Monday, August 22, 2016

เราควรกังวลเรื่องความแตกต่างและเป็นเอกเทศทางความคิดของขบวนประชาธิปไตยหรือไม่? เพียงใด?

เราควรกังวลเรื่องความแตกต่างและเป็นเอกเทศทางความคิดของขบวนประชาธิปไตยหรือไม่? เพียงใด?
____________________________________________

ผมได้รับทราบถึงความกังวลของพี่น้องเราต่อความแตกต่าง หรือเหมือนขัดแย้ง ของนักเคลื่อนไหวทางความคิดของฝั่งประชาธิปไตย และได้ฟังความรอบด้านจากฝ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเลือกตั้งใต้ระบอบเผด็จการ แล้วนั้น 
ขออธิบายความ ตามที่ผมเข้าใจดังนี้ครับ 

หนึ่ง ท่าทีดร.ทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์ และแกนนำพรรคเพื่อไทยนั้น ยังไม่ชัด ส่วน คสช.เอง ก็ยังมีลูกเล่นในการเตะถ่วงการเลือกตั้งออกไป หากไม่แน่ใจในชัยชนะ และอาจจะเร่งให้เลือกตั้งเร็วเกินคาดเหมือน ตอนลงประชามติ หากพวกเขามั่นใจว่ากำชัยได้แน่นอนแล้ว (บนความได้เปรียบเชิงอำนาจ ด้วยรัฐธรรมนูญที่พวกเขายัดเยียดให้คนไทยสำเร็จ)

สอง ท่าทีของ นปช.ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการขององค์กร แต่ในเชิงเนื้อหา เห็นชัดว่า นปช.อ่านเกมเผด็จการไทยขาด และไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังสงวนทีท่าขององค์กรไว้

สาม วิทยากรฝ่ายประชาธิปไตยในระดับนำ ล้วนแต่ยืนยันว่า เลือกตั้งครั้งหน้านี้ เป็นการเลือกตั้งใต้ระบอบเผด็จการ ไม่ใช่การก้าวเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย และมีแต่จะนำไปสู่การขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ และสิ่งสำคัญคือ เราต้องสามัคคีกัน อย่าแตกแยกเพราะความเห็นต่าง 

สี่ ความเห็นส่วนตัวของผมคือ ขณะที่จุดยืนฝ่ายการเมืองฝั่งประชาธิปไตยยังไม่ชัด และการเลือกตั้งก็ยังไม่แน่นอนว่าจะมีเมื่อไหร่ ทุกฝ่ายของฝั่งประชาธิปไตยต่างเห็นตรงกันว่า เราควรรวมตัวกันให้สามัคคี และอย่ามองเรื่องความเห็นต่างว่าเป็นจุดแตกแยก อย่าระแวงสงสัย หรืออย่าออกหน้าแทนใครจนเกินงาม ทุกคนมีมุมมองและความจริงเฉพาะตนที่ต่างกัน และคงต้องแสดงออกตามข้อจำกัดและสภาพอำนวย เราจงเคารพความต่างและสิทธิในการแสดงความเห็นและจุดยืนที่แตกต่างกัน แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญมา หากทุกฝ่ายมีอุดมการณ์จริงและต้องการชัยชนะร่วมกันจริง ๆ พวกเราต้องร่วมกันสู้แน่นอน

ห้า วันนี้ การเติบโตของแต่ละกลุ่ม การแสดงความเห็นอันหลากหลาย คือนิมิตรหมายที่ดี ว่าคนจำนวนมาก หลากแนวทาง และเชื่อมั่นในความคิดของตน กำลังยกระดับ มีความรู้สึกอยากมีส่วนร่วม และเป็นเจ้าของการทอดผ้าป่าสามัคคีล้มระบอบเผด็จการเพื่อสร้างประชาธิปไตยครั้งนี้ การกระทบกระทั่งของเสียงที่เริ่มดังนี้ เป็นภาวะปกติ จงมองอย่างเข้าใจ และทำใจให้กว้าง แต่ของจริง ก็คือของจริง จะไม่แปร่งถึงขนาดเชียร์ศัตรูแล้วอัดกันเองจริงๆ เหมือนพวกที่ไม่ใช่ของจริงที่ถูกทหารดูดไปรับใช้ จะโดยการจัดตั้ง จัดจ้าง หรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม

ด้วยความศรัทธาและปรารถนาดีเสมอ
piagdin
August 23, 2016 



เราควรกังวลเรื่องความแตกต่างและเป็นเอกเทศทางความคิดของขบวนประชาธิปไตยหรือไม่? เพียงใด?

เราควรกังวลเรื่องความแตกต่างและเป็นเอกเทศทางความคิดของขบวนประชาธิปไตยหรือไม่? เพียงใด?
____________________________________________

ผมได้รับทราบถึงความกังวลของพี่น้องเราต่อความแตกต่าง หรือเหมือนขัดแย้ง ของนักเคลื่อนไหวทางความคิดของฝั่งประชาธิปไตย และได้ฟังความรอบด้านจากฝ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเลือกตั้งใต้ระบอบเผด็จการ แล้วนั้น 
ขออธิบายความ ตามที่ผมเข้าใจดังนี้ครับ 

หนึ่ง ท่าทีดร.ทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์ และแกนนำพรรคเพื่อไทยนั้น ยังไม่ชัด ส่วน คสช.เอง ก็ยังมีลูกเล่นในการเตะถ่วงการเลือกตั้งออกไป หากไม่แน่ใจในชัยชนะ และอาจจะเร่งให้เลือกตั้งเร็วเกินคาดเหมือน ตอนลงประชามติ หากพวกเขามั่นใจว่ากำชัยได้แน่นอนแล้ว (บนความได้เปรียบเชิงอำนาจ ด้วยรัฐธรรมนูญที่พวกเขายัดเยียดให้คนไทยสำเร็จ)

สอง ท่าทีของ นปช.ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการขององค์กร แต่ในเชิงเนื้อหา เห็นชัดว่า นปช.อ่านเกมเผด็จการไทยขาด และไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังสงวนทีท่าขององค์กรไว้

สาม วิทยากรฝ่ายประชาธิปไตยในระดับนำ ล้วนแต่ยืนยันว่า เลือกตั้งครั้งหน้านี้ เป็นการเลือกตั้งใต้ระบอบเผด็จการ ไม่ใช่การก้าวเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย และมีแต่จะนำไปสู่การขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ และสิ่งสำคัญคือ เราต้องสามัคคีกัน อย่าแตกแยกเพราะความเห็นต่าง 

สี่ ความเห็นส่วนตัวของผมคือ ขณะที่จุดยืนฝ่ายการเมืองฝั่งประชาธิปไตยยังไม่ชัด และการเลือกตั้งก็ยังไม่แน่นอนว่าจะมีเมื่อไหร่ ทุกฝ่ายของฝั่งประชาธิปไตยต่างเห็นตรงกันว่า เราควรรวมตัวกันให้สามัคคี และอย่ามองเรื่องความเห็นต่างว่าเป็นจุดแตกแยก อย่าระแวงสงสัย หรืออย่าออกหน้าแทนใครจนเกินงาม ทุกคนมีมุมมองและความจริงเฉพาะตนที่ต่างกัน และคงต้องแสดงออกตามข้อจำกัดและสภาพอำนวย เราจงเคารพความต่างและสิทธิในการแสดงความเห็นและจุดยืนที่แตกต่างกัน แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญมา หากทุกฝ่ายมีอุดมการณ์จริงและต้องการชัยชนะร่วมกันจริง ๆ พวกเราต้องร่วมกันสู้แน่นอน

ห้า วันนี้ การเติบโตของแต่ละกลุ่ม การแสดงความเห็นอันหลากหลาย คือนิมิตรหมายที่ดี ว่าคนจำนวนมาก หลากแนวทาง และเชื่อมั่นในความคิดของตน กำลังยกระดับ มีความรู้สึกอยากมีส่วนร่วม และเป็นเจ้าของการทอดผ้าป่าสามัคคีล้มระบอบเผด็จการเพื่อสร้างประชาธิปไตยครั้งนี้ การกระทบกระทั่งของเสียงที่เริ่มดังนี้ เป็นภาวะปกติ จงมองอย่างเข้าใจ และทำใจให้กว้าง แต่ของจริง ก็คือของจริง จะไม่แปร่งถึงขนาดเชียร์ศัตรูแล้วอัดกันเองจริงๆ เหมือนพวกที่ไม่ใช่ของจริงที่ถูกทหารดูดไปรับใช้ จะโดยการจัดตั้ง จัดจ้าง หรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม

ด้วยความศรัทธาและปรารถนาดีเสมอ
piagdin
August 23, 2016 



Friday, August 19, 2016

ตามหา ซุน โฮ วันที่ 60 แล้ว!!!



ตามหา ซุน โฮ วันที่ 60 แล้ว!!!



ปฏิรูปกลวง หางโผล่!!! ยึดเพื่อรวบอำนาจอยู่ในเครือข่ายเผด็จการกันเอง



ปฏิรูปกลวง หางโผล่!!! ยึดเพื่อรวบอำนาจอยู่ในเครือข่ายเผด็จการกันเอง



จดหมายจาก มีนา แสงศรี แม่ค้าพริกแกงวัย 39 ปี ถึงลูกสาว 12 ขวบ

จดหมายจาก มีนา แสงศรี แม่ค้าพริกแกงวัย 39 ปี ถึงลูกสาว 12 ขวบ

เธอถูกจับเช้าวันรุ่งขึ้นจากวันแม่ ด้วยอำนาจเหวี่ยงแห ใส่สีตีข่าว หาว่าเกียวข้องกับเหตุระเบิด ถูกกักขังรีดเค้นในค่ายทหาร 7 วัน เอาผิดอะไรไม่ได้ก็ตั้งข้อหาอั้งยี่ซ่องโจรแก้เกี้ยว ร่วมกับเหล่าผู้ลงทะเบียนผู้สูงอายุอีก 16 คน

วันนี้เธอก็ยังไม่ได้ปล่อยตัว ไม่รู้ใครเตะถ่วงให้ล่าช้า ทนายความที่เตรียมเงินประกันไปพร้อมไม่สามารถทำเรื่องประกันตัวได้ทันเวลาที่ศาลทหารปิดทำการ ต้องไม่ได้พบหน้าลูกอีก 2 วัน เสาร์ อาทิตย์ จนวันจันทร์

เธอบอกลูกให้ภูมิใจในตัวเอง มั่นใจในตัวเอง Strong

วันนี้เราเห็นแม่ที่เข้มแข็ง ของประชาธิปไตย ทั้งมีนา ทั้งแม่ไผ่ ในความอำมหิตขลาดเขลาของเผด็จการ



จดหมายจาก มีนา แสงศรี แม่ค้าพริกแกงวัย 39 ปี ถึงลูกสาว 12 ขวบ

จดหมายจาก มีนา แสงศรี แม่ค้าพริกแกงวัย 39 ปี ถึงลูกสาว 12 ขวบ

เธอถูกจับเช้าวันรุ่งขึ้นจากวันแม่ ด้วยอำนาจเหวี่ยงแห ใส่สีตีข่าว หาว่าเกียวข้องกับเหตุระเบิด ถูกกักขังรีดเค้นในค่ายทหาร 7 วัน เอาผิดอะไรไม่ได้ก็ตั้งข้อหาอั้งยี่ซ่องโจรแก้เกี้ยว ร่วมกับเหล่าผู้ลงทะเบียนผู้สูงอายุอีก 16 คน

วันนี้เธอก็ยังไม่ได้ปล่อยตัว ไม่รู้ใครเตะถ่วงให้ล่าช้า ทนายความที่เตรียมเงินประกันไปพร้อมไม่สามารถทำเรื่องประกันตัวได้ทันเวลาที่ศาลทหารปิดทำการ ต้องไม่ได้พบหน้าลูกอีก 2 วัน เสาร์ อาทิตย์ จนวันจันทร์

เธอบอกลูกให้ภูมิใจในตัวเอง มั่นใจในตัวเอง Strong

วันนี้เราเห็นแม่ที่เข้มแข็ง ของประชาธิปไตย ทั้งมีนา ทั้งแม่ไผ่ ในความอำมหิตขลาดเขลาของเผด็จการ



คลินตั้น ออกมาอธิบายเรื่องสุขภาพของเธอ Now Clinton talks about her health issues

คลินตั้น ออกมาอธิบายเรื่องสุขภาพของเธอ Now Clinton talks about her health issues

สุทธิชัย หยุ่น สื่อสายเปรม-สุรยุทธ์-อานันท์ออกตัวแรง จัดเต็มรัฐบาลประยุทธ์

สุทธิชัย หยุ่น สื่อสายเปรม-สุรยุทธ์-อานันท์ออกตัวแรง จัดเต็มรัฐบาลประยุทธ์

    " ผมอ่านแล้ว ก็ต้องส่งสารต่อให้ท่านผู้อ่าน ได้ช่วยกันคิดช่วยกันอ่าน เพราะว่าลำพังเราเอง เพียงแค่แสดงความกังวลห่วงใยในบ้านเมืองเฉยๆ ไม่น่าจะพอ แต่จะต้องรวมพลังในรูปแบบต่างๆ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาบ้านเมืองกันอย่างแข็งขันอีกด้วย"
        คุณอานันท์ บอกว่า "ปีนี้ผมมีอายุครบ 80 ปี และเป็นปีแรกที่ต้องขอสารภาพด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ และไม่มีอคติ ว่า ปีนี้ผมมีความห่วงใยเรื่องคอร์รัปชันในเมืองไทยมากที่สุด ตั้งแต่เกิดมา"
        คุณอานันท์ บอกว่า ในอดีตคอร์รัปชันเป็นเรื่องการให้ค่าน้ำชา ค่าสินบน การให้ของชำร่วย ช่วยเหลือในด้านต่างๆ ระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือกลุ่มกับกลุ่มเท่านั้น แต่ปัจจุบัน "ความฉ้อฉล" และ "กลโกง" มีความลึกลับสลับซับซ้อนมากขึ้นมาก ไม่ใช่แค่ค่าน้ำชา สินบน แต่มีการวางยุทธศาสตร์ มีการวางแผนการอย่างแยบยล และที่สำคัญที่สุด คือ มีการบูรณาการกันอย่างพร้อมเพรียง ไม่ใช่เรื่องของคนต่อคน หรือกลุ่มต่อกลุ่มอีกต่อไป ขณะนี้เป็นเครือข่ายกันหมด ครอบคลุมถึงนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ สื่อ องค์กรต่างๆ ทั้ง รัฐวิสาหกิจ หรือแม้แต่องค์กรอิสระที่รัฐธรรมนูญสร้างขึ้น 
 
        อดีต นายกฯ อานันท์ บอกว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็จะนำไปสู่การยึดครองพื้นที่ของประเทศทั้งหมด ทุกพื้นที่ ทุกกิจกรรม ทุกส่วน
ท่านบอกว่า สมัยนี้จึงไม่ใช่เรื่องการ "โกงกิน" "ทุจริต" "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" แต่เป็นการ 'กินเมือง' อะไรขวางซื้อหมด อำนาจเงินกลายเป็นอำนาจสูงสุด คนไม่มีค่า
 
        คุณอานันท์ บอกด้วยว่า "นโยบายปัจจุบัน จะนำความหายนะมาสู่ประเทศ" และท่านก็มีความเศร้า ที่คนดีๆ ที่มีความรู้ ก็ตกหลุม ติดกับอยู่กับนโยบายเหล่านี้ไปด้วย
 
        คุณอานันท์ ย้ำว่า คอร์รัปชันมีความหมายมากกว่าทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงและคอร์รัปชันไม่ใช่ความหมายเฉพาะเรื่องเงิน แต่การโกหกประชาชน ก็เป็นหนึ่งของการคอร์รัปชันตราบใดที่เรายังเห็นคนที่มีอำนาจ มีความรับผิดชอบออกมาหลอกประชาชนทุกวัน วันละ 3 มื้อ อย่าหวังว่าจะแก้ปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยได้ 
          อดีตนายกฯ อานันท์ บอกว่า การที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวในประเทศไทยได้นั้น จะต้องทำให้คนไทยรู้สึกว่าเงินที่โกงกินเป็นเงินของเรา เรามีส่วนเป็นเจ้าของ อีกทั้งกลุ่มที่ทำงานเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชัน ต้องบูรณาการในการกระทำของคนทุกกลุ่มร่วมกัน จึงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
         ผมเชื่อว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยก็เข้าใจตรงกับคุณอานันท์ แต่ยังขาดการระดมพลังคนรอบข้างต่อต้านคนโกงอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และบ่อยครั้งยังเห็นว่าเป็นเรื่องที่เพียงแต่ตัวเองก็ทำอะไรมากไม่ได้ จึงกลายเป็น   "เสียงเงียบงันของคนส่วนใหญ่" หรือ Silent Majority ซึ่งเป็นทัศนคติที่เป็นอันตราย เพราะว่าทำให้คนไทยเห็นการคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่ "จำเป็นต้องทนกับมัน" เพราะว่าไม่มีใครปราบมันให้สิ้นแผ่นดินไทยไปได้
เราอาจจะ "เสียกรุง" ครั้งใหม่...ก็เพราะคิดแบบนี้นี่แหละ /

      ง..

ซุบซิบ... การลอบสังหารผู้นำ(ไทย) ???? พวกเอ็งจะดึงชาติไปล่มจมกันถึงไหน????

เกมส์เหนือเมฆจึงเข้าสู่ช่วงอำมหิต
ปรเมสเหลือทางเดียวคือลอบสังหารผู้นำ
ศัตรูที่ขวางเส้นทางความเป็นใหญ่ตนสมรภูมินี้เริ่มขมวดปมตั้งแต่ปลายเดือนที่
แล้ว ฝ่ายปชต.จึงเก็บตัวไม่ยอมเป็นเหยื่อ
รัศมี7สค.  
"ช่วงเวลาของยามนี้"
๑ทำลายโกงด้วยหลักฐานย้อนทวนเชิงประจักษ์ นี่คือเหตุหนึ่งที่รัฐเสือโห่เบี่ยงเบนโกง ไปที่ดร._แดง 
๒เสรีภาพ ปล่อยไผ่_เสรีภาพสื่อฝ่ายปชต.
๓ความยุติธรรมคดี_และขบวนจัดการเลือกตั้ง.
ออกมาในรูปที่สามคือใช้โกงสุดๆผ่านประชามติ อาจเป็นผลดีในเบื้องหน้า
มีผู้คนอีกมากที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
สถานการณ์ต้องยืดยาวเศรษฐกิจยิ่งมีผล
ต่อปากท้อง หากยื้อถึงหน้าฝนปี60ยิ่งยับชัดเจน..
เทียบ
ครั้งรัฐบาลพอเอกถนอมยามถึงคราวอภิปรายซักฟอก จะยุบสภาหนีและทำรปห.รัฐบาลตัวเองหนีอภิปราย
ครั้งรัฐบาลพลเอกเปรมก็เช่นกันยุบสภาหนีอภิปรายทั้ง2ครั้ง..
ขุนศึกมีจุดอ่อนหากปล่อยให้ปากซักตรง
มันจะกลัวมาก เพราะคนพวกนี้ถือศักดิ์ปืน
ถือยศ_มีศาลของตัวเองคุมปืนทั้งกองทัพจึงเพาะเลี้ยงความโอหังและหลงตัวเอง
ห้ามใครแตะเพราะเส้นทางการกระทำของคนพวกนี้หักดิบมาตลอดทางจึงตอบสังคมไม่ได้ เบื้องหน้าหากพลเอกประวิทย์เป็นนายกคนนอกจะสาหัสกว่า2นายพลก่อนนี้
เพราะ2นายพลนั้นวางตัวสุภาพพูดจาไพเราะ แต่วิดมิใช่..นี่คือจุดตายของวิด
หากเส้นปทท.ไปถึงจุดนั้น ในเวลายาวนานนี้อาจจะล้มซ่ะก่อนถึงจุดนั้น
อาจมีเหตุการณ์พลิกผันตลอดสถานการณ์จะเปลี่ยนไปเรื่อยพวกคุณไม่ได้เดินหมากเพียงข้างเดียว

ชาญวิทย์พยากรณ์นองเลือด-ธำรงศักดิ์ชี้ไทยเป็นรัฐทหารตลอด 84 ปี

ชาญวิทย์พยากรณ์นองเลือด-ธำรงศักดิ์ชี้ไทยเป็นรัฐทหารตลอด 84 ปี  



ชาญวิทย์พยากรณ์นองเลือด-ธำรงศักดิ์ชี้ไทยเป็นรัฐทหารตลอด 84 ปี

ชาญวิทย์พยากรณ์นองเลือด-ธำรงศักดิ์ชี้ไทยเป็นรัฐทหารตลอด 84 ปี  



เครือข่ายเจ้า มีอิทธิพลต่ออำนาจและผลประโยชน์ของชาติมาตลอด!!!

บทความท่ีส่งให้นี้มีนักวิชาการสี่ท่านได้สรุปสถานะการณ์ประเทศไทยช่วง2475-2559ได้ดีชัดเจนมาก. คนท่ีไม่รู้ไม่เข้าใจสังคมไทยท่ีตนเกิดมา. ควรใช้เวลาอ่านให้เข้าใจว่า 84ปีช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบบราชาธิปไตยจะไปสู่ระบบประชาธิปไตยมันยังไปไม่ถึงไหนไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะเหตุใด 84ปีนอกจากเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านระบบแล้วยังมีช่วงปลายรัชกาลมาทับซ้อนอีก. ผู้อ่านจะได้เข้าใจสภาวะสังคมไทยท่ีแท้จริงได้จากการอ่านบทความสรุปย่อนี้
ถ้าไม่อ่านก็จะงงกับสังคมไทยต่อไป.สาธุ.


จิตร ภูมิศักดิ์ นักเปิดโปงศักดินาไทย
ชีวประวัติโดยย่อของจิตร ภูมิศักดิ์ 
เจ้าของหนังสือโฉมหน้าศักดินาไทย
คนไม่สนใจประวัติศาสตร์คือคนตาบอดข้างหนึ่ง
คนไม่อ่านประวัติศาสตร์เหมือนคนตาบอดสองข้าง
และเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา
คนไม่สนใจประวัติศาสตร์คือคนตาบอดข้างหนึ่ง
คนไม่อ่านประวัติศาสตร์เหมือนคนตาบอดสองข้าง


จิตร ภูมิศักดิ์ นักเปิดโปงศักดินาไทย
ชีวประวัติโดยย่อของจิตร ภูมิศักดิ์ เจ้าของหนังสือโฉมหน้าศักดินาไทย
และเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา
คนไม่สนใจประวัติศาสตร์คือคนตาบอดข้างหนึ่ง
คนไม่อ่านประวัติศาสตร์เหมือนคนตาบอดสองข้าง

อรุณสว่างอรุณสวัสดิ์
วันศุกร์ที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๙
รัฐประหารทำความเสียหายให้ประชาชนตลอด ๗๐ ปี ที่ผ่านมา
ใครคือผู้สั่งทำรัฐประหารอ้างเพื่อปกป้อง......
เรามี.....ไว้เพื่ออะไร?
#ข้อมูลย้อนหลังรัฐประหาร2500 ,2501, 2557 
=========================
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557
เป็นส่วนหนึ่งของ วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557
พลเอกประยุทธ์ประกาศยึดอำนาจ22 พฤษภาคม 2557.png
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ประกาศยึดอำนาจการปกครองประเทศ ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันที่  22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
สถานที่  ไทย ราชอาณาจักรไทย
ผลลัพธ์  

    จัดตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
    คณะรัฐมนตรีและวุฒิสภาสิ้นสุดลง
    รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลง
    รัฐธรรมนูญชั่วคราวใช้บังคับ
    ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี

คู่ขัดแย้ง
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ  รัฐบาลยิ่งลักษณ์
ผู้บัญชาการหรือผู้นำ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล
 วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ:
ประกาศกองทัพบก ฉบับที่ 1/2557 (เรื่อง การประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก)
 วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ:
ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 1/2557 (เรื่อง การควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ)

รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16:30 น. โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อันมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ โค่นรัฐบาลรักษาการนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นับเป็นรัฐประหารครั้งที่ 13 ในประวัติศาสตร์ไทย รัฐประหารดังกล่าวเกิดขึ้นหลังวิกฤตการณ์การเมืองซึ่งเริ่มเมื่อเดือนตุลาคม 2556 เพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ และอิทธิพลของดร.ทักษิณ ชินวัตร ในการเมืองไทย

ก่อนหน้านั้นสองวัน คือ วันที่ 20 พฤษภาคม 2557 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่เวลา 3.00 น. กองทัพบกตั้งกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) และให้ยกเลิกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ตั้งขึ้น กอ.รส. ใช้วิธีการปิดควบคุมสื่อ ตรวจพิจารณาเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ต และจัดประชุมเพื่อหาทางออกวิกฤตการณ์การเมืองของประเทศ แต่การประชุมไม่เป็นผล จึงเป็นข้ออ้างรัฐประหารครั้งนี้

หลังรัฐประหาร มีประกาศให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลงยกเว้นหมวด 2 คณะรัฐมนตรีรักษาการหมดอำนาจ ตลอดจนให้ยุบวุฒิสภา จนเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา วันที่ 21 สิงหาคม 2557 สภาฯ มีมติเลือกพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี

หลายประเทศประณามรัฐประหารครั้งนี้ รวมทั้งมีการกดดันต่าง ๆ เช่น ลดกิจกรรมทางทหารและลดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่คนไทยจำนวนหนึ่งแสดงความยินดี โดยมองว่าเป็นทางออกของวิกฤตการณ์การเมือง แต่ก็มีคนไทยอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากไม่เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย
=========================================
รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เกิดขึ้นหลังจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐประหารในปี พ.ศ. 2500 ล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม แล้วได้มอบหมายให้พจน์ สารสิน เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดการเลือกตั้ง มีการเลือกตั้งในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 ต่อมา วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2501 พลโท ถนอม กิตติขจร จึงขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ทว่า การเมืองในรัฐสภาไม่สงบ เนื่องจากบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเรียกร้องเอาผลประโยชน์และมีการขู่ว่าหากไม่ได้ตามที่ร้องขอจะถอนตัวจากการสนับสนุนรัฐบาล เป็นต้น[ต้องการอ้างอิง] พลโท ถนอม กิตติขจรก็ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้ ประกอบกับจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ก็ได้เดินทางไปต่างประเทศเพื่อรักษาโรคประจำตัว เมื่อเดินทางกลับมา ในเช้าวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 พลเอก[1] ถนอม กิตติขจรจึงประกาศลาออกในเวลาเที่ยงของวันเดียวกัน แต่ยังไม่ได้ประกาศให้แก่ประชาชนทราบโดยทั่วกัน จากนั้นในเวลา 21.00 น.[2] จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศยึดอำนาจอีกครั้ง โดยอ้างถึงเหตุความมั่นคงของประเทศ ซึ่งมีลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังคุกคาม[3] โดยมีคำสั่งคณะปฏิวัติให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ที่ใช้อยู่ขณะนั้น ยุบสภา ยกเลิกสถาบันทางการเมือง ได้แก่ พรรคการเมือง เป็นต้น[4]

จากนั้นตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 จนถึงวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2502 คณะปฏิวัติได้มีประกาศคณะปฏิวัติออกมาทั้งหมด 57 ฉบับ มีสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการแต่งตั้งไม่ใช่เลือกตั้ง มีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ซึ่งมีเพียงสั้น ๆ 20 มาตราเท่านั้น ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ก็มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเพียง 14 คนเท่านั้น โดยไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง

รัฐประหารครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็น การยึดอำนาจตัวเอง ก็ว่าได้ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ส่งผลให้จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์สามารถใช้อำนาจในตำแหน่งได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จากรัฐธรรมนูญ มาตรา 17 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีจัดการกับบุคคลที่ก่อความไม่สงบได้ทันที แล้วจึงค่อยแจ้งต่อสภา ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ก็ได้ใช้อำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่ในการควบคุมสถานการณ์ของประเทศ เช่น การปราบปรามฝิ่น มีการเผาฝิ่นที่ท้องสนามหลวงเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2502 และเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน มีเหตุเพลิงไหม้ติดกันถึง 3 ครั้ง เป็นที่ฝั่งธนบุรี 2 ครั้ง และที่บางขุนพรหมอีก 1 ครั้ง ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ จอมพลสฤษดิ์เป็นผู้อำนวยการดับเพลิงเอง ต่อมาได้มีการจับกุมผู้วางเพลิงได้ทั้งหมด 3 ราย เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ซึ่งทั้งหมดยอมรับว่ารับจ้างมาเพื่อวางเพลิง จึงมีคำสั่งตามมาตรา 17 ให้ประหารชีวิตบุคคลทั้ง 3 ในที่สาธารณะ

จากมาตรา 17 นี้ ได้ประหารบุคคลที่สงสัยว่าจะก่อความไม่สงบหลายรายหรือข้อหาคอมมิวนิสต์ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสาน เช่น ศิลา วงศ์สิน และศุภชัย ศรีสติ ในข้อหาผีบุญ, ครอง จันดาวงศ์ และทองพันธ์ สุทธิมาศในข้อหาเดียวกัน ที่สนามบินอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เป็นต้น ซึ่งจากเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลให้เป็นการกดดันชาวบ้าน ประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างจากรัฐบาล จึงทำให้ชาวบ้านหลายคนต้องหลบเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) จนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "วันเสียงปืนแตก" เมื่อผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (พกค.) ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยปืนเป็นครั้งแรกที่อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508

คณะปฏิวัติสิ้นสุดลงเมื่อสภาร่างรัฐธรรมนูญเสนอชื่อจอมพลสฤษดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2502
=========================================
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2500
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2500
Salit thanarat.jpg
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบกหัวหน้าคณะรัฐประหาร
วันที่  16 กันยายน 2500
สถานที่  ไทย ราชอาณาจักรไทย
ผลลัพธ์  

    คณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
    จอมพล ป. พิบูลสงคราม ลี้ภัยไป ญี่ปุ่น
    พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ลี้ภัยไป สวิตเซอร์แลนด์

คู่ขัดแย้ง
กองทัพบก
กองทัพเรือ
กองทัพอากาศ  คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 26
ผู้บัญชาการหรือผู้นำ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์  จอมพล ป. พิบูลสงคราม
พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์
ภาพเหตุการณ์ขณะที่ จอมพลสฤษดิ์ นำคณะนักศึกษาเข้าพบจอมพล ป. ที่ทำเนียบรัฐบาล

รัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500 เป็นรัฐประหารในประเทศไทย ถือได้ว่าพลิกโฉมหน้าการเมืองไทยไปอีกรูปแบบหนึ่งเช่นเดียวกับรัฐประหารใน พ.ศ. 2490[1]

สาเหตุ

สืบเนื่องจากความแตกแยกกันระหว่างกลุ่มทหาร ที่นำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก กับ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ ที่ค้ำอำนาจของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม

ประชาชนไม่ยอมรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2500 เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่ถือว่าโกงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นับแต่ใช้เครื่องบินโปรยใบปลิวโจมตีฝ่ายตรงข้าม ข่มขู่ชาวบ้าน ประชาชน ให้เลือกแต่ผู้สมัครของพรรคเสรีมนังคศิลา คือ พรรครัฐบาล หรือการเวียนเทียนมาลงคะแนน การสลับหีบบัตร การแอบหย่อนบัตรคะแนนเถื่อนเข้าไปในหีบ และต้องใช้เวลานับคะแนน 7 วัน ด้วยกัน ผลการเลือกตั้ง พรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เสียงข้างมาก ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 30 ที่นั่ง

วันที่ 2 มีนาคม นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและประชาชนร่วมกันเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้ง มีการลดธงเหลือแค่ครึ่งเสาเป็นการไว้อาลัย และเรียกร้องให้ พล.อ.ท.มุนี มหาสันทนะ เวชยันต์รังสฤษฎ์ ซึ่งเป็น ส.ส.สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลา ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จอมพล ป. นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2500 และแต่งตั้งให้ จอมพลสฤษดิ์ เป็นผู้ปราบปรามการชุมนุม แต่เมื่อฝูงชนเดินทางมาถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์แล้ว จอมพลสฤษดิ์กลับเป็นผู้นำเดินขบวน พาฝูงชนข้ามสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยกล่าวว่า ทหารจะไม่มีวันทำร้ายประชาชน และเมื่อถึงหน้าทำเนียบรัฐบาลได้เป็นผู้เปิดประตูทำเนียบ นำพาประชาชนเข้าพบ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จนกระทั่งจอมพล ป. ต้องลงมาเจรจาด้วยตนเองที่บันไดหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อได้เจรจากันแล้ว จึงได้ข้อสรุปว่า จอมพล ป. ยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ชอบมาพากลและจะจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ จึงได้พูดผ่านโทรโข่งขอให้ผู้ชุมนุมสลายตัวไปอย่างสงบ และขอให้อัญเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสาตามปกติ ซึ่งก็ได้เป็นไปตามอย่างที่ จอมพลสฤษดิ์ ร้องขอทุกประการ ซึ่งการเดินขบวนประท้วงครั้งนี้นับเป็นการชุมนุมทางการเมืองครั้งแรกของชาวไทยนับตั้งแต่การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475[2]

ฝ่ายจอมพลสฤษดิ์ ที่ได้มีท่าทีเช่นนี้ ได้สร้างความนิยมขึ้นอย่างมากในหมู่ประชาชน แต่ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ท้าทายอำนาจจอมพล ป. เพราะหลังจากนี้ จอมพลสฤษดิ์ยังได้ประกาศด้วยตนเองผ่านทางวิทยุกร

ความรู้ใกล้ตัวที่ควรรู้ – ย่อยง่าย แต่ไม่ย่อยความจริง ตอน 6-10

ตอนที่ 6 อุ่นอาหารซ้ำบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่เสียรส แต่เสี่ยงเสียสุขภาพ หลายบ้านทำอาหารไว้หลายมื้อแล้วอุ่นซ้ำ สิ่งที่คนไม่ค่อยรู้คือ แบคทีเรีย...