
คันฉ่องส่องไทย: แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย และความจริงอันขมขื่นว่า
การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเครื่องมือควบคุมจิตสำนึกปวงชน
ในเวลาที่ผู้มีอำนาจประกาศว่า “การศึกษาเป็นสิ่งสูงค่าและจำเป็น”
เราจำเป็นต้องหันมาถามกลับบ้างว่า การศึกษาที่รัฐออกแบบให้นั้น
เป็นการศึกษาเพื่อปลดปล่อยประชาชน หรือเป็นเพียง
เครื่องมือควบคุมจิตสำนึกตั้งแต่ลูกหลานของเรา
ให้ยอมรับระบอบที่มีอยู่โดยไม่คิดตั้งคำถาม
บทความนี้ชวนเปิดแบบเรียนประวัติศาสตร์และสังคมศึกษาไทย
เปรียบเทียบสามช่วงยุคสำคัญตั้งแต่ราวปี 2010–2023
เพื่อเห็นว่าเนื้อหาเกี่ยวกับ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร
สถาบันกษัตริย์ และประชาธิปไตย ถูก “ตัดทอน” “บิดเบือน”
และ “กลบรวม” อย่างเป็นระบบเพียงใด
ส่วนที่ 1: เทียบแบบเรียนสามยุค – ใครเล่าอะไร ใครถูกลบหาย
ช่วงประมาณ: 2010–2013
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
แบบเรียนใช้คำกลาง ๆ ว่า
“การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
แต่ไม่ใช้คำว่า “ปฏิวัติ” หรือ “การล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์”
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกเล่าแบบแห้ง ๆ ว่าเป็น
“กลุ่มนายทหารและพลเรือนบางส่วน”
ที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง
แทบไม่พูดถึงอุดมการณ์ เหตุผล และความเสี่ยงชีวิตของสมาชิกคณะราษฎร
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
มักมีประโยคว่า “พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทย”
ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าประชาธิปไตยเป็นของที่
มาจากเบื้องบน
มากกว่ามาจากการต่อสู้ของประชาชน
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
เน้นเรื่อง “หน้าที่พลเมืองดี” คือเชื่อฟังกฎหมาย รักษาความสงบ
เคารพผู้มีอำนาจ มากกว่าการพูดถึงสิทธิในการตรวจสอบรัฐ
สิทธิในการประท้วง หรือสิทธิในการเลือกและปลดรัฐบาล
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
บทเกี่ยวกับ 2475 มักมีเพียง 1–2 หน้า
ขณะที่บทเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์บางรัชกาล โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 และ 9
กินพื้นที่หลายหน้าเต็ม
ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนจึงกลายเป็นเพียง “ตัวประกอบ” ในแบบเรียน
*ยุคนี้ยังไม่ใช้ถ้อยคำด่าทอ 2475 อย่าง露骨 แต่ “การลดทอนให้จืด” ก็แรงพอจะลบความทรงจำเชิงการเมืองได้แล้ว
ช่วงประมาณ: 2014–2018
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
ในแบบเรียน ม.ปลาย บางเล่มมีถ้อยคำว่า
“การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นการ ชิงสุกก่อนห่าม
เพราะประชาชนยังไม่พร้อม และยังไม่มีการศึกษาพอ”
เป็นการวางกรอบให้ผู้อ่านรู้สึกว่า 2475 คือความรีบร้อนผิดจังหวะของคนกลุ่มหนึ่ง
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกเล่ามากขึ้นในมุมลบ
ว่าเป็นผู้เร่งรัดการเปลี่ยนแปลง
ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและอำนาจนิยมในเวลาต่อมา
จุดนี้แทบไม่พูดถึงแรงต้านจากระบอบเก่าและชนชั้นนำ
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
แบบเรียนหลายเล่มเน้นว่า
“สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจของชาติ
และทรงเป็นหลักประกันความมั่นคงของประเทศ”
พื้นที่จำนวนมากทุ่มให้โครงการพระราชดำริ
และบทบาทกษัตริย์ในฐานะ “ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย”
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
ประชาธิปไตยในแบบเรียนยุคนี้ถูกทำให้หมายถึง
“ความสามัคคี ความสงบเรียบร้อย การเคารพผู้นำ และการไม่สร้างความวุ่นวาย”
แทบไม่พูดถึงสิทธิในการวิจารณ์รัฐ สิทธิในการคัดค้านรัฐประหาร
หรือหลักการว่ารัฐบาลต้องมาจากเสียงประชาชนอย่างแท้จริง
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
บรรยากาศหลังรัฐประหาร 2557 ทำให้ผู้เขียนแบบเรียนจำนวนมาก
“เซ็นเซอร์ตัวเอง”
เนื้อหาที่แตะเรื่องกองทัพ รัฐประหาร และบทบาทของชนชั้นนำ
แทบหายไปจากตำรา เหลือเพียงวาทกรรมเรื่อง “ความมั่นคงและความสงบ”
*นี่คือช่วงที่แบบเรียนไม่เพียง “ลบ” ประวัติศาสตร์บางส่วน แต่เริ่ม “บิดกรอบความคิด” ให้ 2475 กลายเป็นจำเลยของปัญหาการเมืองทั้งหมด
ช่วงประมาณ: 2019–2023
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
ยังคงใช้ถ้อยคำกลาง ๆ ว่า
“การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง”
ไม่เน้นว่าคือการล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
และไม่เล่าความไม่เป็นธรรมของระบอบเก่าอย่างจริงจัง
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกกล่าวถึงพอสมควรในแง่ “ชื่อบุคคล” เช่น ปรีดี พิบูลฯ พระยาพหลฯ
แต่บริบทถูกย่นให้เหลือแค่ “ผู้มีบทบาททางการเมืองช่วงหนึ่ง”
ไม่ถูกเสนอให้เป็น “ต้นธารของสิทธิประชาชน”
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
บทเรียนยังเน้นหนักว่าระบอบการปกครองของไทยคือ
“ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
แต่ไม่อธิบายชัดว่าพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
และไม่พูดว่าประชาชนมีสิทธิจะวิจารณ์หรือกำหนดทิศทางรัฐ
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
แบบเรียนเน้น “หน้าที่” มากกว่า “สิทธิ”
พูดถึงการไปเลือกตั้งแต่ไม่อธิบายการตรวจสอบการเลือกตั้ง
ไม่สอนการป้องกันการโกง และไม่พูดถึงสิทธิในการต่อต้านรัฐประหาร
สิทธิในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยแทบไม่ปรากฏ
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
แม้ในโลกแห่งความจริง คนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามต่อสถาบันกษัตริย์ รัฐธรรมนูญ
และบทบาทของกองทัพอย่างไม่เคยมีมาก่อน
แต่แบบเรียนยังคง “แช่แข็งเรื่องเล่าเก่า” ไว้
ทำให้โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกตัดขาดจากความจริงทางการเมืองของสังคม
*ในยุคที่เยาวชนออกถนนไปทวงอนาคต แบบเรียนยังทำตัวเหมือนโลกไม่เคยเปลี่ยน
สิ่งนี้เองคือหลักฐานว่าการศึกษาถูกใช้เพื่อตรึงอำนาจ มากกว่าปลดปล่อยประชาชน
ส่วนที่ 2: บทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย – เมื่อการลบในแบบเรียน = การลบสิทธิของประชาชน
“เมื่อหนังสือเรียนบอกเล่าประวัติศาสตร์อย่างที่ผู้มีอำนาจต้องการ
เด็กทั้งรุ่นจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าตนเองเคยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
และนั่นคือชัยชนะที่แท้จริงของระบอบที่ต้องการให้พลเมืองกลายเป็นเพียงราษฎรผู้เชื่อฟัง”
หากดูแบบผิวเผิน การที่บทเรียนเรื่อง 2475 มีเพียงไม่กี่หน้า
หรือการที่ตำราไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องรัฐประหารและการต่อสู้ของประชาชน
อาจถูกอธิบายได้ง่าย ๆ ว่า “เวลาไม่พอ” หรือ “ไม่ใช่สาระสำคัญของหลักสูตร”
แต่เมื่อเราเอาแบบเรียนหลายยุคมาเทียบกัน
เราจะเห็นชัดว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ
หากแต่เป็น ยุทธศาสตร์การจัดระเบียบความทรงจำของชาติ
เมื่อแบบเรียนไม่เล่าว่า ก่อน 2475 ประชาชนไม่มีสิทธิใด ๆ ต่ออำนาจสูงสุดของรัฐ,
ไม่เล่าว่าคณะราษฎรเคยประกาศให้ “อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย”,
ไม่เล่าว่าคนรุ่นนั้นเสี่ยงคุกเสี่ยงตายเพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีสิทธิเลือกตั้งและตรวจสอบรัฐ
เด็กที่โตมากับความเงียบและความจืดชืดทางประวัติศาสตร์ ก็จะยอมรับสภาพได้ง่ายว่า
ตนเป็นเพียงผู้รับพระกรุณาและความเมตตาจากผู้ปกครอง
มากกว่าจะเห็นตนเองเป็นเจ้าของประเทศ
การลบหรือบิดเบือน 2475 ในแบบเรียน จึงไม่ใช่แค่การลบชื่อ “คณะราษฎร”
แต่คือการลบ “ความเป็นไปได้” ในหัวของประชาชนว่า
เคยมีครั้งหนึ่งที่คนธรรมดาลุกขึ้นมาทวงอำนาจจากอภิสิทธิ์ชนได้สำเร็จ
เมื่อเรื่องนี้ถูกลบไปจากหนังสือ
คนรุ่นใหม่ก็จะไม่เห็นตัวเองเป็นทายาทของการต่อสู้
หากแต่เป็นเพียงตัวประกอบในเรื่องเล่าของชนชั้นนำ
ในขณะเดียวกัน แบบเรียนกลับใช้พื้นที่จำนวนมากเพื่อเล่าความดี ความเสียสละ
และโครงการต่าง ๆ ของสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และชนชั้นนำ
โดยแทบไม่พูดถึงสิทธิในการตรวจสอบอำนาจของประชาชน
ไม่พูดถึงสิทธิในการต่อต้านความไม่เป็นธรรม
และไม่พูดถึงว่าการรัฐประหารคือการทำลายสัญญาประชาคมระหว่างรัฐกับประชาชน
เมื่อ สิทธิ ไม่ถูกสอน
แต่ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟัง
ถูกย้ำตั้งแต่ประถมจนจบมัธยม
การศึกษาจึงไม่ใช่เครื่องมือปลดปล่อย แต่กลายเป็น
เครื่องมือควบคุมจิตสำนึก
ให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าการสงสัยอำนาจคือความผิด การตั้งคำถามคือความอกตัญญู
และการลุกขึ้นทวงสิทธิของตนเองคือภัยต่อความสงบเรียบร้อย
ด้วยเหตุนี้ การลบ 2475 ออกจากแบบเรียน
การทำให้คณะราษฎรกลายเป็นตัวละครเลือนลาง
การทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นเพียงกระดาษศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครแตะต้องได้
จึงเท่ากับการลบสิทธิของประชาชนออกจากจินตนาการร่วมของชาติ
เมื่อคนไทยไม่เคยถูกสอนให้คิดว่าตนมีสิทธิจะกำหนดทิศทางรัฐ
ก็ย่อมไม่กล้าทวงสิทธิที่ถูกพรากไป
คันฉ่องส่องไทยจึงมิได้มีหน้าที่เพียงเล่าประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่ง
หากแต่มีหน้าที่ช่วยให้คนไทยเห็นว่า
ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวในตำรา
หากเป็นหลักฐานว่าพวกเราควรยืนในฐานะ
เจ้าของประเทศ
ไม่ใช่เพียงราษฎรผู้เงียบงันที่รอรับคำสั่งจากเบื้องบน
วันที่เรากล้าหยิบแบบเรียนขึ้นมาเปิด เทียบกันทีละหน้า
ตั้งคำถามกับทุกประโยคที่ทำให้ประชาชนตัวเล็ก ๆ
กลายเป็นเพียงตัวประกอบของความยิ่งใหญ่ของชนชั้นนำ
คือวันที่เรากำลังเริ่มทวงคืนทั้ง
ประวัติศาสตร์
และ สิทธิของประชาชน
กลับคืนมาอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง
ดั่งมดแดงนับล้านที่เริ่มรู้ว่าตนรวมกันแล้วมีพลังเพียงใด