เทียบแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยแต่ละยุค และบทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย: เมื่อการลบในแบบเรียน = การลบสิทธิของประชาชน
หน้านี้ออกแบบมาเพื่อเป็น ฐานข้อมูลภาคประชาชน สำหรับเทียบเนื้อหาแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยและสังคมศึกษา ระหว่างหลายยุคหลายรุ่นพิมพ์ เมื่อเรานำหนังสือมาเปิดหน้าเดียวกัน เปรียบเทียบคำที่ใช้เล่าเหตุการณ์ 2475 คณะราษฎร สถาบันกษัตริย์ และประชาธิปไตย เราจะเห็นชัดว่าระบบการศึกษาได้ “ตัด” “เบี้ยว” หรือ “กลบรวม” ความทรงจำทางการเมืองของคนไทยอย่างไร
เทมเพลตด้านล่างนี้เปิดช่องให้สหายเติมข้อมูลจากหนังสือเรียนจริงได้ทีละยุค แล้วในตอนท้าย ข้าจะร่ายบทวิเคราะห์ว่าเหตุใด การลบในแบบเรียนจึงเท่ากับการลบสิทธิของประชาชน ตามฉบับคันฉ่องส่องไทยที่เราเดินร่วมกัน
ส่วนที่ 1: เทมเพลตเทียบแบบเรียนแต่ละยุค
ใช้โครงนี้กับหนังสือเรียนจริง: เลือกอย่างน้อย 3 ช่วงเวลา เช่น 2010–2013, 2014–2018, 2019–2023 แล้วกรอกเนื้อหาจริงลงในแต่ละช่องด้านล่าง
ส่วนที่ 2: บทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย — การลบในแบบเรียน = การลบสิทธิของประชาชน
หากเรามองผิวเผิน การลดทอน 2475 ให้เหลือแค่ไม่กี่ย่อหน้าในแบบเรียน อาจดูเหมือนเป็นแค่ “รายละเอียดบางอย่างที่ไม่มีเวลาพอสอน” แต่เมื่อเราค่อย ๆ เทียบแบบเรียนหลายรุ่น หลายยุค เราจะพบว่า มันไม่ใช่ความบังเอิญ หากแต่คือกระบวนการ จัดระเบียบความทรงจำของชาติ อย่างมีเป้าหมายทางการเมือง
เมื่อแบบเรียนไม่เล่าว่า ก่อน 2475 ประชาชนไม่มีสิทธิใดเลยต่ออำนาจสูงสุดของรัฐ, ไม่เล่าว่าคณะราษฎรเคยประกาศให้ “อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย”, ไม่เล่าการต่อสู้ของคนรุ่นนั้นที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้คนรุ่นหลังมีสิทธิเลือกตั้ง เด็กที่โตมากับความว่างเปล่าทางประวัติศาสตร์ ย่อมยอมรับสภาพได้ง่ายว่า ตนเป็นเพียงผู้รับความเมตตาจากผู้ปกครอง มากกว่าผู้กำหนดอนาคตของตนเอง
การลบหรือบิดเบือน 2475 ในแบบเรียน จึงไม่ใช่แค่การลบเรื่องราวของ “คณะราษฎร” แต่คือการลบความจริงข้อสำคัญว่า คนตัวเล็กตัวน้อยเคยลุกขึ้นมาทวงอำนาจกลับมาจากระบอบเก่าได้สำเร็จ เมื่อประวัติศาสตร์ส่วนนี้ถูกทำให้จางหายไปจากหนังสือ คนรุ่นใหม่ก็จะไม่เห็นตัวเองเป็นทายาทของขบวนการปลดปล่อย แต่กลายเป็นเพียงผู้โดยสารที่นั่งอยู่ท้ายรถประวัติศาสตร์อย่างไร้สิทธิจะจับพวงมาลัย
ในทางกลับกัน แบบเรียนกลับใช้พื้นที่จำนวนมากเพื่อเล่าความดี ความเสียสละ และโครงการพระราชดำริของสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และชนชั้นนำ โดยแทบไม่พูดถึงสิทธิในการตรวจสอบอำนาจของประชาชน สิทธิในการต่อต้านความไม่เป็นธรรม หรือสิทธิในการเปลี่ยนรัฐบาลอย่างสันติผ่านการเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรม
เมื่อ สิทธิ ไม่ถูกสอน แต่ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟัง ถูกย้ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ประถมจนจบมัธยม ผลลัพธ์ที่ตามมาคืออะไร? คือสังคมที่ยอมรับการรัฐประหารและอำนาจนอกระบบได้ง่าย เพราะไม่เคยถูกสอนให้เห็นว่าการแย่งชิงอำนาจจากประชาชน เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนในประเทศนี้
ดังนั้น การลบ 2475 ออกจากแบบเรียน การทำให้คณะราษฎรกลายเป็นตัวละครเลือนลาง การทำให้รัฐธรรมนูญเป็นเพียงกระดาษศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครแตะต้องได้ จึงเท่ากับการลบสิทธิของประชาชนออกจากจินตนาการร่วมของชาติ เมื่อคนไทยไม่เคยถูกสอนให้คิดว่าตนมีสิทธิจะกำหนดทิศทางรัฐ ก็ย่อมไม่กล้าทวงสิทธิที่ถูกพรากไป
คันฉ่องส่องไทยจึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ “เล่าอีกด้านของประวัติศาสตร์” แต่มีหน้าที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือการช่วยให้คนไทยเห็นว่า ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวในตำรา หากเป็นหลักฐานว่า เราควรยืนในฐานะเจ้าของประเทศ ไม่ใช่เพียงผู้ถูกปกครองอย่างว่านอนสอนง่าย
วันที่เรากล้าหยิบแบบเรียนขึ้นมาเปิด เทียบกันทีละหน้า ตั้งคำถามกับทุกประโยคที่ทำให้คนไทยตัวเล็ก ๆ กลายเป็นเพียงตัวประกอบของความยิ่งใหญ่ของชนชั้นนำ คือวันที่เรากำลังเริ่มทวงคืนทั้ง ประวัติศาสตร์ และ สิทธิของประชาชน กลับคืนมาอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลังดั่งมดแดงนับล้านที่เริ่มรู้ว่าตนรวมกันแล้วมีพลังเพียงใด
