Tuesday, September 16, 2025

รายงานวิเคราะห์เชิงลึก: แนวโน้มการเมืองไทยในยุครัชกาลที่ 10 (วชิราลงกรณ์)

 รายงานวิเคราะห์เชิงลึก: แนวโน้มการเมืองไทยในยุครัชกาลที่ 10 (วชิราลงกรณ์)



สรุปผู้บริหาร (Executive Summary)


ยุคนี้เห็นสองแรงสวนทางชัดเจน:

(1) การรวมศูนย์อำนาจของสถาบัน+เครือข่ายรัฐ (ทหาร-ศาล-กฎหมายพิเศษ-งบประมาณเกี่ยวเนื่องราชสำนัก) ที่แน่นขึ้น, และ

(2) การตื่นตัวและขยายเพดานถกเถียงของสังคม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา

ผลลัพธ์คือประชาธิปไตยเชิงพิธีกรรมยังดำเนิน แต่สาระของการแข่งขันเชิงนโยบายถูกจำกัดด้วยกติกาและเครื่องมือทางอำนาจจำนวนมาก ตั้งแต่โครงสร้างวุฒิสภาแต่งตั้ง, การยุบพรรค, จนถึงการบังคับใช้ .112 ที่เข้มข้นกว่าทศวรรษก่อนหน้า ซึ่งกระทบเสรีภาพและธรรมาภิบาลโดยตรง (ดูสถิติคดีและเหตุการณ์สำคัญท้ายเอกสาร).  



1) โครงสร้างอำนาจและการจัดวางกำลัง (Power Architecture)


1.1 กองกำลังและราชการในพระองค์

* .. 2562 รัฐบาลใช้อำนาจพระราชกำหนดโอนกรมทหารราบที่ 1 และ 11 (King’s Guard) พร้อมกำลังคน-ยุทโธปกรณ์-งบประมาณ ไปขึ้นตรงหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (รส.)” ภายใต้พระราชอำนาจ โดยตัดผ่านโซ่บังคับบัญชาปกติของกองทัพ ถือเป็นสัญญะสำคัญของการขยายกำลังรักษาพระองค์ในทางปฏิบัติ.  

* .. 2560 กฎหมายระเบียบบริหารราชการในพระองค์จัดหน่วยงานที่เกี่ยวกับงานราชสำนัก 5 แห่งให้อยู่ใต้พระราชอำนาจโดยตรงและปรับโครงสร้างต่อเนื่องในปีถัด มา เพิ่มความยืดหยุ่นทางกฎหมายในการจัดอัตรากำลัง/โครงสร้าง.  


1.2 ทรัพย์สินและงบประมาณที่เกี่ยวเนื่อง

* .. 2560–2561 แก้...ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้กษัตริย์ทรงมีอำนาจควบคุมสำนักงานทรัพย์สินฯ และถือครองทรัพย์ในพระองค์โดยตรง เปลี่ยนจากโครงแบบเดิมที่รัฐมนตรีคลังกำกับ ทำให้มิติธรรมาภิบาล-การตรวจสอบถอยหลังลงอย่างมีนัย.  

* งบประมาณด้านสถาบันปี 2022 ประเมินรวมหลายกระทรวงราว 3.576 หมื่นล้านบาท (1.148% ของงบแผ่นดิน) และปีงบ 2024 ยังคงระดับสูง แม้เอกสารบางส่วนปรับปรุงรูปแบบเปิดเผย แต่โครงสร้างการตรวจสอบยังจำกัด.  



2) กติกาการเมืองและสถาบัน (Rules & Referees)


2.1 รัฐธรรมนูญ 2560 และสนามไม่เสมอ

* วุฒิสภา 250 คนมาจากการแต่งตั้งโดย คสช. มีสิทธิร่วมโหวตนายกฯ ในช่วงแรกภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้เสียงประชาชนถูกหักล้างด้วยกลไกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง นำไปสู่การขัดขวางผู้นำจากขั้วปฏิรูปแม้ชนะเลือกตั้งปี 2566.  


2.2 เครื่องมือทางตุลาการและองค์กรอิสระ

* ยุบพรรคการเมือง: อนาคตใหม่ถูกยุบ (.. 2563) ด้วยเหตุเงินกู้ผู้นำพรรค; ต่อมา ก้าวไกล ถูกยุบ (7 .. 2567) และแบนแกนนำ 10 ปี จากนโยบายเสนอแก้ .112 สะท้อนการตีความกฎหมาย-รัฐธรรมนูญในแนวทางจำกัดพื้นที่นโยบายของฝ่ายปฏิรูป.  



3) สิทธิ เสรีภาพ และความมั่นคง (Rights, Speech & Security)


3.1 มาตรา 112 และกฎหมายความมั่นคง-ไซเบอร์

* ตั้งแต่การชุมนุม 2563 เป็นต้นมา มีผู้ถูกกล่าวหา/ดำเนินคดีการเมืองนับพันคดี โดย อย่างน้อย ~280 คดีเป็น .112 ตามสถิติที่องค์กรสิทธิอ้างอิงจาก TLHR; ผู้ต้องขัง/คุมขังรอคดีจำนวนหนึ่งยังดำรงอยู่ถึงปี 2025.  

* นักกฎหมายสิทธิอย่าง อานนท์ นำภา ถูกพิพากษาจำคุกหลายคดีจาก .112 ต่อเนื่องถึงปี 2025 สะท้อนการตีความที่เข้มงวดขึ้น.  

* หลักฐานนิติวิทยาศาสตร์โดย Citizen Lab/Amnesty ยืนยันการโจมตี สปายแวร์ Pegasus ต่อแอ็กทิวิสต์ไทยอย่างน้อย ~30 รายช่วง 2020–2021 ซึ่งกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการรวมกลุ่ม/แสดงออกอย่างร้ายแรง.  


3.2 ผลเชิงสังคม

* การคุมเข้มกฎหมายพูด-...คอมพิวเตอร์-ความมั่นคง ทำให้การถกเถียงที่แตะต้องสถาบันแพร่สู่สาธารณะได้ยากขึ้น แม้สังคมออนไลน์ช่วยเปิดพื้นที่ แต่ต้นทุนทางกฎหมายสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับทศวรรษก่อน.  



4) ธรรมาภิบาล-งบประมาณ-เศรษฐกิจการเมือง (Governance & Political Economy)

* ธรรมาภิบาลงบประมาณ: แม้ราชการพยายามเพิ่มเอกสารงบประมาณฉบับย่อและตั้ง PBO ในสภา แต่การจัดสรรที่เกี่ยวเนื่องสถาบันยังตรวจสอบเชิงประสิทธิผล/ความคุ้มค่าได้จำกัด และการเปิดเผยเชิงรายการ (program-level) ยังไม่เทียบมาตรฐาน OECD.  

* รัฐวิสาหกิจและอำนาจเชิงโครงสร้าง: เครือข่ายรัฐ-รัฐวิสาหกิจมีสัดส่วนเศรษฐกิจสูง ยังคงเป็นฐานอำนาจเชิงนโยบาย/จัดสรรผลประโยชน์ ซึ่งสัมพันธ์กับการเมืองแบบอุปถัมภ์.  


5) ภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ (International Standing)

* การยุบก้าวไกลและแนวโน้มคดีการเมือง ทำให้องค์กรสิทธิ-ยูเอ็น-สื่อโลกวิจารณ์ว่าถอยหลังทางประชาธิปไตย กระทบความเชื่อมั่นต่อ rule-of-law และเสรีภาพการเมืองของไทย.  



6) ด้านที่ดีขึ้นจริง ในยุคนี้มีอะไรบ้าง?

1. การตื่นรู้และส่วนร่วมสาธารณะ: คนรุ่นใหม่ยกระดับเพดานอภิปรายเรื่องโครงสร้างอำนาจ-สถาบัน-รัฐธรรมนูญ สร้างทุนทางสังคมใหม่ แม้ต้องเผชิญความเสี่ยงทางกฎหมาย. (สอดคล้องกับสถิติการเคลื่อนไหวและคดีของ TLHR/Amnesty)  

2. การพัฒนาบางมิติของเครื่องมือกำกับคุณภาพกฎหมาย (Sec.77): กรอบกฎหมายให้ทำ RIA/ทบทวนกฎหมาย เพิ่มภาษาของธรรมาภิบาลในนโยบาย ถึงแม้การบังคับใช้จริงยังไม่สม่ำเสมอ.  

3. ความโปร่งใสเชิงรูปแบบบางประการของงบประมาณ: มีการสื่อสารงบฉบับย่อและพัฒนาพอร์ทัลข้อมูล แม้ยังไม่ถึงระดับตรวจสอบเชิงเนื้อหา.  



7) ความเสื่อมถอย/เป็นปฏิปักษ์ต่อหลักประชาธิปไตย-ธรรมาภิบาล-สิทธิมนุษยชน

* การรวมศูนย์กำลังและทรัพย์สินภายใต้พระราชอำนาจ (โอนหน่วยรบ, แก้กฎหมายทรัพย์สิน): ลดกลไกตรวจสอบจากฝ่ายการเมืองและสาธารณะ.  

* “สนามเลือกตั้งไม่เสมอ” (วุฒิสภาแต่งตั้งร่วมโหวตนายกฯ ช่วงต้นรัฐธรรมนูญ 2560 + ยุบพรรคคู่แข่งเชิงโครงสร้าง): ทำให้ผลเลือกตั้งแปรเปลี่ยนทางการเมืองได้โดยองค์กรที่ไม่ได้มาจากประชาชน.  

* การใช้กฎหมายอาญาความมั่นคง/คอมพิวเตอร์/112 ต่อผู้เห็นต่างในระดับสูงผิดสัดส่วน เมื่อเทียบมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล.  

* การเฝ้าระวังดิจิทัลระดับรัฐ (Pegasus): ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล-เสรีภาพสื่อสารอย่างร้ายแรง.  



8) ฉากทัศน์ 2–4 ปีข้างหน้า (Scenarios)

1. Status Quo-Plus: กติกาหลักยังเดิม ใช้การยุบพรรค-คดีการเมือง-บังคับใช้ 112” เป็นกันชนต่อวาระปฏิรูป ขณะแก้ภาพลักษณ์ด้วยความโปร่งใสเชิงรูปแบบ (งบ/พอร์ทัลข้อมูล) เพื่อรับแรงกดดันนานาชาติ

2. Re-balancing แบบค่อยเป็นค่อยไป: เกิดฉันทมติการเมืองบางพรรคต่อรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชนลดอำนาจดุลพิทักษ์ (guardian powers) บางส่วน แลกกับการรับรองสถานะและงบที่เหมาะสมของสถาบัน

3. Polarization-Backlash: เหตุการณ์ทางการเมือง/เศรษฐกิจรุนแรง กระตุ้นการใช้เครื่องมือมั่นคงเข้มข้นขึ้น วงจรยุบพรรค-จำกัดเสรีภาพขยาย



9) ข้อเสนอเชิงหลักการ (Actionable Principles)

* Roadmap รธน.ใหม่โดยประชาชน: กระบวนการสภาร่าง รธน. ที่มาจากการเลือกตั้งตรง-โปร่งใส-มีส่วนร่วมสูง เพื่อปรับสมดุลอำนาจให้สมกับสังคมสมัยใหม่ (บทเรียนปี 2540–2560)

* ยุติการใช้ความผิดอาญาต่อการพูด-ชุมนุมอย่างสงบ และออก กฎหมายอภัยโทษเชิงสิทธิ สำหรับคดีการเมืองหลังปี 2563 ตามหลักสากล (Amnesty เรียกร้องชัด).  

* ปฏิรูปความมั่นคงดิจิทัล: ห้าม-ควบคุมสปายแวร์เชิงพาณิชย์, จัดทำศาล/กลไกอนุมัติที่เป็นอิสระ-ตรวจสอบได้ก่อน-หลังการสอดแนม, แจ้งผู้ถูกกระทบเมื่อพ้นเหตุ; สอดรับแนวโน้มมาตรการนานาชาติ.  

* ธรรมาภิบาลงบประมาณเกี่ยวเนื่องสถาบัน: เปิดเผยเชิงรายการ-วัตถุประสงค์-ตัวชี้วัดผลลัพธ์ และให้ สตง./PBO/คณะ กมธ. สภา ตรวจสอบแบบ performance audit ได้จริง.  



ภาคผนวก: เหตุการณ์และหมุดหมายสำคัญ


* 2017: กฎหมายราชการในพระองค์ + แก้ ...ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์.  

* 2019: โอน .1-.11 รักษาพระองค์ขึ้นตรง รส. ด้วย ...ฉุกเฉิน.  

* 2020: ยุบพรรคอนาคตใหม่.  

* 2020–2021: ชุมนุมคนรุ่นใหม่, คดีการเมือง-112 เพิ่มสูง; ตรวจพบ Pegasus กับนักกิจกรรมอย่างน้อย ~30 ราย.  

* 2023: พรรคก้าวไกลชนะที่นั่งมากสุดแต่ถูกสกัดการตั้งรัฐบาลด้วยวุฒิสภาแต่งตั้ง.  

* 2024: ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล-แบนแกนนำ 10 ปี; ยูเอ็น-องค์กรสิทธิวิจารณ์หนัก.  

* 2025: Amnesty ระบุภาพรวม 1,974 คนถูกดำเนินคดีจากการเมืองตั้งแต่ 2020; 280 คดีเป็น .112; ผู้ต้องขังบางส่วนยังอยู่ระหว่างพิจารณา/ลงโทษ.  

Tuesday, September 9, 2025

เบื้องลึกพรรคประชาชน ทำสัปดน เลือกอนุทินเป็นนายกฯ​

 


การตัดสินใจของพรรคประชาชน (People's Party) ที่ยกมือสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่เข้าร่วมรัฐบาลอย่างที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ นับเป็นตัวอย่างชัดเจนของ "เกมการเมืองที่มีแต่ความวุ่นวาย" เพราะมันสะท้อนถึงการประนีประนอมในระบบที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยพรรคก้าวหน้า ซึ่งก็คือพรรคประชาชนต้องยอมถอยเพื่อหวังผลระยะสั้น (เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ) แต่สุดท้ายอาจกลายเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับฝั่งอนุรักษนิยมที่ใกล้ชิดกับ "deep state" หรือรัฐพันลึก ซึ่งในบริบทไทย มักถูกมองว่าเป็นเครือข่ายอำนาจแบบคณาธิปไตย (oligarchy) ที่ประกอบด้วยทหาร สถาบันพระมหากษัตริย์ ศาล และทุนใหญ่ ที่คอยแทรกแซงการเมืองโดยไม่ต้องผ่านประชาชนโดยตรง กรณีนี้เชื่อมโยงตรงกับเหตุการณ์ล่าสุด เช่น การที่แพทองธาร ชินวัตร (ลูกสาวทักษิณ) ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งพ้นตำแหน่งนายกฯ เมื่อปีที่แล้ว (2024) เนื่องจากแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีประวัติอาชญากรรม และล่าสุด ทักษิณเองถูกศาลฎีกาสั่งจำคุก 1 ปีจริง ๆ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 เพราะพบว่าการพักรักษาในโรงพยาบาลก่อนหน้านี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่นายอนุทินขึ้นแทนด้วยเสียงสนับสนุนจากพรรคใหญ่ที่สุดในสภา (รวมถึง People's Party) ทำให้เห็นว่าความเสี่ยงที่เราคุยกัน เช่น การที่ข้อตกลงอาจไม่เกิดขึ้นจริง หรือการสูญเสียฐานเสียง อาจกำลังกลายเป็นจริงในความวุ่นวายที่ใหญ่กว่า

ถ้าเราจะมองแบบ truth-seeking ไม่ partisan เพื่อหาความจริงจากรากเหง้าเชิงโครงสร้างและประวัติศาสตร์ โดยเชื่อมโยงว่าทำไมระบอบนี้จึงถูกเรียกว่า "รัฐพันลึกแบบคณาธิปไตย" (deep state oligarchy) ซึ่งหมายถึงเครือข่ายอำนาจที่ไม่โปร่งใส ควบคุมโดยกลุ่มย่อย (เช่น ทหาร ราชสำนัก ศาล และทุน) ที่คอยขัดขวางประชาธิปไตยเพื่อรักษาสถานะของตน สาเหตุหลัก ๆ สามารถสรุปได้ดังนี้:

  1. รากเหง้าประวัติศาสตร์จากการเปลี่ยนผ่านที่ไม่สมบูรณ์สู่ประชาธิปไตย: ตั้งแต่การปฏิวัติ 2475 ที่โค่นราชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ แต่ไม่ได้นำไปสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ เพราะเครือข่ายเก่า (ราชสำนัก ทหาร และชนชั้นนำ) ยังคงอิทธิพลไว้ การเมืองไทยจึงเต็มไปด้วยรัฐประหารมากกว่า 12 ครั้งตั้งแต่นั้นมา ซึ่งทำให้ระบบไม่เสถียร นักการเมืองที่มาจากเลือกตั้ง (เช่น ทักษิณและลูกสาว) มักถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อ "ความมั่นคง" ของ deep state จึงถูกโค่นด้วยศาลหรือรัฐประหาร เช่น รัฐประหาร 2549 ที่โค่นทักษิณ หรือคำสั่งศาลล่าสุดที่ส่งผลให้แพทองธารพ้นตำแหน่งและทักษิณกลับเข้าคุก โดยไม่ต้องผ่านการลงคะแนนเสียงประชาชน นี่คือเหตุผลที่ความวุ่นวายขัดหลักประชาธิปไตย เพราะอำนาจตุลาการและทหารถูกใช้เป็นเครื่องมือรักษาสมดุลอำนาจของ oligarchy แทนที่จะเป็นตัวแทนประชาชน
  2. การผงาดของทหารและบทบาทที่ฝังรากลึก: ทหารไทยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชสำนักมาตั้งแต่สงครามเย็น โดยมองตนเองเป็น "ผู้พิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" ซึ่งนำไปสู่การแทรกแซงการเมืองซ้ำซาก เช่น รัฐประหาร 2557 ที่นำโดยประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งปกครองยาวนานเกือบ 10 ปี และออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้อำนาจวุฒิสภา (ซึ่งทหารแต่งตั้ง) ขัดขวางรัฐบาลเลือกตั้ง ในปี 2025 ทหารยังคงอิทธิพลผ่าน deep state ทำให้การเมืองไม่เสถียร เพราะทุกครั้งที่ฝั่งก้าวหน้า (เช่น Move Forward หรือ People's Party) ได้เสียงมาก ก็ถูกยุบพรรคหรือขัดขวางโดยศาล ซึ่งเชื่อมโยงกับการตกต่ำของนักการเมืองที่ต้องเล่นเกมประนีประนอมเพื่อเอาตัวรอด แทนที่จะผลักดันนโยบายจริงจัง
  3. การรุกคืบเชิงอำนาจของ "วัง" (ราชสำนัก) และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ: สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกยกขึ้นเป็น "ศักดิ์สิทธิ์" ในวัฒนธรรมไทย แต่ในทางการเมือง มันถูกใช้เป็นเครื่องมือของ deep state เพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้าม เช่น กฎหมายมาตรา 112 (หมิ่นฯ) ที่ถูกนำมาใช้ฟ้องนักกิจกรรมและนักการเมืองก้าวหน้า ทำให้การปฏิรูปถูกขัดขวาง กรณีทักษิณและครอบครัวถูกมองว่าเป็น "ภัยต่อสถาบัน" ตั้งแต่สมัยปกครอง ทำให้ถูกแทรกแซงโดยศาล ซึ่งไม่เกี่ยวโยงกับประชาชนจริง ๆ แต่เป็นการรักษาอำนาจของ oligarchy ที่รวมทุนใหญ่ (เช่น ธุรกิจใกล้ชิดราชสำนัก) เข้าด้วยกัน สิ่งนี้ทำให้ความวุ่นวายยืดเยื้อ เพราะทุกการเลือกตั้งนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่าง "มวลชน" กับ " elites" ที่ไม่ยอมปล่อยอำนาจ
  4. การตกต่ำของนักการเมืองและระบบที่ส่งเสริม corruption กับ populism: นักการเมืองไทยมักถูกมองว่าขาดอุดมการณ์ เพราะต้องพึ่งพิงเครือข่ายทุนและอิทธิพลท้องถิ่นเพื่อชนะเลือกตั้ง ในระบบที่ deep state ควบคุม ทักษิณเองเคยถูกกล่าวหาว่าใช้นโยบายประชานิยมเพื่อสร้างบารมี แต่สุดท้ายถูกโค่นเพราะขัดผลประโยชน์ oligarchy นี่นำไปสู่การตกต่ำ เพราะนักการเมืองต้องเล่นเกมสกปรก เช่น การซื้อเสียงหรือพันธมิตรชั่วคราว (อย่างที่ People's Party ทำกับอนุทิน) เพื่อเอาชนะระบบ แต่สุดท้ายก็ถูก deep state ใช้ศาลหรือทหารขัดขวาง ทำให้ประชาชนผิดหวังและความวุ่นวายเพิ่มขึ้น
โดยรวม สาเหตุทั้งหมดนี้ชี้ว่าความวุ่นวายเกิดจาก "รัฐพันลึกแบบคณาธิปไตย" ที่ฝังรากมาตั้งแต่หลัง 2475 โดยเครือข่ายทหาร-ราชสำนัก-ศาล-ทุนใหญ่ คอยรักษาอำนาจผ่านการแทรกแซงนอกระบบประชาธิปไตย ทำให้การเมืองไทยไม่เคยเสถียรจริง ๆ ถ้าจะแก้ ต้องปฏิรูปโครงสร้าง เช่น แก้รัฐธรรมนูญให้ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น แต่ deep state มักขัดขวางอย่างไม่เลิกราและจะหนักข้อยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในยุครัชกาลที่ 10

Monday, August 11, 2025

English Learning Quiz: 5 items Daily

English Learning Quiz
Test your English skills! Read the question, choose the best answer in your mind within 10 seconds, then check the explanation. Let's learn together!