Monday, September 22, 2025
ก้าวต่อไปของเยาวชนไทย อย่าแค่เอาอย่างเนปาล แต่ต้องคิดสูงกว่านั้น
Thursday, September 18, 2025
คันฉ่องส่องไทย: 19 ปีหลัง 19 กันยา (2549–2568/2025)
1) พิมพ์เขียวของการ “บอนไซ”
แนวคิด “เครือข่ายราชาธิปไตย” (network monarchy) ของ Duncan McCargo อธิบายโครงสร้างอำนาจที่ไม่ใช่แค่ตัวสถาบัน แต่คือเครือข่ายองคมนตรี ข้าราชการระดับสูง ศาล และกองทัพที่แทรกตัวในนโยบาย–ตุลาการ–ความมั่นคง เพื่อคานหรือกำกับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
2) เครื่องมือที่ใช้ตัดแต่งประชาธิปไตย
-
รัฐประหารซ้ำ: 19 ก.ย. 2549 โค่นรัฐบาลทักษิณ; 22 พ.ค. 2557 โค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์—ตอกย้ำวัฏจักรอำนาจนอกระบบ ทั้งยังสะสม “ทุนสถาบัน” ให้เครือข่ายเดิมกลับมากำหนดกติกาใหม่ได้เสมอ
ไทยมี ความพยายามรัฐประหารกว่า 20 ครั้ง และสำเร็จราว 13 ครั้ง นับแต่ 2475—สูงสุดประเทศหนึ่งของโลกสมัยใหม่
-
รัฐธรรมนูญแบบวางกับดัก: ฉบับ 2560 เปิดทาง วุฒิสภาแต่งตั้ง 250 คน ร่วมโหวตนายกฯ แม้แพ้เสียงประชาชนในสภาผู้แทนฯ ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเอนเข้าขั้วอนุรักษนิยมต่อเนื่อง
-
ตุลาการภิวัฒน์: นายกฯ สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลวินิจฉัยพ้นตำแหน่งกรณีรายการทำอาหาร (9 ก.ย. 2551); ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกศาลสั่งพ้นจากตำแหน่ง (7 พ.ค. 2557) ฐานโยกย้ายนายข้าราชการความมั่นคง—การเมืองจึง “เปลี่ยนนายกฯ ทางศาล” บ่อยครั้ง
-
วัตถุพยานชั้น “ยุบพรรค”: ยุบไทยรักษาชาติ (มี.ค. 2562); ยุบอนาคตใหม่ (ก.พ. 2563); และ ยุบก้าวไกล (7 ส.ค. 2567) จากนโยบายแก้ ม.112—รูปแบบซ้ำที่ทำให้ “พรรคใหญ่จากคะแนนประชาชน” ตกขอบสนามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
-
กฎหมายหมิ่นฯ (ม.112) เป็นคมกรรไกร: ตั้งแต่ 2563–2567 มี อย่างน้อย 304 คดี ตามส統 TLHR; ผู้ถูกดำเนินคดีรวมคดีการเมืองเกือบ 2,000 คน/1,300 คดี สะท้อนการใช้ด่านอาญาคุมเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุม
-
การใช้กำลัง/ปล่อยให้พ้นผิด: เหตุสลายการชุมนุมเม.ย.–พ.ค. 2553 มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย แต่การนำผู้มีอำนาจขึ้นรับผิดชอบไม่คืบหน้า—สิ่งที่องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกว่า “วงจรลอยนวลพ้นผิด”
3) เส้นเรื่อง 19 ปี: จุดใหญ่ ๆ ที่เชื่อมอดีต–ปัจจุบัน
-
รัฐประหาร 2549 เปลี่ยนโครงอำนาจ–รีเซ็ตกติกา (ยกรธน.ใหม่) เปิดทางการเมืองภายใต้ร่มเครือข่ายเดิมกลับมาคุมเกม, และ “ราชทหาร” กลายเป็นตัวแสดงนำอีกครั้ง
-
2008–2014: ศาลการเมือง—สมัครพ้นเพราะ “พิธีกรทำกับข้าว”; 2557 ศาลปลด ยิ่งลักษณ์ และไม่กี่วันต่อมาทหารยึดอำนาจ ย้ำบทบาท “ศาล–ทหาร” เป็นคานการเมืองเลือกตั้ง
-
เลือกตั้ง 2562: เพื่อไทยได้ ส.ส.มากสุด 136 แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ขณะที่พลังประชารัฐได้ 116 ที่นั่งและได้เสียงจากวุฒิสภาแต่งตั้งช่วยโหวตนายกฯ—ชี้ชัด “กติกาเอียง”
-
ยุบอนาคตใหม่ 2563: ปลดล็อกขั้วฝ่ายก้าวหน้าด้วยเครื่องมือกฎหมายการเงินพรรค ควบคู่ยุทธศาสตร์ “เสียงข้างมากในสภา–เสียงข้างน้อยในอำนาจจริง”
-
เลือกตั้ง 2566: ก้าวไกลชนะมากสุด แต่ถูก วุฒิสภาแต่งตั้ง ขัดขวางการโหวตนายกฯ จนนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคอันดับสองแทน
-
วินิจฉัย ม.ค. 2567: ศาลสั่งก้าวไกล “เลิกผลักดันแก้ ม.112”—เปิดประตูสู่การ ยุบก้าวไกล (ส.ค. 2567) ในที่สุด; เป็นหมุดหมายที่ทำให้ “นโยบาย” กลายเป็น “ความผิด” ทางรัฐธรรมนูญได้
-
กันยา 2568: ศาลวินิจฉัยว่า ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง หากจะยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่—ยืนยัน ‘กติกาเข้ม’ ต่อการปฏิรูปเชิงโครงสร้างผ่านเจตจำนงประชาชนโดยตรง
-
สิงหา 2568: ศาลปลด แพทองธาร ชินวัตร จากนายกฯ ด้วยเหตุผิดจริยธรรมจากสายตรงกับ ฮุน เซน—ต่อจิ๊กซอว์ “การคุมฝ่ายการเมืองผ่านตุลาการ” แบบต่อเนื่องในศตวรรษนี้
4) ภาพรวม “วันนี้”: ตัวเลขที่บอกสภาพโครงสร้าง
-
Freedom House 2024: ไทยขยับจาก “Not Free” เป็น “Partly Free” เพราะมีเลือกตั้งแข่งขันได้มากขึ้น—แต่ยังชี้ว่า วุฒิสภาแต่งตั้งขวางพรรคที่ชนะ ขึ้นเป็นรัฐบาลได้
-
Rule of Law (WJP) 2024: ไทยอยู่อันดับ 78 จาก 142 คะแนนรวม 0.50—ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกและภูมิภาค สะท้อนปัญหาหลักนิติธรรมเชิงโครงสร้าง
-
เสรีภาพสื่อ (RSF): ปี 2024 ไทยอยู่อันดับ 87/180 และ 85/180 ในปี 2025 RSF ชี้บรรยากาศการเมือง–กฎหมาย (โดยเฉพาะ ม.112) ทำให้สื่อเผชิญแรงกดดันและการเซ็นเซอร์ตัวเองสูง
-
คดีการเมือง–ม.112: อย่างน้อย 1,954 คน/1,299 คดี ตั้งแต่ปี 2563 (รวมทุกข้อหา) และ อย่างน้อย 304 คดี เฉพาะ ม.112—เป็นฐานข้อมูลที่ชี้ภาวะ “อาญาภิวัฒน์” ต่อเสรีภาพอย่างชัดเจน
5) กว้างให้ไกล–ลึกให้ถึง: เพราะอะไร “แรงต้านยิ่งสูง กรรไกรยิ่งคม”
-
สถาบันที่คุมจุดยุทธศาสตร์—กองทัพ, วุฒิสภาแต่งตั้ง, ศาลรัฐธรรมนูญ/องค์กรอิสระ—ถูกออกแบบให้ “คาน” รัฐบาลที่ชนะเลือกตั้งและตั้งกำแพงต่อการปฏิรูป เช่น ยุบพรรคจาก “นโยบาย” หรือกำหนดเงื่อนไขประชามติหลายชั้นในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
-
การเมืองเชิงกฎหมาย (lawfare)—ทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อในศาล มากกว่าคูหาเลือกตั้ง ส่งผลให้ฝ่ายประชาชนหมดแรง–หมดทุนเร็ว ขณะที่เครือข่ายเดิมมีทรัพยากร–สถาบันรองรับ
-
ความทรงจำแบบ “ลอยนวลพ้นผิด” จาก 2553 ทำให้การใช้กำลัง/คุมสื่อกลับมาได้ง่ายโดยไม่ต้องจ่ายต้นทุนความรับผิดมากนัก
สรุปบทเรียนสำหรับคนไทยที่อยากเห็น “ประชาธิปไตยเต็มใบ”
ที่ผ่านมา “พลาดอะไร/ขาดอะไร”
-
พึ่งผู้นำมากไป–สถาบันน้อยไป: ชนะเลือกตั้งแล้วไม่เร่ง ปลูกสถาบันคานอำนาจ ระดับท้องถิ่น/ชุมชน/สหภาพ/สื่อชุมชน ทำให้โดน “สับคันเร่ง” จากศาล–กองทัพได้ง่าย
-
ปล่อยให้สนามกฎหมายเป็นของอีกฝ่าย: ขาดเครือข่ายทนาย สิทธิมนุษยชน นักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ขยายฐานความรู้สู่ประชาชนอย่างเป็นระบบ
-
แนวร่วมแคบ: ติดกับดัก “สองขั้ว” จนไม่สร้างฉันทามติขั้นต่ำร่วมกันเรื่องสิทธิ–ศักดิ์ศรี–กติกายุติธรรม
-
การสื่อสารเชิงข้อมูลไม่ต่อเนื่อง: ไม่มีแดชบอร์ดสาธารณะติดตามคดีการเมือง/สถิติละเมิดสิทธิให้เห็น “ต้นทุนที่ประชาชนจ่ายจริง”
ไม่มีองค์การนำ ไม่มีเครือข่ายที่จับต้องได้ ไม่มีการจัดตั้ง หรือไม่มีองค์การปวงชนที่สามารถรวมพลังปวงชนโดยรวมได้จริง การเคลื่อนไหวจึงเป็นเพียงไฟไหม้ฟางและถูกดับง่าย จนเกือบมอดเป็นช่วง ๆ
ควรทำอย่างไร “ต่อจากนี้”
-
เล่นเกมยาวด้วยสถาบันของประชาชน: สภาองค์กรพลเมืองท้องถิ่น–งบมีส่วนร่วม–สื่อชุมชน–สหภาพวิชาชีพ ทำให้การเมืองไม่ผูกกับบุคคล
-
ยึดกติกา–ตีความกติกา: ลงทุนสร้าง legal capacity (คลินิกกฎหมาย, ทนายอาสา, court-watch) ควบคู่ civic-tech (ฐานข้อมูลคดี 112/การชุมนุมแบบเรียลไทม์) เพื่อเปลี่ยน “สนามศาล” จากจุดอับเป็นจุดได้เปรียบ
-
ขยายแนวร่วมข้ามความเห็น: วาง “ชุดขั้นต่ำร่วม” คือรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจประชาชนจริง, เลือกตั้งเสรีเป็นวาระแห่งชาติ, หลักนิติธรรม–สิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่ต่อรอง
-
ทำประชาธิปไตยให้จับต้องได้: ผูกโยงกับปากท้อง—จัดทำงบมีส่วนร่วม, สัญญาเลือกตั้งที่ตรวจสอบได้, กลไกถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น–ผู้แทนที่ผิดสัญญา
-
วินัยไม่ใช้ความรุนแรง + ความปลอดภัยดิจิทัล: ลดช่องให้ถูกปราบ–ถูกกล่าวหา และรักษากำลังคนระยะยาว
-
ระหว่างทางสู่รัฐธรรมนูญใหม่: เมื่อศาลบังคับ “ประชามติ 3 ครั้ง” ต้องวางยุทธศาสตร์สารพัดช่องทาง—การสื่อสารสาธารณะ, เครือข่ายลงพื้นที่, พันธมิตรวิชาชีพ—เพื่อให้ประชามติเป็น “เวทีให้กติกาเป็นของประชาชนจริง” ไม่ใช่พิธีกรรมทางกฎหมายอีกชั้น
ใจความสุดท้าย: 19 ปีที่ผ่านมาแสดงชัดว่า ถ้าประชาธิปไตยเป็นแค่ “ต้นไม้กระถาง” ใครก็หยิบกรรไกรมาตัดได้ แต่หากเราปลูก “ราก” ผ่านสถาบันของประชาชน—ศาล–สภา–สื่อ–ชุมชนที่ตอบต่อประชาชน—เครือข่ายใดก็ “บอนไซ” ได้ยากลงเรื่อย ๆ
อ้างอิงหลัก: รัฐประหาร/ไทม์ไลน์ (Reuters) ; ยุบพรรค (Reuters/PBS) ; วุฒิสภาแต่งตั้งและผลต่อการตั้งรัฐบาล (Reuters) ; ตัวเลข ม.112/คดีการเมือง (TLHR) ; เสรีภาพ–นิติธรรม (Freedom House/WJP) ; RSF 2024–25 ; คำวินิจฉัย “ประชามติ 3 ครั้ง” (The Nation/ThaiPBS) ; กรณีปลดนายกฯ แพทองธาร (Reuters) .
ยุทธศาสตร์ “ทวงคืนบากรัม” กับภูมิรัฐศาสตร์สหรัฐ-จีน-รัสเซีย
ทรัมพ์ประกาศในแถลงข่าวร่วมกับนายกฯ สตาร์เมอร์ว่าสหรัฐฯ “กำลังพยายามเอาฐานบากรัมคืน” โดยชูเหตุผลด้านระยะใกล้จีนและศักยภาพยุทธศาสตร์ของฐานนี้ หลังการถอนทัพปี 2021 ที่ปล่อยให้ตาลีบันยึดครองไป (ไม่มีรายละเอียดเรื่องการคุยกับตาลีบัน) บากรัมเคยเป็นหัวใจปฏิบัติการของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน และถูกทิ้งในกรกฎา 2021 ตามกรอบข้อตกลง “โดฮา” ปี 2020 ที่เปิดทางสู่การถอนกำลังเต็มรูปแบบภายใน 14 เดือนและการปล่อยนักโทษตาลีบัน 5,000 คน (ข้อตกลงไม่พูดถึงการคงบากรัม)
เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ชู
-
ทำเล/ระยะต่อจีน: บากรัมอยู่ไม่ไกลพรมแดนจีนบริเวณซินเจียงผ่าน “วาคานคอร์ริดอร์” (พรมแดนจีน-อัฟกานิสถานยาว ~92 กม.) ช่วยเพิ่มมิติข่าวกรอง/ข่มขวัญต่อทรัพย์สินยุทธศาสตร์ของจีนแถบนี้ เมื่อเทียบฐานสหรัฐฯ ในอินโด-แปซิฟิกที่ไกลกว่าอย่างมาก
-
สกัด BRI/CPEC: จีนผลักดันเหมือง-โครงสร้างพื้นฐานในอัฟกานิสถาน และการต่อขยาย CPEC เชื่อมกวาดาร์-เอเชียกลาง หากสหรัฐฯ มีจุดยืนทางทหาร/ข่าวกรองในอัฟกานิสถาน จะเพิ่มอำนาจต่อรองต่อเส้นทางบกของจีน-ปากีสถาน
-
คานรัสเซียในเอเชียกลาง: รัสเซียยังมีอิทธิพลความมั่นคงในเอเชียกลางผ่านเครือข่ายฐาน/พันธมิตรเดิม การกลับไปยืนใกล้ “หลังบ้าน” ของ CSTO จะเพิ่มแต้มต่อเชิงภูมิรัฐศาสตร์ให้วอชิงตัน (ท่ามกลางข้อจำกัดหลังปิดฐานคีร์กีซฯ/อุซเบกิสถานไปก่อนหน้า)
ข้อจำกัด/อุปสรรคใหญ่
-
อธิปไตยของตาลีบัน: จะกลับไปได้ต้องได้ “ยินยอม” โดยปริยายหรือกรอบข้อตกลงใหม่กับตาลีบัน (ซึ่งกำลังใกล้ชิดจีนมากขึ้น) มิฉะนั้นเสี่ยงเป็นการละเมิดอธิปไตยและจุดชนวนความไม่สงบรอบใหม่
-
การเมืองภูมิภาค: ปากีสถาน (CPEC), จีน (ความมั่นคงซินเจียง/เหมือง), รัสเซีย (อิทธิพลในเอเชียกลาง), อิหร่าน (ชายแดนตะวันตก) ล้วนเป็น “วีโต้เพลเยอร์”
-
โลจิสติกส์/เส้นทางส่งกำลัง: สหรัฐฯ ไม่มีฐานแนวหน้าในเอเชียกลางแล้ว การคงกำลังที่บากรัมต้องพึ่งเส้นทางบิน/บกผ่านปากีสถานหรือรัฐเอเชียกลาง—เสี่ยงถูก “ปิดคอขวด” ได้ทุกเมื่อ
-
ต้นทุนทางการเมือง: ภาพจำการถอนตัวปี 2021 และเหตุระเบิด Abbey Gate ทำให้การ “รีเอ็นทรี” ต้องอธิบายต่อสาธารณะอย่างหนักว่าคุ้มความเสี่ยง/ค่าใช้จ่ายหรือไม่ (ทรัมพ์ใช้ประเด็นนี้โจมตีไบเดนอยู่แล้ว)
ฉากทัศน์ (3–4 แบบ ที่อาจจะเกิดขึ้น)
ฉากทัศน์ A: ดีลจำกัดกับตาลีบัน (“Bagram-lite”)
สหรัฐฯ ไม่ปักธงเต็มรูปแบบ แต่ได้สิทธิใช้งานบางส่วน: จุดเติมเชื้อเพลิง/ข่าวกรอง/โดรน แลกกับผ่อนคลายคว่ำบาตร/ความช่วยเหลือเศรษฐกิจ ตาลีบันรักษาหน้า-จีนยอมได้บางระดับถ้าคุมเงื่อนไขต่อต้านกลุ่มติดอาวุธในซินเจียงเข้มข้นขึ้น
ฉากทัศน์ B: “ฐานร่วมมนุษยธรรม-ต่อต้านก่อการร้าย” หลายฝ่าย
กรอบพหุภาคีผ่านยูเอ็น/โอไอซี ใช้บากรัมเป็นฮับช่วยเหลือมนุษยธรรม-CT เฉพาะกิจ ลดธงชาติสหรัฐฯ ให้เป็น “นานาชาติ” ลดแรงเสียดทาน แต่ประสิทธิภาพด้านข่าวกรอง/ข่มขวัญจีน-รัสเซียจะลดลง
ฉากทัศน์ C: ไม่ได้ฐาน แต่ได้ “สิทธิบิน/สิทธิข่าวกรอง”
สหรัฐฯ ได้ corridor การบิน/การเข้าถึงทรัพย์สินข่าวกรองในอัฟกานิสถาน-ปากีสถานแทนการกลับไปตั้งฐานจริง ผลเชิงยุทธศาสตร์ปานกลางแต่เสี่ยงน้อยกว่า
ฉากทัศน์ D: ชนวนปะทุ
จีน-ปากีสถาน/รัสเซียใช้แรงกดดันรวม (การทูต-เศรษฐกิจ-ข่าวสาร) ให้ตาลีบัน “ห้าม” สหรัฐฯ กลับฐาน ทำให้วอชิงตันต้องถอยไปใช้ฐานห่างไกลเดิม และหันไปเพิ่มแรงกดในอินโด-แปซิฟิกแทน
ตัวชี้วัดที่ต้องจับตา (What to watch)
-
สัญญาณ “ช่องทางลับ” สหรัฐฯ-ตาลีบัน (เชิงดีลผ่อนคว่ำบาตร/ปล่อยตัว/แลกข่าวกรอง)
-
ความคืบหน้า CPEC-Afghanistan และโครงการจีน (เช่น เหมือง Mes Aynak, เครือข่ายถนน-ทางรถไฟ Gwadar-Termez) ซึ่งยิ่งคืบ สหรัฐฯ ยิ่งมีแรงจูงใจกลับไปคานอิทธิพล
-
ท่าทีรัสเซีย-จีนต่อ “สถานะทางกฎหมาย” ของกองกำลังต่างชาติในอัฟกานิสถาน (แรงกดดันผ่าน SCO/CSTO)
-
สัญญาณจากเพนตากอนเรื่องโลจิสติกส์: เส้นทางบิน, สิทธิ์ผ่านน่านฟ้า, ขีดความสามารถโดรน/ISR ระยะไกลแทนการตั้งฐาน
เราอาจสรุปได้ว่า การ“ทวงคืนบากรัม” คือการทวง “เลเวอเรจภาคพื้น” ใกล้ซินเจียง-เอเชียกลาง เพื่อกดดัน BRI/CPEC และคานอิทธิพลรัสเซีย แต่กุญแจเปิดประตูชื่อ ตาลีบัน—และเบื้องหลังคือ จีน-ปากีสถาน-รัสเซีย ที่ถือสิทธิยับยั้งทางภูมิรัฐศาสตร์อยู่ หากเกิดขึ้นจริง โฉมหน้าความมั่นคงแถบเอเชียกลางจะเปลี่ยนทันที; หากไม่สำเร็จ สหรัฐฯ น่าจะหันไป “ทางเลือกกึ่งไฮบริด” คือสิทธิข่าวกรอง-การบิน และเสริมแรงกดทางทะเล/อากาศฝั่งอินโด-แปซิฟิกควบคู่กันไป
Wednesday, September 17, 2025
ผลงานศาลรัฐธรรมนูญไทย ตั้งแต่ 2549 เป็นต้นมา
2549 (ค.ศ. 2006)
-
8 พ.ค. 2549 — คำวินิจฉัยให้ “การเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549” เป็นโมฆะ
เหตุผลหลัก: การจัดการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามหลักความเสมอภาค/เป็นวันเดียวกันทั่วประเทศ และมีปัญหาการจัดคูหาที่เปิดให้สังเกตหมายเลขได้ เป็นต้น (นำไปสู่วิกฤตทางการเมืองต่อเนื่องในปีเดียวกัน).
2550 (ค.ศ. 2007) —
คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ
-
30 พ.ค. 2550 — “ยุบพรรคไทยรักไทย” และเพิกถอนสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหาร 111 คน 5 ปี
คดีมาจากการทุจริตเลือกตั้ง/จ้างพรรคเล็กในการเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549; พรรคประชาธิปัตย์ “รอด” ไม่ถูกยุบในคดีเดียวกัน.
2551 (ค.ศ. 2008)
-
9 ก.ย. 2551 — ให้ “สมัคร สุนทรเวช” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เหตุ: มีสัญญาจ้างทำรายการโทรทัศน์ (ถือเป็นลูกจ้างเอกชน ขัดคุณสมบัติ).
-
2 ธ.ค. 2551 — “ยุบพรรคพลังประชาชน, ชาติไทย, มัชฌิมาธิปไตย”
เหตุ: ทุจริตเลือกตั้ง/คดีเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค—ทำให้นายกฯ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” พ้นตำแหน่งโดยผลของคำวินิจฉัย.
2553 (ค.ศ. 2010)
-
ปลาย พ.ย.–ต้น ธ.ค. 2553 — “ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์”
มติ 4–2 เหตุผลสำคัญ: ขั้นตอน/กำหนดยื่นคำร้องไม่ชอบ (พ้นกำหนด 15 วัน) จึงไม่วินิจฉัยประเด็นอื่น.
2555 (ค.ศ. 2012)
-
13 ก.ค. 2555 — คำวินิจฉัยที่ 18–22/2555 (คดีแก้รัฐธรรมนูญ ม.291/ม.68)
ศาลยกคำร้อง “ล้มล้าง” แต่ “วางหลัก” ว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องผ่านประชามติ/ขั้นตอนที่เหมาะสมก่อน (เป็นจุดเริ่มของแนวทาง “ต้องมีประชามติ” หากจะยกร่างใหม่ทั้งฉบับ).
2556 (ค.ศ. 2013)
-
20 พ.ย. 2556 — แก้ที่มา “วุฒิสภาเลือกตั้งทั้งหมด” ขัดรัฐธรรมนูญ
ศาลชี้กระบวนการตราและเนื้อหาแก้ไขไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (วุฒิสภาควรมีที่มาหลากหลาย/ตรวจถ่วงดุล).
2557 (ค.ศ. 2014)
-
21 มี.ค. 2557 — “โมฆะการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557”
ให้เหตุผลว่าไม่สามารถจัดให้ลงคะแนน “วันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร” ได้ และการจัดการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ.
-
7 พ.ค. 2557 — ให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เหตุ: โยกย้ายเลขาธิการ สมช. (นายถวิล เปลี่ยนศรี) โดยมิชอบ ขัดหลักคุณธรรม/มาตรฐานจริยธรรม.
2562 (ค.ศ. 2019)
-
7 มี.ค. 2562 — “ยุบพรรคไทยรักษาชาติ”
เหตุ: เสนอชื่อทูลกระหม่อมอุบลรัตนฯ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ขัดหลักการปกครอง/สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ.
-
11 ก.ย. 2562 — ไม่รับคำร้อง “ถวายสัตย์ไม่ครบ” (นายกฯ ประยุทธ์)
ศาลชี้เป็นเรื่องการเมือง/อยู่นอกอำนาจวินิจฉัยของศาล.
-
18 ก.ย. 2562 — วินิจฉัย “ประยุทธ์” ในฐานะหัวหน้า คสช. ไม่ใช่ “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ”
จึงไม่ติดลักษณะต้องห้าม เป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้.
-
20 พ.ย. 2562 — วินิจฉัย “ธนาธร” ขาดคุณสมบัติ ส.ส. (ถือหุ้นสื่อ V-Luck Media ณ วันสมัคร) พ้นสมาชิกภาพ ส.ส.
2563 (ค.ศ. 2020)
-
21 ก.พ. 2563 — “ยุบพรรคอนาคตใหม่” + แบนกรรมการบริหาร 10 ปี
เหตุ: เงินกู้จากหัวหน้าพรรคเป็น “เงินบริจาคเกินเพดาน/แหล่งที่มาไม่ชอบ” ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง.
-
2 ธ.ค. 2563 — คดีบ้านพักทหารของ “ประยุทธ์”
วินิจฉัย “ไม่ผิด” — อยู่บ้านพักทหารได้ ไม่ขัดข้อห้ามรับประโยชน์.
2564 (ค.ศ. 2021)
-
10 พ.ย. 2564 — คำวินิจฉัยที่ 19/2564
ชี้ว่า “ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันฯ” ของแกนนำชุมนุม 10 สิงหา 2563 เข้าข่าย “ล้มล้างการปกครอง” และสั่ง “งดกระทำ” การดังกล่าว.
2565 (ค.ศ. 2022)
-
24 ส.ค. 2565 — ศาลรับคำร้อง “ครบ 8 ปี” และ “สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่” ชั่วคราว (ประยุทธ์);
30 ก.ย. 2565 — วินิจฉัยนับวาระ 8 ปีตั้งแต่ 6 เม.ย. 2560 (รัฐธรรมนูญ 2560 มีผล) จึงยังดำรงตำแหน่งต่อได้จนถึงปี 2568.
2566–2567 (ค.ศ. 2023–2024)
-
24 ม.ค./3 เม.ย. 2567 — คดีหุ้นสื่อ iTV ของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”
ศาลวินิจฉัยว่าไม่เป็น “สื่อ” ตามข้อห้ามในวันสมัคร ส.ส. (ยกคดี/ไม่ผิด).
-
31 ม.ค. 2567 — สั่ง “พรรคก้าวไกล” ยุติการผลักดันแก้ ม.112
เหตุถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ (มาตรา 49) — คำสั่ง “ให้หยุดกระทำ”.
-
7 ส.ค. 2567 — “ยุบพรรคก้าวไกล” + แบนผู้บริหาร 10 ปี
สืบเนื่องจากคดี 31 ม.ค. 2567 ข้างต้น.
-
14 ส.ค. 2567 — ให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เหตุ: แต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” ทั้งที่มีลักษณะต้องห้าม/ขัดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง (มติ 5–4).
2568 (ค.ศ. 2025)
-
29 ส.ค. 2568 — ให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เหตุหลัก: พฤติการณ์ขัดจริยธรรมร้ายแรงจากกรณีโทรศัพท์คุยกับ “ฮุน เซน” (มติ 6–3) — ศาลเห็นว่าไม่เหมาะสมต่อประโยชน์ชาติในภาวะวิกฤตชายแดน.
-
10 ก.ย. 2568 — วางหลัก “ทำรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง” ให้ประชาชนเห็นชอบ “จะยกร่างใหม่ทั้งฉบับหรือไม่”; 2) เห็นชอบ “ที่มา/องค์ประกอบ ส.ส.ร.”; 3) เห็นชอบ “ร่างฉบับสุดท้าย” ก่อนประกาศใช้. (เสียงข้างมาก 5–2 / รายงานข่าวระบุ 6–1 ในบางสำนัก).
กรณี “ฮั้ว สว.” ที่เป็นข่าวล่าสุด
-
คดี “ภูมิธรรม - ทวี”
คำร้องกล่าวหา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าแทรกแซงฮั้วการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยใช้ DSI (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) เป็นเครื่องมือเพื่อแทรกแซง/ครอบงำการตรวจสอบของ กกต. ในกระบวนการเลือก ส.ว.
-
ศาลรัฐธรรมนูญได้เรียกพยานบุคคลและเอกสารเพิ่มเติมภายใน 15 วัน เพื่อให้ชี้แจงประเด็นข้อเท็จจริงและความเห็นตามประเด็นที่ศาลกำหนด และเอกสารที่เกี่ยวข้องต้องรับรองความถูกต้อง
-
นอกจากนี้ศาลอนุญาตให้ขยายเวลาในการจัดทำความเห็นและส่งเอกสารหลักฐาน เพื่อประโยชน์ในการพิจารณา คดีถอดถอน “ภูมิธรรม-ทวี” หลังถูกสมาชิกวุฒิสภา 92 คนยื่นเรื่อง
-
-
คดี “กกต. เอื้อภูมิใจไทย – เนวิน / เครือข่าย”
-
นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่ากกต. และเลขาธิการกกต. มีการจัดการเลือก ส.ว. ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม โดยเอื้อต่อพรรคภูมิใจไทยและนายเนวิน ชิดชอบ/เครือข่าย ฯลฯ
-
ศาลรัฐธรรมนูญ มติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา คดีนี้
-
-
Tuesday, September 16, 2025
รายงานวิเคราะห์เชิงลึก: แนวโน้มการเมืองไทยในยุครัชกาลที่ 10 (วชิราลงกรณ์)
รายงานวิเคราะห์เชิงลึก: แนวโน้มการเมืองไทยในยุครัชกาลที่ 10 (วชิราลงกรณ์)
สรุปผู้บริหาร (Executive Summary)
ยุคนี้เห็น “สองแรงสวนทาง” ชัดเจน:
(1) การรวมศูนย์อำนาจของสถาบัน+เครือข่ายรัฐ (ทหาร-ศาล-กฎหมายพิเศษ-งบประมาณเกี่ยวเนื่องราชสำนัก) ที่แน่นขึ้น, และ
(2) การตื่นตัวและขยายเพดานถกเถียงของสังคม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา
ผลลัพธ์คือประชาธิปไตยเชิงพิธีกรรมยังดำเนิน แต่สาระของการแข่งขันเชิงนโยบายถูกจำกัดด้วยกติกาและเครื่องมือทางอำนาจจำนวนมาก ตั้งแต่โครงสร้างวุฒิสภาแต่งตั้ง, การยุบพรรค, จนถึงการบังคับใช้ ม.112 ที่เข้มข้นกว่าทศวรรษก่อนหน้า ซึ่งกระทบเสรีภาพและธรรมาภิบาลโดยตรง (ดูสถิติคดีและเหตุการณ์สำคัญท้ายเอกสาร).
1) โครงสร้างอำนาจและการจัดวางกำลัง (Power Architecture)
1.1 กองกำลังและราชการในพระองค์
* พ.ศ. 2562 รัฐบาลใช้อำนาจ “พระราชกำหนด” โอนกรมทหารราบที่ 1 และ 11 (King’s Guard) พร้อมกำลังคน-ยุทโธปกรณ์-งบประมาณ ไปขึ้นตรง “หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (รส.)” ภายใต้พระราชอำนาจ โดยตัดผ่านโซ่บังคับบัญชาปกติของกองทัพ ถือเป็นสัญญะสำคัญของการขยาย “กำลังรักษาพระองค์” ในทางปฏิบัติ.
* พ.ศ. 2560 กฎหมาย “ระเบียบบริหารราชการในพระองค์” จัดหน่วยงานที่เกี่ยวกับงานราชสำนัก 5 แห่งให้อยู่ใต้พระราชอำนาจโดยตรงและปรับโครงสร้างต่อเนื่องในปีถัด ๆ มา เพิ่มความยืดหยุ่นทางกฎหมายในการจัดอัตรากำลัง/โครงสร้าง.
1.2 ทรัพย์สินและงบประมาณที่เกี่ยวเนื่อง
* พ.ศ. 2560–2561 แก้ “พ.ร.บ.ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ให้กษัตริย์ทรงมีอำนาจควบคุมสำนักงานทรัพย์สินฯ และถือครองทรัพย์ในพระองค์โดยตรง เปลี่ยนจากโครงแบบเดิมที่รัฐมนตรีคลังกำกับ ทำให้มิติธรรมาภิบาล-การตรวจสอบถอยหลังลงอย่างมีนัย.
* งบประมาณด้านสถาบันปี 2022 ประเมินรวมหลายกระทรวงราว 3.576 หมื่นล้านบาท (1.148% ของงบแผ่นดิน) และปีงบ 2024 ยังคงระดับสูง แม้เอกสารบางส่วนปรับปรุงรูปแบบเปิดเผย แต่โครงสร้างการตรวจสอบยังจำกัด.
2) กติกาการเมืองและสถาบัน (Rules & Referees)
2.1 รัฐธรรมนูญ 2560 และ “สนามไม่เสมอ”
* วุฒิสภา 250 คนมาจากการแต่งตั้งโดย คสช. มีสิทธิร่วมโหวตนายกฯ ในช่วงแรกภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้ “เสียงประชาชน” ถูกหักล้างด้วยกลไกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง นำไปสู่การขัดขวางผู้นำจากขั้วปฏิรูปแม้ชนะเลือกตั้งปี 2566.
2.2 เครื่องมือทางตุลาการและองค์กรอิสระ
* ยุบพรรคการเมือง: อนาคตใหม่ถูกยุบ (ก.พ. 2563) ด้วยเหตุเงินกู้ผู้นำพรรค; ต่อมา ก้าวไกล ถูกยุบ (7 ส.ค. 2567) และแบนแกนนำ 10 ปี จากนโยบายเสนอแก้ ม.112 สะท้อนการตีความกฎหมาย-รัฐธรรมนูญในแนวทางจำกัดพื้นที่นโยบายของฝ่ายปฏิรูป.
3) สิทธิ เสรีภาพ และความมั่นคง (Rights, Speech & Security)
3.1 มาตรา 112 และกฎหมายความมั่นคง-ไซเบอร์
* ตั้งแต่การชุมนุม 2563 เป็นต้นมา มีผู้ถูกกล่าวหา/ดำเนินคดีการเมืองนับพันคดี โดย อย่างน้อย ~280 คดีเป็น ม.112 ตามสถิติที่องค์กรสิทธิอ้างอิงจาก TLHR; ผู้ต้องขัง/คุมขังรอคดีจำนวนหนึ่งยังดำรงอยู่ถึงปี 2025.
* นักกฎหมายสิทธิอย่าง อานนท์ นำภา ถูกพิพากษาจำคุกหลายคดีจาก ม.112 ต่อเนื่องถึงปี 2025 สะท้อนการตีความที่เข้มงวดขึ้น.
* หลักฐานนิติวิทยาศาสตร์โดย Citizen Lab/Amnesty ยืนยันการโจมตี สปายแวร์ Pegasus ต่อแอ็กทิวิสต์ไทยอย่างน้อย ~30 รายช่วง 2020–2021 ซึ่งกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการรวมกลุ่ม/แสดงออกอย่างร้ายแรง.
3.2 ผลเชิงสังคม
* การคุมเข้มกฎหมายพูด-พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์-ความมั่นคง ทำให้ “การถกเถียงที่แตะต้องสถาบัน” แพร่สู่สาธารณะได้ยากขึ้น แม้สังคมออนไลน์ช่วยเปิดพื้นที่ แต่ต้นทุนทางกฎหมายสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับทศวรรษก่อน.
4) ธรรมาภิบาล-งบประมาณ-เศรษฐกิจการเมือง (Governance & Political Economy)
* ธรรมาภิบาลงบประมาณ: แม้ราชการพยายามเพิ่มเอกสาร “งบประมาณฉบับย่อ” และตั้ง PBO ในสภา แต่การจัดสรรที่เกี่ยวเนื่องสถาบันยังตรวจสอบเชิงประสิทธิผล/ความคุ้มค่าได้จำกัด และการเปิดเผยเชิงรายการ (program-level) ยังไม่เทียบมาตรฐาน OECD.
* รัฐวิสาหกิจและอำนาจเชิงโครงสร้าง: เครือข่ายรัฐ-รัฐวิสาหกิจมีสัดส่วนเศรษฐกิจสูง ยังคงเป็นฐานอำนาจเชิงนโยบาย/จัดสรรผลประโยชน์ ซึ่งสัมพันธ์กับการเมืองแบบอุปถัมภ์.
5) ภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ (International Standing)
* การยุบ “ก้าวไกล” และแนวโน้มคดีการเมือง ทำให้องค์กรสิทธิ-ยูเอ็น-สื่อโลกวิจารณ์ว่าถอยหลังทางประชาธิปไตย กระทบความเชื่อมั่นต่อ rule-of-law และเสรีภาพการเมืองของไทย.
6) ด้านที่ “ดีขึ้น” จริง ๆ ในยุคนี้มีอะไรบ้าง?
1. การตื่นรู้และส่วนร่วมสาธารณะ: คนรุ่นใหม่ยกระดับ “เพดานอภิปราย” เรื่องโครงสร้างอำนาจ-สถาบัน-รัฐธรรมนูญ สร้างทุนทางสังคมใหม่ แม้ต้องเผชิญความเสี่ยงทางกฎหมาย. (สอดคล้องกับสถิติการเคลื่อนไหวและคดีของ TLHR/Amnesty)
2. การพัฒนาบางมิติของเครื่องมือกำกับคุณภาพกฎหมาย (Sec.77): กรอบกฎหมายให้ทำ RIA/ทบทวนกฎหมาย เพิ่ม “ภาษา” ของธรรมาภิบาลในนโยบาย ถึงแม้การบังคับใช้จริงยังไม่สม่ำเสมอ.
3. ความโปร่งใสเชิงรูปแบบบางประการของงบประมาณ: มีการสื่อสารงบฉบับย่อและพัฒนาพอร์ทัลข้อมูล แม้ยังไม่ถึงระดับตรวจสอบเชิงเนื้อหา.
7) ความเสื่อมถอย/เป็นปฏิปักษ์ต่อหลักประชาธิปไตย-ธรรมาภิบาล-สิทธิมนุษยชน
* การรวมศูนย์กำลังและทรัพย์สินภายใต้พระราชอำนาจ (โอนหน่วยรบ, แก้กฎหมายทรัพย์สิน): ลดกลไกตรวจสอบจากฝ่ายการเมืองและสาธารณะ.
* “สนามเลือกตั้งไม่เสมอ” (วุฒิสภาแต่งตั้งร่วมโหวตนายกฯ ช่วงต้นรัฐธรรมนูญ 2560 + ยุบพรรคคู่แข่งเชิงโครงสร้าง): ทำให้ผลเลือกตั้งแปรเปลี่ยนทางการเมืองได้โดยองค์กรที่ไม่ได้มาจากประชาชน.
* การใช้กฎหมายอาญาความมั่นคง/คอมพิวเตอร์/112 ต่อผู้เห็นต่างในระดับสูงผิดสัดส่วน เมื่อเทียบมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล.
* การเฝ้าระวังดิจิทัลระดับรัฐ (Pegasus): ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล-เสรีภาพสื่อสารอย่างร้ายแรง.
8) ฉากทัศน์ 2–4 ปีข้างหน้า (Scenarios)
1. Status Quo-Plus: กติกาหลักยังเดิม ใช้ “การยุบพรรค-คดีการเมือง-บังคับใช้ 112” เป็นกันชนต่อวาระปฏิรูป ขณะแก้ภาพลักษณ์ด้วยความโปร่งใสเชิงรูปแบบ (งบ/พอร์ทัลข้อมูล) เพื่อรับแรงกดดันนานาชาติ
2. Re-balancing แบบค่อยเป็นค่อยไป: เกิดฉันทมติการเมืองบางพรรคต่อ “รัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน” ลดอำนาจดุลพิทักษ์ (guardian powers) บางส่วน แลกกับการรับรองสถานะและงบที่เหมาะสมของสถาบัน
3. Polarization-Backlash: เหตุการณ์ทางการเมือง/เศรษฐกิจรุนแรง กระตุ้นการใช้เครื่องมือมั่นคงเข้มข้นขึ้น วงจร “ยุบพรรค-จำกัดเสรีภาพ” ขยาย
9) ข้อเสนอเชิงหลักการ (Actionable Principles)
* Roadmap รธน.ใหม่โดยประชาชน: กระบวนการสภาร่าง รธน. ที่มาจากการเลือกตั้งตรง-โปร่งใส-มีส่วนร่วมสูง เพื่อปรับ “สมดุลอำนาจ” ให้สมกับสังคมสมัยใหม่ (บทเรียนปี 2540–2560)
* ยุติการใช้ความผิดอาญาต่อการพูด-ชุมนุมอย่างสงบ และออก กฎหมายอภัยโทษเชิงสิทธิ สำหรับคดีการเมืองหลังปี 2563 ตามหลักสากล (Amnesty เรียกร้องชัด).
* ปฏิรูปความมั่นคงดิจิทัล: ห้าม-ควบคุมสปายแวร์เชิงพาณิชย์, จัดทำศาล/กลไกอนุมัติที่เป็นอิสระ-ตรวจสอบได้ก่อน-หลังการสอดแนม, แจ้งผู้ถูกกระทบเมื่อพ้นเหตุ; สอดรับแนวโน้มมาตรการนานาชาติ.
* ธรรมาภิบาลงบประมาณเกี่ยวเนื่องสถาบัน: เปิดเผยเชิงรายการ-วัตถุประสงค์-ตัวชี้วัดผลลัพธ์ และให้ สตง./PBO/คณะ กมธ. สภา ตรวจสอบแบบ performance audit ได้จริง.
ภาคผนวก: เหตุการณ์และหมุดหมายสำคัญ
* 2017: กฎหมายราชการในพระองค์ + แก้ พ.ร.บ.ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์.
* 2019: โอน ร.1-ร.11 รักษาพระองค์ขึ้นตรง รส. ด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน.
* 2020: ยุบพรรคอนาคตใหม่.
* 2020–2021: ชุมนุมคนรุ่นใหม่, คดีการเมือง-112 เพิ่มสูง; ตรวจพบ Pegasus กับนักกิจกรรมอย่างน้อย ~30 ราย.
* 2023: พรรคก้าวไกลชนะที่นั่งมากสุดแต่ถูกสกัดการตั้งรัฐบาลด้วยวุฒิสภาแต่งตั้ง.
* 2024: ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล-แบนแกนนำ 10 ปี; ยูเอ็น-องค์กรสิทธิวิจารณ์หนัก.
* 2025: Amnesty ระบุภาพรวม 1,974 คนถูกดำเนินคดีจากการเมืองตั้งแต่ 2020; 280 คดีเป็น ม.112; ผู้ต้องขังบางส่วนยังอยู่ระหว่างพิจารณา/ลงโทษ.
คันฉ่องส่องไทย: PISA คณิตศาสตร์สะท้อนอะไรมากกว่าคะแนนสอบ
คันฉ่องส่องไทย: PISA คณิตศาสตร์สะท้อนอะไรมากกว่าคะแนนสอบ คันฉ่องส่องไทย บทเ...
-
ความเชื่อที่ว่าชาวยิวครองโลกหรือมีตระกูลยิวบงการเหตุการณ์สำคัญในโลก โดยมีศูนย์กลางที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เป็นแนวคิดที่มาจากทฤษฎีสมคบคิด (c...
-
ลองนึกภาพกัมพูชาและประเทศไทยเป็นสองบ้านที่อยู่ติดกันบนถนนสายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บ้านทั้งสองมีประวัติศาสตร์ยาวนานเหมือนพี่น้องที่ทะ...
-
โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2017–2021 และดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นให้ “อเมริกามาก่อน” (America First) ซึ่งเป็นแนว...




