Monday, June 20, 2016

ฆาตกรรมหมู่ใต้ร่มพระบารมี... ความจริงอันน่าเจ็บปวด

ส่วนหนึ่งของการบันทึกประวัติศาสตร์




เครดิต ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
May 16 · 

การปราบฆ่าประชาชนกลางกรุงเทพฯ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อ 4 ทศวรรษที่ผ่านมาเท่านั้น
เมื่อพิจารณาภาพรวมการเมืองไทยสมัยใหม่ จากปี 2475 ถึงปัจจุบัน รวม 84 ปี จัดแบ่งรัฐไทยได้เป็น 3 ช่วงแบบด้วยกัน (วิชาการเมืองไทยสมัยใหม่ TP101 Modern Thai Politics)

ช่วงแรก จากปี 2475-2490 สรุปได้ว่า เป็นการต่อสู้ปะทะกันระหว่างฝ่ายทหารและการเมืองของระบอบใหม่กับระบอบเก่า

ช่วงแรกนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างระบอบใหม่กับความพยายามยื้อเพื่อรักษาระบอบเก่า กองทัพของสองฝ่ายรบกันด้วยอาวุธ 1 ครั้งในคราวกบฏบวรเดช ตุลาคม 2476 ทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิต ขณะที่ถัดมานั้น กบฏที่ถูกจับได้ ถูกนำขึ้นศาลพิเศษ มีผู้ถูกพิพากษาประหารชีวิตจริง 1 คนในปี 2478 และประหาร 18 คนในคดีกบฏ 2482

ช่วงที่ 2 ระหว่างปี 2490-2516 ยุค 3 จอมพล คือ จอมพล ป. – จอมพลสฤษดิ์ – จอมพลถนอม
ยุคนี้หากเป็นการกบฏในกองทัพ เช่น กบฏเสนาธิการทหาร กบฏแมนฮัตตัน เห็นได้ว่า ทหารฝ่ายแพ้จะได้รับการปล่อยไป โดยให้ปลดออกจากกองทัพ

แต่ถ้าเป็นกบฏฝ่ายพลเรือน ทั้งฝ่ายปรีดี-คณะราษฎร ฝ่ายเสรีไทยในประเทศ จะถูกตามกำจัดด้วยวิธีการฆ่าทั้งอย่างเปิดเผยและลับด้วยกำลังของรัฐ เช่น นายทวี ตะเวทิกุล ถูกยิงทิ้งในจุดจับได้

การยิงตายในรถขังของตำรวจ กรณี 4 ส.ส. และรัฐมนตรี เมื่อ 4 มีนาคม 2492 ที่ถนนพหลโยธิน กม. 14-15 ใกล้ ม.เกษตร บางเขน ได้แก่ ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ส.ส. อุบลฯ นายถวิล อุดล ส.ส. ร้อยเอ็ด นายจำลอง ดาวเรือง ส.ส. มหาสารคาม ดร.ทองเปลว ชลภูมิ์ อาจารย์ มธก. อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ส.ส. ปราจีนบุรี

การฆ่ารัดคอและเผานั่งยาง นายเตียง ศิริขันธ์ ขุนพลเสรีไทยภูพาน ส.ส. สกลนคร กับเพื่อน เมื่อ 13 ธันวาคม 2495

การสั่งประหารชีวิตในที่สาธารณะอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร บ้านเกิดของตนเอง เมื่อ 31 พฤษภาคม 2504 ด้วยอำนาจตามมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ต่อนายครอง จันดาวงศ์ ส.ส. สกลนคร และเสรีไทยภูพาน และนายทองพันธ์ สุทธิมาศ ครูสกลนคร ผู้สมัคร ส.ส. สอบตก

นายจิตร ภูมิศักดิ์ ขณะอายุ 36 ปี ปัญญาชนปฏิวัติ ที่ถูกยิงตายที่ชายป่าเทือกภูพาน อำเภอวาริชภูมิ สกลนคร เมื่อ 5 พฤษภาคม 2509 เป็นหลักหมายสำคัญว่า รัฐไทยปรับการปราบฆ่าประชาชนลงสู่คนในท้องถิ่น ในนามข้อหาคอมมิวนิสต์ในทุกภาคของประเทศ ทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับ

ช่วงที่ 3 คือระยะ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา จากปี 2516 ถึงปัจจุบัน รัฐไทยใช้การปราบฆ่าประชาชนจำนวนมากกลางกรุงเทพฯ อย่างเปิดเผย ขณะที่วิธีการลอบฆ่าแบบรายบุคคลในแบบก่อนหน้านั้น ยังคงดำเนินเป็นปกติ

การปราบฆ่าประชาชนจำนวนมากอย่างเปิดเผยกลางกรุงเทพฯ 4 ครั้งในรอบ 4 ทศวรรษหลัง ได้แก่

1) 14 ตุลาคม 2516 กองทัพปราบประชาชนบนถนนราชดำเนิน ตาย 77 คน? บาดเจ็บ 857 คน

2) 6 ตุลาคม 2519 กองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนและตำรวจปราบประชาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตาย 46 คน? ถูกจับกุมเข้าคุก 3,154 คน ไม่มีการระบุจำนวนผู้บาดเจ็บ โดยกองทัพเข้ายึดอำนาจในวันเดียวกัน

3) พฤษภาคม 2535 กองทัพปราบประชาชนบนถนนราชดำเนิน ตาย 40 คน? บาดเจ็บ 600 คน

4) พฤษภาคม 2553 กองทัพปราบประชาชนที่สี่แยกราชประสงค์และถนนอีกหลายสายกลางกรุงเทพฯ ตาย 94 คน? บาดเจ็บกว่า 2,100 คน

ดังนั้น ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด คือ ในช่วง 4 ทศวรรษแรก รัฐไทยปราบผู้ต่อต้านทางการเมืองภายในกลุ่มที่จำกัด แต่ในช่วง 4 ทศวรรษหลัง รัฐไทยเผชิญหน้าและปราบฆ่าประชาชนจำนวนมากอย่างเปิดเผยเป็นสำคัญ

ด้วยพัฒนาการดังกล่าว กลุ่มอำนาจในระบบทั้งทหารตำรวจ และกลุ่มอำนาจในท้องถนน จึงพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่เห็นต่างหรือด้อยกว่าในทุกระดับของชีวิต เช่นกรณีกลุ่มคนหนุ่มรุมทำร้ายคนพิการถึงแก่ชีวิตกลางกรุงเทพฯ

จากทิศทางดังกล่าว ท่านเชื่อหรือไม่ว่า จะเกิดเหตุการณ์ปราบฆ่าประชาชนอย่างเปิดเผยบนถนนกลางกรุงเทพฯอีกครั้งภายใน 10 ปีข้างหน้านี้ ตามสถิติที่มีมา 4 ครั้งก่อนหน้านี้แล้ว? หรือว่าจะไม่มีความรุนแรงในระดับรัฐไทยกลางกรุงเทพฯ อีกต่อไป?

ที่มาเบื้องต้น: 
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. ประวัติการเมืองไทย 2475-2500. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการ
ตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2551.

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. บรรณาธิการ. จาก 14 ถึง 6 ตุลา. พิมพ์ครั้งที่ 3. 
กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2544.

ความจริงเพื่อความยุติธรรม: เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา – พฤษภา 53. 
กรุงเทพฯ: ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย. – พ.ค. 53, 2555.

ครูครอง จันดาวงษ์. ไม่ระบุที่พิมพ์. 2543.

เครก เจ. เรย์โนลด์ส. (Craig J. Reynolds). เจ้าสัว ขุนศึก ศักดินา ปัญญาชน และคนสามัญ. 
บรรณาธิการแปล วารุณี โอสถารมย์. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2550.

Believe it or not?
บันทึกไว้ Tue.อ. 17 May.พฤษภา 2016/2557 ชั่วโมงที่ 18 ของวันที่ lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll l/61 220714 Cllll lllll70/Rubber Stamp C lllll lllll lllll lll/l 89Fisc l ll/l 93TyPM l/l 95TyPMS lllll l 101 MiliDictGov. /llll lllll lllll lllll lllll lllll lllll l/l6Oct.38Ys lll llll/l14Oct.41Ys lllll/150 lllll lllll lllll lllll lllll lllll/180 lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lll/223 31Dec l/2015 l lllll lllll lllll lllll l/23JanYing lll/Daniel Russel 26Jan l lllll255 lllll lllll lllll270 lllll lllll lllll lllll lllll lllll/300 lllll lllll lllll lllll/320 lllll lllll lllll lllll lllll lllll/350 lllll lllll lllll/365 lllll lllll lllll lllll lllll/390 lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll/450 lllll lllll lllll lllll lllll lllll/480 lllll lllll lllll lllll/500 lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll/550 lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll/600 lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll/700 lllll lllll lllll lllll lllll ของ ค-ม-ร-ส-ช.

ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์'s photo.
LikeShow more reactions
CommentShare

ฆาตกรรมหมู่ใต้ร่มพระบารมี... ความจริงอันน่าเจ็บปวด

ส่วนหนึ่งของการบันทึกประวัติศาสตร์




เครดิต ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
May 16 · 

การปราบฆ่าประชาชนกลางกรุงเทพฯ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อ 4 ทศวรรษที่ผ่านมาเท่านั้น
เมื่อพิจารณาภาพรวมการเมืองไทยสมัยใหม่ จากปี 2475 ถึงปัจจุบัน รวม 84 ปี จัดแบ่งรัฐไทยได้เป็น 3 ช่วงแบบด้วยกัน (วิชาการเมืองไทยสมัยใหม่ TP101 Modern Thai Politics)

ช่วงแรก จากปี 2475-2490 สรุปได้ว่า เป็นการต่อสู้ปะทะกันระหว่างฝ่ายทหารและการเมืองของระบอบใหม่กับระบอบเก่า

ช่วงแรกนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างระบอบใหม่กับความพยายามยื้อเพื่อรักษาระบอบเก่า กองทัพของสองฝ่ายรบกันด้วยอาวุธ 1 ครั้งในคราวกบฏบวรเดช ตุลาคม 2476 ทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิต ขณะที่ถัดมานั้น กบฏที่ถูกจับได้ ถูกนำขึ้นศาลพิเศษ มีผู้ถูกพิพากษาประหารชีวิตจริง 1 คนในปี 2478 และประหาร 18 คนในคดีกบฏ 2482

ช่วงที่ 2 ระหว่างปี 2490-2516 ยุค 3 จอมพล คือ จอมพล ป. – จอมพลสฤษดิ์ – จอมพลถนอม
ยุคนี้หากเป็นการกบฏในกองทัพ เช่น กบฏเสนาธิการทหาร กบฏแมนฮัตตัน เห็นได้ว่า ทหารฝ่ายแพ้จะได้รับการปล่อยไป โดยให้ปลดออกจากกองทัพ

แต่ถ้าเป็นกบฏฝ่ายพลเรือน ทั้งฝ่ายปรีดี-คณะราษฎร ฝ่ายเสรีไทยในประเทศ จะถูกตามกำจัดด้วยวิธีการฆ่าทั้งอย่างเปิดเผยและลับด้วยกำลังของรัฐ เช่น นายทวี ตะเวทิกุล ถูกยิงทิ้งในจุดจับได้

การยิงตายในรถขังของตำรวจ กรณี 4 ส.ส. และรัฐมนตรี เมื่อ 4 มีนาคม 2492 ที่ถนนพหลโยธิน กม. 14-15 ใกล้ ม.เกษตร บางเขน ได้แก่ ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ส.ส. อุบลฯ นายถวิล อุดล ส.ส. ร้อยเอ็ด นายจำลอง ดาวเรือง ส.ส. มหาสารคาม ดร.ทองเปลว ชลภูมิ์ อาจารย์ มธก. อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ส.ส. ปราจีนบุรี

การฆ่ารัดคอและเผานั่งยาง นายเตียง ศิริขันธ์ ขุนพลเสรีไทยภูพาน ส.ส. สกลนคร กับเพื่อน เมื่อ 13 ธันวาคม 2495

การสั่งประหารชีวิตในที่สาธารณะอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร บ้านเกิดของตนเอง เมื่อ 31 พฤษภาคม 2504 ด้วยอำนาจตามมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ต่อนายครอง จันดาวงศ์ ส.ส. สกลนคร และเสรีไทยภูพาน และนายทองพันธ์ สุทธิมาศ ครูสกลนคร ผู้สมัคร ส.ส. สอบตก

นายจิตร ภูมิศักดิ์ ขณะอายุ 36 ปี ปัญญาชนปฏิวัติ ที่ถูกยิงตายที่ชายป่าเทือกภูพาน อำเภอวาริชภูมิ สกลนคร เมื่อ 5 พฤษภาคม 2509 เป็นหลักหมายสำคัญว่า รัฐไทยปรับการปราบฆ่าประชาชนลงสู่คนในท้องถิ่น ในนามข้อหาคอมมิวนิสต์ในทุกภาคของประเทศ ทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับ

ช่วงที่ 3 คือระยะ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา จากปี 2516 ถึงปัจจุบัน รัฐไทยใช้การปราบฆ่าประชาชนจำนวนมากกลางกรุงเทพฯ อย่างเปิดเผย ขณะที่วิธีการลอบฆ่าแบบรายบุคคลในแบบก่อนหน้านั้น ยังคงดำเนินเป็นปกติ

การปราบฆ่าประชาชนจำนวนมากอย่างเปิดเผยกลางกรุงเทพฯ 4 ครั้งในรอบ 4 ทศวรรษหลัง ได้แก่

1) 14 ตุลาคม 2516 กองทัพปราบประชาชนบนถนนราชดำเนิน ตาย 77 คน? บาดเจ็บ 857 คน

2) 6 ตุลาคม 2519 กองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนและตำรวจปราบประชาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตาย 46 คน? ถูกจับกุมเข้าคุก 3,154 คน ไม่มีการระบุจำนวนผู้บาดเจ็บ โดยกองทัพเข้ายึดอำนาจในวันเดียวกัน

3) พฤษภาคม 2535 กองทัพปราบประชาชนบนถนนราชดำเนิน ตาย 40 คน? บาดเจ็บ 600 คน

4) พฤษภาคม 2553 กองทัพปราบประชาชนที่สี่แยกราชประสงค์และถนนอีกหลายสายกลางกรุงเทพฯ ตาย 94 คน? บาดเจ็บกว่า 2,100 คน

ดังนั้น ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด คือ ในช่วง 4 ทศวรรษแรก รัฐไทยปราบผู้ต่อต้านทางการเมืองภายในกลุ่มที่จำกัด แต่ในช่วง 4 ทศวรรษหลัง รัฐไทยเผชิญหน้าและปราบฆ่าประชาชนจำนวนมากอย่างเปิดเผยเป็นสำคัญ

ด้วยพัฒนาการดังกล่าว กลุ่มอำนาจในระบบทั้งทหารตำรวจ และกลุ่มอำนาจในท้องถนน จึงพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่เห็นต่างหรือด้อยกว่าในทุกระดับของชีวิต เช่นกรณีกลุ่มคนหนุ่มรุมทำร้ายคนพิการถึงแก่ชีวิตกลางกรุงเทพฯ

จากทิศทางดังกล่าว ท่านเชื่อหรือไม่ว่า จะเกิดเหตุการณ์ปราบฆ่าประชาชนอย่างเปิดเผยบนถนนกลางกรุงเทพฯอีกครั้งภายใน 10 ปีข้างหน้านี้ ตามสถิติที่มีมา 4 ครั้งก่อนหน้านี้แล้ว? หรือว่าจะไม่มีความรุนแรงในระดับรัฐไทยกลางกรุงเทพฯ อีกต่อไป?

ที่มาเบื้องต้น: 
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. ประวัติการเมืองไทย 2475-2500. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการ
ตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2551.

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. บรรณาธิการ. จาก 14 ถึง 6 ตุลา. พิมพ์ครั้งที่ 3. 
กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2544.

ความจริงเพื่อความยุติธรรม: เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา – พฤษภา 53. 
กรุงเทพฯ: ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย. – พ.ค. 53, 2555.

ครูครอง จันดาวงษ์. ไม่ระบุที่พิมพ์. 2543.

เครก เจ. เรย์โนลด์ส. (Craig J. Reynolds). เจ้าสัว ขุนศึก ศักดินา ปัญญาชน และคนสามัญ. 
บรรณาธิการแปล วารุณี โอสถารมย์. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2550.

Believe it or not?
บันทึกไว้ Tue.อ. 17 May.พฤษภา 2016/2557 ชั่วโมงที่ 18 ของวันที่ lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll l/61 220714 Cllll lllll70/Rubber Stamp C lllll lllll lllll lll/l 89Fisc l ll/l 93TyPM l/l 95TyPMS lllll l 101 MiliDictGov. /llll lllll lllll lllll lllll lllll lllll l/l6Oct.38Ys lll llll/l14Oct.41Ys lllll/150 lllll lllll lllll lllll lllll lllll/180 lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lll/223 31Dec l/2015 l lllll lllll lllll lllll l/23JanYing lll/Daniel Russel 26Jan l lllll255 lllll lllll lllll270 lllll lllll lllll lllll lllll lllll/300 lllll lllll lllll lllll/320 lllll lllll lllll lllll lllll lllll/350 lllll lllll lllll/365 lllll lllll lllll lllll lllll/390 lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll/450 lllll lllll lllll lllll lllll lllll/480 lllll lllll lllll lllll/500 lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll/550 lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll/600 lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll/700 lllll lllll lllll lllll lllll ของ ค-ม-ร-ส-ช.

ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์'s photo.
LikeShow more reactions
CommentShare

วิษณุ..ปิดปากเงียบ.ปัดประเด็น..เจ้าสัว..บุญชัย..บ๊วยดีเอสไอสอบข้อเท็จจริง ดีกว่า

วิษณุ..ปิดปากเงียบ.ปัดประเด็น..เจ้าสัว..บุญชัย..บ๊วยดีเอสไอสอบข้อเท็จจริง ดีกว่า

20 มิ.ย. 59 เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายบุญชัย เบญจรงคกุล เจ้าสัวหมื่นล้าน ให้สัมภาษณ์เชิญชวนศิษย์วัดธรรมกายมาร่วมปฏิบัติธรรมครั้งยิ่งใหญ่ ถือว่าปลุกระดมหรือไม่ว่า ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตนคิดว่า ปล่อยให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พูดหน่วยเดียวดีกว่า คนอื่นพูดไปโดยไม่รู้ว่าเข้าข้างหรือไม่เข้าข้าง ยุยงส่งเสริม หรือสนับสนุน หรือสะใจ หรือไม่สะใจ ถ้าจะผิดขอให้ดีเอสไอเป็นฝ่ายดูข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าใครทำอะไรที่ผิดหรือไม่ คนอื่นอย่าพูดอะไร
       อาสาหาข่าว
           20/6/59

จะชั่วไปถึงไหน?? "แผน วิรินทร์ ๕๙"


"แผน วิรินทร์ ๕๙"

๑. ใช้ ม.๔๔ ประกาศวัดธรรมกาย ตั้งเป็น "เรือนจำพิเศษปทุมธานี" 
ทำประตูลูกกรงเหล็กปิดประตูทุกบาน พร้อมป้ายเรือนจำ 
๒. ตัดสาธารณูปโภคทุกชนิด คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า 
๓. ตั้งโต๊ะรอหน้าประตูทุกบาน ใช้ ตร.ยศหมู่หรือจ่านั่งประจำ 2 นาย คอยบริการทำสัญญาประกันตัว ไม่จำเป็นต้องใช้ระดับรองอธิบดีให้เปลืองงบประมาณแผ่นดิน 
๔. นั่งซดกาแฟรอไม่เกิน ๗ วัน จะมีคนทยอยคลานออกมามอบตัว 
๕. ใครอยากกลับบ้านให้ประกันตัว คนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ใครยินยอมวางเงินประกัน ๑๐๐,๐๐ บาท แถมค้อนสวรรค์ ๑ แท่งให้กลับบ้านไปเคาะกะโหลกตัวเอง

แผนนี้ ใช้งบประมาณน้อย ได้ผลแน่นอน ๑๐๐% แถมได้โบนัสฟรีๆ เป็นเรือนจำพิเศษกว้างใหญ่ สวยงามทันสมัยที่สุดในโลก

เครดิต ทนายวิรินทร์ ตันติพลาวนิชย์



จะชั่วไปถึงไหน?? "แผน วิรินทร์ ๕๙"


"แผน วิรินทร์ ๕๙"

๑. ใช้ ม.๔๔ ประกาศวัดธรรมกาย ตั้งเป็น "เรือนจำพิเศษปทุมธานี" 
ทำประตูลูกกรงเหล็กปิดประตูทุกบาน พร้อมป้ายเรือนจำ 
๒. ตัดสาธารณูปโภคทุกชนิด คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า 
๓. ตั้งโต๊ะรอหน้าประตูทุกบาน ใช้ ตร.ยศหมู่หรือจ่านั่งประจำ 2 นาย คอยบริการทำสัญญาประกันตัว ไม่จำเป็นต้องใช้ระดับรองอธิบดีให้เปลืองงบประมาณแผ่นดิน 
๔. นั่งซดกาแฟรอไม่เกิน ๗ วัน จะมีคนทยอยคลานออกมามอบตัว 
๕. ใครอยากกลับบ้านให้ประกันตัว คนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ใครยินยอมวางเงินประกัน ๑๐๐,๐๐ บาท แถมค้อนสวรรค์ ๑ แท่งให้กลับบ้านไปเคาะกะโหลกตัวเอง

แผนนี้ ใช้งบประมาณน้อย ได้ผลแน่นอน ๑๐๐% แถมได้โบนัสฟรีๆ เป็นเรือนจำพิเศษกว้างใหญ่ สวยงามทันสมัยที่สุดในโลก

เครดิต ทนายวิรินทร์ ตันติพลาวนิชย์



บทเรียน จากใต้เงาเผด็จการทหารพม่า โดย อาสา หาข่าว

บทเรียน เมียนมา วิถี ชัตดาวน์'แช่แข็ง' ฝันร้าย แต่'อดีต"

การมาเยือนประเทศไทยของ นางออง ซาน ซูจีระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน เป็นไปตาม "ปกติ" ในความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศ

เป็นการมาหลัง นายดอน ปรมัตถ์วินัย เดินทางไปเยือน ณ กรุงเนปิดอว์

เป็นการมาหลัง นายดอน ปรมัตถ์วินัย เชื้อเชิญให้ นายติน จ่อ นายกรัฐมนตรีคนใหม่แห่งเมียนมาเดินทางมาเป็นแขกของรัฐบาลไทย

เพียงแต่ในห้วงเวลานี้ นายติน จ่อ ยังไม่สะดวก

จึงได้มอบหมายให้ นางออง ซาน ซูจี มาในฐานะแห่ง "มุขมนตรีรัฐ" และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ แบกรับแทน

เป้าหมายใหญ่ๆ มี 2 ประการ

1 คือการร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน 1 บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน

จากนั้น ก็จะไปพบกับแรงงานเมียนมาที่จังหวัดสมุทรสาคร

ข้อน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งก็คือ นางออง ซาน ซูจี ยังมีกำหนดการเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่วังสระปทุม

ก่อนเดินทางไปศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหิน จังหวัดราชบุรี

การเดินทางไปเยือนมิตรประเทศในกลุ่มอาเซียนไม่เพียงแต่จะเป็น "ประเพณี" หากแต่ยังเป็น "ภาระหน้าที่" ที่รัฐบาลใหม่ในกลุ่มอาเซียน จักต้องปฏิบัติ

เหมือนที่ไปเยือนลาวเมื่อเดือนเมษายน

เหตุผลที่เลือกลาวเป็นประเทศแรก เพราะลาวอยู่ในสถานะอันเป็น "ประธาน" ภายในภาคีแห่งกลุ่มอาเซียน



จากนั้น ไทยก็เป็นประเทศที่ 2

อาจเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมากับไทยมี "แรงงาน" เป็นสะพานเชื่อมเรื่องแรงงานจึงได้รับการชูขึ้นสูงเด่น

ขณะเดียวกัน เนื่องจากนับแต่ JUNTA ได้มีการเผด็จอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะภายหลังการเลือกตั้งอันมากด้วยปัญหาในเดือนสิงหาคม 2531 เป็นต้นมา ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งเป็นอย่างสูง

ไม่เพียงแต่ชาวเมียนมาเท่านั้นจะลี้ภัยออกนอกประเทศ หากแต่ชนเผ่าน้อยจำนวนมากก็ได้รับแรงสะเทือนจากการกดขี่ ปราบปราม

"ศูนย์พักพิงชั่วคราว" บริเวณชายแดนจึงปรากฏขึ้นจำนวนมาก

เมื่อพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนขึ้นเป็นรัฐบาลแรกในรอบ 50 ปี

ภาระหน้าที่สำคัญก็คือ การเยียวยา บาดแผลจาก "อดีต"

ไม่ว่าในเรื่อง "แรงงาน" โดยเฉพาะที่รวมกันอยู่ ณ จังหวัดสมุทรสาคร ไม่ว่าในเรื่อง "ผู้ลี้ภัย" โดยเฉพาะชนเผ่ากะเหรี่ยงจำนวนเกือบ 10,000 คน

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องที่รัฐบาล NLD จักต้องชำระ สะสาง

ขณะเดียวกัน จากการแถลงของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับงานด้านเศรษฐกิจ ยอมรับว่าจะมีการเจรจาในเรื่องอันเกี่ยวกับความร่วมมือโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจทวาย

เพราะนี่คือ ผลประโยชน์ "ร่วม" อันทรงความหมาย

ไม่เพียงแต่รัฐบาลไทยเท่านั้นที่ต้องการเห็นความคืบหน้า หากกลุ่มอาเซียนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ เวียดนาม เป็นต้น ล้วนอยากเห็นพัฒนาการ

ยิ่งจีน ยิ่งญี่ปุ่น ยิ่งทอดตามองด้วยใจอันจดจ่อ

ความปรารถนาโดยพื้นฐานมิได้เป็นการเรียกร้องอะไร เพียงแต่ต้องการให้รัฐบาล นายติน จ่อ สานต่อจากที่รัฐบาล นายเต็ง เส่ง ริเริ่มไว้ก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งแล้ว

นี่คือเป้าหมายทาง "เศรษฐกิจ" อันสัมพันธ์กับ "การเมือง"

โลกยุคใหม่ โลกแห่งศตวรรษที่ 21 จึงเป็นโลกอันสะท้อนความเป็น "หมู่บ้าน" ใหญ่ ที่ดำรงอยู่อย่างมีการยึดโยงระหว่างกัน

การ "ปิดประเทศ" ของ JUNTA ในอดีตจึงเป็น "ฝันร้าย" การ "เปิดกว้าง" และเชื่อมสายสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและนานาชาติจึงเป็นความจำเป็นและต้องรักษาไว้อย่างเหนียวแน่น มั่นคง

บทเรียนการ "แช่แข็ง" ในยุคแห่ง JUNTA จึงไม่มีใครอยากหวนกลับไป
         อาสาหาข่าว
         ...20/6/59

บทเรียน จากใต้เงาเผด็จการทหารพม่า โดย อาสา หาข่าว

บทเรียน เมียนมา วิถี ชัตดาวน์'แช่แข็ง' ฝันร้าย แต่'อดีต"

การมาเยือนประเทศไทยของ นางออง ซาน ซูจีระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน เป็นไปตาม "ปกติ" ในความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศ

เป็นการมาหลัง นายดอน ปรมัตถ์วินัย เดินทางไปเยือน ณ กรุงเนปิดอว์

เป็นการมาหลัง นายดอน ปรมัตถ์วินัย เชื้อเชิญให้ นายติน จ่อ นายกรัฐมนตรีคนใหม่แห่งเมียนมาเดินทางมาเป็นแขกของรัฐบาลไทย

เพียงแต่ในห้วงเวลานี้ นายติน จ่อ ยังไม่สะดวก

จึงได้มอบหมายให้ นางออง ซาน ซูจี มาในฐานะแห่ง "มุขมนตรีรัฐ" และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ แบกรับแทน

เป้าหมายใหญ่ๆ มี 2 ประการ

1 คือการร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน 1 บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน

จากนั้น ก็จะไปพบกับแรงงานเมียนมาที่จังหวัดสมุทรสาคร

ข้อน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งก็คือ นางออง ซาน ซูจี ยังมีกำหนดการเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่วังสระปทุม

ก่อนเดินทางไปศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหิน จังหวัดราชบุรี

การเดินทางไปเยือนมิตรประเทศในกลุ่มอาเซียนไม่เพียงแต่จะเป็น "ประเพณี" หากแต่ยังเป็น "ภาระหน้าที่" ที่รัฐบาลใหม่ในกลุ่มอาเซียน จักต้องปฏิบัติ

เหมือนที่ไปเยือนลาวเมื่อเดือนเมษายน

เหตุผลที่เลือกลาวเป็นประเทศแรก เพราะลาวอยู่ในสถานะอันเป็น "ประธาน" ภายในภาคีแห่งกลุ่มอาเซียน



จากนั้น ไทยก็เป็นประเทศที่ 2

อาจเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมากับไทยมี "แรงงาน" เป็นสะพานเชื่อมเรื่องแรงงานจึงได้รับการชูขึ้นสูงเด่น

ขณะเดียวกัน เนื่องจากนับแต่ JUNTA ได้มีการเผด็จอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะภายหลังการเลือกตั้งอันมากด้วยปัญหาในเดือนสิงหาคม 2531 เป็นต้นมา ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งเป็นอย่างสูง

ไม่เพียงแต่ชาวเมียนมาเท่านั้นจะลี้ภัยออกนอกประเทศ หากแต่ชนเผ่าน้อยจำนวนมากก็ได้รับแรงสะเทือนจากการกดขี่ ปราบปราม

"ศูนย์พักพิงชั่วคราว" บริเวณชายแดนจึงปรากฏขึ้นจำนวนมาก

เมื่อพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนขึ้นเป็นรัฐบาลแรกในรอบ 50 ปี

ภาระหน้าที่สำคัญก็คือ การเยียวยา บาดแผลจาก "อดีต"

ไม่ว่าในเรื่อง "แรงงาน" โดยเฉพาะที่รวมกันอยู่ ณ จังหวัดสมุทรสาคร ไม่ว่าในเรื่อง "ผู้ลี้ภัย" โดยเฉพาะชนเผ่ากะเหรี่ยงจำนวนเกือบ 10,000 คน

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องที่รัฐบาล NLD จักต้องชำระ สะสาง

ขณะเดียวกัน จากการแถลงของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับงานด้านเศรษฐกิจ ยอมรับว่าจะมีการเจรจาในเรื่องอันเกี่ยวกับความร่วมมือโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจทวาย

เพราะนี่คือ ผลประโยชน์ "ร่วม" อันทรงความหมาย

ไม่เพียงแต่รัฐบาลไทยเท่านั้นที่ต้องการเห็นความคืบหน้า หากกลุ่มอาเซียนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ เวียดนาม เป็นต้น ล้วนอยากเห็นพัฒนาการ

ยิ่งจีน ยิ่งญี่ปุ่น ยิ่งทอดตามองด้วยใจอันจดจ่อ

ความปรารถนาโดยพื้นฐานมิได้เป็นการเรียกร้องอะไร เพียงแต่ต้องการให้รัฐบาล นายติน จ่อ สานต่อจากที่รัฐบาล นายเต็ง เส่ง ริเริ่มไว้ก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งแล้ว

นี่คือเป้าหมายทาง "เศรษฐกิจ" อันสัมพันธ์กับ "การเมือง"

โลกยุคใหม่ โลกแห่งศตวรรษที่ 21 จึงเป็นโลกอันสะท้อนความเป็น "หมู่บ้าน" ใหญ่ ที่ดำรงอยู่อย่างมีการยึดโยงระหว่างกัน

การ "ปิดประเทศ" ของ JUNTA ในอดีตจึงเป็น "ฝันร้าย" การ "เปิดกว้าง" และเชื่อมสายสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและนานาชาติจึงเป็นความจำเป็นและต้องรักษาไว้อย่างเหนียวแน่น มั่นคง

บทเรียนการ "แช่แข็ง" ในยุคแห่ง JUNTA จึงไม่มีใครอยากหวนกลับไป
         อาสาหาข่าว
         ...20/6/59

Sunday, June 19, 2016

อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน: ลูกกษัตริย์ถูกอำมาตย์คุม-เตรียมปลุกนักฆ่า-และคสช. วางเกมอยู่ยาว June 20, 2010

 

.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน: ลูกกษัตริย์ถูกอำมาตย์คุม-เตรียมปลุกนักฆ่า-และคสช. วางเกมอยู่ยาว June 20, 2010

https://youtu.be/dqzP28Athfo

https://youtu.be/4H3bzIRIpls

https://youtu.be/9xynIKVO-wM

 

 

---------------------

***Download ร่างจดหมาย เพื่อส่งผู้นำนานาชาติต่าง ที่ http://tinyurl.com/gsetacg

***โปรดช่วยกันกระจายและส่งให้มากที่สุดนะครับ ขอบคุณครับ

สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน

ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้

http://tinyurl.com/o2rzao8

หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

****ลิ้งค์ล่าสุด  http://tinyurl.com/gssuvm2

และรายงานการปฏิบัติงานและความคืบหน้าเครือข่าย ได้ที่ 4everche@gmail.com

----------------------

สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน

อ.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน: ลูกกษัตริย์ถูกอำมาตย์คุม-เตรียมปลุกนักฆ่า-และคสช. วางเกมอยู่ยาว June 20, 2010

 

.ชูพงศ์ ถี่ถ้วน: ลูกกษัตริย์ถูกอำมาตย์คุม-เตรียมปลุกนักฆ่า-และคสช. วางเกมอยู่ยาว June 20, 2010

https://youtu.be/dqzP28Athfo

https://youtu.be/4H3bzIRIpls

https://youtu.be/9xynIKVO-wM

 

 

---------------------

***Download ร่างจดหมาย เพื่อส่งผู้นำนานาชาติต่าง ที่ http://tinyurl.com/gsetacg

***โปรดช่วยกันกระจายและส่งให้มากที่สุดนะครับ ขอบคุณครับ

สนับสนุนแนวทางมดแดงล้มช้าง ของ คณะราษฎรเสรีไทย กับ ดร. เพียงดิน

ส่งข้อมูลลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยทางลิ้งค์ต่อไปนี้

http://tinyurl.com/o2rzao8

หรือที่นี่ http://tinyurl.com/pcqjppt

****ลิ้งค์ล่าสุด  http://tinyurl.com/gssuvm2

และรายงานการปฏิบัติงานและความคืบหน้าเครือข่าย ได้ที่ 4everche@gmail.com

----------------------

สนับสนุนการเผยแพร่โดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์ ในการสร้างจิตสำนึกทางประชาธิปไตย สันติวิธี และการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน

อรรถชัย อนันตเมฆ ถึง โรส ลอนดอน: มันไม่ใช่วิจารณ์ ไม่ได้ แต่ ไม่ใช่ต้องมาพูดเวลานี้ ...

มันไม่ใช่วิจารณ์ ไม่ได้ แต่ ไม่ใช่ต้องมาพูดเวลานี้ ...



เรากำลังทำสงคราม ..กับ ศัตรูของประชาชนส่วนใหญ่..
ต้องเลือกเป้าหมาย เลือกมิตรเลือกศัตรูให้เหมาะ ไม่ใช่พูดไปโดยไมคิด เป็นรายวัน

การรบต้องมีเป้าหมายเดียว ไม่ใช่เห็นอะไรก็ท้ารบขัดขวางไปทั่ว ทุกเป้าหมาย ต้องเลือก อะไรก่อน อะไรหลัง
ราต้องการแนวร่วม ต้อง แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ในมวลมิตร สร้างกำลังไปในทิศทางเดียวกันเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด
ตำราเขาว่าไว้ " สำคัญคือต้องรบทีละสมรภูมิ " ไม่ใช่ เปิดศึกมันเสียทุกด้าน แม้แต่กองทัพที่เข้มแข็งที่สุด ยังไม่ทำ ..

โรสลองไปศึกษาประวัติศาสตร์ ที่ เหมา ทำปฏิวัติจีน แม้แต่เลือกรบร่วมกันกับเจียงไคเช็ค เพื่อต่อต้านญี่ปุ่น เค้าก็ ทำ

เป้าหมายสูงสุดของโรสคืออะไร ...?? ไปตอบตัวเองก่อน แล้วเลือกที่ละเป้าหมาย ไม่ใช่ทำไปกร้อมๆ กันโดยไม่คิ้ดจะรับผิดชอบผลของความพ่ายแพ้

เรื่องที่โรสและเพื่อนออกมาพูด คิอว่ามันเป้นเรื่องใหม่หรือ คนที่อยู่ในสมรภูมิเขาเจ็บจริงตายจริงยิ่งกว่าโรส นึกหรือว่าเขา่ไม่รู้ มัน อยู่ในใจเราทุกคน ...
แต่ทำไมเราไม่พูด ...
ไม่ใช่เราเอาใจใคร แต่เพราะ ต้องเลือกจะพูดให้เหมาะสมกับสถานะการณ์ และ เวลา พูดไปเกิดประโยชน์ อะไร ได้อะไร บวกหรือลบต้องรู้

ศัตรูตัวใหญ่อยู่ข้างหน้า สมรภูมิ นี้เลือกรบกับใคร ..
จะรบกันเองหรือศัตรู

หลายคน ออกมานำมวลชน แล้วตั้งใจหรือไม่ต้งใจ ก็แล้วแต่ ...
แต่รู้ไหมมันคือความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่ พดเอามัน เรียกแฟนคลับไปวัน ๆ มันต้องคำนึงถึงแนวทาง ยึุทธสาสตร์ ยุทธวิธี มีไหม ...
หลายคน ไม่เข้าใจบริบทว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน ทำอะไร
แม้แต่คำว่า ศัตรู หรือ มิตร ทางยุทธศาสตร์ มันหมายความว่าไงยังไม่รู้ ...???

ที่เค้าซัด คุณเป้นฝ่ายตรงกันข้ามถูกแล้ว ...แม้ไม่บอกคุณคือฝ่ายตรงกันข้ามคุณก็เป็น ตามความหมาย ทางพิชัยสงคราม

เพราะคำว่าศัตรูทางยุทธศาสตร์ นั้น มันไม่ได้หมายความถึง เพื่อน หรือคนรู้จัก ...แต่มันหมายถึงคนที่ขัดขวางแนวทางที่จะนำไปสู่ชัยชนะ ยิ่งทำประโยชน์ให้ศัตรูแล้ว เขาเรียกฝ่ายตรงกันข้ามทั้งนั้น ไม่ได้หมายถึง เพื่อน
และ ไม่มีอะไรเป้นเรื่องของอารมย์ ความเกลียดชัง
ศัตรู หรือ มิตร ยังขึ้นอยู่กับสมรภูมิ ...
เช่น ตอนจีน รบ ญี่ปุ่น เหมา กับ เจียงไคเช๊ค เป็นมิตรกันในสมรภูมิรบญี่ปุ่น แต่ ในเวลาเดียวกัน ก็ เป็นศัตรูกัน ในสมรภูมิ ปฏิวัติจีน
สองคนไมไ่ด้เกลียดกัน แต่ ทำเพื่อ เป้าหมายสูงสุด เป็นเรื่องคณิตศาสตร์ ไม่ใช่ อารมย์ ...

จะสร้างบ้านใหม่ ต้อง ร่วมใจกันรื้อบ้านเก่้าก่อน ....
เอาไว้รือ้บ้านเก่าเสร็จแล้ว ...ค่อยมาเถียงกัน ว่า จำสร้างบ้านใหม่อย่างไร ตอนนี้เราต้องการ คนช่วยรือบ้านเก่า ...
ไม่ใช่ มาชวนคุยเรื่องสร้่่างบ้านใหม่อย่างไร ...ให้เสียแรงงาน รือเสรดแล้วเวลานั้น มีเวลาคุยกันได้อีกนาน

ในเรื่องการแสดงความคิดเห็นทำได้ นะ โดยไม่ทำลายแนวทางของคนอื่น ไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีอะไรดีกว่าที่จะนำเสนอ ก็ แค่ เลี้ยวออกไป ไม่ใช่ทำลายแนวทาง

ยกเว้นว่า ....มีแนวทางที่ดีกว่า ...
ถ้ามีอะไรดีกว่า พูดออกมาเลย ให้มวลชนเลือก ว่าจะเอาแบบไหน
ถ้าไม่มี ....จะเท่ากับชวนคนหยุดอยู่กับที่
แบบนั้นละครับที่มันแย่ ....
ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี มันไม่มีดีที่สุดครับ ชนะกันได้ก็ แค่ ดีกว่าเท่านั้นเอง ...
เข้าใจยัง..

อรรถชัย อนันตเมฆ ถึง โรส ลอนดอน: มันไม่ใช่วิจารณ์ ไม่ได้ แต่ ไม่ใช่ต้องมาพูดเวลานี้ ...

มันไม่ใช่วิจารณ์ ไม่ได้ แต่ ไม่ใช่ต้องมาพูดเวลานี้ ...



เรากำลังทำสงคราม ..กับ ศัตรูของประชาชนส่วนใหญ่..
ต้องเลือกเป้าหมาย เลือกมิตรเลือกศัตรูให้เหมาะ ไม่ใช่พูดไปโดยไมคิด เป็นรายวัน

การรบต้องมีเป้าหมายเดียว ไม่ใช่เห็นอะไรก็ท้ารบขัดขวางไปทั่ว ทุกเป้าหมาย ต้องเลือก อะไรก่อน อะไรหลัง
ราต้องการแนวร่วม ต้อง แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ในมวลมิตร สร้างกำลังไปในทิศทางเดียวกันเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด
ตำราเขาว่าไว้ " สำคัญคือต้องรบทีละสมรภูมิ " ไม่ใช่ เปิดศึกมันเสียทุกด้าน แม้แต่กองทัพที่เข้มแข็งที่สุด ยังไม่ทำ ..

โรสลองไปศึกษาประวัติศาสตร์ ที่ เหมา ทำปฏิวัติจีน แม้แต่เลือกรบร่วมกันกับเจียงไคเช็ค เพื่อต่อต้านญี่ปุ่น เค้าก็ ทำ

เป้าหมายสูงสุดของโรสคืออะไร ...?? ไปตอบตัวเองก่อน แล้วเลือกที่ละเป้าหมาย ไม่ใช่ทำไปกร้อมๆ กันโดยไม่คิ้ดจะรับผิดชอบผลของความพ่ายแพ้

เรื่องที่โรสและเพื่อนออกมาพูด คิอว่ามันเป้นเรื่องใหม่หรือ คนที่อยู่ในสมรภูมิเขาเจ็บจริงตายจริงยิ่งกว่าโรส นึกหรือว่าเขา่ไม่รู้ มัน อยู่ในใจเราทุกคน ...
แต่ทำไมเราไม่พูด ...
ไม่ใช่เราเอาใจใคร แต่เพราะ ต้องเลือกจะพูดให้เหมาะสมกับสถานะการณ์ และ เวลา พูดไปเกิดประโยชน์ อะไร ได้อะไร บวกหรือลบต้องรู้

ศัตรูตัวใหญ่อยู่ข้างหน้า สมรภูมิ นี้เลือกรบกับใคร ..
จะรบกันเองหรือศัตรู

หลายคน ออกมานำมวลชน แล้วตั้งใจหรือไม่ต้งใจ ก็แล้วแต่ ...
แต่รู้ไหมมันคือความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่ พดเอามัน เรียกแฟนคลับไปวัน ๆ มันต้องคำนึงถึงแนวทาง ยึุทธสาสตร์ ยุทธวิธี มีไหม ...
หลายคน ไม่เข้าใจบริบทว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน ทำอะไร
แม้แต่คำว่า ศัตรู หรือ มิตร ทางยุทธศาสตร์ มันหมายความว่าไงยังไม่รู้ ...???

ที่เค้าซัด คุณเป้นฝ่ายตรงกันข้ามถูกแล้ว ...แม้ไม่บอกคุณคือฝ่ายตรงกันข้ามคุณก็เป็น ตามความหมาย ทางพิชัยสงคราม

เพราะคำว่าศัตรูทางยุทธศาสตร์ นั้น มันไม่ได้หมายความถึง เพื่อน หรือคนรู้จัก ...แต่มันหมายถึงคนที่ขัดขวางแนวทางที่จะนำไปสู่ชัยชนะ ยิ่งทำประโยชน์ให้ศัตรูแล้ว เขาเรียกฝ่ายตรงกันข้ามทั้งนั้น ไม่ได้หมายถึง เพื่อน
และ ไม่มีอะไรเป้นเรื่องของอารมย์ ความเกลียดชัง
ศัตรู หรือ มิตร ยังขึ้นอยู่กับสมรภูมิ ...
เช่น ตอนจีน รบ ญี่ปุ่น เหมา กับ เจียงไคเช๊ค เป็นมิตรกันในสมรภูมิรบญี่ปุ่น แต่ ในเวลาเดียวกัน ก็ เป็นศัตรูกัน ในสมรภูมิ ปฏิวัติจีน
สองคนไมไ่ด้เกลียดกัน แต่ ทำเพื่อ เป้าหมายสูงสุด เป็นเรื่องคณิตศาสตร์ ไม่ใช่ อารมย์ ...

จะสร้างบ้านใหม่ ต้อง ร่วมใจกันรื้อบ้านเก่้าก่อน ....
เอาไว้รือ้บ้านเก่าเสร็จแล้ว ...ค่อยมาเถียงกัน ว่า จำสร้างบ้านใหม่อย่างไร ตอนนี้เราต้องการ คนช่วยรือบ้านเก่า ...
ไม่ใช่ มาชวนคุยเรื่องสร้่่างบ้านใหม่อย่างไร ...ให้เสียแรงงาน รือเสรดแล้วเวลานั้น มีเวลาคุยกันได้อีกนาน

ในเรื่องการแสดงความคิดเห็นทำได้ นะ โดยไม่ทำลายแนวทางของคนอื่น ไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีอะไรดีกว่าที่จะนำเสนอ ก็ แค่ เลี้ยวออกไป ไม่ใช่ทำลายแนวทาง

ยกเว้นว่า ....มีแนวทางที่ดีกว่า ...
ถ้ามีอะไรดีกว่า พูดออกมาเลย ให้มวลชนเลือก ว่าจะเอาแบบไหน
ถ้าไม่มี ....จะเท่ากับชวนคนหยุดอยู่กับที่
แบบนั้นละครับที่มันแย่ ....
ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี มันไม่มีดีที่สุดครับ ชนะกันได้ก็ แค่ ดีกว่าเท่านั้นเอง ...
เข้าใจยัง..

ทหารช่างมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง กลุ่มอาชีวะฯ เพื่อพิทักษ์สถาบันกษัตริย์

ข่าววงใน บอกให้ประกาศกันทั่วว่า การจัดตั้งกลุ่มอาชีวะ และประชาชนพิทักษ์สถาบันฯ นั้น ทหารช่างมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง



ทหารช่างมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง กลุ่มอาชีวะฯ เพื่อพิทักษ์สถาบันกษัตริย์

ข่าววงใน บอกให้ประกาศกันทั่วว่า การจัดตั้งกลุ่มอาชีวะ และประชาชนพิทักษ์สถาบันฯ นั้น ทหารช่างมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง



ในขณะที่การคณะสงฆ์กำลังเจอมรสุมจากภาครัฐ อิสลามรุกลึก เชิงกฎหมายและอำนาจรัฐ...??

โดย ศักรินทร์ เข็มทอง


​ในขณะที่การคณะสงฆ์กำลังเจอมรสุมจากภาครัฐ อิสลามซึ่งแม้เป็นเพียงชนส่วนน้อยก็ผลักดันกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่อศาสนาของเขาได้อย่างยั่งยืนและมากมาย
................
หลายคนบอกว่าช่วงที่รัฐบาล คสช.บริหารประเทศ และมี สนช. หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นช่วงเวลาทองสำหรับผลักดันกฎหมายดีๆ ที่คั่งค้างมานาน หรือไม่สามารถขับเคลื่อนได้ในช่วงที่นักการเมืองบริหารประเทศ 
ด้วยเหตุนี้ประชาคมต่างๆ ไม่เฉพาะหน่วยงานภาครัฐ จึงพากันเสนอร่างกฎหมายที่สำคัญๆ เข้าสู่กระบวนพิจารณาของ สนช.และรัฐบาลเป็นจำนวนมาก

รวมทั้งประชาคมมุสลิมในประเทศไทยที่ไม่ได้มีกฎหมายใหม่ๆ รองรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ มาเนิ่นนานแล้ว

เมื่อวันอังคารที่ 20 ม.ค.58 ในกิจกรรม "สมาชิกสภานิติบัติญัติแห่งชาติพบประชาชน(มุสลิม)" ที่ศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย ย่านคลองตัน ซึ่งมี นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.คนที่ 2 เป็นประธาน ได้มีการมอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) 5 ฉบับเกี่ยวกับอิสลามให้ สนช.โดยผ่านรองประธานฯพีระศักดิ์

ทั้งนี้ร่างกฎหมาย 5 ฉบับที่มีการนำเสนอเพื่อให้ สนช.บรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระ คือ 1.ร่างพ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.... ซึ่งเป็นร่างแก้ไขกฎหมายเดิม 2.ร่าง พ.ร.บ.ฮาลาล เป็นร่างกฎหมายใหม่ ประเทศไทยยังไม่เคยมีมาก่อน สาระสำคัญเพื่อจัดระบบและองค์กรที่รับผิดชอบเกี่ยวกับฮาลาลในประเทศไทย

3.ร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการเงินอิสลาม ซึ่งไม่ใช่แค่ธนาคารอิสลาม 4.ร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการใช้หลักอิสลามในคดีครอบครัวและมรดก ซึ่งจะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.2489 และ 5.ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจญ์ พ.ศ.... ซึ่งเป็นร่างแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ.2524

นายทวีศักดิ์ หมัดเนาะ นักวิชาการอิสระ อดีตกรรมการบริหารสถาบันเสริมสร้างขีดความสามารถมนุษย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. ... กล่าวว่า การเสนอร่างกฎหมายก็เพื่อให้การบริหารองค์กรทางศาสนาเป็นไปตามหลักการอิสลามที่ถูกต้องเหมาะสม และเป็นการสร้างพื้นที่ให้กับจุฬาราชมนตรี รวมทั้งคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสที่จะนำมาซึ่งข้อครหา และเป็นการปิดพื้นที่การหาผลประโยชน์ส่วนตัวบนการให้ตราฮาลาลกับสินค้าและผลิตภัณฑ์อีกด้วย!!!

O สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลามฉบับใหม่ คืออะไร?

อันดับแรก เสนอให้มีการตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมาอีกองค์กรหนึ่งชื่อว่า "มัจลิซซูรอ" หมายความว่าเป็นนักปราชญ์ทางด้านศาสนาอิสลาม ถือเป็นองค์กรใหม่ ทำหน้าที่ทางด้านกำกับดูแลในเรื่องศาสนาและจริยธรรมของสังคมมุสลิม ซึ่งปัจจุบันไม่มี

การตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาก็เพื่อทำหน้าที่กำกับ ดูแล วินิจฉัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและจริยธรรมทางสังคมเพียงอย่างเดียว โดยมีท่านจุฬาราชมนตรีเป็นประธาน ขณะที่ผู้ทรงคุณวุฒิของท่านจุฬาฯ ที่ผ่านมาไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องการบริหารด้านสังคมด้วย แต่คณะใหม่ที่่เสนอจะมีหน้าที่โดยตรง

อันดับสอง แยกบทบาทความรับผิดชอบทางด้านการบริหารกับศาสนาออกจากกันอย่างชัดเจน โดยที่แยกหน้าที่ และแยกคณะผู้รับผิดชอบด้วย อย่างที่เรียนไปข้างต้น โดยการบริหารนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตรงนี้ในการแยก แยกบนความถนัด ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน เราบอกว่านักการศาสนาก็ต้องเชี่ยวชาญด้านศาสนา

ฉะนั้นองค์ประกอบของคณะมัจลิซซูรอ ก็ต้องจบด้านการศาสนาสาขาต่างๆ แล้วก็มีประสบการณ์ในการสอนหรือประสบการณ์ด้านงานวิชาการมาไม่น้อยกว่า 20 ปี

ในส่วนคณะกรรมการกลางอิสลามฯ จำนวน 15 คน ใน 15 คนนี้ต้องมี 3 คนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา เพื่อเอาไว้คอยกำกับหางเสือให้กับคณะกรรมการกลางฯ ในเวลาที่กำหนดนโยบายต่างๆ หรือว่าการปฏิบัติงานอะไรต่างๆ ก็ให้อยู่ในกรอบของศาสนาด้วย ส่วนอีก 2 ท่านกำหนดไว้ว่า จะต้องเป็นผู้ที่จบสายสามัญ เช่น นิติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ไอที เศรษฐศาสตร์ เป็นต้น และจะต้องมีประสบการณ์การทำงานๆ ไม่น้อยกว่า 20 ปีเช่นกัน

เพราะฉะนั้นความเชี่ยวชาญตามความถนัดเฉพาะด้านก็เกิดขึ้น คนที่ทำหน้าที่บริหารก็จะต้องมีวิชาชีพ มีประสบการณ์ทางด้านบริหาร คนที่ทำงานด้านศาสนาก็ต้องมีประสบการณ์ในด้านศาสนา อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่

อันดับสาม ในเรื่องการได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่ง แต่เดิมใช้วิธีการลงมติเสียงส่วนใหญ่ โดยเป็นวิธีทางการเมือง ซึ่งในทางศาสนาบอกว่ายังไม่ถูกต้อง ที่ถูกคือต้องใช้วิธีการปรึกษาหารือ ประนีประนอม ภาษาอาหรับทางศานาเรียกว่า วิธี "มูชาวอเราะห์" ให้นำมาทดแทนวิธีการเลือกตั้ง

เพราะฉะนั้น ร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอให้แก้ไขใหม่นี้ ได้นำเอาหลักการศาสนาที่เรียนไปนั้นมาปรึกษาหารือกันกับคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้ได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่ง

ข้อเสียของการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะระดับไหนก็แล้วแต่ คนที่จะได้ตำแหน่งต้องมาจากเสียงส่วนใหญ่ แน่นอนเสียงส่วนน้อยก็เสียสิทธิ์ หรือที่ร้ายไปกว่านั้น มันเกิดความขัดแย้งในสังคม โดยเฉพาะในสังคมกลุ่มชนเล็กๆ พอมันไม่ลงรอยกัน แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย มันอยู่ด้วยกันไม่ได้สังคมก็ไม่มีความสงบสุข

ถ้าเรายกเลิกวิธีการเลือกตั้ง หรือการลงมติด้วยเสียงส่วนใหญ่ แล้วนำวิธีมูชาวอเราะห์ มานั่งพูดคุย ปรึกษาหารือ เห็นด้วยไม่เห็นด้วย สุดท้ายแล้ว เราบอกว่าคนนี้เหมาะสมแล้วที่จะดำรงตำแหน่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ไม่ว่าจะเป็นมัจลิซซูรอ หรือคณะกรรมการกลางฯ คณะกรรมการประจำจังหวัด อำเภอ หรือประจำมัสยิด ถ้าคนปรึกษาหารือร่วมกัน และเป็นที่ตกลงยินยอมพร้อมใจกัน ความขัดแย้งในสังคมก็จะไม่มี

O ฟังดูแล้วเป็นการคิดแก้ไขจากส่วนกลางเป็นหลัก แล้วพื้นที่อื่นๆ ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะ อย่างพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้จะได้รับการยอมรับหรือไม่?

ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะประการที่ 1 เรานำเอาหลักการศาสนามาใช้ ดังนั้นไม่มีมุสลิมคนไหนปฏิเสธหลักการศาสนา เพราะถ้าปฏิเสธหลักการศาสนา คุณก็จะมีปัญหา จะถูกตั้งคำถาม เมื่อนำเอาหลักการศาสนามาใช้ในการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่ง นักการศาสนาหรือมุสลิมทุกคนย่อมไม่ปฏิเสธ

ประการที่ 2 ในร่าง พ.ร.บ.นี้กำหนดให้บทบาทอำนาจหน้าที่ขององค์กรศาสนามีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่เดิมไม่เคยเขียนว่าผู้ที่มีหน้าที่ทางศาสนา ผู้มีอำนาจบริหาร โดยเฉพาะคณะกรรมการกลางฯ มีหน้าที่อะไรที่จะทำเพื่อสังคมบ้าง แต่ร่างนี้เขียนว่ามีความคาดหวังจากสังคมอย่างน้อยที่สุด 5 ประการที่คณะกรรมการกลางฯจะต้องทำให้มันเกิดประโยชน์ต่อสังคม ที่ผ่านมาไม่เคยมีเขียนไว้ แต่วันนี้มีเขียน มันก็กลายเป็นข้อบังคับ ถ้ามีในกฏหมายว่าจะต้องปฏิบัติ หากไม่ปฏิบัติตาม เขาก็ผิดกฏหมาย

ภารกิจหลักกับสังคม 5 ประการมีอะไรบ้าง 1.สังคมอยากจะรู้ว่าประชากรมุสลิมทั่วประเทศ ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ มีจำนวนเท่าใด เพื่อจะนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาได้ 2.อยากจะให้คณะกรรมการกลางฯและผู้นำองค์กรศาสนาอิสลามทุกระดับ มาดูแลรับผิดชอบกันอย่างจริงจังเสียที ในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาในเรื่องการศึกษา เพราะฉะนั้นกฏหมายที่เสนอแก้ไขนี้ก็เลยบังคับว่า คณะกรรมการกลางฯ จะต้องจัดตั้งสถาบันผู้นำ เพื่ออย่างน้อยทำหน้าที่ตรงนี้อย่างชัดเจน

3.คาดหวังว่าคณะกรรมการกลางฯจะต้องเข้ามาแก้ไขปรับปรุงในเรื่องของกิจการฮัจย์ และอีกอย่างการจัดเก็บและบริหารกองทุนซะกาตให้มีประสิทธิภาพ

4.ต้องการให้คณะกรรมการกลางฯเข้ามาดูแลเรื่องของฐานข้อมูลทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติ เช่น มัสยิดทั่วประเทศมีกี่แห่ง มีทรัพย์สินเท่าไร ที่ดินบริจาคที่มีผู้มอบให้กับมัสยิด มอบให้กับมูลนิธิทางด้านศาสนามีทั้งหมดเท่าไร

ทั้งนี้ เท่าที่ประเมินจากที่คณะทำงานประเมินคร่าวๆ มีขนาดรวมกันนับแสนล้านบาท ในเชิงเศรษฐศาสตร์เราสามารถนำเอาทรัพย์สินเหล่านี้มาใช้กระบวนการวิธีการบริหารทางการเงิน เพื่อจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศษรฐกิจต่อสังคมได้ สังคมที่ว่าไม่ใช่แค่สังคมมุสลิมเท่านั้น แต่คือสังคมของประเทศไทยทั้งหมด

ทรัพย์สินแสนล้านบาท นำมาออกพันธบัตร แล้วนำเงินที่ได้ไปสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ถนน สาธารณูปโภคอื่นๆ พัฒนาการขนส่งต่างๆของประเทศ หรือรวมทั้งอาจจะจะนำไปใช้เป็นไฟแนนช์ เมกะโปรเจคของรัฐบาลก็ทำได้ แต่สิ่งเหล่านี้ มันไม่เคยเกิดขึ้น เพราะเมื่อกฏหมายไม่ได้บังคับว่าใครจะต้องทำ โดยเฉพาะองค์กรศาสนา ก็ไม่มีใครคิดที่จะทำ แต่วันนี้ถ้าร่างกฏหมายฉบับนี้กำหนดให้ไปทำ เขาก็ต้องทำ

5.เป็นเรื่องที่คณะกรรมการกลางฯชุดปัจจุบันทำดีอยู่แล้ว ก็คือเรื่องการบริหารกิจการฮาลาล แต่ปัญหาคือที่ทำอยู่ในปัจจุบันนั้น ดูว่าไม่โปร่งใส ยกตัวอย่างเช่น มีการไปเรียกร้องเงินค่าตอบแทนจากการออกตราฮาลาลอย่างไม่สุจริต แล้วนำเงินนั้นมาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้อง

เพราะฉะนั้นความคาดหวังของสังคมอย่างน้อย 5 ประการที่เรียนไป คณะกรรมการกลางฯ และผู้บริหารต้องทำให้เป็นจริงขึ้นให้ได้ เนื่องจากมีเขียนกำหนดในกฎหมาย ที่ผ่านมาไม่มีการเขียนกำหนด จึงไปเลือกทำในสิ่งที่ได้ประโยชน์เป็นตัวเงิน เช่น เรื่องฮาลาล แล้วก็ทำกันเป็นที่สนุกสนาน แต่เรื่องอื่นด้อย เรื่องอื่นย่อหย่อน และนั้นทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาสังคมของเรา

O ตรงนี้จึงเป็นที่มาของข้อเสนอที่ว่า คณะกรรมการกลางฯต้องทำรายงานประจำปีด้วย?

ใช่ครับ ประเด็นที่เกิดขึ้นใหม่ก็คือ เมื่อเราแยกอำนาจหน้าที่ด้านบริหารกับด้านศาสนาออกจากกัน เราต้องการให้นักการศาสนา ผู้นำทางศาสนา เป็นผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง รวมทั้งจุฬาราชมนตรีด้วย และได้รับการยกย่องเชิดชู ได้รับความเคารพด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีข้อเคลือบแคลงหรือมีมลทินว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องไม่ถูกต้อง

แน่นอนว่ามันก็จะมีกระบวนการในการตรวจสอบ ร่าง พ.ร.บ.นี้สร้างเครื่องมือในการตรวจสอบประเมินผล เช่น กำหนดให้จะต้องมีการตรวจสอบจากผู้ตรวจสอบภายนอก ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบมืออาชีพ มาทำการตรวจสอบฐานะทางการเงิน มาตรวจสอบงบประมาณ งบดุลขององค์กร ซึ่งได้แก่คณะกรรมการกลางฯ และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด

และที่สำคัญต่อมาจะต้องมีจัดการประชุมแถลงผลงานประจำปีอย่างน้อยปีละครั้งภายในเดือน มี.ค.ของปีนั้นๆ เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่า ทรัพยากรทั้งหมดที่สังคมมีอยู่เงินทองมาจากไหน มีรายได้จากอะไร รายได้ตรงนั้น ทรัพยากรตรงนั้น นำไปใช้จ่ายอะไรบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าไร ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานเกิดประโยชน์อะไรบ้างกับสังคม หากได้มาอย่างไม่ถูกต้อง หรือได้มาแล้วนำไปบริหารผิดเจตนารมณ์ ผิดวัตถุประสงค์ สังคมไม่ได้ประโยชน์ สังคมก็จะมีกระบวนการในการลงโทษ

เขียนโดย ศักรินทร์ เข็มทอง

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ในขณะที่การคณะสงฆ์กำลังเจอมรสุมจากภาครัฐ อิสลามรุกลึก เชิงกฎหมายและอำนาจรัฐ...??

โดย ศักรินทร์ เข็มทอง


​ในขณะที่การคณะสงฆ์กำลังเจอมรสุมจากภาครัฐ อิสลามซึ่งแม้เป็นเพียงชนส่วนน้อยก็ผลักดันกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่อศาสนาของเขาได้อย่างยั่งยืนและมากมาย
................
หลายคนบอกว่าช่วงที่รัฐบาล คสช.บริหารประเทศ และมี สนช. หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นช่วงเวลาทองสำหรับผลักดันกฎหมายดีๆ ที่คั่งค้างมานาน หรือไม่สามารถขับเคลื่อนได้ในช่วงที่นักการเมืองบริหารประเทศ 
ด้วยเหตุนี้ประชาคมต่างๆ ไม่เฉพาะหน่วยงานภาครัฐ จึงพากันเสนอร่างกฎหมายที่สำคัญๆ เข้าสู่กระบวนพิจารณาของ สนช.และรัฐบาลเป็นจำนวนมาก

รวมทั้งประชาคมมุสลิมในประเทศไทยที่ไม่ได้มีกฎหมายใหม่ๆ รองรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ มาเนิ่นนานแล้ว

เมื่อวันอังคารที่ 20 ม.ค.58 ในกิจกรรม "สมาชิกสภานิติบัติญัติแห่งชาติพบประชาชน(มุสลิม)" ที่ศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย ย่านคลองตัน ซึ่งมี นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.คนที่ 2 เป็นประธาน ได้มีการมอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) 5 ฉบับเกี่ยวกับอิสลามให้ สนช.โดยผ่านรองประธานฯพีระศักดิ์

ทั้งนี้ร่างกฎหมาย 5 ฉบับที่มีการนำเสนอเพื่อให้ สนช.บรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระ คือ 1.ร่างพ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.... ซึ่งเป็นร่างแก้ไขกฎหมายเดิม 2.ร่าง พ.ร.บ.ฮาลาล เป็นร่างกฎหมายใหม่ ประเทศไทยยังไม่เคยมีมาก่อน สาระสำคัญเพื่อจัดระบบและองค์กรที่รับผิดชอบเกี่ยวกับฮาลาลในประเทศไทย

3.ร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการเงินอิสลาม ซึ่งไม่ใช่แค่ธนาคารอิสลาม 4.ร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการใช้หลักอิสลามในคดีครอบครัวและมรดก ซึ่งจะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.2489 และ 5.ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจญ์ พ.ศ.... ซึ่งเป็นร่างแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ.2524

นายทวีศักดิ์ หมัดเนาะ นักวิชาการอิสระ อดีตกรรมการบริหารสถาบันเสริมสร้างขีดความสามารถมนุษย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. ... กล่าวว่า การเสนอร่างกฎหมายก็เพื่อให้การบริหารองค์กรทางศาสนาเป็นไปตามหลักการอิสลามที่ถูกต้องเหมาะสม และเป็นการสร้างพื้นที่ให้กับจุฬาราชมนตรี รวมทั้งคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสที่จะนำมาซึ่งข้อครหา และเป็นการปิดพื้นที่การหาผลประโยชน์ส่วนตัวบนการให้ตราฮาลาลกับสินค้าและผลิตภัณฑ์อีกด้วย!!!

O สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลามฉบับใหม่ คืออะไร?

อันดับแรก เสนอให้มีการตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมาอีกองค์กรหนึ่งชื่อว่า "มัจลิซซูรอ" หมายความว่าเป็นนักปราชญ์ทางด้านศาสนาอิสลาม ถือเป็นองค์กรใหม่ ทำหน้าที่ทางด้านกำกับดูแลในเรื่องศาสนาและจริยธรรมของสังคมมุสลิม ซึ่งปัจจุบันไม่มี

การตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาก็เพื่อทำหน้าที่กำกับ ดูแล วินิจฉัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและจริยธรรมทางสังคมเพียงอย่างเดียว โดยมีท่านจุฬาราชมนตรีเป็นประธาน ขณะที่ผู้ทรงคุณวุฒิของท่านจุฬาฯ ที่ผ่านมาไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องการบริหารด้านสังคมด้วย แต่คณะใหม่ที่่เสนอจะมีหน้าที่โดยตรง

อันดับสอง แยกบทบาทความรับผิดชอบทางด้านการบริหารกับศาสนาออกจากกันอย่างชัดเจน โดยที่แยกหน้าที่ และแยกคณะผู้รับผิดชอบด้วย อย่างที่เรียนไปข้างต้น โดยการบริหารนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตรงนี้ในการแยก แยกบนความถนัด ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน เราบอกว่านักการศาสนาก็ต้องเชี่ยวชาญด้านศาสนา

ฉะนั้นองค์ประกอบของคณะมัจลิซซูรอ ก็ต้องจบด้านการศาสนาสาขาต่างๆ แล้วก็มีประสบการณ์ในการสอนหรือประสบการณ์ด้านงานวิชาการมาไม่น้อยกว่า 20 ปี

ในส่วนคณะกรรมการกลางอิสลามฯ จำนวน 15 คน ใน 15 คนนี้ต้องมี 3 คนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา เพื่อเอาไว้คอยกำกับหางเสือให้กับคณะกรรมการกลางฯ ในเวลาที่กำหนดนโยบายต่างๆ หรือว่าการปฏิบัติงานอะไรต่างๆ ก็ให้อยู่ในกรอบของศาสนาด้วย ส่วนอีก 2 ท่านกำหนดไว้ว่า จะต้องเป็นผู้ที่จบสายสามัญ เช่น นิติศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ไอที เศรษฐศาสตร์ เป็นต้น และจะต้องมีประสบการณ์การทำงานๆ ไม่น้อยกว่า 20 ปีเช่นกัน

เพราะฉะนั้นความเชี่ยวชาญตามความถนัดเฉพาะด้านก็เกิดขึ้น คนที่ทำหน้าที่บริหารก็จะต้องมีวิชาชีพ มีประสบการณ์ทางด้านบริหาร คนที่ทำงานด้านศาสนาก็ต้องมีประสบการณ์ในด้านศาสนา อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่

อันดับสาม ในเรื่องการได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่ง แต่เดิมใช้วิธีการลงมติเสียงส่วนใหญ่ โดยเป็นวิธีทางการเมือง ซึ่งในทางศาสนาบอกว่ายังไม่ถูกต้อง ที่ถูกคือต้องใช้วิธีการปรึกษาหารือ ประนีประนอม ภาษาอาหรับทางศานาเรียกว่า วิธี "มูชาวอเราะห์" ให้นำมาทดแทนวิธีการเลือกตั้ง

เพราะฉะนั้น ร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอให้แก้ไขใหม่นี้ ได้นำเอาหลักการศาสนาที่เรียนไปนั้นมาปรึกษาหารือกันกับคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้ได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่ง

ข้อเสียของการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะระดับไหนก็แล้วแต่ คนที่จะได้ตำแหน่งต้องมาจากเสียงส่วนใหญ่ แน่นอนเสียงส่วนน้อยก็เสียสิทธิ์ หรือที่ร้ายไปกว่านั้น มันเกิดความขัดแย้งในสังคม โดยเฉพาะในสังคมกลุ่มชนเล็กๆ พอมันไม่ลงรอยกัน แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย มันอยู่ด้วยกันไม่ได้สังคมก็ไม่มีความสงบสุข

ถ้าเรายกเลิกวิธีการเลือกตั้ง หรือการลงมติด้วยเสียงส่วนใหญ่ แล้วนำวิธีมูชาวอเราะห์ มานั่งพูดคุย ปรึกษาหารือ เห็นด้วยไม่เห็นด้วย สุดท้ายแล้ว เราบอกว่าคนนี้เหมาะสมแล้วที่จะดำรงตำแหน่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ไม่ว่าจะเป็นมัจลิซซูรอ หรือคณะกรรมการกลางฯ คณะกรรมการประจำจังหวัด อำเภอ หรือประจำมัสยิด ถ้าคนปรึกษาหารือร่วมกัน และเป็นที่ตกลงยินยอมพร้อมใจกัน ความขัดแย้งในสังคมก็จะไม่มี

O ฟังดูแล้วเป็นการคิดแก้ไขจากส่วนกลางเป็นหลัก แล้วพื้นที่อื่นๆ ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะ อย่างพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้จะได้รับการยอมรับหรือไม่?

ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะประการที่ 1 เรานำเอาหลักการศาสนามาใช้ ดังนั้นไม่มีมุสลิมคนไหนปฏิเสธหลักการศาสนา เพราะถ้าปฏิเสธหลักการศาสนา คุณก็จะมีปัญหา จะถูกตั้งคำถาม เมื่อนำเอาหลักการศาสนามาใช้ในการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่ง นักการศาสนาหรือมุสลิมทุกคนย่อมไม่ปฏิเสธ

ประการที่ 2 ในร่าง พ.ร.บ.นี้กำหนดให้บทบาทอำนาจหน้าที่ขององค์กรศาสนามีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่เดิมไม่เคยเขียนว่าผู้ที่มีหน้าที่ทางศาสนา ผู้มีอำนาจบริหาร โดยเฉพาะคณะกรรมการกลางฯ มีหน้าที่อะไรที่จะทำเพื่อสังคมบ้าง แต่ร่างนี้เขียนว่ามีความคาดหวังจากสังคมอย่างน้อยที่สุด 5 ประการที่คณะกรรมการกลางฯจะต้องทำให้มันเกิดประโยชน์ต่อสังคม ที่ผ่านมาไม่เคยมีเขียนไว้ แต่วันนี้มีเขียน มันก็กลายเป็นข้อบังคับ ถ้ามีในกฏหมายว่าจะต้องปฏิบัติ หากไม่ปฏิบัติตาม เขาก็ผิดกฏหมาย

ภารกิจหลักกับสังคม 5 ประการมีอะไรบ้าง 1.สังคมอยากจะรู้ว่าประชากรมุสลิมทั่วประเทศ ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ มีจำนวนเท่าใด เพื่อจะนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาได้ 2.อยากจะให้คณะกรรมการกลางฯและผู้นำองค์กรศาสนาอิสลามทุกระดับ มาดูแลรับผิดชอบกันอย่างจริงจังเสียที ในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาในเรื่องการศึกษา เพราะฉะนั้นกฏหมายที่เสนอแก้ไขนี้ก็เลยบังคับว่า คณะกรรมการกลางฯ จะต้องจัดตั้งสถาบันผู้นำ เพื่ออย่างน้อยทำหน้าที่ตรงนี้อย่างชัดเจน

3.คาดหวังว่าคณะกรรมการกลางฯจะต้องเข้ามาแก้ไขปรับปรุงในเรื่องของกิจการฮัจย์ และอีกอย่างการจัดเก็บและบริหารกองทุนซะกาตให้มีประสิทธิภาพ

4.ต้องการให้คณะกรรมการกลางฯเข้ามาดูแลเรื่องของฐานข้อมูลทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติ เช่น มัสยิดทั่วประเทศมีกี่แห่ง มีทรัพย์สินเท่าไร ที่ดินบริจาคที่มีผู้มอบให้กับมัสยิด มอบให้กับมูลนิธิทางด้านศาสนามีทั้งหมดเท่าไร

ทั้งนี้ เท่าที่ประเมินจากที่คณะทำงานประเมินคร่าวๆ มีขนาดรวมกันนับแสนล้านบาท ในเชิงเศรษฐศาสตร์เราสามารถนำเอาทรัพย์สินเหล่านี้มาใช้กระบวนการวิธีการบริหารทางการเงิน เพื่อจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศษรฐกิจต่อสังคมได้ สังคมที่ว่าไม่ใช่แค่สังคมมุสลิมเท่านั้น แต่คือสังคมของประเทศไทยทั้งหมด

ทรัพย์สินแสนล้านบาท นำมาออกพันธบัตร แล้วนำเงินที่ได้ไปสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ถนน สาธารณูปโภคอื่นๆ พัฒนาการขนส่งต่างๆของประเทศ หรือรวมทั้งอาจจะจะนำไปใช้เป็นไฟแนนช์ เมกะโปรเจคของรัฐบาลก็ทำได้ แต่สิ่งเหล่านี้ มันไม่เคยเกิดขึ้น เพราะเมื่อกฏหมายไม่ได้บังคับว่าใครจะต้องทำ โดยเฉพาะองค์กรศาสนา ก็ไม่มีใครคิดที่จะทำ แต่วันนี้ถ้าร่างกฏหมายฉบับนี้กำหนดให้ไปทำ เขาก็ต้องทำ

5.เป็นเรื่องที่คณะกรรมการกลางฯชุดปัจจุบันทำดีอยู่แล้ว ก็คือเรื่องการบริหารกิจการฮาลาล แต่ปัญหาคือที่ทำอยู่ในปัจจุบันนั้น ดูว่าไม่โปร่งใส ยกตัวอย่างเช่น มีการไปเรียกร้องเงินค่าตอบแทนจากการออกตราฮาลาลอย่างไม่สุจริต แล้วนำเงินนั้นมาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้อง

เพราะฉะนั้นความคาดหวังของสังคมอย่างน้อย 5 ประการที่เรียนไป คณะกรรมการกลางฯ และผู้บริหารต้องทำให้เป็นจริงขึ้นให้ได้ เนื่องจากมีเขียนกำหนดในกฎหมาย ที่ผ่านมาไม่มีการเขียนกำหนด จึงไปเลือกทำในสิ่งที่ได้ประโยชน์เป็นตัวเงิน เช่น เรื่องฮาลาล แล้วก็ทำกันเป็นที่สนุกสนาน แต่เรื่องอื่นด้อย เรื่องอื่นย่อหย่อน และนั้นทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาสังคมของเรา

O ตรงนี้จึงเป็นที่มาของข้อเสนอที่ว่า คณะกรรมการกลางฯต้องทำรายงานประจำปีด้วย?

ใช่ครับ ประเด็นที่เกิดขึ้นใหม่ก็คือ เมื่อเราแยกอำนาจหน้าที่ด้านบริหารกับด้านศาสนาออกจากกัน เราต้องการให้นักการศาสนา ผู้นำทางศาสนา เป็นผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง รวมทั้งจุฬาราชมนตรีด้วย และได้รับการยกย่องเชิดชู ได้รับความเคารพด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีข้อเคลือบแคลงหรือมีมลทินว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องไม่ถูกต้อง

แน่นอนว่ามันก็จะมีกระบวนการในการตรวจสอบ ร่าง พ.ร.บ.นี้สร้างเครื่องมือในการตรวจสอบประเมินผล เช่น กำหนดให้จะต้องมีการตรวจสอบจากผู้ตรวจสอบภายนอก ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบมืออาชีพ มาทำการตรวจสอบฐานะทางการเงิน มาตรวจสอบงบประมาณ งบดุลขององค์กร ซึ่งได้แก่คณะกรรมการกลางฯ และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด

และที่สำคัญต่อมาจะต้องมีจัดการประชุมแถลงผลงานประจำปีอย่างน้อยปีละครั้งภายในเดือน มี.ค.ของปีนั้นๆ เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่า ทรัพยากรทั้งหมดที่สังคมมีอยู่เงินทองมาจากไหน มีรายได้จากอะไร รายได้ตรงนั้น ทรัพยากรตรงนั้น นำไปใช้จ่ายอะไรบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าไร ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานเกิดประโยชน์อะไรบ้างกับสังคม หากได้มาอย่างไม่ถูกต้อง หรือได้มาแล้วนำไปบริหารผิดเจตนารมณ์ ผิดวัตถุประสงค์ สังคมไม่ได้ประโยชน์ สังคมก็จะมีกระบวนการในการลงโทษ

เขียนโดย ศักรินทร์ เข็มทอง

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น

ภาพประกอบชวนขำกลิ้ง คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น คลังคำไทยที่มักสะกดผิด ภาษาไทยน...