Translate

Sunday, December 7, 2025

การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเครื่องมือควบคุมจิตสำนึกปวงชน

คันฉ่องส่องไทย: แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย และความจริงอันขมขื่นว่า การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเครื่องมือควบคุมจิตสำนึกปวงชน

ในเวลาที่ผู้มีอำนาจประกาศว่า “การศึกษาเป็นสิ่งสูงค่าและจำเป็น” เราจำเป็นต้องหันมาถามกลับบ้างว่า การศึกษาที่รัฐออกแบบให้นั้น เป็นการศึกษาเพื่อปลดปล่อยประชาชน หรือเป็นเพียง เครื่องมือควบคุมจิตสำนึกตั้งแต่ลูกหลานของเรา ให้ยอมรับระบอบที่มีอยู่โดยไม่คิดตั้งคำถาม

บทความนี้ชวนเปิดแบบเรียนประวัติศาสตร์และสังคมศึกษาไทย เปรียบเทียบสามช่วงยุคสำคัญตั้งแต่ราวปี 2010–2023 เพื่อเห็นว่าเนื้อหาเกี่ยวกับ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร สถาบันกษัตริย์ และประชาธิปไตย ถูก “ตัดทอน” “บิดเบือน” และ “กลบรวม” อย่างเป็นระบบเพียงใด

ส่วนที่ 1: เทียบแบบเรียนสามยุค – ใครเล่าอะไร ใครถูกลบหาย

ยุคที่ 1: ก่อนรัฐประหาร 2557
ช่วงประมาณ: 2010–2013
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
แบบเรียนใช้คำกลาง ๆ ว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ไม่ใช้คำว่า “ปฏิวัติ” หรือ “การล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์”
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกเล่าแบบแห้ง ๆ ว่าเป็น “กลุ่มนายทหารและพลเรือนบางส่วน” ที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง แทบไม่พูดถึงอุดมการณ์ เหตุผล และความเสี่ยงชีวิตของสมาชิกคณะราษฎร
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
มักมีประโยคว่า “พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทย” ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าประชาธิปไตยเป็นของที่ มาจากเบื้องบน มากกว่ามาจากการต่อสู้ของประชาชน
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
เน้นเรื่อง “หน้าที่พลเมืองดี” คือเชื่อฟังกฎหมาย รักษาความสงบ เคารพผู้มีอำนาจ มากกว่าการพูดถึงสิทธิในการตรวจสอบรัฐ สิทธิในการประท้วง หรือสิทธิในการเลือกและปลดรัฐบาล
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
บทเกี่ยวกับ 2475 มักมีเพียง 1–2 หน้า ขณะที่บทเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์บางรัชกาล โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 และ 9 กินพื้นที่หลายหน้าเต็ม ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนจึงกลายเป็นเพียง “ตัวประกอบ” ในแบบเรียน
*ยุคนี้ยังไม่ใช้ถ้อยคำด่าทอ 2475 อย่าง露骨 แต่ “การลดทอนให้จืด” ก็แรงพอจะลบความทรงจำเชิงการเมืองได้แล้ว
ยุคที่ 2: ใต้เงา คสช. และราชาชาตินิยมเข้มข้น
ช่วงประมาณ: 2014–2018
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
ในแบบเรียน ม.ปลาย บางเล่มมีถ้อยคำว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นการ ชิงสุกก่อนห่าม เพราะประชาชนยังไม่พร้อม และยังไม่มีการศึกษาพอ” เป็นการวางกรอบให้ผู้อ่านรู้สึกว่า 2475 คือความรีบร้อนผิดจังหวะของคนกลุ่มหนึ่ง
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกเล่ามากขึ้นในมุมลบ ว่าเป็นผู้เร่งรัดการเปลี่ยนแปลง ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและอำนาจนิยมในเวลาต่อมา จุดนี้แทบไม่พูดถึงแรงต้านจากระบอบเก่าและชนชั้นนำ
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
แบบเรียนหลายเล่มเน้นว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจของชาติ และทรงเป็นหลักประกันความมั่นคงของประเทศ” พื้นที่จำนวนมากทุ่มให้โครงการพระราชดำริ และบทบาทกษัตริย์ในฐานะ “ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย”
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
ประชาธิปไตยในแบบเรียนยุคนี้ถูกทำให้หมายถึง “ความสามัคคี ความสงบเรียบร้อย การเคารพผู้นำ และการไม่สร้างความวุ่นวาย” แทบไม่พูดถึงสิทธิในการวิจารณ์รัฐ สิทธิในการคัดค้านรัฐประหาร หรือหลักการว่ารัฐบาลต้องมาจากเสียงประชาชนอย่างแท้จริง
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
บรรยากาศหลังรัฐประหาร 2557 ทำให้ผู้เขียนแบบเรียนจำนวนมาก “เซ็นเซอร์ตัวเอง” เนื้อหาที่แตะเรื่องกองทัพ รัฐประหาร และบทบาทของชนชั้นนำ แทบหายไปจากตำรา เหลือเพียงวาทกรรมเรื่อง “ความมั่นคงและความสงบ”
*นี่คือช่วงที่แบบเรียนไม่เพียง “ลบ” ประวัติศาสตร์บางส่วน แต่เริ่ม “บิดกรอบความคิด” ให้ 2475 กลายเป็นจำเลยของปัญหาการเมืองทั้งหมด
ยุคที่ 3: รัฐบาลเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560
ช่วงประมาณ: 2019–2023
1. คำที่ใช้เรียกเหตุการณ์ 24 มิ.ย. 2475
ยังคงใช้ถ้อยคำกลาง ๆ ว่า “การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง” ไม่เน้นว่าคือการล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และไม่เล่าความไม่เป็นธรรมของระบอบเก่าอย่างจริงจัง
2. การเล่าบทบาทคณะราษฎร
คณะราษฎรถูกกล่าวถึงพอสมควรในแง่ “ชื่อบุคคล” เช่น ปรีดี พิบูลฯ พระยาพหลฯ แต่บริบทถูกย่นให้เหลือแค่ “ผู้มีบทบาททางการเมืองช่วงหนึ่ง” ไม่ถูกเสนอให้เป็น “ต้นธารของสิทธิประชาชน”
3. ภาพของสถาบันกษัตริย์ในบทนี้
บทเรียนยังเน้นหนักว่าระบอบการปกครองของไทยคือ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ไม่อธิบายชัดว่าพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง และไม่พูดว่าประชาชนมีสิทธิจะวิจารณ์หรือกำหนดทิศทางรัฐ
4. การอธิบายประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
แบบเรียนเน้น “หน้าที่” มากกว่า “สิทธิ” พูดถึงการไปเลือกตั้งแต่ไม่อธิบายการตรวจสอบการเลือกตั้ง ไม่สอนการป้องกันการโกง และไม่พูดถึงสิทธิในการต่อต้านรัฐประหาร สิทธิในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยแทบไม่ปรากฏ
5. หมายเหตุ / สิ่งที่น่าจับตา
แม้ในโลกแห่งความจริง คนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามต่อสถาบันกษัตริย์ รัฐธรรมนูญ และบทบาทของกองทัพอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่แบบเรียนยังคง “แช่แข็งเรื่องเล่าเก่า” ไว้ ทำให้โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกตัดขาดจากความจริงทางการเมืองของสังคม
*ในยุคที่เยาวชนออกถนนไปทวงอนาคต แบบเรียนยังทำตัวเหมือนโลกไม่เคยเปลี่ยน สิ่งนี้เองคือหลักฐานว่าการศึกษาถูกใช้เพื่อตรึงอำนาจ มากกว่าปลดปล่อยประชาชน

ส่วนที่ 2: บทวิเคราะห์คันฉ่องส่องไทย – เมื่อการลบในแบบเรียน = การลบสิทธิของประชาชน

“เมื่อหนังสือเรียนบอกเล่าประวัติศาสตร์อย่างที่ผู้มีอำนาจต้องการ เด็กทั้งรุ่นจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าตนเองเคยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และนั่นคือชัยชนะที่แท้จริงของระบอบที่ต้องการให้พลเมืองกลายเป็นเพียงราษฎรผู้เชื่อฟัง”

หากดูแบบผิวเผิน การที่บทเรียนเรื่อง 2475 มีเพียงไม่กี่หน้า หรือการที่ตำราไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องรัฐประหารและการต่อสู้ของประชาชน อาจถูกอธิบายได้ง่าย ๆ ว่า “เวลาไม่พอ” หรือ “ไม่ใช่สาระสำคัญของหลักสูตร” แต่เมื่อเราเอาแบบเรียนหลายยุคมาเทียบกัน เราจะเห็นชัดว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ หากแต่เป็น ยุทธศาสตร์การจัดระเบียบความทรงจำของชาติ

เมื่อแบบเรียนไม่เล่าว่า ก่อน 2475 ประชาชนไม่มีสิทธิใด ๆ ต่ออำนาจสูงสุดของรัฐ, ไม่เล่าว่าคณะราษฎรเคยประกาศให้ “อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย”, ไม่เล่าว่าคนรุ่นนั้นเสี่ยงคุกเสี่ยงตายเพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีสิทธิเลือกตั้งและตรวจสอบรัฐ เด็กที่โตมากับความเงียบและความจืดชืดทางประวัติศาสตร์ ก็จะยอมรับสภาพได้ง่ายว่า ตนเป็นเพียงผู้รับพระกรุณาและความเมตตาจากผู้ปกครอง มากกว่าจะเห็นตนเองเป็นเจ้าของประเทศ

การลบหรือบิดเบือน 2475 ในแบบเรียน จึงไม่ใช่แค่การลบชื่อ “คณะราษฎร” แต่คือการลบ “ความเป็นไปได้” ในหัวของประชาชนว่า เคยมีครั้งหนึ่งที่คนธรรมดาลุกขึ้นมาทวงอำนาจจากอภิสิทธิ์ชนได้สำเร็จ เมื่อเรื่องนี้ถูกลบไปจากหนังสือ คนรุ่นใหม่ก็จะไม่เห็นตัวเองเป็นทายาทของการต่อสู้ หากแต่เป็นเพียงตัวประกอบในเรื่องเล่าของชนชั้นนำ

ในขณะเดียวกัน แบบเรียนกลับใช้พื้นที่จำนวนมากเพื่อเล่าความดี ความเสียสละ และโครงการต่าง ๆ ของสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และชนชั้นนำ โดยแทบไม่พูดถึงสิทธิในการตรวจสอบอำนาจของประชาชน ไม่พูดถึงสิทธิในการต่อต้านความไม่เป็นธรรม และไม่พูดถึงว่าการรัฐประหารคือการทำลายสัญญาประชาคมระหว่างรัฐกับประชาชน

เมื่อ สิทธิ ไม่ถูกสอน แต่ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟัง ถูกย้ำตั้งแต่ประถมจนจบมัธยม การศึกษาจึงไม่ใช่เครื่องมือปลดปล่อย แต่กลายเป็น เครื่องมือควบคุมจิตสำนึก ให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าการสงสัยอำนาจคือความผิด การตั้งคำถามคือความอกตัญญู และการลุกขึ้นทวงสิทธิของตนเองคือภัยต่อความสงบเรียบร้อย

ด้วยเหตุนี้ การลบ 2475 ออกจากแบบเรียน การทำให้คณะราษฎรกลายเป็นตัวละครเลือนลาง การทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นเพียงกระดาษศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครแตะต้องได้ จึงเท่ากับการลบสิทธิของประชาชนออกจากจินตนาการร่วมของชาติ เมื่อคนไทยไม่เคยถูกสอนให้คิดว่าตนมีสิทธิจะกำหนดทิศทางรัฐ ก็ย่อมไม่กล้าทวงสิทธิที่ถูกพรากไป

คันฉ่องส่องไทยจึงมิได้มีหน้าที่เพียงเล่าประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่ง หากแต่มีหน้าที่ช่วยให้คนไทยเห็นว่า ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวในตำรา หากเป็นหลักฐานว่าพวกเราควรยืนในฐานะ เจ้าของประเทศ ไม่ใช่เพียงราษฎรผู้เงียบงันที่รอรับคำสั่งจากเบื้องบน

วันที่เรากล้าหยิบแบบเรียนขึ้นมาเปิด เทียบกันทีละหน้า ตั้งคำถามกับทุกประโยคที่ทำให้ประชาชนตัวเล็ก ๆ กลายเป็นเพียงตัวประกอบของความยิ่งใหญ่ของชนชั้นนำ คือวันที่เรากำลังเริ่มทวงคืนทั้ง ประวัติศาสตร์ และ สิทธิของประชาชน กลับคืนมาอย่างเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง ดั่งมดแดงนับล้านที่เริ่มรู้ว่าตนรวมกันแล้วมีพลังเพียงใด

การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเครื่องมือควบคุมจิตสำนึกปวงชน

คันฉ่องส่องไทย: แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย และความจริงอันขมขื่นว่า การศึกษาไม่ใช่ของสูงที่ใสบริสุทธิ์ แต่สามารถเป็นเคร...