยบายพอเพียง รับเงินบริจาคจากประชาชนอย่างหน้าไม่อาย แถมเห็นแก่ตัวด้วยการเอาเงินภาษีประชาชนไปใช้จำนวนมหาศาลทั้งทางตรงและทางอ้อม และไม่เคยเปิดเผยทรัพย์สิน รายได้ และการเสียภาษีอย่างโปร่งใส
  • ความรวยกระจุกจนกระจาย เริ่มต้นมาจากวิธีการกินรวบของเจ้าไทยและชนชั้นอภิสิทธิ์จำนวนนิดเดียว โดยกษัตริย์ภูมิพล มีความมั่งคั่งมากกว่าประชาชนคนไทยทุกคนโดยเฉลี่ย ถึง 5,400,00,000,000 ล้านเท่า
  • มีการฆ่าประชาชนโดยทหารของพระราชาและผู้จงรักภักดีครั้งใหญ่ ๆ หลายครั้งในรัชกาลที่ 9 และมีคนบาดเจ็บและตายมหาศาล แต่คนก่อการ ไม่เคยได้รับผิด แถมได้รับนิรโทษกรรมอย่างง่ายดายทุกครั้ง
  • เครือข่ายเผด็จการพระราชาไทย ได้ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการกดขี่และละเมิดสิทธิมนุษยชนสากลของคนไทย  อันได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  พรบ.คอมฯ​ 2550 กฎอัยการศึก แถมยังมีองค์กรอิสระและตุลาการในเครือข่ายที่บิดเบือนความเป็นธรรมที่ประชาชนไทยควรจะได้รับตามระบบสากล

พระเจ้าแผ่นดินไทย กับ ที่ดินมหาศาลทั่วประเทศ!!!



พระเจ้าแผ่นดิน ชื่อนี้บอกอะไรได้มากมาย
ล่วงมาจนปลายรัชกาลที่  9 ท่านครองผืนดินมากมายขนาดไหน?
มีผลกระทบต่อประชาชนและประเทศด้านใดบ้าง อย่างไร?



คันฉ่องส่องตนและคนรอบข้าง โดย ดร.เพียงดิน รักไทย

กรณีคลิปหลุด ผมได้อธิบายอย่างซื่อสัตย์และจริงใจที่สุดไปแล้ว ในคลิปที่ดำเนินรายการโดย พี่อเนก ซานฟราน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม  2558 ที่ผ่านมา และได้สัญญากับพี่น้องและพี่อเนกผ่านรายการไปแล้วว่า จะไม่พูดอีกในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นคุณกับขบวนการต่อสู้เพื่อโค่นล้มเผด็จการแล้วสร้างประชาธิปไตย
---------------------------------[รับฟังย้อนหลังได้ที่นี่เบื้องหลัง คลิปหลุด ป้าเพ็ญ-ดร.เพียงดิน ดำเนินรายการโดย อเนก ซานฟราน 3 มีนาคม 2558http://youtu.be/78Jar6c1-UMhttp://youtu.be/wjUnojB1OE0
http://www.mediafire.com/listen/u6nufstyy9cbosv/AnekSanFran-DrPaingdin-2015-3-2_.mp3ขอแสดงความในใจ ต่อเพื่อนร่วมอุดมการณ์]---------------------------------


ผมเชื่อว่า สถานการณ์วัดค่าและตัวตนของคนได้  คนระดับต่าง ๆ จะมีความสามารถในการซ่อนตัวตน หรือความคิด หรือจุดยืนของตนในระดับที่ไม่เหมือนกัน  บางกลุ่มจะซ่อนเงื่อน หรือทำเนียน หรือปิดบังความคิดที่แท้จริงได้สนิท หรือไม่มีหลุดง่าย ๆ เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม   บางพวกพยายามเป็นแบบแรก โดยใช้วาทกรรมในการออกตัวและสาธยายอำพราง แต่จะไม่สามารถปิดบังได้เหมือนพวกแรก เพราะพวกเขาจะไม่นิ่งหรือจิตใจอาจจะขุ่นมัว หรือตัวตนอาจจะไม่มี character ของคนใจกว้างหรือใจใหญ่  ดังนั้นพวกนี้จะมีบทบาทในการแสดงออก (โชว์โง่)มากกว่าคนกลุ่มแรก และมักจะแสดงออกแบบยืดเยื้อ ไม่หยุดง่ายเพราะจะต้องพยายามอธิบายช่องโหว่ในวาทกรรมของตนเองไปด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดพวกนี้จะต้องพยายามปิดอัตตาตัวเอง ที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้ต้องคอยกลบหรือล้างไปด้วย สรุปว่า สองกลุ่มแรกนี้จะต่างกันตรงระดับความดีงามของจิตใจพื้นฐาน (เช่นความใจกว้าง ความยุติธรรม ความเมตตา มุทิตาจิต ฯลฯ) และintellectual quality ซึ่งเป็นตัวตัดสินว่า จะพูดอะไร เมื่อใด แค่ไหน คุ้มค่าหรือไม่ ฯลฯ

ในอีกฝากหนึ่ง พวกสุดโต่งหรือสุดขั้ว จะเป็นผู้ที่ไม่มีการยั้งคิด ยั้งคำ หรือพยายามซ่อนตัวตน พวกนี้จะไม่พูดยาวเหมือนพวกที่สองข้างบน แต่จะเป็นกลุ่มมีความแตกต่างในสาระประโยชน์ คนพวกนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนตรงเป็นคนมีจิตใจรักความเป็นธรรม มีเมตตาอารีย์ และจริงใจ ดังนั้น จะไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนสองพวกแรก  พวกนี้อาจจะมีประโยชน์มากในบางเรื่องที่สังคมพยายามเลี่ยงโดยอาจจะทำให้ปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรมโผล่ออกมา ทำให้ให้สามารถเก็บกวาดปัญหาได้  แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า สังคมในวงที่พวกเขาอยู่นั้น จะจัดการปัญหาร่วมกันได้ดีเพียงใด
มีความสามารถในการจัดการกับปัญหา ให้มันสร้างผลบวกมากกว่าผลลบได้อย่างไร และนี่แหละเป็นปัญหาสำคัญของสังคมด้อยพัฒนาทางศีลธรรมจรรยาและทางสติปัญญา (moral and intellectual development)

การแบ่งกลุ่มมนุษย์แบบที่ผมแยกข้างบนนี้ เป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยนิยมทำ เพราะมนุษย์มันมีอะไรซับซ้อน ไม่ใช่จะสามารถจับเอามาแยกเป็นกอง ๆ ในมิติใดมิติหนึ่งแล้ว จะเป็นกองเดียวกันตลอดไป
ในเชิงการเมืองนั้น การยั้งคิด ความดีงามของจิตใจ ความใสของอุดมการณ์ และประโยชน์ของ
การคงอยู่ในวงสังคมใด ๆ นั้น เมื่อเอามารวมกัน แล้วให้แต่ละคนแสดงออกในการตอบสนอง
ต่อสภาวะต่าง ๆ  คน ๆ หนึ่งที่อาจจะมีลักษณะตรงกับคนอีกคนหนึ่งในบางด้าน อาจจะมีลักษณะประกอบด้านอื่น ๆที่ต่างกัน ก็จะทำอะไรในสภาวะต่าง ๆ ชนิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ได้ นี่รวมถึงศักยภาพในการเรียนรู้และปรับตัวเพื่อการพัฒนาตัวเองไปด้วย  การเรียนรู้ไม่จบสิ้น คนแก่หนุ่ม หากไม่หยุดเรียนรู้ ก็จะสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้เสมอ

















วิเคราะห์คนคร่าว ๆ แบบหยาบ ๆ ไปแล้ว อยากจะสรุปบทเรียนสำหรับตัวเองจากสถานการณ์ต่าง ๆ
บนเส้นทางการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมาร่วมกับพี่น้องไทยดังนี้
  • ประโยชน์ของคน อาจจะไม่ได้มาจากดีกรี หรือตำแหน่งที่เคยทำมาว่าเลิศเลอปานใด แต่

หลายครั้งเราสามารถกำหนดระดับของประโยขน์ได้จากความดีงามของจิตใจและความยืดหยุ่นที่เผื่อสำหรับการเรียนรู้ของบุคคลนั้น ๆ มากกว่า
  • อัตตา ซึ่งถูกกำหนดด้วยความโลภ โกรธ และหลง จะเป็นตัวบั่นทอนศักยภาพของคน คือ แม้คนจะมีพรสวรรค์ที่มีค่าเพียงใด ก็อาจจะเป็นตัวสร้างสิ่งเป็นโทษได้ หากอัตตาถูกชูและกำกับโดยกิเลส หรือยาพิษสามตัวนี้
  • มิตรที่จริงใจ พิสูจน์ได้จากสถานการณ์วิกฤติ  และศัตรูที่อยู่ในหมู่มิตร พิสูจน์ได้ในยามทีเราเพลี่ยงพล้ำ
  • คนข้างตัวที่ต้องระวังที่สุด คือคนที่อัตตาสูง จดจำเรื่องเล็กน้อย อาฆาต และจ้องเอาคืนในทุกโอกาส
  • คนที่รู้มาก หากนำมาใช้ไม่ได้ และหลงอยู่กับความรู้ อาจจะเป็นคนที่ใจแคบที่สุด แต่เขาอาจจะสามารถเอาหลักการมากลบเกลื่อนความใจแคบของตน โดยคนพวกนี้ จะไม่รู้ว่า อัตตาของตนมันครอบสมองและหัวใจของตนอยู่ จนความรู้ท่วมหัว เอาตัวไปทำประโยชน์ให้ใครไม่ค่อยได้จริง
  • งานใหญ่จะมีอุปสรรคเพราะ: พวกใจแคบ เห็นแก่ตัว (มีอัตตาสูง) วุฒิภาวะต่ำ ขี้อิจฉา และมีผลสำคัญมาจากความสามารถในการวินิจฉัยหรือตีความสิ่งต่าง ๆ ในระดับต่ำ
  • มิตรที่ขาดลักษณะสำคัญ​ๆ ดังกล่าว ข้างต้น อาจจะเป็นอันตรายมากกว่าศัตรูที่มีลักษณะเดียวกัน
  • มิตรที่มีลักษณะด้อยที่กล่าวมามากเท่าใด จะเห็นได้ชัดยิ่งขึ้นเมื่อเขาแสดงตัวตนออกมาในยามวิกฤติหรือยามที่พวกเขาถูกกระทบโดยตรง
  • มิตรแท้ ไม่เรียกร้องคำขอโทษจากมิตร  ส่วนศัตรูในร่างมิตรนั้น ต่อให้ขอโทษ
  • มิตรแท้ มีค่ายิ่งกว่าเพชร จงยอมอุทิศทุกอย่างที่มีค่า เช่นเวลา น้ำใจ น้ำคำ และกำลังกาย (ฯลฯ) เพื่อรักษามิตรแท้เอาไว้
  • ในที่สุดแล้ว เราต้องเลือกคิด พูด และทำเฉพาะสิ่งที่สร้างสรรค์ และทำให้ชีวิตสูงขึ้น (ไม่ใช่เชิงผลประโยชน์)
  • อย่าเสียเวลากับคน ประเด็น และกิจกรรมต่อไปนี้: กิจกรรมที่ทำลายล้างมากกว่าสร้างสรรค์ ที่สร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา และที่สร้างภาระอันไร้ประโยชน์มากกว่าสร้างสรรค์ผลงาน
  • คิดการใหญ่ ปัญหาใหญ่ต้องให้มันเล็ก ปัญหาเล็ก ๆ ต้องมองข้าม ยกเว้นแต่ว่า ปัญหาเหล่านั้น มันเลี่ยงไม่ได้เพราะปล่อยไว้การใหญ่จะเสีย (ขอบคุณคุณอาคม ที่ได้พูดถึงเรื่องนี้บ่อย ๆ)

โปรดทราบว่า ที่เขียนนี้ ผมรำพึงส่วนตัว ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงผู้ใด ใครอ่านแล้วได้ประโยชน์ ก็จะยินดี  แต่หากใครอ่านแล้วรู้สึกว่าถูกกระทบ ก็ต้องโทษตัวเองนะครับ ฮิ ๆ  เพราะผมไม่ได้จงใจกล่าวถึงใครโดยเฉพาะเลย หากยังคิดว่า ผมเขียนพาดพิงหรือกระทบถึงท่าน แสดงว่าท่านมีปัญหาต้องสะสางตัวเองด้วยตัวเองแล้วล่ะครับ ผมให้ได้แค่คันฉ่องส่วนพระองค์ของผมเอง แฮ่ ๆ




Credit: Image: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPZ5VLde4G9VOZcg7v9ORd9XC7JA7-oM84GOGtPNWnPlIZfxoPRkS-vpgayygUfBbjPy85tszxnn3lBmgmeo5qr9YHjJpAp8gaonv5gz2oQmn0E0-_SImbkKTuOZjEFFU_uAicr16xQ7E/s1600/the+root+of+suffering.jpg



Monday, March 2, 2015

ปัญหาประเทศไทย ต้องแก้ด้วยการ “ล้มสถาบัน”

ปัญหาประเทศไทย ต้องแก้ด้วยการ “ล้มสถาบัน”
Posted on เมษายน 22, 2011 by piangdin

“ไอ้เหี้ยสั่งฆ่า อีห่าสั่งยิง”

“ไอ้สอดบัตร”

“กูไม่กลัวมึง กูไม่เอามึง”

“เจ้าของคอกม้า”

“อีกะหรี่”

และอีกหลายวลีและประโยคที่ไม่ทราบว่าคนพูดหมายถึงใคร
แต่ใครที่คนไทยจำนวนมากหมายถึงนี้ คงไม่กล้าแสดงตัวออกมายอมรับและฟ้องร้องใครแน่
เพราะข้อหาแรงและคำบรรยายมันแทงใจดำคนที่มองตัวเองสูงส่ง และอยากให้ประชาชนรักใคร่
ยอมรับและยินยอมแบบไม่มีเงื่อนไข บนเงื่อนไขของการยอมกูก่อนข้างเดียว

แน่นอนล่ะ ว่าคำกล่าวข้างต้น มีการโยงไปหาชนชั้นสูงที่คนมองว่าเป็นสถาบัน ที่ควรเคารพยกย่อง
จงรักภักดี คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วย จะใช่หรือไม่ใช่ ก็แล้วแต่คนไทยจะมอง แต่หากใคร
บอกว่าใช่แล้วเอามาพูดต่อ ก็คงโดนดี ถูกเฆี่ยนซัก 112 ทีให้เข็ดหลาบ หรือตายคาขื่อซะเลย
สำหรับผม ถือว่าข้อความดังกล่าว จะหมายถึงใครก็ได้ในประเทศไทยที่เลวร้ายและเป็นที่เกลียดชัง
ดังนั้น อย่าเอาแส้สมัยดึกดำบรรพ์มาเฆี่ยนผม สำหรับผม คำว่าสถาบัน ไม่ควรถูกจำกัดแค่
สถาบันกษัตริย์เท่านั้น และที่ผมจั่วหัวบทความด้วยคำว่า ล้มสถาบัน นั้น ผมหมายความตามนั้น

ทำไมต้องล้มสถาบัน? ตอบง่าย ๆ ก่อนขยายความว่า ก็เพราะสถาบันมันเหี้ย สถาบันมันเป็นพิษ
สถาบันมันทำร้ายประเทศ สถาบันมันเสื่อมและเน่าใน สถาบันมันอยู่ผิดที่ผิดกาล สถาบันมันไร้ประโยชน์
สถาบันมันขัดหลักเสรีประชาธิปไตย สถาบันมันไร้ความยุติธรรม สถาบันมันทำร้ายคนดี
สถาบันมันหลอกลวง สถาบันมันเล่นลิ้นกินบ้านกินเมือง สถาบันมันนำมาซึ่งความรุนแรง สถาบันมันชั่ว ฯลฯ

ผมใช้คำว่า สถาบัน ในความหมายที่บ่งว่า มันเป็นองค์กร มีวัตถุประสงค์ มีคณะทำงาน มีทุนดำเนินงาน
มีรูปแบบหลักเกณฑ์ที่ถูกกฎหมาย (แต่จะทำถูกกฎหมายใคร ชอบธรรมหรือไม่นั้น อีกเรื่องหนึ่ง)
และสถาบันที่ทำร้ายประเทศไทย และเป็นปัญหาของประเทศไทยนี้ มันรวมเอาหลาย ๆ สถาบันย่อย
ที่รายล้อมและอิง หรือใช้ประโยชน์จากการมีเส้นสายหรือได้รับความเห็นชอบจากราชสำนัก
สถาบันย่อยเหล่านี้ ใครผิดใครถูก ต้องว่ากันเป็นราย ๆไป ตามหลักเหตุผลและหลักการ
แต่โดยรวมแล้ว สถาบันใหญ่ที่ผมว่าเป็นปัญหาและควรต้องล้ม คือสถาบันที่ยังนึกชื่อไม่ได้
ผมแทนตัวย่อด้วย สถาบัน ก. ละกันนะครับ สถาบันนี้มันเหี้ยมาก ๆ ทำร้ายประเทศกันอย่างเป็นระบบ
มีเครือข่ายทั่วประเทศ มีกำลังทหารคอยรับใช้ มีระบบราชการคอยเป็นตีนมือ มีกฎหมายที่
มันสั่งคนของมันเข้าไปร่าง หลังจากที่ใช้กำลังศาลและทหาร ตลอดจนบารมีมือที่มองไม่เห็น
เข้าไปยึดอำนาจมาให้นักการเมืองเปรตเหี้ยเข้าไปครอง เพื่อไปแสวงหาแดกอย่างเป็นทางการ
สถาบัน ก. นี้ มันสั่งสื่อได้ มันสั่งธุรกิจในสังกัดหรือในเครือข่ายมันได้ มันสั่งให้รัฐบาลเอาเงินมา
ใช้ป้อนให้ทหารเพื่อให้ทหารรับใบสั่งรัฐประหาร ข่มขู่และฆ่าประชาชน สถาบันนี้ ตัวตนมันมองไม่เห็น
คนเห็นก็คงพูดไม่ได้ด้วย เพราะหากพูดมันก็ต้องไปแตะเอาทหาร ศาล และนักการเมืองสันหลังหวะ
ที่ลงจากอำนาจไม่ได้ เพราะลงเมื่อใด ถึงตายและฉิบหายกันทั้งก๊ก และทั้งตระกูล สถาบันเหล่านี้
ทำชั่วกันอย่างเป็นระบบ เป็นก๊ก เป็นเวลานาน และเลยจุดยอมรับได้ทางกฎหมายและศีลธรรม

ที่เราต้องล้มสถาบัน ก. นี้ ก็เพราะมันซับซ้อนและมีพิษในทุกจุดในตัวมัน จะตัดหัวโดยไม่ตัดแขนขา
หรือถอนฟันทิ้ง หรือตัดจู่ ตัดหู ตัดเครื่องในมันออกมาทำลายไม่ได้ เพราะทิ้งอะไรไว้โดยไม่จัดการ
เผาทำลาย ก็จะเป็นพิษไม่จบสิ้น โดยเฉพาะหัว หากจะเทียบสถาบันนี้ให้ชัด ก็คงต้องนึกถึงอาการ
ของฝี ที่เป็นฝีชนิดรุนแรงตายได้ อาการของฝีคือ จะมีเชื้อร้ายที่กัดทำลายตัวเรา พยายามรุกรานเข้าไป
ในเนื้อหนังของเรา จนเราต้องออกมาต่อต้าน และพอเราต่อต้าน มันก็ไม่ยอมแพ้ จึงเกิดการต่อสู้
และศพและน้ำเลือดน้ำหนองของทั้งสองฝ่าย จะทำร้ายตัวเรา (เปรียบได้กับประเทศชาติ) อย่าง
ไม่จบสิ้น และตัวหัวฝีก็จะเป็นศูนย์กลางของการทำลายล้าง หนองและสิ่งโสโครกรอบหัวฝี ก็จะ
ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด อาการระบม อาการไข้ และอาการอื่น ๆ ตามมา หากมันขยายใหญ่เกิน
ที่ร่างกายจะรับได้ ก็ถึงตายเลยทีเดียว แต่หนองประเทศไทยนี้ มันมีพิษในทุกจุด น้ำเลือดน้ำหนอง
มันเหมือนมีเชื้อเอดส์อยู่ด้วย ดังนั้น หากไม่กำจัดให้สิ้นซาก ก็คงไม่มีทางหาย ผมไม่ใช่หมอ
ที่บรรยายมา อาจจะถูกหรือผิดหลักแพทยศาสตร์บ้าง แต่ก็พอรู้ว่า หากไม่เอาหัวฝีออก
อาการระบมจะไม่หาย ต่อให้เอาเลือดออกไปทิ้ง ก็จะเวียนเกิดหนองและความเจ็บปวดทรมาณ
อย่างไม่จบสิ้น หากในระดับย่อยก็คือ เหมือนสิวบนหน้าน่ะครับ หากหัวสิวไม่ออก ก็ไม่มีทางหาย
หากจะรอก็ต้องใช้เวลานาน ยิ่งมีสิวเต็มหน้า ยิ่งต้องรักษา หรือทำลายมันอย่างเด็ดขาดนั่นเอง

การแก้ปัญหาเมืองไทย ต้องล้มสถาบัน ก. นี้ให้เด็ดขาด แต่จะทำอย่างไรนั้น ก็ต้องดูว่า สถาบันนี้
มันประกอบด้วยสถาบันย่อยอะไรบ้าง ทำหน้าที่อะไร มีรากอยู่ตรงไหน ใช้ยาชนิดไหนดี ที่ต้องล้ม
ก็เพราะสถาบันนี้ อยู่แล้วไม่มีทางปรับตัวง่าย ๆ สถาบันมันมีเป้าหมายที่ขัดกับเสรีประชาธิปไตย
ก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมาย มีคณะทำงานที่ไม่ชอบธรรมตามหลักเสรีประชาธิปไตย ก็ต้องเอาออกแล้วจัดใหม่
ใครอยู่ผิดที่ ผิดหน้าที่ ไม่โปร่งใส ทำผิดบทบาท หรือทำผิดกฎหมาย ก็ต้องถูกจัดระเบียบและลงโทษ
เราต้องปัดกวาด ทำลาย และโยกย้าย แล้วจัดระเบียบองค์กรใหม่ สถาบัน ก. ที่ว่านี้ ประชาชนเป็นเจ้านาย
ประชาชนเสียภาษีไปจ่ายเลี้ยงทุกสถาบันในนั้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม บางสถาบันมีอภิสิทธิ์มากไป
จนลืมว่าประชาชนคือเจ้าของและผู้มีบุญคุณ ดังนั้น ก็ต้องให้ประชาชนไปล้มสถาบัน ก. นี้เสีย
แล้วจัดระเบียบใหม่ วางกฎเกณฑ์ใหม่ สร้างวัฒนธรรมใหม่ ใครผิดก็ต้องเอาออกและเอามาพิจารณาโทษ

แต่ว่าประชาชนจะทำได้อย่างไร ในเมื่อสถาบัน ก. นี้ มันมีปืน มันมีกฎหมายที่มันอ้างเอามาใช้ ไม่ว่าจะ
ชอบธรรมหรือไม่ มันมีกลไกอำนาจ มันมีเงินทอง มันมีเครือข่าย และอะไรอีกมากมาย ที่หากไม่
ยึดอำนาจหรือใช้กำลังอันมหาศาลไปเจรจากดดัน หรือใช้กำลังหักล้าง มันจะไม่ยอมคลายตัว คลายกล
คำถามก็คือ






จะล้มสถาบันนี้อย่างไร ให้ถูกกฎหมายและศีลธรรม โดยชอบธรรมและประเทศชาติไม่เสียหาย?
จะล้มสถาบันได้อย่างไร โดยให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้?
จะล้มสถาบันได้อย่างไร โดยไม่เกิดสูญญากาศทางการเมือง สังคม และการบริหารบ้านเมือง?
จะล้มสถาบันได้อย่างได้ โดยไม่มีการล้มตายและสงครามกลางเมือง?
จะล้มสถาบันได้อย่างไร ในเมื่อประชาชนยังเสียเปรียบทางเงื่อนไขของอำนาจและทรัพยากร ตลอดจนความเชี่ยวชาญในการแย่งชิงอำนาจ?
เวลานี้ ไม่น่าจะใช้เวลามาคุยกันมาก ว่าปัญหาอยู่ที่ใด
ปัญหาต้องถูกแก้ด้วยการแก้เหตุ ตามหลักของทุกศาสนา
เหตุของปัญหาในสถาบัน ก. นี้ มันเกี่ยวด้วยหลายหน่วยอันตรายและเป็นพิษที่ต้องถูกล้มล้าง
แต่เราจะล้มล้างแบบฆ่าฟันให้สูญหาย หรือเราจะล้มล้างกันด้วยวิถีทางประชาธิปไตย
เราจะเอาแบบสูญพันธุ์ หรือให้อภัยกัน โดยหันหน้ามาพบกัน แล้วให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นก่อน
ใครผิด ก็รับผิดไป ใครเสียหายก็ได้รับการชดใช้
แล้วจะให้อภัยคนผิดแค่ไหน อย่างไร

ทั้งหมดนี้ ประชาชนต้องช่วงชิงอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจศาลมาให้ได้ก่อน
เมื่อให้อำนาจอธิปไตยมาเป็นของประชาชนแล้ว การจะกำหนดให้ทุกหน่วยย่อย หรือสถาบันย่อย
ในสถาบัน ก. นี้ อยู่ใตัอำนาจประชาชน อยู่ในร่องในรอย ไม่กลับมาสร้างวงจรอุบาทว์อีก ก็ถือเป็นเรื่อง
จำเป็นต้องเกิดขึ้น นี่คือการล้มสถาบันนั่นเอง

ณ เวลานี้ ดูเหมือนการเลือกตั้ง สามารถนำมาใช้สำหรับการแย่งอำนาจอธิปไตยเบื้องต้น
เราต้องผ่านวิกฤติสร้างสถานการณ์เพื่อใช้กำลังหรือหลีกการเลือกตั้งให้จงได้ แล้วเอาชนะการเลือกตั้งให้ได้
แต่ขณะเดียวกัน การจะล้มแบบนั้น ไม่ง่าย และอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยในรอบการเลือกตั้งสองครั้งข้างหน้านี้
ประชาชนต้องเตรียมทัพจัดกระบวน สร้างไพร่พล ฝึกเชิงรบและผลิตอาวุธทางปัญญาให้มาก อย่างไม่
ยอมหยุด เกมบนหน้าฉาก อาจจะทำได้จำกัด เพราะสถาบัน ก. ยังกุมอำนาจไว้เกือบทุกทาง แต่ประชาชน
ได้เปรียบเพราะเรายืนอยู่กับธรรม สัจจะ และความดีงามชอบธรรมตามกฎหมายและหลักอารยธรรม
ขอเราอย่ารีบร้อนทำผิดกฎหมาย เร่งสร้างวัฒนธรรมที่ดี เร่งเปิดสมองและพัฒนาคนไทยให้มีอารยะ
ให้รู้สึกถึงความดีงามชอบธรรมของขบวนการคนเสื้อแดง แล้วโดดเดี่ยวเกลียดชังความชั่วร้ายให้มาก
ที่สุดเท่าที่จะมากได้ กิจกรรมของคนเสื้อแดงวันนี้ จึงไม่ควรจำกัดอยู่กับการเคลื่อนไหวที่รุงรังและ
ยุ่งยากของ นปช. อย่างเดียวหรือเป็นหลัก แต่ควรเร่งสร้างขุมกำลังรอรับศึกใหญ่จริง ๆ ที่ไม่ใช่แค่
การเลือกตั้ง แต่อาจจะเป็นการรัฐประหาร การลงประชามติ หรือแม้แต่การต้องจัดการกับพวกใช้กำลัง
กับประชาชนอีก หรือแม้แต่การลุกมาร้องเพลง “ตูนิเซีย ลิเบีย อียิปต์ …” ในที่สุด