Saturday, September 27, 2025

ดร. ทักษิณ ชินวัตร ทำผิดจริง หรือถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง : บทวิเคราะห์เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์


ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ถูกตัดสินจำคุกจากหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจโดยมิชอบ และผลประโยชน์ทับซ้อน ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2544-2549 โดยรวมแล้วถูกตัดสินจำคุก 8 ปี จาก 3 คดีหลัก (บางส่วนทับซ้อนกัน) แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ลดเหลือ 1 ปี เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 ต่อมาในปี 2568 ศาลฎีกาได้พิพากษาให้ทักษิณต้องรับโทษจำคุก 1 ปีจริง เนื่องจากเห็นว่าการรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ 6 เดือนก่อนหน้านี้ไม่นับเป็นการรับโทษ และเป็นการแกล้งป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงเรือนจำ

ด้านล่างนี้คือการวิเคราะห์คดีหลักทั้ง 3 คดีที่นำไปสู่การถูกตัดสินจำคุก โดยอ้างอิงจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้อมูลจากเอกสารทางกฎหมาย และรายงานข่าวที่น่าเชื่อถือ ผมจะสรุปรายละเอียดคดี การตัดสิน โทษจำคุก และวิเคราะห์ว่าทักษิณ "ผิดจริง" หรือไม่ โดยพิจารณาจากหลักฐานที่นำเสนอในศาล ความขัดแย้งทางการเมือง และข้อโต้แย้งจากทั้งสองฝ่าย (ฝ่ายอัยการ/ศาล และฝ่ายทักษิณ/ผู้สนับสนุน) การวิเคราะห์นี้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ได้รับการยืนยัน ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ1. คดีทุจริตโครงการสลากพิเศษแบบ 2-3 หลัก (Special Lottery Project หรือ Two- and Three-Digit Lottery)
  • รายละเอียดคดี: ทักษิณถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งการให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเปลี่ยนรูปแบบสลากจากระบบออนไลน์ (เครื่องออกสลากอัตโนมัติ) เป็นระบบบนดิน (ขายสลากแบบเลข 2-3 หลัก) โดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้และเกิดการทุจริตในการแจกจ่ายสลาก นอกจากนี้ยังถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนบางกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์และจำหน่ายสลาก คดีนี้ถูกฟ้องในปี 2551 และตัดสินในปี 2562 (ขณะลี้ภัย)
  • การตัดสินของศาล: ศาลฎีกาฯ พิพากษาว่าทักษิณกระทำผิดฐานใช้อำนาจขัดกันแห่งผลประโยชน์และทุจริตต่อหน้าที่ สั่งจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
  • โทษจำคุก: 2 ปี (ส่วนหนึ่งของโทษรวม 8 ปี)
  • ความขัดแย้งและอุทธรณ์: ทักษิณไม่ได้กลับมารับโทษทันที และอ้างว่าคดีนี้เกิดจากศาลที่ตั้งขึ้นหลังรัฐประหาร 2549 ซึ่งมีอคติทางการเมือง ไม่มีการอุทธรณ์สำเร็จ เนื่องจากเป็นคำพิพากษาสิ้นสุด
  • ข้อโต้แย้งจากทั้งสองฝ่าย:
    • ฝ่ายอัยการ/ศาล: มีหลักฐานชัดเจนว่าการเปลี่ยนระบบสลากทำให้รัฐเสียหายหลายพันล้านบาท และทักษิณใช้อำนาจโดยตรงเพื่อผลักดันนโยบายนี้โดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย .
    • ฝ่ายทักษิณ: อ้างว่านโยบายนี้เพื่อแก้ปัญหาสลากเถื่อนและเพิ่มรายได้รัฐ ไม่ใช่การทุจริตส่วนตัว และคดีถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายตรงข้ามหลังรัฐประหาร
  • ผิดจริงหรือไม่: ผิดจริง หลักฐานเอกสารและคำให้การพยานแสดงให้เห็นการใช้อำนาจโดยมิชอบชัดเจน แม้จะมีบริบททางการเมือง แต่การกระทำดังกล่าวขัดต่อกฎหมายว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดแจ้ง และไม่มีหลักฐานว่าศาล fabricate ข้อมูล
2. คดีอนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้รัฐบาลพม่า (Low-Interest Loan to Myanmar Government)
  • รายละเอียดคดี: ทักษิณถูกกล่าวหาว่าอนุมัติให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ปล่อยกู้ 4,000 ล้านบาทให้รัฐบาลพม่า (เมียนมา) ด้วยดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด โดยเงินกู้นี้ถูกนำไปซื้อบริการดาวเทียมและโทรคมนาคมจากบริษัท Shin Satellite (ในเครือ Shin Corporation ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวทักษิณ) ถือเป็นการใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ส่วนตน คดีถูกฟ้องหลังรัฐประหาร 2549 และตัดสินในปี 2552
  • การตัดสินของศาล: ศาลฎีกาฯ พิพากษาว่าผิดฐานใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ส่วนตน สั่งจำคุก 3 ปี
  • โทษจำคุก: 3 ปี (ส่วนหนึ่งของโทษรวม 8 ปี)
  • ความขัดแย้งและอุทธรณ์: ทักษิณอ้างว่าเป็นนโยบายเพื่อความสัมพันธ์กับพม่า ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัว คดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของการยึดทรัพย์ในปี 2553 (ยึด 4.6 หมื่นล้านบาท) แต่ศาลยืนยันคำพิพากษา ไม่มีอุทธรณ์สำเร็จ
  • ข้อโต้แย้งจากทั้งสองฝ่าย:
    • ฝ่ายอัยการ/ศาล: มีเอกสารยืนยันว่าการกู้เงินนำไปซื้อบริการจากบริษัทครอบครัวทักษิณโดยตรง ส่งผลให้ Shin Corp ได้กำไรเพิ่มขึ้น เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนชัดเจน .
    • ฝ่ายทักษิณ: อ้างว่าเงินกู้เป็นนโยบายรัฐเพื่อส่งเสริมการส่งออกไทย และ Shin Satellite เป็นบริษัทไทยทั่วไป ไม่ใช่การเอื้อเฉพาะเจาะจง คดีถูกสร้างขึ้นเพื่อล้มรัฐบาลเขา
  • ผิดจริงหรือไม่: ผิดจริง การเชื่อมโยงระหว่างเงินกู้กับธุรกิจครอบครัวมีหลักฐานชัดเจนจากเอกสารธนาคารและรายงานการเงิน แม้จะอ้างเหตุผลนโยบาย แต่เป็นการละเมิดกฎหมายผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างเห็นได้ชัด ในบริบทการเมือง อาจมีอคติ แต่หลักฐานแข็งแรงพอที่จะยืนยันความผิด
3. คดีใช้ชื่อบุคคลอื่นถือหุ้นในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น (Using Nominee to Hold Shares in Shin Corporation)
  • รายละเอียดคดี: ทักษิณถูกกล่าวหาว่าใช้บุคคลอื่น (nominee) ถือหุ้นในบริษัท Shin Corporation (ธุรกิจโทรคมนาคมของครอบครัว) ขณะดำรงตำแหน่ง ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญที่ห้ามนักการเมืองถือหุ้นเกินร้อยละ 5 นอกจากนี้ยังใช้อำนาจเปลี่ยนสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต ทำให้บริษัทได้ประโยชน์ ลดค่าธรรมเนียม และเพิ่มมูลค่าหุ้น คดีนี้เกี่ยวข้องกับการขายหุ้นให้เทมาเส็กในปี 2549 และถูกฟ้องหลังรัฐประหาร
  • การตัดสินของศาล: ศาลฎีกาฯ พิพากษาว่าผิดฐานร่ำรวยผิดปกติและใช้อำนาจขัดผลประโยชน์ สั่งจำคุก 5 ปี (รวมกับการยึดทรัพย์ในปี 2553)
  • โทษจำคุก: 5 ปี (ส่วนหนึ่งของโทษรวม 8 ปี โดยบางส่วนทับซ้อนกับคดีอื่น)
  • ความขัดแย้งและอุทธรณ์: ทักษิณเคยถูกฟ้องคดีซุกหุ้นคล้ายกันในปี 2544 แต่ศาลรัฐธรรมนูญยกฟ้อง (8:7) ทว่าในคดีนี้ ศาลหลังรัฐประหารเห็นต่าง ทักษิณอ้างศาลมีอคติ ไม่มีอุทธรณ์สำเร็จ แต่มีรายงานจากคณะกรรมการแสวงหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ว่าการตัดสินคดีซุกหุ้นครั้งแรกอาจผิดพลาด
  • ข้อโต้แย้งจากทั้งสองฝ่าย:
    • ฝ่ายอัยการ/ศาล: มีหลักฐานการโอนหุ้นให้คนใกล้ชิด (เช่น คนใช้ในบ้าน) และนโยบายรัฐที่เอื้อ Shin Corp ทำให้บริษัทได้กำไรเพิ่ม ศาลยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทเป็นส่วนหนึ่ง .
    • ฝ่ายทักษิณ: อ้างว่าไม่รู้เห็นการใช้ nominee และนโยบายสัมปทานเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม ไม่ใช่ส่วนตัว คดีถูกกลั่นแกล้งจากศาลที่ตั้งโดยคณะรัฐประหาร
  • ผิดจริงหรือไม่: ผิดจริง หลักฐานการถือหุ้นผ่าน nominee และผลกระทบจากนโยบายรัฐต่อมูลค่าหุ้นของ Shin Corp มีเอกสารยืนยันชัดเจน แม้คดีซุกหุ้นครั้งแรกจะยกฟ้อง แต่หลักฐานใหม่หลังรัฐประหารแสดงความผิดเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม บริบททางการเมืองหลัง coup ทำให้บางคนมองว่าศาลอาจมี bias แต่ไม่ล้มล้างหลักฐานได้
สรุปโดยรวม: คดีเหล่านี้เกิดในช่วงหลังรัฐประหาร 2549 ซึ่งทักษิณและผู้สนับสนุนมองว่าเป็น "ตุลาการภิวัฒน์" หรือการใช้ศาลล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม หลักฐานในแต่ละคดี (เช่น เอกสารการเงิน นโยบายรัฐ และคำให้การ) ชี้ชัดถึงการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือครอบครัว จึงถือว่าทักษิณผิดจริงในทั้ง 3 คดี แต่ในระบบยุติธรรมไทยที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเป็นกลาง การตัดสินอาจได้รับอิทธิพลทางการเมือง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถตรวจสอบจากเว็บไซต์ศาลฎีกาหรือรายงานข่าวที่เป็นกลาง เพื่อยืนยันความเชื่อของท่านเอง

Monday, September 22, 2025

ก้าวต่อไปของเยาวชนไทย อย่าแค่เอาอย่างเนปาล แต่ต้องคิดสูงกว่านั้น

 

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 ตอนที่กระแสเยาวชนหัวก้าวหน้ากำลังแรงและลาม ผมได้เตือนให้นึกถึงทางหนีทีไล่และได้เสนอกรอบคิดสำหรับการทำขบวนการให้ยั่งยืนและเติบโต วันนี้ขอยกบันทึกนั้นมาว่าไว้ เพื่อให้เป็นประโยชน์ในการพิจารณาขณะที่การฟื้นของพลังเยาวชนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในที่สุด





Thursday, September 18, 2025

คันฉ่องส่องไทย: 19 ปีหลัง 19 กันยา (2549–2568/2025)

1) พิมพ์เขียวของการ “บอนไซ”

แนวคิด “เครือข่ายราชาธิปไตย” (network monarchy) ของ Duncan McCargo อธิบายโครงสร้างอำนาจที่ไม่ใช่แค่ตัวสถาบัน แต่คือเครือข่ายองคมนตรี ข้าราชการระดับสูง ศาล และกองทัพที่แทรกตัวในนโยบาย–ตุลาการ–ความมั่นคง เพื่อคานหรือกำกับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง 

2) เครื่องมือที่ใช้ตัดแต่งประชาธิปไตย

  • รัฐประหารซ้ำ: 19 ก.ย. 2549 โค่นรัฐบาลทักษิณ; 22 พ.ค. 2557 โค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์—ตอกย้ำวัฏจักรอำนาจนอกระบบ ทั้งยังสะสม “ทุนสถาบัน” ให้เครือข่ายเดิมกลับมากำหนดกติกาใหม่ได้เสมอ 

    ไทยมี ความพยายามรัฐประหารกว่า 20 ครั้ง และสำเร็จราว 13 ครั้ง นับแต่ 2475—สูงสุดประเทศหนึ่งของโลกสมัยใหม่ 

  • รัฐธรรมนูญแบบวางกับดัก: ฉบับ 2560 เปิดทาง วุฒิสภาแต่งตั้ง 250 คน ร่วมโหวตนายกฯ แม้แพ้เสียงประชาชนในสภาผู้แทนฯ ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเอนเข้าขั้วอนุรักษนิยมต่อเนื่อง 

  • ตุลาการภิวัฒน์: นายกฯ สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลวินิจฉัยพ้นตำแหน่งกรณีรายการทำอาหาร (9 ก.ย. 2551); ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกศาลสั่งพ้นจากตำแหน่ง (7 พ.ค. 2557) ฐานโยกย้ายนายข้าราชการความมั่นคง—การเมืองจึง “เปลี่ยนนายกฯ ทางศาล” บ่อยครั้ง 

  • วัตถุพยานชั้น “ยุบพรรค”: ยุบไทยรักษาชาติ (มี.ค. 2562); ยุบอนาคตใหม่ (ก.พ. 2563); และ ยุบก้าวไกล (7 ส.ค. 2567) จากนโยบายแก้ ม.112—รูปแบบซ้ำที่ทำให้ “พรรคใหญ่จากคะแนนประชาชน” ตกขอบสนามซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

  • กฎหมายหมิ่นฯ (ม.112) เป็นคมกรรไกร: ตั้งแต่ 2563–2567 มี อย่างน้อย 304 คดี ตามส統 TLHR; ผู้ถูกดำเนินคดีรวมคดีการเมืองเกือบ 2,000 คน/1,300 คดี สะท้อนการใช้ด่านอาญาคุมเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุม 

  • การใช้กำลัง/ปล่อยให้พ้นผิด: เหตุสลายการชุมนุมเม.ย.–พ.ค. 2553 มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย แต่การนำผู้มีอำนาจขึ้นรับผิดชอบไม่คืบหน้า—สิ่งที่องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกว่า “วงจรลอยนวลพ้นผิด” 

3) เส้นเรื่อง 19 ปี: จุดใหญ่ ๆ ที่เชื่อมอดีต–ปัจจุบัน

  1. รัฐประหาร 2549 เปลี่ยนโครงอำนาจ–รีเซ็ตกติกา (ยกรธน.ใหม่) เปิดทางการเมืองภายใต้ร่มเครือข่ายเดิมกลับมาคุมเกม, และ “ราชทหาร” กลายเป็นตัวแสดงนำอีกครั้ง 

  2. 2008–2014: ศาลการเมือง—สมัครพ้นเพราะ “พิธีกรทำกับข้าว”; 2557 ศาลปลด ยิ่งลักษณ์ และไม่กี่วันต่อมาทหารยึดอำนาจ ย้ำบทบาท “ศาล–ทหาร” เป็นคานการเมืองเลือกตั้ง 

  3. เลือกตั้ง 2562: เพื่อไทยได้ ส.ส.มากสุด 136 แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ขณะที่พลังประชารัฐได้ 116 ที่นั่งและได้เสียงจากวุฒิสภาแต่งตั้งช่วยโหวตนายกฯ—ชี้ชัด “กติกาเอียง” 

  4. ยุบอนาคตใหม่ 2563: ปลดล็อกขั้วฝ่ายก้าวหน้าด้วยเครื่องมือกฎหมายการเงินพรรค ควบคู่ยุทธศาสตร์ “เสียงข้างมากในสภา–เสียงข้างน้อยในอำนาจจริง” 

  5. เลือกตั้ง 2566: ก้าวไกลชนะมากสุด แต่ถูก วุฒิสภาแต่งตั้ง ขัดขวางการโหวตนายกฯ จนนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคอันดับสองแทน 

  6. วินิจฉัย ม.ค. 2567: ศาลสั่งก้าวไกล “เลิกผลักดันแก้ ม.112”—เปิดประตูสู่การ ยุบก้าวไกล (ส.ค. 2567) ในที่สุด; เป็นหมุดหมายที่ทำให้ “นโยบาย” กลายเป็น “ความผิด” ทางรัฐธรรมนูญได้ 

  7. กันยา 2568: ศาลวินิจฉัยว่า ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง หากจะยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่—ยืนยัน ‘กติกาเข้ม’ ต่อการปฏิรูปเชิงโครงสร้างผ่านเจตจำนงประชาชนโดยตรง 

  8. สิงหา 2568: ศาลปลด แพทองธาร ชินวัตร จากนายกฯ ด้วยเหตุผิดจริยธรรมจากสายตรงกับ ฮุน เซน—ต่อจิ๊กซอว์ “การคุมฝ่ายการเมืองผ่านตุลาการ” แบบต่อเนื่องในศตวรรษนี้ 


4) ภาพรวม “วันนี้”: ตัวเลขที่บอกสภาพโครงสร้าง

  • Freedom House 2024: ไทยขยับจาก “Not Free” เป็น “Partly Free” เพราะมีเลือกตั้งแข่งขันได้มากขึ้น—แต่ยังชี้ว่า วุฒิสภาแต่งตั้งขวางพรรคที่ชนะ ขึ้นเป็นรัฐบาลได้ 

  • Rule of Law (WJP) 2024: ไทยอยู่อันดับ 78 จาก 142 คะแนนรวม 0.50—ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกและภูมิภาค สะท้อนปัญหาหลักนิติธรรมเชิงโครงสร้าง 

  • เสรีภาพสื่อ (RSF): ปี 2024 ไทยอยู่อันดับ 87/180 และ 85/180 ในปี 2025 RSF ชี้บรรยากาศการเมือง–กฎหมาย (โดยเฉพาะ ม.112) ทำให้สื่อเผชิญแรงกดดันและการเซ็นเซอร์ตัวเองสูง 

  • คดีการเมือง–ม.112: อย่างน้อย 1,954 คน/1,299 คดี ตั้งแต่ปี 2563 (รวมทุกข้อหา) และ อย่างน้อย 304 คดี เฉพาะ ม.112—เป็นฐานข้อมูลที่ชี้ภาวะ “อาญาภิวัฒน์” ต่อเสรีภาพอย่างชัดเจน 


5) กว้างให้ไกล–ลึกให้ถึง: เพราะอะไร “แรงต้านยิ่งสูง กรรไกรยิ่งคม”

  1. สถาบันที่คุมจุดยุทธศาสตร์—กองทัพ, วุฒิสภาแต่งตั้ง, ศาลรัฐธรรมนูญ/องค์กรอิสระ—ถูกออกแบบให้ “คาน” รัฐบาลที่ชนะเลือกตั้งและตั้งกำแพงต่อการปฏิรูป เช่น ยุบพรรคจาก “นโยบาย” หรือกำหนดเงื่อนไขประชามติหลายชั้นในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ 

  2. การเมืองเชิงกฎหมาย (lawfare)—ทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อในศาล มากกว่าคูหาเลือกตั้ง ส่งผลให้ฝ่ายประชาชนหมดแรง–หมดทุนเร็ว ขณะที่เครือข่ายเดิมมีทรัพยากร–สถาบันรองรับ

  3. ความทรงจำแบบ “ลอยนวลพ้นผิด” จาก 2553 ทำให้การใช้กำลัง/คุมสื่อกลับมาได้ง่ายโดยไม่ต้องจ่ายต้นทุนความรับผิดมากนัก 


สรุปบทเรียนสำหรับคนไทยที่อยากเห็น “ประชาธิปไตยเต็มใบ”

ที่ผ่านมา “พลาดอะไร/ขาดอะไร”

  1. พึ่งผู้นำมากไป–สถาบันน้อยไป: ชนะเลือกตั้งแล้วไม่เร่ง ปลูกสถาบันคานอำนาจ ระดับท้องถิ่น/ชุมชน/สหภาพ/สื่อชุมชน ทำให้โดน “สับคันเร่ง” จากศาล–กองทัพได้ง่าย

  2. ปล่อยให้สนามกฎหมายเป็นของอีกฝ่าย: ขาดเครือข่ายทนาย สิทธิมนุษยชน นักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ขยายฐานความรู้สู่ประชาชนอย่างเป็นระบบ

  3. แนวร่วมแคบ: ติดกับดัก “สองขั้ว” จนไม่สร้างฉันทามติขั้นต่ำร่วมกันเรื่องสิทธิ–ศักดิ์ศรี–กติกายุติธรรม

  4. การสื่อสารเชิงข้อมูลไม่ต่อเนื่อง: ไม่มีแดชบอร์ดสาธารณะติดตามคดีการเมือง/สถิติละเมิดสิทธิให้เห็น “ต้นทุนที่ประชาชนจ่ายจริง”

  5. ไม่มีองค์การนำ ไม่มีเครือข่ายที่จับต้องได้ ไม่มีการจัดตั้ง หรือไม่มีองค์การปวงชนที่สามารถรวมพลังปวงชนโดยรวมได้จริง การเคลื่อนไหวจึงเป็นเพียงไฟไหม้ฟางและถูกดับง่าย จนเกือบมอดเป็นช่วง ๆ 


ควรทำอย่างไร “ต่อจากนี้”

  • เล่นเกมยาวด้วยสถาบันของประชาชน: สภาองค์กรพลเมืองท้องถิ่น–งบมีส่วนร่วม–สื่อชุมชน–สหภาพวิชาชีพ ทำให้การเมืองไม่ผูกกับบุคคล

  • ยึดกติกา–ตีความกติกา: ลงทุนสร้าง legal capacity (คลินิกกฎหมาย, ทนายอาสา, court-watch) ควบคู่ civic-tech (ฐานข้อมูลคดี 112/การชุมนุมแบบเรียลไทม์) เพื่อเปลี่ยน “สนามศาล” จากจุดอับเป็นจุดได้เปรียบ 

  • ขยายแนวร่วมข้ามความเห็น: วาง “ชุดขั้นต่ำร่วม” คือรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจประชาชนจริง, เลือกตั้งเสรีเป็นวาระแห่งชาติ, หลักนิติธรรม–สิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่ต่อรอง

  • ทำประชาธิปไตยให้จับต้องได้: ผูกโยงกับปากท้อง—จัดทำงบมีส่วนร่วม, สัญญาเลือกตั้งที่ตรวจสอบได้, กลไกถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น–ผู้แทนที่ผิดสัญญา

  • วินัยไม่ใช้ความรุนแรง + ความปลอดภัยดิจิทัล: ลดช่องให้ถูกปราบ–ถูกกล่าวหา และรักษากำลังคนระยะยาว

  • ระหว่างทางสู่รัฐธรรมนูญใหม่: เมื่อศาลบังคับ “ประชามติ 3 ครั้ง” ต้องวางยุทธศาสตร์สารพัดช่องทาง—การสื่อสารสาธารณะ, เครือข่ายลงพื้นที่, พันธมิตรวิชาชีพ—เพื่อให้ประชามติเป็น “เวทีให้กติกาเป็นของประชาชนจริง” ไม่ใช่พิธีกรรมทางกฎหมายอีกชั้น 


ใจความสุดท้าย: 19 ปีที่ผ่านมาแสดงชัดว่า ถ้าประชาธิปไตยเป็นแค่ “ต้นไม้กระถาง” ใครก็หยิบกรรไกรมาตัดได้ แต่หากเราปลูก “ราก” ผ่านสถาบันของประชาชน—ศาล–สภา–สื่อ–ชุมชนที่ตอบต่อประชาชน—เครือข่ายใดก็ “บอนไซ” ได้ยากลงเรื่อย ๆ


อ้างอิงหลัก: รัฐประหาร/ไทม์ไลน์ (Reuters)  ; ยุบพรรค (Reuters/PBS)  ; วุฒิสภาแต่งตั้งและผลต่อการตั้งรัฐบาล (Reuters)  ; ตัวเลข ม.112/คดีการเมือง (TLHR)  ; เสรีภาพ–นิติธรรม (Freedom House/WJP)  ; RSF 2024–25  ; คำวินิจฉัย “ประชามติ 3 ครั้ง” (The Nation/ThaiPBS)  ; กรณีปลดนายกฯ แพทองธาร (Reuters)  .


ยุทธศาสตร์ “ทวงคืนบากรัม” กับภูมิรัฐศาสตร์สหรัฐ-จีน-รัสเซีย


ทรัมพ์ประกาศในแถลงข่าวร่วมกับนายกฯ สตาร์เมอร์ว่าสหรัฐฯ “กำลังพยายามเอาฐานบากรัมคืน” โดยชูเหตุผลด้านระยะใกล้จีนและศักยภาพยุทธศาสตร์ของฐานนี้ หลังการถอนทัพปี 2021 ที่ปล่อยให้ตาลีบันยึดครองไป (ไม่มีรายละเอียดเรื่องการคุยกับตาลีบัน)    บากรัมเคยเป็นหัวใจปฏิบัติการของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน และถูกทิ้งในกรกฎา 2021 ตามกรอบข้อตกลง “โดฮา” ปี 2020 ที่เปิดทางสู่การถอนกำลังเต็มรูปแบบภายใน 14 เดือนและการปล่อยนักโทษตาลีบัน 5,000 คน (ข้อตกลงไม่พูดถึงการคงบากรัม) 

เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ชู

  • ทำเล/ระยะต่อจีน: บากรัมอยู่ไม่ไกลพรมแดนจีนบริเวณซินเจียงผ่าน “วาคานคอร์ริดอร์” (พรมแดนจีน-อัฟกานิสถานยาว ~92 กม.) ช่วยเพิ่มมิติข่าวกรอง/ข่มขวัญต่อทรัพย์สินยุทธศาสตร์ของจีนแถบนี้ เมื่อเทียบฐานสหรัฐฯ ในอินโด-แปซิฟิกที่ไกลกว่าอย่างมาก 

  • สกัด BRI/CPEC: จีนผลักดันเหมือง-โครงสร้างพื้นฐานในอัฟกานิสถาน และการต่อขยาย CPEC เชื่อมกวาดาร์-เอเชียกลาง หากสหรัฐฯ มีจุดยืนทางทหาร/ข่าวกรองในอัฟกานิสถาน จะเพิ่มอำนาจต่อรองต่อเส้นทางบกของจีน-ปากีสถาน 

  • คานรัสเซียในเอเชียกลาง: รัสเซียยังมีอิทธิพลความมั่นคงในเอเชียกลางผ่านเครือข่ายฐาน/พันธมิตรเดิม การกลับไปยืนใกล้ “หลังบ้าน” ของ CSTO จะเพิ่มแต้มต่อเชิงภูมิรัฐศาสตร์ให้วอชิงตัน (ท่ามกลางข้อจำกัดหลังปิดฐานคีร์กีซฯ/อุซเบกิสถานไปก่อนหน้า) 

ข้อจำกัด/อุปสรรคใหญ่

  1. อธิปไตยของตาลีบัน: จะกลับไปได้ต้องได้ “ยินยอม” โดยปริยายหรือกรอบข้อตกลงใหม่กับตาลีบัน (ซึ่งกำลังใกล้ชิดจีนมากขึ้น) มิฉะนั้นเสี่ยงเป็นการละเมิดอธิปไตยและจุดชนวนความไม่สงบรอบใหม่ 

  2. การเมืองภูมิภาค: ปากีสถาน (CPEC), จีน (ความมั่นคงซินเจียง/เหมือง), รัสเซีย (อิทธิพลในเอเชียกลาง), อิหร่าน (ชายแดนตะวันตก) ล้วนเป็น “วีโต้เพลเยอร์”

  3. โลจิสติกส์/เส้นทางส่งกำลัง: สหรัฐฯ ไม่มีฐานแนวหน้าในเอเชียกลางแล้ว การคงกำลังที่บากรัมต้องพึ่งเส้นทางบิน/บกผ่านปากีสถานหรือรัฐเอเชียกลาง—เสี่ยงถูก “ปิดคอขวด” ได้ทุกเมื่อ 

  4. ต้นทุนทางการเมือง: ภาพจำการถอนตัวปี 2021 และเหตุระเบิด Abbey Gate ทำให้การ “รีเอ็นทรี” ต้องอธิบายต่อสาธารณะอย่างหนักว่าคุ้มความเสี่ยง/ค่าใช้จ่ายหรือไม่ (ทรัมพ์ใช้ประเด็นนี้โจมตีไบเดนอยู่แล้ว) 


ฉากทัศน์ (3–4 แบบ ที่อาจจะเกิดขึ้น)

ฉากทัศน์ A: ดีลจำกัดกับตาลีบัน (“Bagram-lite”)

สหรัฐฯ ไม่ปักธงเต็มรูปแบบ แต่ได้สิทธิใช้งานบางส่วน: จุดเติมเชื้อเพลิง/ข่าวกรอง/โดรน แลกกับผ่อนคลายคว่ำบาตร/ความช่วยเหลือเศรษฐกิจ ตาลีบันรักษาหน้า-จีนยอมได้บางระดับถ้าคุมเงื่อนไขต่อต้านกลุ่มติดอาวุธในซินเจียงเข้มข้นขึ้น 


ฉากทัศน์ B: “ฐานร่วมมนุษยธรรม-ต่อต้านก่อการร้าย” หลายฝ่าย

กรอบพหุภาคีผ่านยูเอ็น/โอไอซี ใช้บากรัมเป็นฮับช่วยเหลือมนุษยธรรม-CT เฉพาะกิจ ลดธงชาติสหรัฐฯ ให้เป็น “นานาชาติ” ลดแรงเสียดทาน แต่ประสิทธิภาพด้านข่าวกรอง/ข่มขวัญจีน-รัสเซียจะลดลง


ฉากทัศน์ C: ไม่ได้ฐาน แต่ได้ “สิทธิบิน/สิทธิข่าวกรอง”

สหรัฐฯ ได้ corridor การบิน/การเข้าถึงทรัพย์สินข่าวกรองในอัฟกานิสถาน-ปากีสถานแทนการกลับไปตั้งฐานจริง ผลเชิงยุทธศาสตร์ปานกลางแต่เสี่ยงน้อยกว่า


ฉากทัศน์ D: ชนวนปะทุ

จีน-ปากีสถาน/รัสเซียใช้แรงกดดันรวม (การทูต-เศรษฐกิจ-ข่าวสาร) ให้ตาลีบัน “ห้าม” สหรัฐฯ กลับฐาน ทำให้วอชิงตันต้องถอยไปใช้ฐานห่างไกลเดิม และหันไปเพิ่มแรงกดในอินโด-แปซิฟิกแทน


ตัวชี้วัดที่ต้องจับตา (What to watch)

  • สัญญาณ “ช่องทางลับ” สหรัฐฯ-ตาลีบัน (เชิงดีลผ่อนคว่ำบาตร/ปล่อยตัว/แลกข่าวกรอง) 

  • ความคืบหน้า CPEC-Afghanistan และโครงการจีน (เช่น เหมือง Mes Aynak, เครือข่ายถนน-ทางรถไฟ Gwadar-Termez) ซึ่งยิ่งคืบ สหรัฐฯ ยิ่งมีแรงจูงใจกลับไปคานอิทธิพล 

  • ท่าทีรัสเซีย-จีนต่อ “สถานะทางกฎหมาย” ของกองกำลังต่างชาติในอัฟกานิสถาน (แรงกดดันผ่าน SCO/CSTO)

  • สัญญาณจากเพนตากอนเรื่องโลจิสติกส์: เส้นทางบิน, สิทธิ์ผ่านน่านฟ้า, ขีดความสามารถโดรน/ISR ระยะไกลแทนการตั้งฐาน

เราอาจสรุปได้ว่า การ“ทวงคืนบากรัม” คือการทวง “เลเวอเรจภาคพื้น” ใกล้ซินเจียง-เอเชียกลาง เพื่อกดดัน BRI/CPEC และคานอิทธิพลรัสเซีย แต่กุญแจเปิดประตูชื่อ ตาลีบัน—และเบื้องหลังคือ จีน-ปากีสถาน-รัสเซีย ที่ถือสิทธิยับยั้งทางภูมิรัฐศาสตร์อยู่ หากเกิดขึ้นจริง โฉมหน้าความมั่นคงแถบเอเชียกลางจะเปลี่ยนทันที; หากไม่สำเร็จ สหรัฐฯ น่าจะหันไป “ทางเลือกกึ่งไฮบริด” คือสิทธิข่าวกรอง-การบิน และเสริมแรงกดทางทะเล/อากาศฝั่งอินโด-แปซิฟิกควบคู่กันไป

Wednesday, September 17, 2025

ผลงานศาลรัฐธรรมนูญไทย ตั้งแต่ 2549 เป็นต้นมา

 

2549 (ค.ศ. 2006)

  • 8 พ.ค. 2549 — คำวินิจฉัยให้ “การเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549” เป็นโมฆะ

    เหตุผลหลัก: การจัดการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามหลักความเสมอภาค/เป็นวันเดียวกันทั่วประเทศ และมีปัญหาการจัดคูหาที่เปิดให้สังเกตหมายเลขได้ เป็นต้น (นำไปสู่วิกฤตทางการเมืองต่อเนื่องในปีเดียวกัน). 

2550 (ค.ศ. 2007) — 

คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ

  • 30 พ.ค. 2550 — “ยุบพรรคไทยรักไทย” และเพิกถอนสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหาร 111 คน 5 ปี

    คดีมาจากการทุจริตเลือกตั้ง/จ้างพรรคเล็กในการเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549; พรรคประชาธิปัตย์ “รอด” ไม่ถูกยุบในคดีเดียวกัน. 

2551 (ค.ศ. 2008)

  • 9 ก.ย. 2551 — ให้ “สมัคร สุนทรเวช” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    เหตุ: มีสัญญาจ้างทำรายการโทรทัศน์ (ถือเป็นลูกจ้างเอกชน ขัดคุณสมบัติ). 

  • 2 ธ.ค. 2551 — “ยุบพรรคพลังประชาชน, ชาติไทย, มัชฌิมาธิปไตย”

    เหตุ: ทุจริตเลือกตั้ง/คดีเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค—ทำให้นายกฯ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” พ้นตำแหน่งโดยผลของคำวินิจฉัย. 

2553 (ค.ศ. 2010)

  • ปลาย พ.ย.–ต้น ธ.ค. 2553 — “ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์”

    มติ 4–2 เหตุผลสำคัญ: ขั้นตอน/กำหนดยื่นคำร้องไม่ชอบ (พ้นกำหนด 15 วัน) จึงไม่วินิจฉัยประเด็นอื่น. 


2555 (ค.ศ. 2012)

  • 13 ก.ค. 2555 — คำวินิจฉัยที่ 18–22/2555 (คดีแก้รัฐธรรมนูญ ม.291/ม.68)

    ศาลยกคำร้อง “ล้มล้าง” แต่ “วางหลัก” ว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องผ่านประชามติ/ขั้นตอนที่เหมาะสมก่อน (เป็นจุดเริ่มของแนวทาง “ต้องมีประชามติ” หากจะยกร่างใหม่ทั้งฉบับ). 

2556 (ค.ศ. 2013)

  • 20 พ.ย. 2556 — แก้ที่มา “วุฒิสภาเลือกตั้งทั้งหมด” ขัดรัฐธรรมนูญ

    ศาลชี้กระบวนการตราและเนื้อหาแก้ไขไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (วุฒิสภาควรมีที่มาหลากหลาย/ตรวจถ่วงดุล).

2557 (ค.ศ. 2014)

  • 21 มี.ค. 2557 — “โมฆะการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557”

    ให้เหตุผลว่าไม่สามารถจัดให้ลงคะแนน “วันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร” ได้ และการจัดการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ. 

  • 7 พ.ค. 2557 — ให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    เหตุ: โยกย้ายเลขาธิการ สมช. (นายถวิล เปลี่ยนศรี) โดยมิชอบ ขัดหลักคุณธรรม/มาตรฐานจริยธรรม.

2562 (ค.ศ. 2019)

  • 7 มี.ค. 2562 — “ยุบพรรคไทยรักษาชาติ”

    เหตุ: เสนอชื่อทูลกระหม่อมอุบลรัตนฯ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ขัดหลักการปกครอง/สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ.

  • 11 ก.ย. 2562 — ไม่รับคำร้อง “ถวายสัตย์ไม่ครบ” (นายกฯ ประยุทธ์)

    ศาลชี้เป็นเรื่องการเมือง/อยู่นอกอำนาจวินิจฉัยของศาล. 

  • 18 ก.ย. 2562 — วินิจฉัย “ประยุทธ์” ในฐานะหัวหน้า คสช. ไม่ใช่ “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ”

    จึงไม่ติดลักษณะต้องห้าม เป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้. 

  • 20 พ.ย. 2562 — วินิจฉัย “ธนาธร” ขาดคุณสมบัติ ส.ส. (ถือหุ้นสื่อ V-Luck Media ณ วันสมัคร) พ้นสมาชิกภาพ ส.ส.

2563 (ค.ศ. 2020)

  • 21 ก.พ. 2563 — “ยุบพรรคอนาคตใหม่” + แบนกรรมการบริหาร 10 ปี

    เหตุ: เงินกู้จากหัวหน้าพรรคเป็น “เงินบริจาคเกินเพดาน/แหล่งที่มาไม่ชอบ” ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง. 

  • 2 ธ.ค. 2563 — คดีบ้านพักทหารของ “ประยุทธ์”

    วินิจฉัย “ไม่ผิด” — อยู่บ้านพักทหารได้ ไม่ขัดข้อห้ามรับประโยชน์.

2564 (ค.ศ. 2021)

  • 10 พ.ย. 2564 — คำวินิจฉัยที่ 19/2564

    ชี้ว่า “ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันฯ” ของแกนนำชุมนุม 10 สิงหา 2563 เข้าข่าย “ล้มล้างการปกครอง” และสั่ง “งดกระทำ” การดังกล่าว. 

2565 (ค.ศ. 2022)

  • 24 ส.ค. 2565 — ศาลรับคำร้อง “ครบ 8 ปี” และ “สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่” ชั่วคราว (ประยุทธ์);

    30 ก.ย. 2565 — วินิจฉัยนับวาระ 8 ปีตั้งแต่ 6 เม.ย. 2560 (รัฐธรรมนูญ 2560 มีผล) จึงยังดำรงตำแหน่งต่อได้จนถึงปี 2568. 

2566–2567 (ค.ศ. 2023–2024)

  • 24 ม.ค./3 เม.ย. 2567 — คดีหุ้นสื่อ iTV ของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”

    ศาลวินิจฉัยว่าไม่เป็น “สื่อ” ตามข้อห้ามในวันสมัคร ส.ส. (ยกคดี/ไม่ผิด). 

  • 31 ม.ค. 2567 — สั่ง “พรรคก้าวไกล” ยุติการผลักดันแก้ ม.112

    เหตุถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ (มาตรา 49) — คำสั่ง “ให้หยุดกระทำ”. 

  • 7 ส.ค. 2567 — “ยุบพรรคก้าวไกล” + แบนผู้บริหาร 10 ปี

    สืบเนื่องจากคดี 31 ม.ค. 2567 ข้างต้น. 

  • 14 ส.ค. 2567 — ให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    เหตุ: แต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” ทั้งที่มีลักษณะต้องห้าม/ขัดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง (มติ 5–4). 

2568 (ค.ศ. 2025)

  • 29 ส.ค. 2568 — ให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    เหตุหลัก: พฤติการณ์ขัดจริยธรรมร้ายแรงจากกรณีโทรศัพท์คุยกับ “ฮุน เซน” (มติ 6–3) — ศาลเห็นว่าไม่เหมาะสมต่อประโยชน์ชาติในภาวะวิกฤตชายแดน. 

  • 10 ก.ย. 2568 — วางหลัก “ทำรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง” ให้ประชาชนเห็นชอบ “จะยกร่างใหม่ทั้งฉบับหรือไม่”; 2) เห็นชอบ “ที่มา/องค์ประกอบ ส.ส.ร.”; 3) เห็นชอบ “ร่างฉบับสุดท้าย” ก่อนประกาศใช้. (เสียงข้างมาก 5–2 / รายงานข่าวระบุ 6–1 ในบางสำนัก). 

  • กรณี “ฮั้ว สว.” ที่เป็นข่าวล่าสุด

    1. คดี “ภูมิธรรม - ทวี”

      คำร้องกล่าวหา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าแทรกแซงฮั้วการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยใช้ DSI (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) เป็นเครื่องมือเพื่อแทรกแซง/ครอบงำการตรวจสอบของ กกต. ในกระบวนการเลือก ส.ว. 

      • ศาลรัฐธรรมนูญได้เรียกพยานบุคคลและเอกสารเพิ่มเติมภายใน 15 วัน เพื่อให้ชี้แจงประเด็นข้อเท็จจริงและความเห็นตามประเด็นที่ศาลกำหนด และเอกสารที่เกี่ยวข้องต้องรับรองความถูกต้อง 

      • นอกจากนี้ศาลอนุญาตให้ขยายเวลาในการจัดทำความเห็นและส่งเอกสารหลักฐาน เพื่อประโยชน์ในการพิจารณา คดีถอดถอน “ภูมิธรรม-ทวี” หลังถูกสมาชิกวุฒิสภา 92 คนยื่นเรื่อง 

    2. คดี “กกต. เอื้อภูมิใจไทย – เนวิน / เครือข่าย”

      • นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่ากกต. และเลขาธิการกกต. มีการจัดการเลือก ส.ว. ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม โดยเอื้อต่อพรรคภูมิใจไทยและนายเนวิน ชิดชอบ/เครือข่าย ฯลฯ 

      • ศาลรัฐธรรมนูญ มติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา คดีนี้