Wednesday, April 13, 2016

ใครคือผู้สร้างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ใครคือผู้สร้างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้

Posted on April 9, 2016 by | Leave a comment | Edit

59

ใครคือผู้สร้างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ผมได้เห็นบทความของหลายสำนักข่าว ตีข่าวใหญ่เรื่อง ระเบิดขนาดใหญ่ 160 กิโล ที่ยะลา แล้วก็หวนคิดถึง ระเบิดที่หน้าศาลอาญารัชฏา ที่จับแพะเป็นจำนวนมากได้ ลามไปถึงน้องแหวน พยานปากเอกคดี ทหารฆ่าประชาชนในวัดประทุม 6 ศพ แล้ว ก็เกิดข้อสงใส เหมือนกัน เหตุที่ต้องสงใส

เพราะ…………..

1. ตกลงทหารที่สมัย อุดมแดก อดีต ผบ.ทบ.. กล่าวไว้ว่าจะถอนทหารรออกจากพื้นที่ 3 จังหวัดชานแดนใต้ไม่ถอนแล้วใช่ไหม เพราะต้องการกวาดล้างโจรใต้ให้สิ้น ภายใน 6 เดือน

2. ตกลงชีวิตของพี่น้องชาว ยะลา นรา ปัตตานี กว่า 8 พันกว่าศพ ที่ต้องสังเวย ทหารทรราช คสช. ยังคงดำรงอยู่ต่อไป งั้นหรือ

3. และตกลงว่างบประมาณ ของแผ่นดินที่ทหารทรราช ถลุงไปกว่า หลายแสนล้านบาท เป็นการ ตำน้ำพริก ละลายแม่นำ้โก-ลกงั้นซิ

4. แผนการสร้างสถานการณ์ นำต้นแบบ และวิธีการมาจาก ระเบิดหน้าศาลอาญารัชฏาใช่หรือไม หากไม่ใช่ ทำไมวิธีการ ชั่งเหมือนกันเหลือเกิน

5. งบประมาณและอายุราชการของทหารที่ได้ จากการลงไปพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีความหอมหวานถึงขนาดต้องฆ่าต้องแกง ประชาชน เพื่อให้สมจริงได้ถึงขนาดนี้หรือ ความเป็นคนไม่หลงเหลืออยู่เลยหรือในกมรสันดานของ ทรราช คสช.

———————————————————–

สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น!


เหตุรุนแรง 2 เหตุการณ์สำคัญ คือ คนร้ายกว่า 50 คนบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 มี.ค. และกรณีคนร้าย 7-8 คน ปล้นรถสองสามีภรรยาจาก อ.บันนังสตา จ.ยะลา ก่อนนำไปบรรทุกระเบิด แล้วบังคับให้ขับไปจอดเพื่อก่อวินาศกรรมกลางเมืองยะลา เมื่อวันที่ 5 เม.ย.นั้น กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกพื้นที่สามจังหวัด ชายแดนภาคใต้

เป็นการถูกพูดถึงในแง่ของการตั้งคำถามเกี่ยวกับรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ เต็มไปด้วยข้อสงสัย แม้ว่าทั้งสองเหตุการณ์จะไม่ได้นำมาซึ่งความสูญเสียขนาดใหญ่ก็ตาม

รายงานพิเศษชิ้นนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำความคิดหรือความเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงการรวบรวมข้อสังเกตของฝ่ายต่างๆ ประกอบข้อมูลและบทวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบางหน่วยมานำเสนอ เท่านั้น

ทั้งนี้เพื่อสะท้อนว่าพื้นที่ชายแดนใต้ยังคงเป็นดินแดนสนธยา และเต็มไปด้วยความซับซ้อนจริงๆ

ยึด รพ.ใช้กระสุนเปลือง!

เริ่มจากเหตุคนร้ายบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง เพื่อใช้เป็นที่มั่นและจุดสูงข่มในการระดมยิงฐานทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4816 ซึ่งตั้งอยู่ติดกับรั้วโรงพยาบาล แม้จนถึงขณะนี้จะมีข้อมูลยืนยันจนสิ้นสงสัยแล้วว่าไม่ได้เป็นการกระทำใน ลักษณะ "จัดฉาก" ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลทรราช ด้วยกันเอง

ทว่าก็ยังมีข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ "สร้างสถานการณ์" โดยใครหรือกลุ่มใด เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการแสดงศักยภาพของขบวนการที่อ้างอุดมการณ์ แบ่งแยกดินแดนหรือไม่

ประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตกันมากก็คือ ปลอกกระสุนของคนร้ายที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุซึ่งมีมากถึง 1,825 ปลอก จากปืนสงคราม 52 กระบอก เหตุใดถึงได้ยิงกันอย่างฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้ ราวกับกระสุนเป็นของหาง่าย

ประเด็นนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายรายมองตรงกันว่า ที่ผ่านมาหากเป็นปฏิบัติการของนักรบบีอาร์เอ็น การยิงจะมุ่งผลสัมฤทธิ์มากกว่านี้ และใช้กระสุนประหยัดกว่านี้ เนื่องจากกระสุนหายาก และอาวุธของบรรดานักรบเกือบทั้งหมดได้ไปจากการปล้นชิงเจ้าหน้าที่

ขณะเดียวกัน ในขณะที่ยิงกันอย่างสะบั้นหั่นแหลกถึงเกือบ 2 พันนัด แต่กลับไม่ได้ก่อความสูญเสียต่อชีวิตของทหารพรานภายในฐานเลย มีเพียงผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 นาย เป็นทหารพราน 6 นาย และ อส.1 นาย

ข้อสังเกตนี้ไม่ได้มีขึ้นเพราะต้องการให้เกิดความสูญเสีย แต่ด้วยความที่คนร้ายอยู่ในจุดสูงข่มที่สามารถเลือกยิงได้ถนัดถนี่ ขณะที่ฝ่ายทหารก็ไม่กล้ายิงตอบโต้ เพราะคนร้ายใช้โรงพยาบาลซึ่งมีผู้ป่วยและหมอ พยาบาลเป็นสถานที่กำบัง แต่ด้วยวิถีการยิงที่ได้เปรียบ กับการใช้กระสุนจำนวนมาก กลับไม่อาจก่อผลที่สมกับรูปแบบความรุนแรงที่ได้กระทำ

ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธปืนสงคราม 52 กระบอกที่คนร้ายใช้ มีเพียง 18 กระบอกที่มีประวัติในสารบบของฝ่ายความมั่นคงว่าเคยใช้ก่อเหตุรุนแรงมาก่อน แสดงว่าอาวุธปืนอีกถึง 34 กระบอก หรือเกือบ 2 เท่า เป็นอาวุธที่ไม่เคยถูกนำมาใช้ หรือเคยใช้แต่ไม่เคยถูกเก็บประวัติ (ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้)

คำถามคืออาวุธเหล่านี้มาจากไหน?


ขณะที่การติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุอุกอาจถึงขั้นควงอาวุธบุกยึดโรง พยาบาล เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบก็อยู่ในอาการมืดแปดด้าน หมายจับที่ออกมาแล้ว 2-8 หมาย เป็นการออกตามประวัติการใช้ปืน 18 กระบอกในพื้นที่ 5 อำเภอของ จ.นราธิวาสเป็นหลัก ซึ่งต้องเรียกว่าเป็น "ฐานข้อมูลเก่า"

ที่สำคัญ ผู้ก่อเหตุหลายคนไม่ได้ใช้ผ้าหรือหมวกคลุมศีรษะปกปิดใบหน้า ซ้ำยังเดินผ่านกล้องวงจรปิดแบบไม่กลัวใครจำได้อีกด้วย

7ข้อสงสัยปล้นรถ-ซุกบอมบ์

เหตุการณ์ที่ 2 กรณีคนร้ายปล้นรถของลุงกับป้า สองสามีภรรยาจากพื้นที่บันนังสตา แล้วนำระเบิดถังแก๊ส 2 ถัง น้ำหนักระเบิด 160 กิโลกรัมยัดใส่รถ จากนั้นบังคับให้คุณลุงขับรถเข้าไปจอดกลางเมืองยะลาเพื่อกดระเบิด

ยุทธวิธีของกลุ่มคนร้าย นอกจากจะจับคุณป้าแยกขึ้นรถไปอีกคันเพื่อเป็นตัวประกันแล้ว ยังให้คุณลุงสวมเสื้อที่ผูกระเบิดติดไว้ เป็นการกดดันและบังคับอีกชั้นหนึ่งให้คุณลุงทำภารกิจให้สำเร็จอีกด้วย

เหตุการณ์นี้หากมีการระเบิดเกิดขึ้นจริง จะก่อความสูญเสียอย่างมหาศาล เพราะจุดที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงขับรถไปจอด อยู่ใกล้ปั๊มน้ำมัน และบริษัทโตโยต้า พิธานพาณิชย์ยะลา ภาพที่คาดว่าจะออกมาหากเกิดระเบิด คือคนขับสวมเสื้อระเบิด คล้ายเป็น "ระเบิดพลีชีพ" เท่ากับเป็นการยกระดับความรุนแรงของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เทียบเท่าก่อการ ร้ายสากล

เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ไม่ได้บานปลายถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังมีประเด็นข้อสงสัยจากฝ่ายต่างๆ จากหลายวงสนทนา พอสรุปได้ดังนี้

1.วิธีการของคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยการปล้นรถแล้วจับตัวประกันบังคับให้ขับรถของตัวเองบรรทุกระเบิดเข้าไปจอด ในตัวเมือง เป็นวิธีการใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ที่ผ่านมามีแต่คนร้ายฆ่าเจ้าทรัพย์ แล้วชิงรถไปติดตั้งระเบิด ก่อนนำไปจุดระเบิดตรงบริเวณที่เป็นเป้าหมายทันที เห็นได้จากเหตุ "คาร์บอมบ์" ล่าสุดใน อ.เมืองปัตตานี หน้าฐานของตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เมื่อ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็เป็นการฆ่าเจ้าทรัพย์ ชิงรถ ติดตั้งระเบิด แล้วโจมตี

คำถามคือเหตุใดคนร้ายจึงเลือกใช้วิธีการที่ซับซ้อนและมีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย หากหวังผลให้เกิดการระเบิดเพื่อสร้างความสูญเสียในเขตเมืองและย่านเศรษฐกิจ

2.ความโหดเหี้ยมในการก่อเหตุของคนร้ายดูจะลดน้อยลงกว่าที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะหากเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ อ.บันนังสตา และ อ.กรงปินัง ซึ่งมีประวัติการก่อเหตุอย่างเหี้ยมโหด เพราะคุณป้าที่ตกเป็นตัวประกันก็ปลอดภัย แม้คุณลุงจะทำการไม่สำเร็จ คือไม่เกิดการระเบิดขึ้นก็ตาม

3.คนร้ายบางส่วนหรือทั้งหมด ไม่ได้ปกปิดหน้าตา การปล่อยตัวประกันทำให้นำไปสู่การออกภาพสเก็ตช์และติดตามตัวคนร้ายได้ง่าย ซึ่งล่าสุดก็มีข่าวตำรวจเริ่มจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้ว

4.การวางระเบิดของคนร้าย จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระบุว่า ระเบิดถังแก๊สทั้ง 2 ถังประกอบวงจรระเบิดไว้สมบูรณ์แล้ว และมีวงจรจุดระเบิดซ้อนมากกว่า 1 วงจร แต่หลังจากที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงขับรถผ่านด่านตรวจเข้ามาในพื้นที่เขต เมืองได้แล้ว มีบางช่วงที่คุณลุงขับรถหลุดพ้นจากการควบคุมของคนร้าย เหตุใดคนร้ายจึงไม่จุดระเบิดทันที

5.กรณีเสื้อผูกระเบิดที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงสวมใส่เพื่อข่มขู่ให้ขับรถ บรรทุกระเบิดไปจอดยังเป้าหมาย โดยข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่าคนร้ายต่อวงจรเอาไว้แล้ว เหตุใดคุณลุงจึงสามารถใช้กรรไกรตัดเสื้อระหว่างขับรถแล้วโยนทิ้งไปได้โดยไม่ ระเบิด แต่กลับมีข่าวว่าเสื้อดังกล่าวระเบิดขึ้นระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการ เก็บกู้

6.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ และรูปแบบการก่อเหตุไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหตุใดจึงมีแต่เพียงฝ่ายตำรวจและฝ่ายปกครองเท่านั้นที่มีข้อมูลและให้ข่าว กับสื่อ แต่ไม่ปรากฏข้อมูลในรายงานเหตุการณ์ของหน่วยงานทางทหาร

7.ระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ถังแก๊ส 2 ถังบรรทุกมาในรถ ยังมีข้อมูลสับสนว่าขับผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่เข้ามาหรือไม่ เพราะข้อมูลบางแหล่งระบุว่าขับผ่านด่านตรวจตามปกติ แต่บางแหล่งระบุว่าขับลัดเลาะหลบด่านทุกด้านจนเข้าเมืองได้

นอกจากนั้นข้อมูลที่รายงานผ่านสื่อบางแขนงอ้างว่าคุณลุงถูกคนร้ายใช้ถุงดำ คลุมศีรษะเกือบตลอดทาง แต่บางสื่อกลับอ้างว่าคุณลุงรู้เส้นทางขับรถของคนร้ายว่าหลบด่านเข้าเมือง ได้อย่างไร ถึงขนาดพาเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองย้อนดูเส้นทางลัดเลาะหลบด่าน ในลักษณะย้อนรอยคนร้ายด้วย

สมมติฐานใครคือผู้สร้างสถานการณ์


ทั้งสองเหตุการณ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีฝ่ายรัฐบาล ทรราช คสช. หรือต้องการสร้างภาพใน สถาณ๋การเลวร้าย ในแง่ลบ ตั้งประเด็นว่าเป็นการ "จัดฉาก" เพื่อหวังงบประมาณหรือด้วยเหตุผลของการต้องการ ฆ่าพี่้องมุสลิม

ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหลายหน่วยยืนยันตรงกันว่า เป็นไปได้น้อยมากที่เหตุการณ์ระดับนี้ ใช้คนมากขนาดนี้ จะกระทำโดย "โจรใต้" เพราะปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหลายหน่วย หลายสี ปฏิบัติงานในพื้นที่จำนวนมาก มีการตรวจสอบซึ่งกันและกันค่อนข้างสูง และสิ่งที่โจรใต้ ไม่เคยพลาด จากการวางระเบิดมานัดครั้งไม่ถ้วนนั้น หากนำมาประกอยวิธีการวาง จะแตกต่างจาก เหตุการณ์ ระเบิด 160โล ครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัด แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของรัฐบาล ทรราช คสช.

ฉะนั้นการสร้างสถานการณ์โดยหน่วยใดหรือกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจึงเป็นเรื่องไม่ยาก ที่จะคาดเดา

เหตุการณ์ ทั้ง 2 ครั้งนี้ จุดประสงค์เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ งบประมาณและการคงอยู่ของกองกำลังทหารกว่า 5 หมื่นนาย ที่จะได้เบี้ยและอายุราชการทวีคูณอีกทั้งสวัสดิการต่างๆ อีกมากมาย บนคลาดน้ำตาและกองเลือดของพี่น้องประชาชน สืบต่อไป

สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น!

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก อิศรา


เสรีชน

สงกรานต์นี้ ขอเขียนจดหมายเปิดผนึก ถึง ตือโป๊ยก่าย ประวิทย์ พี่ใหญ่แห่งบูรพาสุนัข สักหน่อย

ในวาระ สงกรานต์นี้ ขอเขียนจดหมายเปิดผนึก ถึง ตือโป๊ยก่าย ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ. พี่ใหญ่แห่งบูรพาสุนัข
-
อีป้อม....ครับ  ก่อนอื่นขอแสดงความติดเห็น กับชีวิตและหน้าที่การงานของนางประวิทย์  ที่ประสบความสำเร็จ  ลาภ ยศ สรรเสริญ รวมทั้งบรรดาศักดิ์ ที่ได้มีจาก กองเลือดและคราบน้ำตาของประชาชน  ทั้งในปี ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจุบัน 
-
ความชั่วระยำ เหล่านี้อีป้อม ล้วนผ่านมาแล้วทั้งสิ้น    แม้จะทำให้คนไทยอีกหลายสิบล้านคน ต้องทุกข์ทน และ ไม่เคยมีวาสนาได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้นแม้เสี้ยวปลายนิ้วก้อยจากที่อีป้อมได้รับ    
-
เปล่าหรอก....ผมไม่ได้กำลังขอร้องขอ  ให้อีป้อมแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นที่ได้รับ   แต่อยากจะเอาเท้าสะกิดหัวของนาง ในฐานะปราชาชนคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกัน   สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง....ยิ่งขวานขวายมากก็ยิ่งสูญเสียมาก 

-
ในฐานะที่อีป้อม  พี่ใหญ่แห่งบูรพาสุนัข     ผมไม่เชื่อว่าอีป้อมจะไม่รู้เห็นอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง   ยิ่งในขณะนี้!!   ขณะที่ทหารเอารถถัง เอาสรรพอาวุธสงครามมาbase ไว้ที่กรุงเทพฯ     อีป้อมอาจจะปฏิเสธว่าเป็นทหารที่เกษียณไปแล้วไม่รู้. หรืออีป้อมออกมาปัด ในการสลายการชุมนุม เมื่อครั้งปี 2553 ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า แค่เป็นพยาน ในการสั่งฆ่าประชาชน ในครั้งนั้น เท่านั้น ....ฟังเผินๆ อาจจะน่าเชื่อถือนะครับ    แต่พฤติกรรมที่ผ่านๆ มาของอีป้อม กลับมองว่ายังไม่เกษียณเลย

-
อีเปรม แห่งบ้านสี่เสา ถือว่าเป็น "ทหารเกษียณ" ผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในประเทศไทยภายใต้การปกครองระบอบอำมาตยธิปไตย    ในสายตาของผมและเชื่ออีกว่าในสายตานักประชาธิปไตยอีกหลายๆ ล้านคนมองว่านั่นไม่ถูกต้องนัก   เพราะสถานะของอีเปรม กลับถูกยกย่องจากคนทั่วไปโดยเฉพาะทหารและจากสื่อทีมงานของอีเปรมเองจนเกินเลย  แม้ช่วงวันเปิดบ้านของอีเปรม  ไอ้ตูบ ถึงขนาดฟ้องอีเปรมว่า สื่อไม่ช่วย 
-

นั้นเป็นข้อสังเกตุให้เห็นว่า อีเปรมไม่ใช่คุมแค่กำลังทหาร หรือแค่ธนาคารเท่านั้น แม้กระทั้งสื่อ อีเปรมก็คุมด้วย  
-
อีป้อม  .....เองคงจะทราบและรู้ดีว่า อีเปรม นั่นคือที่มาที่ไปของคำว่า "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"  และเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง รัฐประหารทุกครั้ง 

-
ก่อนหน้านั้นโผทหารโดยเฉพาะตำแหน่ง "ผบ ทบ."  ก่อนจะส่งขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย  ต้องผ่านมืออีเปรมก่อนทุกครั้ง  (ซึ่งถือว่าไม่จำเป็นต้องผ่านมือ  หาเช่นนั้นพรบ. พรก. หรืออะไรต่อมิอะไรที่ต้องส่งขึ้นทูลเกล้าฯ ก็ต้องผ่านอีเปรมทั้งหมด)    
-


ก็ต่อเมื่อครั้งดร.ทักษิณดำรงตำแหน่งนายก ก็ได้ทำลาย "ธรรมเนียมเลว" คือการไม่ส่งโผทหารผ่านมืออีเปรมลงไป  และเขาเป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยตรงในฐานะนายกรัฐมนตรีเอง  การแต่งตั้งเหล่าทหารชั้นผู้ใหญ่จึงเป็นไปตามกฏตามกติกา    นายทหารที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากตรงนี้ก็คือ (อีป้อมประวิทย์) ด้วย   หรือมึงจะปฏิเสธ.............???  
-

หากวันนั้น  ดร. ทักษิญ ยังคงธรรมเนียมเก่า เอารายชื่อให้ อีเปรม.......... ผมถามตรงๆ นะครับว่า อีป้อม  มึงจะมีวันนี้ไหม
-
หากแต่........ วันนี้ อีป้อมทำไมมึงกลับจ้องทำลาย ตระกลูชินวัตร และ ประชาชนด้วยเหตุอันใด  ทั้งๆที่ มึงก็ได้รับ อนิสงค์จาก ระบอบ ประชาธิปไตย มึงนี้ ยิ่งกว่าสุนัขตัวเมียที่เลี้ยงไม่เชื่องเสียอีก 

-
เอาล่ะ เมื่ออีป้อม เป็นเช่นนี้  ก็ขอคิดและคาดเดาต่อไปเอาไว้เลยว่า 

-
เมื่อไหร่ที่ อีเปรมได้สิ้นอายุขัย หรือตายห่าตายโหงจากพิษ ส้นตีนของประชาชน ลงไป   ศูนย์รวมอำนาจนอกระบบและเหนือรัฐธรรมนูญก็คงจะค่อยๆ สลายไปด้วย     และที่สำคัญ    ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะได้หลุดจากวงจรแห่งการกุมอำนาจแบบประหลาดๆ ในสังคมไทยเสียที     บ้านเมืองจะเดินได้ไปข้างหน้าไม่ตะกุกตะกักเหมือนที่ผ่านๆ มา 
-
หรือว่าอีป้อม มึงจะเห็นด้วยไหม กับกู หรือว่า มึงจะคิดสวมบท อีเปรม 2 

-
อีป้อมเอย.........อย่าคิดวัดรอยเท้าอีเปรมเลย ...วางตัวเป็นทหารเกษียณทิ้งตัวอย่างที่เป็นทหารเลว ๆ อย่าให้น้องๆ เดินตามรอยมึงอีกเลย พอทีเถอะ

-  

รอยเท้าของมึงนะ อีป้อม ไม่ว่ามึงจะเลี้ยงทหารนอกแถวไว้มากมายก็ตาม  แต่กูเชื่อว่า  ด้วยระบบประชาชธิปไตยในอนาคตในใกล้นี้  ซึ่งแน่นอนอไม่ได้มาจาก ทรราช คสช. อย่างแน่นอน 
-
ทหารชั่ว และ ทรราช คสช.ทั้งหลาย จะต้องถูกดำเนิคดี ฆ่าล้างเผ่าพันธ์กับศาลโลก และกูก็เชื่อต่ออีกว่าทหารหลายรุ่นหลายเหล่าจะไม่เดินตามรอยเท้ามึง.............  อีป้อม 
-


เพราะอะไร  ก็เพราะประเทศฉิบหายวายวอดไปกว่า 5 ล้านๆ บาท ในช่วงเวลาตั้งแต่ทรราช คสช. ทำรัฐประหารมานั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า

-
และประชาชนตายไปมากกว่าหมื่นด้วยน้ำมือของ ทหารทั้งสิ้น 

นั้นจึงเป้นที่มา ขอคำว่า   ทหารไทยมีไว้ทำไม
-

กูไม่ต้องทหารชั่วๆ อย่างพวกมึงอีกแล้ว  ------------พอกันที

-
เสรีชน


สงกรานต์นี้ ขอเขียนจดหมายเปิดผนึก ถึง ตือโป๊ยก่าย ประวิทย์ พี่ใหญ่แห่งบูรพาสุนัข สักหน่อย

ในวาระ สงกรานต์นี้ ขอเขียนจดหมายเปิดผนึก ถึง ตือโป๊ยก่าย ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ. พี่ใหญ่แห่งบูรพาสุนัข
-
อีป้อม....ครับ  ก่อนอื่นขอแสดงความติดเห็น กับชีวิตและหน้าที่การงานของนางประวิทย์  ที่ประสบความสำเร็จ  ลาภ ยศ สรรเสริญ รวมทั้งบรรดาศักดิ์ ที่ได้มีจาก กองเลือดและคราบน้ำตาของประชาชน  ทั้งในปี ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจุบัน 
-
ความชั่วระยำ เหล่านี้อีป้อม ล้วนผ่านมาแล้วทั้งสิ้น    แม้จะทำให้คนไทยอีกหลายสิบล้านคน ต้องทุกข์ทน และ ไม่เคยมีวาสนาได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้นแม้เสี้ยวปลายนิ้วก้อยจากที่อีป้อมได้รับ    
-
เปล่าหรอก....ผมไม่ได้กำลังขอร้องขอ  ให้อีป้อมแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นที่ได้รับ   แต่อยากจะเอาเท้าสะกิดหัวของนาง ในฐานะปราชาชนคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกัน   สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง....ยิ่งขวานขวายมากก็ยิ่งสูญเสียมาก 

-
ในฐานะที่อีป้อม  พี่ใหญ่แห่งบูรพาสุนัข     ผมไม่เชื่อว่าอีป้อมจะไม่รู้เห็นอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง   ยิ่งในขณะนี้!!   ขณะที่ทหารเอารถถัง เอาสรรพอาวุธสงครามมาbase ไว้ที่กรุงเทพฯ     อีป้อมอาจจะปฏิเสธว่าเป็นทหารที่เกษียณไปแล้วไม่รู้. หรืออีป้อมออกมาปัด ในการสลายการชุมนุม เมื่อครั้งปี 2553 ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า แค่เป็นพยาน ในการสั่งฆ่าประชาชน ในครั้งนั้น เท่านั้น ....ฟังเผินๆ อาจจะน่าเชื่อถือนะครับ    แต่พฤติกรรมที่ผ่านๆ มาของอีป้อม กลับมองว่ายังไม่เกษียณเลย

-
อีเปรม แห่งบ้านสี่เสา ถือว่าเป็น "ทหารเกษียณ" ผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในประเทศไทยภายใต้การปกครองระบอบอำมาตยธิปไตย    ในสายตาของผมและเชื่ออีกว่าในสายตานักประชาธิปไตยอีกหลายๆ ล้านคนมองว่านั่นไม่ถูกต้องนัก   เพราะสถานะของอีเปรม กลับถูกยกย่องจากคนทั่วไปโดยเฉพาะทหารและจากสื่อทีมงานของอีเปรมเองจนเกินเลย  แม้ช่วงวันเปิดบ้านของอีเปรม  ไอ้ตูบ ถึงขนาดฟ้องอีเปรมว่า สื่อไม่ช่วย 
-

นั้นเป็นข้อสังเกตุให้เห็นว่า อีเปรมไม่ใช่คุมแค่กำลังทหาร หรือแค่ธนาคารเท่านั้น แม้กระทั้งสื่อ อีเปรมก็คุมด้วย  
-
อีป้อม  .....เองคงจะทราบและรู้ดีว่า อีเปรม นั่นคือที่มาที่ไปของคำว่า "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"  และเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง รัฐประหารทุกครั้ง 

-
ก่อนหน้านั้นโผทหารโดยเฉพาะตำแหน่ง "ผบ ทบ."  ก่อนจะส่งขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย  ต้องผ่านมืออีเปรมก่อนทุกครั้ง  (ซึ่งถือว่าไม่จำเป็นต้องผ่านมือ  หาเช่นนั้นพรบ. พรก. หรืออะไรต่อมิอะไรที่ต้องส่งขึ้นทูลเกล้าฯ ก็ต้องผ่านอีเปรมทั้งหมด)    
-


ก็ต่อเมื่อครั้งดร.ทักษิณดำรงตำแหน่งนายก ก็ได้ทำลาย "ธรรมเนียมเลว" คือการไม่ส่งโผทหารผ่านมืออีเปรมลงไป  และเขาเป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยตรงในฐานะนายกรัฐมนตรีเอง  การแต่งตั้งเหล่าทหารชั้นผู้ใหญ่จึงเป็นไปตามกฏตามกติกา    นายทหารที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากตรงนี้ก็คือ (อีป้อมประวิทย์) ด้วย   หรือมึงจะปฏิเสธ.............???  
-

หากวันนั้น  ดร. ทักษิญ ยังคงธรรมเนียมเก่า เอารายชื่อให้ อีเปรม.......... ผมถามตรงๆ นะครับว่า อีป้อม  มึงจะมีวันนี้ไหม
-
หากแต่........ วันนี้ อีป้อมทำไมมึงกลับจ้องทำลาย ตระกลูชินวัตร และ ประชาชนด้วยเหตุอันใด  ทั้งๆที่ มึงก็ได้รับ อนิสงค์จาก ระบอบ ประชาธิปไตย มึงนี้ ยิ่งกว่าสุนัขตัวเมียที่เลี้ยงไม่เชื่องเสียอีก 

-
เอาล่ะ เมื่ออีป้อม เป็นเช่นนี้  ก็ขอคิดและคาดเดาต่อไปเอาไว้เลยว่า 

-
เมื่อไหร่ที่ อีเปรมได้สิ้นอายุขัย หรือตายห่าตายโหงจากพิษ ส้นตีนของประชาชน ลงไป   ศูนย์รวมอำนาจนอกระบบและเหนือรัฐธรรมนูญก็คงจะค่อยๆ สลายไปด้วย     และที่สำคัญ    ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะได้หลุดจากวงจรแห่งการกุมอำนาจแบบประหลาดๆ ในสังคมไทยเสียที     บ้านเมืองจะเดินได้ไปข้างหน้าไม่ตะกุกตะกักเหมือนที่ผ่านๆ มา 
-
หรือว่าอีป้อม มึงจะเห็นด้วยไหม กับกู หรือว่า มึงจะคิดสวมบท อีเปรม 2 

-
อีป้อมเอย.........อย่าคิดวัดรอยเท้าอีเปรมเลย ...วางตัวเป็นทหารเกษียณทิ้งตัวอย่างที่เป็นทหารเลว ๆ อย่าให้น้องๆ เดินตามรอยมึงอีกเลย พอทีเถอะ

-  

รอยเท้าของมึงนะ อีป้อม ไม่ว่ามึงจะเลี้ยงทหารนอกแถวไว้มากมายก็ตาม  แต่กูเชื่อว่า  ด้วยระบบประชาชธิปไตยในอนาคตในใกล้นี้  ซึ่งแน่นอนอไม่ได้มาจาก ทรราช คสช. อย่างแน่นอน 
-
ทหารชั่ว และ ทรราช คสช.ทั้งหลาย จะต้องถูกดำเนิคดี ฆ่าล้างเผ่าพันธ์กับศาลโลก และกูก็เชื่อต่ออีกว่าทหารหลายรุ่นหลายเหล่าจะไม่เดินตามรอยเท้ามึง.............  อีป้อม 
-


เพราะอะไร  ก็เพราะประเทศฉิบหายวายวอดไปกว่า 5 ล้านๆ บาท ในช่วงเวลาตั้งแต่ทรราช คสช. ทำรัฐประหารมานั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า

-
และประชาชนตายไปมากกว่าหมื่นด้วยน้ำมือของ ทหารทั้งสิ้น 

นั้นจึงเป้นที่มา ขอคำว่า   ทหารไทยมีไว้ทำไม
-

กูไม่ต้องทหารชั่วๆ อย่างพวกมึงอีกแล้ว  ------------พอกันที

-
เสรีชน


สมองมึงคิดได้แค่นี้หรือ " ไอ้ตูบ " ทรราช ประยุทธ์ จันทรโอชา

'ไอ้ตูบ'แนะครม.อ่านหนังสือ'การปกครองประเทศจีน'  และแต่งตัวเหมือนเกาหลี ลั่น  สอดคล้องประเทศไทย

-
"ไอ้ตูบ" แนะ ครม.อ่านหนังสือ The Governance of China เขียนโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เล่าเรื่องการบริหารงาน ที่มีแนวทางสอดคล้องกันกับประเทศไทย ระยะปฏิรูป

-
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 12 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทรราช ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. แนะนำหนังสือ The Governance of China ให้ ครม.อ่าน ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนโดยผู้นำจีน บอกเล่าเรื่องการบริหารงานที่มีแนวทางสอดคล้องกันกับประเทศไทย เพราะอยู่ในระยะเวลาแห่งการปฏิรูปเช่นเดียวกัน 

-
และเมื่อวานนี้ 

-
 "ไอ้ตูบ"  ตัวเดิม ประชุมครม.โจร  เปรียบผู้หญิงแต่งตัวต้องดั่งทอฟฟี่ แกะก่อนขายไม่ได้สนใจ ต้องห่อมิดชิด

-
 "ไอ้ตูบ" เห่าว่า สงกรานต์ที่มีความสุข เพราะจะเป็นปีที่เรามีความสุขที่สุด เพราะกว่า 10 ปีแล้วที่ประเทศไทยไม่มีความสุขที่แท้จริง เพราะฉะนั้นอยู่ที่พวกเราทุกคนที่จะช่วยกันทำ ไม่ใช่ตนคนเดียว อย่างดาราที่มาวันนี้เขาก็ไม่แต่งตัวโป๊ เราต้องแต่งตัวให้ดูดี แต่งชุดไทยบ้างก็สวยดี สำหรับการแสดงก็ว่ากันไป คนที่ดูก็ชินแล้ว มันต้องเป็นแบบนี้คนถึงจะดู แต่ความจริงทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นวัฒนธรรมไทย ไปเปิดดูเกาหลีทำไมเขาไม่แต่งโป๊ ก็ถือว่าแปลกนะ บางครั้งเขาแทบไม่จูบกันเลย

-
 "ไอ้ตูบ"  เห่าต่อตนบอกแล้วว่าผู้หญิงเปรียบเสมือนทอฟฟี่หรือขนมหวานที่ต้องมีห่อ หากเราเอาขนมมาขายแล้วเปิดห่อทั้งหมดก็คงไม่มีใครอยากกิน มันต้องอยู่ในห่อแล้วจะน่าสนใจ พอเห็นแล้วน่ากินจึงค่อยเปิดดู ส่วนที่เปิดหมดแล้วมันก็ไม่น่าสนใจ ส่วนคนที่ไม่เปิดก็โชคดีไป 

-
สมองมึงคิดได้แค่นี้ งั้นหรือ  "ไอ้ตูบ"

-
ทหารอย่างพวกมึงก็คิดจะปกครอง ด้วยอำนาจจากปากกระบอกปืนก้เท่านั้น  อ้างศักศรี ความเผ็นลูกผู้ชายตลอดเวลา แม้กระทั้งยิงคน มือเปล่า แบบไม่มีทางสู้ อย่างกรณี ราชประสงค์ปี 53  

-
นี้หรือวิธีคิดของ  "ไอ้ตูบ"  กูว่ามึงยิ่งกว่าหน้าตัวเมีย ควรไปหาผ้าถุงใส่จะเหมาะกว่าเครื่องแบบทหาร 

-
ส่วนเรื่อง เปรียบผู้หญิงเป็น ทอฟฟี่  นั้นยิ่งแสดงให้เห็นว่า  สมองมึงมองเพศแม่อย่างไร  คิดแต่แค่ ซื้อขาย มองเพศแม่เหมือนขนมหวาน 

-
ถุย.............. "ไอ้ตูบ" ประยุทธ์ จันทรโอชา  

-
เสรีชน


สมองมึงคิดได้แค่นี้หรือ " ไอ้ตูบ " ทรราช ประยุทธ์ จันทรโอชา

'ไอ้ตูบ'แนะครม.อ่านหนังสือ'การปกครองประเทศจีน'  และแต่งตัวเหมือนเกาหลี ลั่น  สอดคล้องประเทศไทย

-
"ไอ้ตูบ" แนะ ครม.อ่านหนังสือ The Governance of China เขียนโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เล่าเรื่องการบริหารงาน ที่มีแนวทางสอดคล้องกันกับประเทศไทย ระยะปฏิรูป

-
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 12 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทรราช ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. แนะนำหนังสือ The Governance of China ให้ ครม.อ่าน ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนโดยผู้นำจีน บอกเล่าเรื่องการบริหารงานที่มีแนวทางสอดคล้องกันกับประเทศไทย เพราะอยู่ในระยะเวลาแห่งการปฏิรูปเช่นเดียวกัน 

-
และเมื่อวานนี้ 

-
 "ไอ้ตูบ"  ตัวเดิม ประชุมครม.โจร  เปรียบผู้หญิงแต่งตัวต้องดั่งทอฟฟี่ แกะก่อนขายไม่ได้สนใจ ต้องห่อมิดชิด

-
 "ไอ้ตูบ" เห่าว่า สงกรานต์ที่มีความสุข เพราะจะเป็นปีที่เรามีความสุขที่สุด เพราะกว่า 10 ปีแล้วที่ประเทศไทยไม่มีความสุขที่แท้จริง เพราะฉะนั้นอยู่ที่พวกเราทุกคนที่จะช่วยกันทำ ไม่ใช่ตนคนเดียว อย่างดาราที่มาวันนี้เขาก็ไม่แต่งตัวโป๊ เราต้องแต่งตัวให้ดูดี แต่งชุดไทยบ้างก็สวยดี สำหรับการแสดงก็ว่ากันไป คนที่ดูก็ชินแล้ว มันต้องเป็นแบบนี้คนถึงจะดู แต่ความจริงทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นวัฒนธรรมไทย ไปเปิดดูเกาหลีทำไมเขาไม่แต่งโป๊ ก็ถือว่าแปลกนะ บางครั้งเขาแทบไม่จูบกันเลย

-
 "ไอ้ตูบ"  เห่าต่อตนบอกแล้วว่าผู้หญิงเปรียบเสมือนทอฟฟี่หรือขนมหวานที่ต้องมีห่อ หากเราเอาขนมมาขายแล้วเปิดห่อทั้งหมดก็คงไม่มีใครอยากกิน มันต้องอยู่ในห่อแล้วจะน่าสนใจ พอเห็นแล้วน่ากินจึงค่อยเปิดดู ส่วนที่เปิดหมดแล้วมันก็ไม่น่าสนใจ ส่วนคนที่ไม่เปิดก็โชคดีไป 

-
สมองมึงคิดได้แค่นี้ งั้นหรือ  "ไอ้ตูบ"

-
ทหารอย่างพวกมึงก็คิดจะปกครอง ด้วยอำนาจจากปากกระบอกปืนก้เท่านั้น  อ้างศักศรี ความเผ็นลูกผู้ชายตลอดเวลา แม้กระทั้งยิงคน มือเปล่า แบบไม่มีทางสู้ อย่างกรณี ราชประสงค์ปี 53  

-
นี้หรือวิธีคิดของ  "ไอ้ตูบ"  กูว่ามึงยิ่งกว่าหน้าตัวเมีย ควรไปหาผ้าถุงใส่จะเหมาะกว่าเครื่องแบบทหาร 

-
ส่วนเรื่อง เปรียบผู้หญิงเป็น ทอฟฟี่  นั้นยิ่งแสดงให้เห็นว่า  สมองมึงมองเพศแม่อย่างไร  คิดแต่แค่ ซื้อขาย มองเพศแม่เหมือนขนมหวาน 

-
ถุย.............. "ไอ้ตูบ" ประยุทธ์ จันทรโอชา  

-
เสรีชน


หากการปิดตา- หู- ปาก ของประชาชน แล้ว ทรราช คสช. คิดว่านั้นคือการทำประชามติ แล้วล่ะก็..............ผิด

หากการปิดตา- หู- ปาก ของประชาชน แล้ว ทรราช คสช. คิดว่านั้นคือการทำประชามติ แล้วล่ะก็ .ทรราช คสช. คิดผิดแล้ว เพราะนั้นคือการ มัดมือชก ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของประเทศ ให้ยอมรับ รัฐธรรมนูญโจร ต่างหากเล่า 

-----------------------------------------------------

"วัฒนา"ย้ำคสช.ควรเปิดพื้นที่ให้วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ
-

นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์เฟซบุ๊ค Watana Muangsook หัวข้อ "ผมก็ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ" โดยมีเนื้อหาดังนี้
-

ผมไม่สบายใจกับท่าทีของนายกรัฐมนตรีที่แสดงอารมณ์หงุดหงิด กรณีพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญและขอให้ คสช. เปิดเผยแนวทางหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ สอดรับกับท่าทีของ ผบ.ทบ. ที่แสดงการข่มขู่กลุ่มการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหว
-

ไทยเป็นสังคมนิติรัฐหรือสังคมที่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการปกครอง เมื่อ คสช. ยึดอำนาจและประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 คสช. ย่อมเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดหรือเป็น "รัฏฐาธิปัตย์" แต่เมื่อ คสช. ได้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญเพื่อใช้ปกครองประเทศชั่วคราวจนกว่าจะได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือการที่ คสช. ยอมตนที่จะอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 แล้ว รัฐธรรมนูญย่อมเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่ทุกคนซึ่งรวมถึง คสช. จะต้องให้ความเคารพและปฏิบัติตาม
-

ประเทศไทยอยู่ในขั้นตอนการนำร่างรัฐธรรมนูญให้ประชาชนออกเสียงประชามติ ทุกฝ่ายรวมถึงพรรคการเมืองมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นทั้งสนับสนุนและคัดค้านต่อร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนประชาชนก็มีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ จึงไม่มีประเด็นถกเถียงว่าเป็นอำนาจของใคร
-

นอกจากนี้การที่นายกรัฐมนตรีแสดงความมั่นใจว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติ หรือการที่ ผบ.ทบ. แสดงความเห็นว่าพรรคการเมืองที่คัดค้านรัฐธรรมนูญคือการไม่ให้เกียรติประชาชน หรือรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะนำพาประเทศชาติเดินไปข้างหน้าได้ คือการแสดงออกในเชิงสนับสนุนซึ่งก็ถือเป็นสิทธิของท่าน ส่วนผมหรือพรรคการเมืองที่ไม่เห็นด้วยก็ย่อมมีสิทธิที่จะแสดงออกได้เช่นเดียวกับท่านที่เป็นฝ่ายสนับสนุน
-

ผมยังยืนยันที่จะมีความเห็นต่อไปเพราะเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ หาใช่เป็นการสร้างความขัดแย้งหรือเป็นขาประจำอยากลองดี เพื่อให้มีคุณสมบัติเข้ารับการอบรมในหลักสูตรของ คสช. แต่อย่างใดไม่
-

การแสดงความคิดเห็นหรือการแถลงจุดยืนของพรรคการเมืองต่อร่างรัฐธรรมนูญ เป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่มาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวบัญญัติรับรองไว้ การที่ คสช. ให้สัมภาษณ์ทำนองว่าจะนำผู้ฝ่าฝืนมาเข้าในหลักสูตรการฝึกอบรมผู้นำการสร้างชาติอย่างสร้างสรรค์ จึงมีลักษณะเป็นการข่มขู่เพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งนอกจากจะขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนแล้วยังขัดกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ คสช. เป็นผู้ขอพระราชทานมาใช้บังคับเองอีกด้วย ปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจบนข้อมูลที่ครบถ้วนดีกว่ามั้ยครับ ก็เพิ่งสำรวจพบรัฐบาลได้รับคะแนนนิยมสูงถึงร้อยละ 99.5 แบบนี้ยังจะกลัวอะไรอีก

-
วัฒนา เมืองสุข
พรรคเพื่อไทย
13 เมษายน 2559




หากการปิดตา- หู- ปาก ของประชาชน แล้ว ทรราช คสช. คิดว่านั้นคือการทำประชามติ แล้วล่ะก็..............ผิด

หากการปิดตา- หู- ปาก ของประชาชน แล้ว ทรราช คสช. คิดว่านั้นคือการทำประชามติ แล้วล่ะก็ .ทรราช คสช. คิดผิดแล้ว เพราะนั้นคือการ มัดมือชก ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของประเทศ ให้ยอมรับ รัฐธรรมนูญโจร ต่างหากเล่า 

-----------------------------------------------------

"วัฒนา"ย้ำคสช.ควรเปิดพื้นที่ให้วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ
-

นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์เฟซบุ๊ค Watana Muangsook หัวข้อ "ผมก็ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ" โดยมีเนื้อหาดังนี้
-

ผมไม่สบายใจกับท่าทีของนายกรัฐมนตรีที่แสดงอารมณ์หงุดหงิด กรณีพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญและขอให้ คสช. เปิดเผยแนวทางหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ สอดรับกับท่าทีของ ผบ.ทบ. ที่แสดงการข่มขู่กลุ่มการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหว
-

ไทยเป็นสังคมนิติรัฐหรือสังคมที่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการปกครอง เมื่อ คสช. ยึดอำนาจและประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 คสช. ย่อมเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดหรือเป็น "รัฏฐาธิปัตย์" แต่เมื่อ คสช. ได้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญเพื่อใช้ปกครองประเทศชั่วคราวจนกว่าจะได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือการที่ คสช. ยอมตนที่จะอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 แล้ว รัฐธรรมนูญย่อมเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่ทุกคนซึ่งรวมถึง คสช. จะต้องให้ความเคารพและปฏิบัติตาม
-

ประเทศไทยอยู่ในขั้นตอนการนำร่างรัฐธรรมนูญให้ประชาชนออกเสียงประชามติ ทุกฝ่ายรวมถึงพรรคการเมืองมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นทั้งสนับสนุนและคัดค้านต่อร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนประชาชนก็มีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ จึงไม่มีประเด็นถกเถียงว่าเป็นอำนาจของใคร
-

นอกจากนี้การที่นายกรัฐมนตรีแสดงความมั่นใจว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติ หรือการที่ ผบ.ทบ. แสดงความเห็นว่าพรรคการเมืองที่คัดค้านรัฐธรรมนูญคือการไม่ให้เกียรติประชาชน หรือรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะนำพาประเทศชาติเดินไปข้างหน้าได้ คือการแสดงออกในเชิงสนับสนุนซึ่งก็ถือเป็นสิทธิของท่าน ส่วนผมหรือพรรคการเมืองที่ไม่เห็นด้วยก็ย่อมมีสิทธิที่จะแสดงออกได้เช่นเดียวกับท่านที่เป็นฝ่ายสนับสนุน
-

ผมยังยืนยันที่จะมีความเห็นต่อไปเพราะเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ หาใช่เป็นการสร้างความขัดแย้งหรือเป็นขาประจำอยากลองดี เพื่อให้มีคุณสมบัติเข้ารับการอบรมในหลักสูตรของ คสช. แต่อย่างใดไม่
-

การแสดงความคิดเห็นหรือการแถลงจุดยืนของพรรคการเมืองต่อร่างรัฐธรรมนูญ เป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่มาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวบัญญัติรับรองไว้ การที่ คสช. ให้สัมภาษณ์ทำนองว่าจะนำผู้ฝ่าฝืนมาเข้าในหลักสูตรการฝึกอบรมผู้นำการสร้างชาติอย่างสร้างสรรค์ จึงมีลักษณะเป็นการข่มขู่เพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งนอกจากจะขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนแล้วยังขัดกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ คสช. เป็นผู้ขอพระราชทานมาใช้บังคับเองอีกด้วย ปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจบนข้อมูลที่ครบถ้วนดีกว่ามั้ยครับ ก็เพิ่งสำรวจพบรัฐบาลได้รับคะแนนนิยมสูงถึงร้อยละ 99.5 แบบนี้ยังจะกลัวอะไรอีก

-
วัฒนา เมืองสุข
พรรคเพื่อไทย
13 เมษายน 2559




Tuesday, April 12, 2016

สารจาก ดร. ทักษิณ ชินวัตร

สารจาก ดร. ทักษิณ ชินวัตร
-
13 เมษายน 2559
-
ประเพณีสงกรานต์ถือเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมายาวนาน เป็นช่วงเวลาที่คนไทยทุกครอบครัวจะได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน และสานความสัมพันธ์ร่วมกัน
-
ทุกวันนี้โครงสร้างประชากรของไทยเรากำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มขั้นในปี พ.ศ.2570 ที่จะมีคนสูงวัยมากกว่าคนวัยทำงาน ขณะเดียวกัน เยาวชนคนรุ่นใหม่ก็ต้องเป็นหลักให้พึ่งพิงมากขึ้นทั้งในเรื่องการศึกษาและการทำงาน ดังนั้นเราควรจะต้องแสวงหาวิธีที่อยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นของคนสองวัย การอยู่ร่วมกันระหว่างเทคโนโลยีรุ่นใหม่และภูมิปัญญาประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สืบต่อกันมา
-
ในวาระเทศกาลสงกรานต์ที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้านี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ใหญ่ก็จะได้เรียนรู้วิถีชีวิตและความคิดของเด็กรุ่นใหม่ และลูกหลานเองก็จะได้ใช้เวลาในการขอขมาในสิ่งที่ผิดพลั้งไปและรับฟังคำสอนที่ดีๆของผู้ที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีร่วมกัน เห็นอกเห็นใจกัน ทำให้สังคมต่างวัยอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขและก้าวหน้า
-
สงกรานต์ปีนี้ผมขออวยพรให้ทุกท่าน เริ่มต้นปีใหม่ไทยด้วยความรัก ความเข้าใจ และความหวังดีต่อกัน เพื่อผ่านพ้นความยากลำบากต่างๆที่เข้ามาในชีวิตและประสบแต่ความสุขความเจริญไปด้วยกันครับ
-
รักและห่วงใยพี่น้องไทยเสมอ
ดร. ทักษิณ ชินวัตร


สารจาก ดร. ทักษิณ ชินวัตร

สารจาก ดร. ทักษิณ ชินวัตร
-
13 เมษายน 2559
-
ประเพณีสงกรานต์ถือเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมายาวนาน เป็นช่วงเวลาที่คนไทยทุกครอบครัวจะได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน และสานความสัมพันธ์ร่วมกัน
-
ทุกวันนี้โครงสร้างประชากรของไทยเรากำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มขั้นในปี พ.ศ.2570 ที่จะมีคนสูงวัยมากกว่าคนวัยทำงาน ขณะเดียวกัน เยาวชนคนรุ่นใหม่ก็ต้องเป็นหลักให้พึ่งพิงมากขึ้นทั้งในเรื่องการศึกษาและการทำงาน ดังนั้นเราควรจะต้องแสวงหาวิธีที่อยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นของคนสองวัย การอยู่ร่วมกันระหว่างเทคโนโลยีรุ่นใหม่และภูมิปัญญาประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สืบต่อกันมา
-
ในวาระเทศกาลสงกรานต์ที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้านี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ใหญ่ก็จะได้เรียนรู้วิถีชีวิตและความคิดของเด็กรุ่นใหม่ และลูกหลานเองก็จะได้ใช้เวลาในการขอขมาในสิ่งที่ผิดพลั้งไปและรับฟังคำสอนที่ดีๆของผู้ที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีร่วมกัน เห็นอกเห็นใจกัน ทำให้สังคมต่างวัยอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขและก้าวหน้า
-
สงกรานต์ปีนี้ผมขออวยพรให้ทุกท่าน เริ่มต้นปีใหม่ไทยด้วยความรัก ความเข้าใจ และความหวังดีต่อกัน เพื่อผ่านพ้นความยากลำบากต่างๆที่เข้ามาในชีวิตและประสบแต่ความสุขความเจริญไปด้วยกันครับ
-
รักและห่วงใยพี่น้องไทยเสมอ
ดร. ทักษิณ ชินวัตร


ขันแดงแสลงใจ

ขันแดงแสลงใจ

คอลัมน์ : ถนนประชาธิปไตย
ผู้เขียน : สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ภายใต้บริบทของรัฐบาลเผด็จการทหารสุดขั้วของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นคือเรื่อง "ขันแดง" ที่จะนำมาสู่การคลายร้อนในเทศกาลสงกรานต์ 2559 นี้

เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ลงภาพข่าวและข้อความบรรยายในหน้า 1 ถึงสตรีคนหนึ่งถ่ายรูปคู่กับขันสีแดงและเขียนบรรยายภาพว่า "สงกรานต์ม๋วนใจ๋ ชาวบ้านใน จ.เชียงใหม่ ยิ้มปลื้มอวดขันน้ำสีแดงที่เขียนคำอวยพร "สวัสดีสงกรานต์ปีใหม่ไทย 2559" จากนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีแจกไปในชุมชนต่างๆให้ชาวบ้านได้ใช้สาดน้ำเล่นสงกรานต์ที่จะมีการจัดงานประหยัดน้ำเล่นสงกรานต์หรือปีใหม่เมืองเจียงใหม่" และมีภาพอดีตนายกฯทักษิณและยิ่งลักษณ์แสดงท่าสวัสดี

กล่าวกันว่าภาพนี้ทำให้ผู้นำทหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เกิดการแสลงใจ ดังนั้น ในบ่ายวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 33 จึงได้ควบคุมตัวธีรวรรณ เจริญสุข ชาวบ้านสันกำแพงที่อยู่ในภาพ ไปฝากขังที่ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ โดยแจ้งข้อหาว่าแสดงภาพขันน้ำขัดความมั่นคง และจะนำตัวไปขึ้นศาลทหารตามมาตรา 116 ประกอบประกาศ คสช. ฉบับที่ 37

แม้ต่อมาธีรวรรณจะได้รับการประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 100,000 บาท แต่ในวันที่ 30 มีนาคม เจ้าหน้าที่ทหารก็ได้เรียกตัวนายชัยพินธ์ ขัติยะ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐภาคเหนือ ไปพูดคุยทำความเข้าใจในค่ายกาวิละ โดยอธิบายว่าเรื่องขันสีแดงนี้มี "ความละเอียดอ่อน" การนำเสนอข่าวอาจสร้างความแตกแยก และพยายามถามหาผู้ถ่ายภาพดังกล่าว จนผู้สื่อข่าวไทยรัฐต้องอธิบายว่าภาพนี้นำมาจากโซเชียลมีเดีย และการเสนอข่าวก็ไม่ได้มีนัยทางการเมือง เพียงแต่จะทำข่าวรณรงค์ให้ประหยัดน้ำในช่วงสงกรานต์เท่านั้น

ความจริงต้องถือว่าการดำเนินการเช่นนี้ของ คสช. เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมอย่างยิ่ง เพราะตามมาตรา 116 ที่อ้าง อธิบายความผิดไว้ว่า ต้องเป็นการกระทำที่จะก่อให้เกิด "การเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย รัฐบาล ด้วยการใช้กำลัง ข่มขืนใจ หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนจนสร้างความไม่สงบขึ้นในประเทศ หรือทำให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแต่อย่างใด"

แต่เรื่องขันสีแดงไม่มีลักษณะเช่นนั้นเลย กรณีนี้จึงเป็นที่วิจารณ์ในทางตลกขบขันในหลายสื่อว่า คณะทหารไทยวิตกจริตจนเกินเหตุ การดำเนินการดังกล่าวยิ่งทำให้กระบวนการทางกฎหมายไทยถูกมองว่ากลายเป็นสิ่งเหลวไหลมากยิ่งขึ้น

แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้ยุติลง เพราะวันที่ 3 เมษายน คณะทหารจากมณฑลทหารบกที่ 38 และเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองน่าน พากันไปตรวจค้นบ้านที่ อ.เมือง ของนางสิรินทร รามสูต อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยอ้างว่า ได้สืบทราบว่าที่บ้านหลังดังกล่าวมีขันสีแดงที่มีข้อความและลายเซ็นของอดีตนายกฯทักษิณไว้ในครอบครอง จึงได้มีการตรวจค้นและยึดขันน้ำสีแดงได้รวมทั้งสิ้น 8,862 ใบ จากนั้นได้ไปตรวจค้นสำนักงานที่ อ.ปัว ของนายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยึดขันสีแดงได้ 1,100 ใบ และค้นสำนักงานของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ อ.เวียงสา ยึดขันแดงได้อีก 1,500 ใบ โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าขันน้ำสีแดงทั้งหมดเข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงของชาติ

น่าจะเป็นเพราะการจับกุมและยึดขันน้ำสีแดงของฝ่ายเจ้าหน้าที่ทั้งหมดอ้างกฎหมายตามอำเภอใจและไม่เห็นเป็นความผิดที่ชัดเจน ในวันที่ 3 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์จึงอธิบายกรณีนี้โดยโยงเข้ากับศาสนาว่า "บางกรณีที่อาจไม่เข้าข่ายความผิดก็ต้องไปตรวจสอบถึงเจตนาของผู้แจก ซึ่งเห็นว่าการกระทำบางอย่างควรจะละอายต่อบาปหรือมีหิริโอตตัปปะ แม้จะนับถือพระพุทธศาสนาก็ไม่ควรจะเลือกถือศีลบางข้อ ควรยึดถือและปฎิบัติทุกข้อ" แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้กล่าวเลยว่าการมีขันสีแดงในครอบครองเป็นบาปอย่างไร ยิ่งทำให้หลักเหตุผลดูไร้สาระมากขึ้น เพราะเรื่องบาปกับเรื่องผิดกฎหมายไม่อาจถือเป็นเรื่องเดียวกันได้เลยในทางนิติธรรม

กรณีเรื่องการจับกุมขันสีแดง เมื่อพิจารณาร่วมกับเรื่องอื่นที่ คสช. กระทำ เช่น การจับนักการเมืองที่เห็นต่างไปปรับทัศนคติ หรือความพยายามที่จะใช้กฎหมายไปจับกุมผู้ที่แสดงทัศนคติคัดค้านรัฐธรรมนูญ ยิ่งเป็นการย้ำถึงความไร้หลักการและไร้เหตุผลของกลุ่มทหารที่ปกครองบ้านเมือง

แต่ที่น่าแปลกใจคือ ในความไร้เหตุผลเช่นนี้ พวกอนุรักษ์นิยมและกลุ่มเหลืองสลิ่มยังหลับตาอธิบายความชอบธรรมของการรัฐประหารและสร้างกระแสเชียร์รัฐธรรมนูญฉบับมีชัยอย่างไร้เหตุผล

บทความนี้ขอจบด้วยบทกวี "กลุ่มอาการขันแตก" ของเกษียร เตชะพีระ คือ

"อำนาจยิ่งแผ่กว้างถ่างแขนขา

ถึงขันน้ำกะโหลกกะลาไม่ปราศรัย

ชูสามนิ้วแซนด์วิชมันผิดใจ

สั่งกรีธาทัพไปทุกมณฑล

คือนิยามสิ่งต่างต่างกว้างทุกทิศ

นี่ก็ผิดนั่นก็ผิดทุกแห่งหน

การต่อต้านพาลง่ายคล้ายเล่นกล

ศัตรูปรากฏตนไม่หยุดเอย"



ขันแดงแสลงใจ

ขันแดงแสลงใจ

คอลัมน์ : ถนนประชาธิปไตย
ผู้เขียน : สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ภายใต้บริบทของรัฐบาลเผด็จการทหารสุดขั้วของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นคือเรื่อง "ขันแดง" ที่จะนำมาสู่การคลายร้อนในเทศกาลสงกรานต์ 2559 นี้

เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ลงภาพข่าวและข้อความบรรยายในหน้า 1 ถึงสตรีคนหนึ่งถ่ายรูปคู่กับขันสีแดงและเขียนบรรยายภาพว่า "สงกรานต์ม๋วนใจ๋ ชาวบ้านใน จ.เชียงใหม่ ยิ้มปลื้มอวดขันน้ำสีแดงที่เขียนคำอวยพร "สวัสดีสงกรานต์ปีใหม่ไทย 2559" จากนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีแจกไปในชุมชนต่างๆให้ชาวบ้านได้ใช้สาดน้ำเล่นสงกรานต์ที่จะมีการจัดงานประหยัดน้ำเล่นสงกรานต์หรือปีใหม่เมืองเจียงใหม่" และมีภาพอดีตนายกฯทักษิณและยิ่งลักษณ์แสดงท่าสวัสดี

กล่าวกันว่าภาพนี้ทำให้ผู้นำทหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เกิดการแสลงใจ ดังนั้น ในบ่ายวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 33 จึงได้ควบคุมตัวธีรวรรณ เจริญสุข ชาวบ้านสันกำแพงที่อยู่ในภาพ ไปฝากขังที่ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ โดยแจ้งข้อหาว่าแสดงภาพขันน้ำขัดความมั่นคง และจะนำตัวไปขึ้นศาลทหารตามมาตรา 116 ประกอบประกาศ คสช. ฉบับที่ 37

แม้ต่อมาธีรวรรณจะได้รับการประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 100,000 บาท แต่ในวันที่ 30 มีนาคม เจ้าหน้าที่ทหารก็ได้เรียกตัวนายชัยพินธ์ ขัติยะ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐภาคเหนือ ไปพูดคุยทำความเข้าใจในค่ายกาวิละ โดยอธิบายว่าเรื่องขันสีแดงนี้มี "ความละเอียดอ่อน" การนำเสนอข่าวอาจสร้างความแตกแยก และพยายามถามหาผู้ถ่ายภาพดังกล่าว จนผู้สื่อข่าวไทยรัฐต้องอธิบายว่าภาพนี้นำมาจากโซเชียลมีเดีย และการเสนอข่าวก็ไม่ได้มีนัยทางการเมือง เพียงแต่จะทำข่าวรณรงค์ให้ประหยัดน้ำในช่วงสงกรานต์เท่านั้น

ความจริงต้องถือว่าการดำเนินการเช่นนี้ของ คสช. เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมอย่างยิ่ง เพราะตามมาตรา 116 ที่อ้าง อธิบายความผิดไว้ว่า ต้องเป็นการกระทำที่จะก่อให้เกิด "การเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย รัฐบาล ด้วยการใช้กำลัง ข่มขืนใจ หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนจนสร้างความไม่สงบขึ้นในประเทศ หรือทำให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแต่อย่างใด"

แต่เรื่องขันสีแดงไม่มีลักษณะเช่นนั้นเลย กรณีนี้จึงเป็นที่วิจารณ์ในทางตลกขบขันในหลายสื่อว่า คณะทหารไทยวิตกจริตจนเกินเหตุ การดำเนินการดังกล่าวยิ่งทำให้กระบวนการทางกฎหมายไทยถูกมองว่ากลายเป็นสิ่งเหลวไหลมากยิ่งขึ้น

แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้ยุติลง เพราะวันที่ 3 เมษายน คณะทหารจากมณฑลทหารบกที่ 38 และเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองน่าน พากันไปตรวจค้นบ้านที่ อ.เมือง ของนางสิรินทร รามสูต อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยอ้างว่า ได้สืบทราบว่าที่บ้านหลังดังกล่าวมีขันสีแดงที่มีข้อความและลายเซ็นของอดีตนายกฯทักษิณไว้ในครอบครอง จึงได้มีการตรวจค้นและยึดขันน้ำสีแดงได้รวมทั้งสิ้น 8,862 ใบ จากนั้นได้ไปตรวจค้นสำนักงานที่ อ.ปัว ของนายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยึดขันสีแดงได้ 1,100 ใบ และค้นสำนักงานของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ อ.เวียงสา ยึดขันแดงได้อีก 1,500 ใบ โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าขันน้ำสีแดงทั้งหมดเข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงของชาติ

น่าจะเป็นเพราะการจับกุมและยึดขันน้ำสีแดงของฝ่ายเจ้าหน้าที่ทั้งหมดอ้างกฎหมายตามอำเภอใจและไม่เห็นเป็นความผิดที่ชัดเจน ในวันที่ 3 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์จึงอธิบายกรณีนี้โดยโยงเข้ากับศาสนาว่า "บางกรณีที่อาจไม่เข้าข่ายความผิดก็ต้องไปตรวจสอบถึงเจตนาของผู้แจก ซึ่งเห็นว่าการกระทำบางอย่างควรจะละอายต่อบาปหรือมีหิริโอตตัปปะ แม้จะนับถือพระพุทธศาสนาก็ไม่ควรจะเลือกถือศีลบางข้อ ควรยึดถือและปฎิบัติทุกข้อ" แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้กล่าวเลยว่าการมีขันสีแดงในครอบครองเป็นบาปอย่างไร ยิ่งทำให้หลักเหตุผลดูไร้สาระมากขึ้น เพราะเรื่องบาปกับเรื่องผิดกฎหมายไม่อาจถือเป็นเรื่องเดียวกันได้เลยในทางนิติธรรม

กรณีเรื่องการจับกุมขันสีแดง เมื่อพิจารณาร่วมกับเรื่องอื่นที่ คสช. กระทำ เช่น การจับนักการเมืองที่เห็นต่างไปปรับทัศนคติ หรือความพยายามที่จะใช้กฎหมายไปจับกุมผู้ที่แสดงทัศนคติคัดค้านรัฐธรรมนูญ ยิ่งเป็นการย้ำถึงความไร้หลักการและไร้เหตุผลของกลุ่มทหารที่ปกครองบ้านเมือง

แต่ที่น่าแปลกใจคือ ในความไร้เหตุผลเช่นนี้ พวกอนุรักษ์นิยมและกลุ่มเหลืองสลิ่มยังหลับตาอธิบายความชอบธรรมของการรัฐประหารและสร้างกระแสเชียร์รัฐธรรมนูญฉบับมีชัยอย่างไร้เหตุผล

บทความนี้ขอจบด้วยบทกวี "กลุ่มอาการขันแตก" ของเกษียร เตชะพีระ คือ

"อำนาจยิ่งแผ่กว้างถ่างแขนขา

ถึงขันน้ำกะโหลกกะลาไม่ปราศรัย

ชูสามนิ้วแซนด์วิชมันผิดใจ

สั่งกรีธาทัพไปทุกมณฑล

คือนิยามสิ่งต่างต่างกว้างทุกทิศ

นี่ก็ผิดนั่นก็ผิดทุกแห่งหน

การต่อต้านพาลง่ายคล้ายเล่นกล

ศัตรูปรากฏตนไม่หยุดเอย"



ชี้ผิดชี้ถูก 10 เมษ 59

ชี้ผิดชี้ถูก 10 เมษ 59

ไทยรัฐ เผยแผนยึดประเทศของ คสช.​ โดยยึดแนวจีน ตั้งแต่สิงหาคม 2557!!!!

"โปลิตบูโร" สูตรสำเร็จ คสช.

โดย สายล่อฟ้า 25 ส.ค. 2557 05:01
6,124 ครั้ง


วาระนี้ก็คือการรอลุ้นว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ที่คาดการณ์กันล่วงหน้าว่าจะเป็นคนนั้นคนนี้โดยเฉพาะจะมีทหารเข้ามาคุมงาน สำคัญๆก็ว่ากันไป

เอาเป็นว่ารอให้ถึงวันนั้นก็คงจะได้เห็นกันเอง อยู่ที่ว่าคลอดออกมาแล้วหน้าตาจะเป็นอย่างไรนั่นแหละสำคัญที่สุด

ที่ ว่าอย่างนี้ก็เพราะแม้ว่า คสช.จะมีอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ถ้ารัฐมนตรีที่ออกมามีเสียงร้อง "ยี้" การเริ่มต้นบริหารประเทศก็จะเกิดปัญหาในความเชื่อมั่นมากพอสมควร

จะตั้งใครก็ควรคิดหรือตัดสินใจให้รอบคอบเสียก่อน

โดย เฉพาะกระทรวงสำคัญด้านเศรษฐกิจซึ่งต้องยอมรับความจริงว่าต้องการผู้ชำนาญการ เข้ามาดูแล เพราะเศรษฐกิจไทยนั้นยังมีปัญหาค่อนข้างมากแม้พื้นฐานดีก็จริงแต่เนื่องจาก หลายปีที่ผ่านมานั้นตกต่ำลงไปมาก

กอปรกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นอย่างแท้จริงย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างแยกไม่ได้

อีก ตำแหน่งหนึ่งที่น่าจะต้องหาคนที่มีความรอบรู้จริง มีบารมีพอสมควรคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซึ่งจะต้องได้รับการ ยอมรับจากนานาชาติ

ทั้งนี้ก็คงเพราะประเทศไทยหลังจากที่ คสช.เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองได้เกิดปัญหาการยอมรับจากต่างประเทศเป็นต้น ว่า สหรัฐฯ และอียู แม้ว่าได้มีการทำความเข้าใจ ตลอดจนการชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็น ทำให้สถานการณ์และบรรยากาศดีขึ้นมาบ้าง

แต่เมื่อมีการตั้งรัฐบาลใหม่ แล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศถือเป็นตำแหน่งสำคัญอย่างน้อยก็รองจากนายกฯ หาก คสช.ตัดสินใจให้ "ทหาร" เข้ามาทำหน้าที่นี้ ก็คงไม่สอดรับกับสภาพความเป็นจริง

จึงน่าจะเป็น "พลเรือน" มากกว่า

ก็ลองคิดเรื่องนี้ให้ตกผลึกก็แล้วกัน

มา ว่ากันอีกเรื่องดีกว่า รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ออกมานั้นยังคงอำนาจ คสช.เอาไว้เต็มๆด้วยบทเรียนทางการเมืองที่ผ่านมาเมื่อหัวหน้าคณะปฏิวัติยึด อำนาจมาได้แล้วก็มีการตั้งรัฐบาลด้วยการยกตำแหน่งผู้นำรัฐบาลให้บุคคลอื่น

เท่ากับว่า "ขาลอย" ไปทันทีไม่สามารถควบคุมได้

แนวคิด ใหม่ก็คือการคงอำนาจ คสช.เอาไว้อย่างมั่นคง เพียงแต่ว่าจะวางฐานะเอาไว้ตรงไหน รวมถึงการให้หัวหน้า คสช.เข้าไปสวมตำแหน่งนายกฯอีกชั้นหนึ่งด้วย

การดำรงอยู่ของ คสช.จึงกลายสภาพเป็นการปกครองในลักษณะที่มีรัฐบาลอยู่ภายใต้การควบคุมของ คสช.อีกชั้นหนึ่ง

คือรูปแบบ "โปลิตบูโร" ที่คล้ายกับการปกครองของประเทศจีน

เริ่ม ต้นของ คสช.นั้นมีสมาชิก 6 คน คือ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าใหม่ มี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นรอง คสช. และ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ.เป็นเลขาธิการ คสช.

จากนั้นใน รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้วางกรอบให้ คสช.เพิ่มจำนวนได้เป็น 15 คน นัยว่าเพื่อรองรับนายทหารที่จะขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญแทน ผบ.เหล่าทัพที่จะต้องเกษียณอายุราชการพร้อมกันหมดทุกคนจึงนำบุคคลเหล่านี้ เข้ามาอยู่ใน คสช. ด้วย

เพื่อให้เกิดความมั่นคงในอำนาจอย่างแท้จริง เชื่อว่านอกจาก ผบ.เหล่าทัพแล้วน่าจะพ่วง ผบ.ตร. คนใหม่เข้ามาด้วย และมีข่าวว่าจะมีพลเรือนที่ชำนาญการด้านกฎหมายและเศรษฐกิจด้วย

รูป แบบการบริหารประเทศจึงมี คสช. เป็น "โปลิตบูโร" ที่ควบคุมการทำงานของรัฐบาลอีกชั้นหนึ่งไม่ใช่ทำหน้าที่ดูแลแค่ด้านความ มั่นคงเท่านั้น

แบบว่ารวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัว...ว่างั้นเถอะ.

"สายล่อฟ้า"

ภูฏาน ความยิ่งใหญ่ในความเล็ก (เครดิตจากไลน์)

ผมอยากให้ดูวิดีโอความยาวประมาณ18นาทีเศษที่นายกรัฐมนตรี ราชอาณาจักรภูฏาน Tshering Tobgay (เชอริ่ง ต๊อบเกย์) พูดเรื่องCarbon Neutral บนเวที TED Talks พูดได้ดีมากๆแบบที่เรียกว่า Amazing Speech ผมดูวิดีโอนี้ไปสองรอบประทับใจมาก ลองคลิกดูและผมจะมีสรุปสั้นๆให้อ่านถ้าไม่ถนัดภาษาอังกฤษ

ภูฏานเป็นประเทศเล็กๆตั้งบนเทือกเขาหิมาลัยถูกกระหนาบแบบแซนวิชจากจีนและอินเดีย ประเทศไม่ได้ร่ำรวยมีขนาด GDP น้อยกว่า 2พันล้านเหรียญอเมริกัน (เพิ่มเติมข้อมูล: ประชากรประมาณ 8แสนคน พื้นที 47,500 ตารางกิโลเมตรหรือน้อยกว่าสิบเปอร์เซ็นของประเทศไทย ขนาดGDP ประเทศไทยประมาณ 5แสนล้านเหรียญอเมริกัน) 
ภูฏานให้ความสำคัญกับความสุขมวลรวมประชาชาติ(GNH -Gross National Happiness) มากกว่า GDP ที่ภูฏานเรียนฟรีรักษาพยาบาลฟรี ภูฏาน เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยวัดวาอารามและพระที่มีความสุข(Happy Monks) พัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุดและไม่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พื้นที่ประเทศปกคลุมไปด้วยป่าไม้กว่า72%และประกาศที่จะรักษาป่าไม้ไว้ไม่ให้น้อยกว่า60% ภูฏานไม่ใช่เป็นแค่ประเทศปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์(Carbon Neutral)แต่เป็นคาร์บอนสุทธิเป็นลบ(Carbon Negative) เพราะผลิตไฟฟ้าจากแม่น้ำที่น้ำไหลเชี่ยว(Fast-Flowing Rivers)ที่ไม่ปลดปล่อยคาร์บอนทำให้จำนวนคาร์บอนสุทธิติดลบประมาณ2ล้านตัน แถมยังส่งออกไฟฟ้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ภูฏานช่วยปกป้องภาวะโลกร้อนแต่กลับโดนผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ธารน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อยๆจนเกิดน้ำท่วมรุนแรง ภูฏานทำโครงการอนุรักษ์ป่า สัตว์ป่า สร้างสวนธารณะเป็นปอดของชาวภูฏาน ค่าใช้จ่ายสูงมาก กษัตริย์จึงทำโครงการBhutan of Life ขึ้นเปิดรับการบริจาคจากบุคคลและองค์กร และได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่า เมื่อการประชุมที่กรุงโคเปนเฮเก้นขอเสนอการอนุรักษ์ภวะโลกร้อนของภูฏานไม่ได้รับความสนใจแต่เมื่อปลายปีที่แล้วในการประชุมที่ปารีสกลับได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม วันนี้ฝันจะขยายจากBhutan for Life ให้เป็น Earth for Life ข่วยกันระดมทุนปกป้องโลกเพื่อตัวเราเองลูกหลานและอนาคต ถึงเราจะแตกต่างเชื้อชาติกันแต่เราอาศัยอยู่ในโลกใบเดียวกัน
(บางตอนพูดถึงกษัตริย์ทีพระราชทานระบบประชาธิปไตยให้โดยประชาชนไม่ได้เรียกร้อง ประชาชนถอดถอนกษัตริย์ได้และกษัตริย์เกษียณอายุ65ปี กษัตริยฺพระองค์ที่แล้วสละราชสมบัติเมื่อพระชนมายุเพียง61พรรษา)
การเตรียมการพูดดีมากแต่งแต่การแต่งกายชุดประจำชาติเอามาโปรโมทได้ดีมาก การขอให้เพิ่มอุณหภูมิจากปกติสององศาทำให้รู้สึกร้อนขึ้น ใช้ภาพประกอบได้อย่างน่าสนใจ จังหวะการพูดการเน้นการลื่นไหลของเนื้อหาแทรกอารมณ์ขันทำได้ดีครับ

Monday, April 11, 2016

นักวิชาการชี้ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยลิดรอนเสรีภาพทางศาสนา

นักวิชาการชี้ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยลิดรอนเสรีภาพทางศาสนา

-
นายกิตติชัย จงไกรจักร ผู้ช่วยนักวิชาการปฏิรูปกฏหมาย สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายระบุว่า หลังการเผยแพร่เนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ปรากฏว่ามีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับมาตราที่คุ้มครองเสรีภาพในการนับถือศาสนา และการรับรองสถานะของพระพุทธศาสนาซึ่งไม่เคยปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับใดมาก่อน ซึ่งอาจส่งผลเป็นการลิดรอนเสรีภาพทางศาสนาได้หากร่างรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้

-
ทั้งนี้ เนื้อความของรัฐธรรมนูญสองมาตราที่มีปัญหา คือมาตราที่ 31 ว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงปลอดภัยของรัฐ และในมาตราที่ 67 ซึ่งเขียนให้รัฐมีหน้าที่ส่งเสริมการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ทั้งให้รัฐมีมาตรการปกป้องการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา
นายกิตติชัยระบุว่า เนื้อความในมาตราที่ 31 นั้น ถูกย่นย่อลงจากข้อความเดิมในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2535 โดยข้อบัญญัติที่ว่า "รัฐจะกระทำการอันเป็นการลิดรอนสิทธิ จากเหตุความเชื่อทางศาสนาไม่ได้" ซึ่งเป็นหลักประกันทางเสรีภาพด้านศาสนาที่มีอยู่เดิมได้หายไป ซึ่งตนไม่แน่ใจว่ารัฐจะมีหลักประกันทดแทนอย่างไร สำหรับผู้นับถือศาสนาที่ไม่เป็นไปในแนวทางของรัฐ ทั้งนี้ คิดว่าประชาชนควรยืนยันให้มีข้อความรับประกันเสรีภาพทางศาสนาในรัฐธรรมนูญ ตามที่มีมาตั้งแต่ในอดีต

-
นอกจากนี้ มาตราที่ 31 ได้มีการเพิ่มข้อบัญญัติว่าด้วยเสรีภาพในการปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อและศาสนาที่ยึดถือ โดยมีข้อแม้ว่า "ต้องไม่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงปลอดภัยของรัฐ" ซึ่งข้อความนี้มีความหมายที่กว้าง อาจเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจในสถาบันทางศาสนานำไปตีความ และอาจส่งผลกระทบต่อคนที่มีความเชื่อแตกต่างจากตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวล
นายกิตติชัยกล่าวอีกว่า สำหรับมาตราที่ 67 มีการตัดข้อความที่ระบุให้รัฐเสริมสร้างความสมานฉันท์ระหว่างศาสนา ซึ่งเคยมีอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ออก แต่กลับไปเน้นที่การอุปถัมภ์ "พระพุทธศาสนาเถรวาท" ซึ่งในกรณีนี้ ไม่เพียงเป็นการกำกับควบคุมความเชื่อและเลือกปฏิบัติต่อผู้นับถือศาสนาอื่น แต่ในหมู่พุทธบริษัทด้วยกัน นิกายอื่น ๆ จะถูกละเลย โดยเชื่อว่าการบัญญัติมาตรานี้อาจมาจากแรงกดดันให้มีการบัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติก็เป็นได้

-
"รัฐไม่ควรมีนโยบายด้านศาสนา เพราะในรัฐที่มีประชาธิปไตย มีหลักนิติธรรม ต้องให้ความคุ้มครองในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ส่วนเรื่องศาสนานั้นเป็นเสรีภาพของปัจเจก รัฐจะไปอุปถัมป์ศาสนาใดศาสนาหนึ่งไม่ได้ เพราะจะนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันในทางศาสนา และการเลือกปฏิบัติ" นายกิตติชัยกล่าว

-
ด้านภิกษุณีธัมมนันทา เจ้าอาวาสวัตรทรงธรรมกัลยาณี จ.นครปฐม ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า กลุ่มภิกษุณีคาดหวังว่ารัฐจะให้ความสนใจในเรื่องความเสมอภาค แต่ทันทีที่ไประบุว่าเป็นพุทธเถรวาท ก็มีนัยว่ารัฐจะมากำหนดทิศทางการนับถือศาสนาของคนในประเทศนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วความเชื่อทางศาสนาเป็นเสรีภาพที่กฏหมายอนุญาตเอาไว

-
ด้านนายสมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ประเด็นที่ตนให้ความสนใจคือ การตีความถึงคำว่า "เถรวาท" เป็นเถรวาทของสำนักไหนและเถรวาทฝ่ายไหนจะได้ประโยชน์ ซึ่งตนมองว่าอาจเป็นฝ่ายที่ใกล้ชิดกับรัฐ ซึ่งเรื่องนี้อาจนำมาสู่ปัญหาความแตกแยกทางศาสนาได้


Cr.BBC Thai


คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น

ภาพประกอบชวนขำกลิ้ง คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น คลังคำไทยที่มักสะกดผิด ภาษาไทยน...