จุดจบราชวงศ์จักรี? บทเรียนจากเนปาลโมเดล??? ดร. เพียงดิน รักไทย
ฉบับเฉพาะเสียง ไม่มีภาพเคลื่อนไหว (ไฟล์เบากว่า)
รับฟังทางยูทูป http://youtu.be/xbNRugooz70
ยินดีต้อนรับ
พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.
Monday, March 2, 2015
ประเทศไทย หลังการสวรรคตของ กษัตริย์ภูมิพล
ดร.เพียงดิน รักไทย 2013-02-10- ประเทศไทยหลังยุคกษัตริย์ภูมิพล
"ประเทศไทยหลังยุคกษัตริย์ภูมิพล&quo t;
http://youtu.be/ILKn-CJLRGA
รายการชวนคิดชวนคุย จากมหาวิทยาลัยประชาชน
โดย ดร. เพียงดิน รักไทย ชวนคิดเรื่องต่อไปนี้
- ความจริงอันเกี่ยวกับการคงอยู่ของกษัตริย์ ภูมิพล
- พัฒนาและสภาวะทางการเมืองปัจจุบันอันเกี่ย วโยงกับราชสำนัก
- โจทย์ที่ประเทศไทยต้องเผชิญเมื่อกษัตริย์ภ ูมิพลไร้ลมหายใจ
- อนาคต????
รับฟังทางยูทูป http://youtu.be/ILKn-CJLRGA
ดาวน์โหลด mp3 ได้ที่ http://www.mediafire.com/?fe997zbd3e3...
"ประเทศไทยหลังยุคกษัตริย์ภูมิพล&quo
http://youtu.be/ILKn-CJLRGA
รายการชวนคิดชวนคุย จากมหาวิทยาลัยประชาชน
โดย ดร. เพียงดิน รักไทย ชวนคิดเรื่องต่อไปนี้
- ความจริงอันเกี่ยวกับการคงอยู่ของกษัตริย์
- พัฒนาและสภาวะทางการเมืองปัจจุบันอันเกี่ย
- โจทย์ที่ประเทศไทยต้องเผชิญเมื่อกษัตริย์ภ
- อนาคต????
รับฟังทางยูทูป http://youtu.be/ILKn-CJLRGA
ดาวน์โหลด mp3 ได้ที่ http://www.mediafire.com/?fe997zbd3e3...
สิ่งที่ประชาชนควรต้องทำ.... เพื่อขับไล่เผด็จการด้วยวิธีอหิงสาและอารยะขัดขืน
สิ่งที่ประชาชนควรต้องทำ.... เพื่อขับไล่เผด็จการด้วยวิธีอหิงสาและอารยะขัดขืน
เขียนไว้ตั้งแต่สมัยอภิสิทธิ์อยู่ในตำแหน่ง
วันนี้... ใช้ได้ไหมเนี่ย??
ประชาชนที่เชื่อว่า ระบอบประชาธิปไตยไทยมันถูกบิดเบี้ยว
และสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และมาเป็นหัวหนองที่ออกพิษจนเกิดเจ็บปวด
ไปทั่วตัวหลังจากการรัฐประหารเมื่อปี 49 นั้น เป็นสิ่งยอมรับให้เกิดขึ้น
อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องออกมาครับ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเรียงกันให้
คนที่เป็นฝ่ายอำมาตย์ทุกเหล่าได้เห็น ให้ถือเป็นวาระประชาธิปไตยแห่ง
ยุคพวกเรา จงนัดกันว่า เราทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบนี้ จะลุกขึ้นมา
แสดง ตัวให้เห็น จะไม่รุนแรง จะไม่ก้าวร้าว แต่จะเริ่มต้นด้วยการเดินไปรวมตัวกัน
ที่กรุงเทพฯ มหานคร หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยนัดหมายเวลากัน
ผ่านแกนนำ เช่น
ผิดชนิดเป็นกฎหมายอาญา เป็นวิธีการบอกให้เผด็จการรู้โดยไม่ต้องเผา
บ้านเผาเมือง หรือทำร้ายบ้านเมืองเกินไป
การจะทำอย่างนี้ ต้องทำไปพร้อมกับการเรียกร้องสิ่งที่เราต้องมี ต้องได้อื่น ๆ
โดยทำให้สอดคล้องกัน และต้องมีการกดดันและยุทธวิธีที่ชัดเจน
อย่าให้ยืดเยื้อครับ ซึ่งหากจะคิดต่อ ท่านก็คงเห็นว่า มีอะไรหลายอย่าง
ที่ต้องทำ สิ่งที่เกิดหลังการรัฐประหาร 49 ต้องถูกจัดการสะสางและล้ม
ล้าง แล้วจัดระเบียบกันใหม่ นี้รวมถึงอะไรอีกมากมาย ที่ผมไม่สามารถ
เขียนในนี้ได้โดยสะดวก
แต่การจะทำสิ่งที่เหนือกว่าการไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ออกไปนั้น มันต้องเกิด
จากข้อเรียกร้องที่ชัดเจน คนที่เกี่ยวข้องทำตามได้ และมีขั้นตอนปฎิบ้ัติ
ได้ง่ายและยอมรับได้ในระหว่างชนทุกกลุ่ม
สำคัญที่สุด เรารู้แน่ว่าฝ่ายอำมาตย์ย่อมอิดออดแน่ครับ เราต้องมีกำลัง
มีเครื่องต่อรองที่เหนือกว่า มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาล อันนี้ แค่จำนวน
มวลมหาประชาชนอย่างเดียวไม่พอนะครับ… ต้องมีแผนการณ์ที่ชัดเจน
ต้องสอดคล้องและมีกรอบเวลาชัดเจน
การจะผ่าตัดใหญ่ ต้องอาศัยการเตรียมการที่รอบคอบ
ต้องสะกัดจุดสำคัญไม่ให้เกิดการรวนของระบบ
ต้องให้ยาสลบหรือยาชาในเฉพาะจุดสำคัญที่จะผ่า
ฯลฯ
ใจผมน่ะ อยากคิด อยากทำ อยากเสกให้ได้ดั่งใจ
แต่วันนี้ ได้แต่ฝากความหวังไว้กับพี่น้องที่อยู่เมืองไทยแล้วครับ
งานนี้ มันไม่ง่ายเลย ผมทิ้งคำถามและแนวทางไว้ให้ผุ้ที่เกี่ยวข้อง
นำไปพิจารณานะครับ
นายกทักษิณ เคยคิดล้มล้างความจน… และจะพยายามทำให้ได้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน และหากให้นายกทักษิณทำงานต่อ
ผมเชื่อว่าเขาทำได้ในระดับที่น่าทึ่งแน่นอนครับ
งานนี้ก็เหมือนกัน เราต้องกล้าคิด กล้าฝัน และกล้าทำครับ
แต่ต้องทำด้วยใจ สมอง และความเอาจริงเอาจัง บนแผนที่
ต้องเกิดจากการคิดระดมสมองอย่างรอบคอบ และคิดนอกกรอบ
วันนี้ ใครหนอจะเป็นพระเอกที่นำไปสู่การปฎิวัติที่สัมฤทธิ์ผล
ด้วยเชิงรบที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ หรือเสียหายใด ๆ มากเกินไป
สำหรับคนอำนาจน้อยบารมีหย่อนอย่างผม
ได้แค่คิดดัง ๆ และเป็นกำลังใจให้พี่น้องคนไทยทุก ๆ ท่านครับ
และขอภาวนาให้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ช่วยคลี่คลายปมอุปสรรคเพื่อให้เมืองไทยก้าวไปสู่การอภิวัฒน์
โดยเร็วและไม่เสียเลือดเนื้อด้วยเทอญ
ปรารถนาดีเสมอ
เพียงดิน
เขียนไว้ตั้งแต่สมัยอภิสิทธิ์อยู่ในตำแหน่ง
วันนี้... ใช้ได้ไหมเนี่ย??
ประชาชนที่เชื่อว่า ระบอบประชาธิปไตยไทยมันถูกบิดเบี้ยว
และสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และมาเป็นหัวหนองที่ออกพิษจนเกิดเจ็บปวด
ไปทั่วตัวหลังจากการรัฐประหารเมื่อปี 49 นั้น เป็นสิ่งยอมรับให้เกิดขึ้น
อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องออกมาครับ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเรียงกันให้
คนที่เป็นฝ่ายอำมาตย์ทุกเหล่าได้เห็น ให้ถือเป็นวาระประชาธิปไตยแห่ง
ยุคพวกเรา จงนัดกันว่า เราทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบนี้ จะลุกขึ้นมา
แสดง ตัวให้เห็น จะไม่รุนแรง จะไม่ก้าวร้าว แต่จะเริ่มต้นด้วยการเดินไปรวมตัวกัน
ที่กรุงเทพฯ มหานคร หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยนัดหมายเวลากัน
ผ่านแกนนำ เช่น
- ปิดไฟทั่วประเทศ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเหล่านี้ เป็นวิธีอหิงสานะครับ เป็นสิทธิที่ไม่ผิดกฎหมายใด ๆ หรือไม่ได้
- นัดหยุดงาน เช่น แท็กซี่ หากทำได้
นัดหยุดงานแล้วไปจอดกันที่ใดที่หนึ่ง
ให้การจราจรมันหยุดไปเลย คนจะได้เข้าใจว่า
การที่ทุกคนขับรถไปบนถนนแห่งใดแห่งหนึ่ง
แล้วต่อแถวก้นนั้น มันไม่ได้ผิดกฎหมาย
- นัดกันใส่เสื้อสีแดง คาดแถบดำ ทุกวันตั้งแต่วันที่ประกาศเป็นต้นไป
-
พ่อค้าแม่ค้า นัดหยุดขายข้าวของในจุดที่เคยให้บริการราชการหรือหน่วยงานรัฐบาล
-
นัดกันเอารูปถ่ายนายอภิสิทธิ์ หรือคนที่ท่านไม่ชอบ คนที่ทำร้ายประชาธิปไตย
ไปกองรวมกัน ณ ที่ใดที่หนึ่่ง หากทำได้ทุกจังหวัดก็ยิ่งดีครับ
-
เอารถยนต์ไปจอดขวางหน้าที่ทำงานของคนที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย
โดยนัดเวลาให้พร้อมกันนะครับ
นี่รวมทั้งพวกทหารทีชอบเอารถถังมาแล่นบน
ถนนที่ไม่ได้มีไว้ให้ทหารมาจุ้นจ้านด้วยนะครับ
- นัดจุดประทัดพร้อมกัน ณ
เวลาใดเวลาหนึ่ง ให้ดังกึกก้องทั่วกรุงเทพฯ
หากจะจับกุม
ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาครับ ให้คนจุดมีสักสามแสนคนนะครับ
จะได้ไปให้ตำรวจจับขังคุกร่วมกัน ดูสิว่า กรมราชทัณฑ์จะมีเงินพอเลี้ยง
ไหม?
- แจกใบปลิว เกลื่อนทั่วเมือง เหมือนแมลงตั๊กแตนที่ไปไหน ต้องได้รับ
ความสนใจน่ะครับ
ผิดชนิดเป็นกฎหมายอาญา เป็นวิธีการบอกให้เผด็จการรู้โดยไม่ต้องเผา
บ้านเผาเมือง หรือทำร้ายบ้านเมืองเกินไป
การจะทำอย่างนี้ ต้องทำไปพร้อมกับการเรียกร้องสิ่งที่เราต้องมี ต้องได้อื่น ๆ
โดยทำให้สอดคล้องกัน และต้องมีการกดดันและยุทธวิธีที่ชัดเจน
อย่าให้ยืดเยื้อครับ ซึ่งหากจะคิดต่อ ท่านก็คงเห็นว่า มีอะไรหลายอย่าง
ที่ต้องทำ สิ่งที่เกิดหลังการรัฐประหาร 49 ต้องถูกจัดการสะสางและล้ม
ล้าง แล้วจัดระเบียบกันใหม่ นี้รวมถึงอะไรอีกมากมาย ที่ผมไม่สามารถ
เขียนในนี้ได้โดยสะดวก
แต่การจะทำสิ่งที่เหนือกว่าการไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ออกไปนั้น มันต้องเกิด
จากข้อเรียกร้องที่ชัดเจน คนที่เกี่ยวข้องทำตามได้ และมีขั้นตอนปฎิบ้ัติ
ได้ง่ายและยอมรับได้ในระหว่างชนทุกกลุ่ม
สำคัญที่สุด เรารู้แน่ว่าฝ่ายอำมาตย์ย่อมอิดออดแน่ครับ เราต้องมีกำลัง
มีเครื่องต่อรองที่เหนือกว่า มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาล อันนี้ แค่จำนวน
มวลมหาประชาชนอย่างเดียวไม่พอนะครับ… ต้องมีแผนการณ์ที่ชัดเจน
ต้องสอดคล้องและมีกรอบเวลาชัดเจน
การจะผ่าตัดใหญ่ ต้องอาศัยการเตรียมการที่รอบคอบ
ต้องสะกัดจุดสำคัญไม่ให้เกิดการรวนของระบบ
ต้องให้ยาสลบหรือยาชาในเฉพาะจุดสำคัญที่จะผ่า
ฯลฯ
ใจผมน่ะ อยากคิด อยากทำ อยากเสกให้ได้ดั่งใจ
แต่วันนี้ ได้แต่ฝากความหวังไว้กับพี่น้องที่อยู่เมืองไทยแล้วครับ
งานนี้ มันไม่ง่ายเลย ผมทิ้งคำถามและแนวทางไว้ให้ผุ้ที่เกี่ยวข้อง
นำไปพิจารณานะครับ
นายกทักษิณ เคยคิดล้มล้างความจน… และจะพยายามทำให้ได้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน และหากให้นายกทักษิณทำงานต่อ
ผมเชื่อว่าเขาทำได้ในระดับที่น่าทึ่งแน่นอนครับ
งานนี้ก็เหมือนกัน เราต้องกล้าคิด กล้าฝัน และกล้าทำครับ
แต่ต้องทำด้วยใจ สมอง และความเอาจริงเอาจัง บนแผนที่
ต้องเกิดจากการคิดระดมสมองอย่างรอบคอบ และคิดนอกกรอบ
วันนี้ ใครหนอจะเป็นพระเอกที่นำไปสู่การปฎิวัติที่สัมฤทธิ์ผล
ด้วยเชิงรบที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ หรือเสียหายใด ๆ มากเกินไป
สำหรับคนอำนาจน้อยบารมีหย่อนอย่างผม
ได้แค่คิดดัง ๆ และเป็นกำลังใจให้พี่น้องคนไทยทุก ๆ ท่านครับ
และขอภาวนาให้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ช่วยคลี่คลายปมอุปสรรคเพื่อให้เมืองไทยก้าวไปสู่การอภิวัฒน์
โดยเร็วและไม่เสียเลือดเนื้อด้วยเทอญ
ปรารถนาดีเสมอ
เพียงดิน
เห็นสันดานอำมาตย์และนอมินีชัดเจนแล้ว… จะเอาพวกมันไว้ไหมล่ะ คนสีแดง???????
icon ID # 786096 – โพสต์เมื่อ : 2009-03-21 13:28:16 _ ปิดข้อความ ex-link แก้ไข
ชัดเสียยิ่งกว่าชัด
อ้ายและอีที่อยู่เบื้องหลังพันธมิตร ทหารทำการรัฐประหาร ศาลที่เอากฎหมายมาปู้ยี่ปู้ยำ รวมถึง
รัฐบาลหน้าด้านสันหลังหวะ คงไม่มีแผนการณ์ใด ๆ ที่จะยินยอมคืนอำนาจให้ประชาชน
คืนความเป็นนิติรัฐให้ชาติ คืนความสุขและความหวังให้ประชาชน คืนโอกาสในการอยู่ดีกินดี
ตามระบอบประชาธิปไตย และคืนอะไรทุกอย่างที่เราเสียไป
มันตอบคำถามในรัฐสภาไม่ได้ ม้นก็พยายามประท้วงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ มันตอบแบบ
หน้าด้านมุดน้ำเสียงบุ๋ม ๆ แต่ไม่ตรงคำถาม ไม่สำรอกความจริง…
อย่าได้หวังอะไรจากนักการเมืองนอมินีอำมาตย์และระบอบเผด็จการเลยครับ
หากจะไล่นับหัวนับกลุ่มของฝ่ายอำมาตย์ตั้งแต่ระดับสูงสุดลงมาต่ำสุด เราไม่มีทางหวัง
ให้พวกเขายินยอมรับผิด หรือเห็นใจประเทศชาติ แล้วยอมคืนในสิ่งที่เป็นของประชาชนทั้งมวล
การใช้อหิงสาและวิธีการตามระบอบที่เขาคุมเชิงไว้ได้เกือบทุกภาคส่วน ยิ่งปล่อยเวลาผ่านไป
พวกเขาก็ยิ่งจะหาทางสร้างฐานอำนาจ ขยายผลความชั่วร้ายด้วยความหน้าด้านและไร้ความ
เคารพต่อปัญญา สิทธิ ความเป็นคน และการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างสิ้นเชิง และที่
เลวร้ายกว่านั้น พวกนี้ได้พยายามเอาความทื่อในการบริหารประเทศ ความโลภจากการที่
อยากควบคุมระบอบการเงินงบประมาณ เพื่อสานผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงว่า ความโลภของ
กลุ่มที่รายรอบรัฐบาลนอมินีเผด็จการ หรือรัฐบาลเทพประทานที่เขาว่ากันนี้ และความหน่อมแน้ม
ในการมองและแก้ปัญหาของประเทศชาติ ซึ่งรับแต่จะทำร้าย ซ้ำเติมประเทศชาติที่กำลังย่ำแย่
จนยากแก่การเยียวยาอยู่แล้ว
คำถามที่เราต้องถามและตอบกันวินาทีนี้ ก็คือ เราจะยอมให้พวกมารทำร้ายประเทศนี้ไปมากกว่านี้หรือไม่?
การปล่อยให้นายกหน่อมแน้มและคณะรัฐมนตรีที่มีแต่เค้าการโกงกิน ได้สานต่ออำนาจเผด็จการ
เชิงโครงสร้างแบบครบวงจร ได้บริหารประเทศต่อไปนี้ มันจะคุ้มค่า เมื่อเทียบความเสียหาย
ที่จะเกิดขึ้น เพียงเพื่อให้รัฐบาลนี้ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับปัญหาที่จะกัดกินประเทศไทยเราจน
ยากแก่การเยียวยากระนั้นหรือ?
การยอมให้เวลาพวกนี้ เราจะได้อะไร? เสียอะไร? แล้วคุ้มไหมที่จะให้การเมืองอันมีรากมาจาก
เผด็จการ ต้นที่เป็นพิษ และดอกที่รอวันจะแตกพันธุ์ออกไปอย่างน่ากลัว
สำหรับคำตอบของผม ยิ่งรอยิ่งเสียหาย ยิ่งรอยิ่งไม่เห็นความหวัง
ยิ่งรอประเทศชาติยิ่งเลวร้าย และผลความเสียหายเลวร้ายนี้ มันจะยิ่งลึกและกว้างอย่างน่า
วิตกอย่างยิ่งยวด
ผมคิดว่า ได้เวลาที่ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย ต้องลุกขึ้นมาตบหัวพวกอำมาตยชน
ลุกขึ้นมาส่งเสียงพร้อมกันข่มให้มารบ้านเปรตเมืองมันหยุดทำร้ายบ้านเมือง ขับไล่มันไปเสีย
ให้พ้น แล้วก็จัดการบ้านเมืองเสียใหม่ จะทำอย่างไรนั้น คงต้องพูดก้นมากในรายละเอียด
และคงมีตัวแปรที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่ง
แต่จะรออีกต่อไปไม่ได้แล้ว ในความคิดส่วนตัวของผม
บทวัดใจและน้ำยาของคนสีแดง มันมาถึงข้อสอบที่สำคัญอย่างยิ่งแล้วครับ
ชัดเสียยิ่งกว่าชัด
อ้ายและอีที่อยู่เบื้องหลังพันธมิตร ทหารทำการรัฐประหาร ศาลที่เอากฎหมายมาปู้ยี่ปู้ยำ รวมถึง
รัฐบาลหน้าด้านสันหลังหวะ คงไม่มีแผนการณ์ใด ๆ ที่จะยินยอมคืนอำนาจให้ประชาชน
คืนความเป็นนิติรัฐให้ชาติ คืนความสุขและความหวังให้ประชาชน คืนโอกาสในการอยู่ดีกินดี
ตามระบอบประชาธิปไตย และคืนอะไรทุกอย่างที่เราเสียไป
มันตอบคำถามในรัฐสภาไม่ได้ ม้นก็พยายามประท้วงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ มันตอบแบบ
หน้าด้านมุดน้ำเสียงบุ๋ม ๆ แต่ไม่ตรงคำถาม ไม่สำรอกความจริง…
อย่าได้หวังอะไรจากนักการเมืองนอมินีอำมาตย์และระบอบเผด็จการเลยครับ
หากจะไล่นับหัวนับกลุ่มของฝ่ายอำมาตย์ตั้งแต่ระดับสูงสุดลงมาต่ำสุด เราไม่มีทางหวัง
ให้พวกเขายินยอมรับผิด หรือเห็นใจประเทศชาติ แล้วยอมคืนในสิ่งที่เป็นของประชาชนทั้งมวล
การใช้อหิงสาและวิธีการตามระบอบที่เขาคุมเชิงไว้ได้เกือบทุกภาคส่วน ยิ่งปล่อยเวลาผ่านไป
พวกเขาก็ยิ่งจะหาทางสร้างฐานอำนาจ ขยายผลความชั่วร้ายด้วยความหน้าด้านและไร้ความ
เคารพต่อปัญญา สิทธิ ความเป็นคน และการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างสิ้นเชิง และที่
เลวร้ายกว่านั้น พวกนี้ได้พยายามเอาความทื่อในการบริหารประเทศ ความโลภจากการที่
อยากควบคุมระบอบการเงินงบประมาณ เพื่อสานผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงว่า ความโลภของ
กลุ่มที่รายรอบรัฐบาลนอมินีเผด็จการ หรือรัฐบาลเทพประทานที่เขาว่ากันนี้ และความหน่อมแน้ม
ในการมองและแก้ปัญหาของประเทศชาติ ซึ่งรับแต่จะทำร้าย ซ้ำเติมประเทศชาติที่กำลังย่ำแย่
จนยากแก่การเยียวยาอยู่แล้ว
คำถามที่เราต้องถามและตอบกันวินาทีนี้ ก็คือ เราจะยอมให้พวกมารทำร้ายประเทศนี้ไปมากกว่านี้หรือไม่?
การปล่อยให้นายกหน่อมแน้มและคณะรัฐมนตรีที่มีแต่เค้าการโกงกิน ได้สานต่ออำนาจเผด็จการ
เชิงโครงสร้างแบบครบวงจร ได้บริหารประเทศต่อไปนี้ มันจะคุ้มค่า เมื่อเทียบความเสียหาย
ที่จะเกิดขึ้น เพียงเพื่อให้รัฐบาลนี้ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับปัญหาที่จะกัดกินประเทศไทยเราจน
ยากแก่การเยียวยากระนั้นหรือ?
การยอมให้เวลาพวกนี้ เราจะได้อะไร? เสียอะไร? แล้วคุ้มไหมที่จะให้การเมืองอันมีรากมาจาก
เผด็จการ ต้นที่เป็นพิษ และดอกที่รอวันจะแตกพันธุ์ออกไปอย่างน่ากลัว
สำหรับคำตอบของผม ยิ่งรอยิ่งเสียหาย ยิ่งรอยิ่งไม่เห็นความหวัง
ยิ่งรอประเทศชาติยิ่งเลวร้าย และผลความเสียหายเลวร้ายนี้ มันจะยิ่งลึกและกว้างอย่างน่า
วิตกอย่างยิ่งยวด
ผมคิดว่า ได้เวลาที่ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย ต้องลุกขึ้นมาตบหัวพวกอำมาตยชน
ลุกขึ้นมาส่งเสียงพร้อมกันข่มให้มารบ้านเปรตเมืองมันหยุดทำร้ายบ้านเมือง ขับไล่มันไปเสีย
ให้พ้น แล้วก็จัดการบ้านเมืองเสียใหม่ จะทำอย่างไรนั้น คงต้องพูดก้นมากในรายละเอียด
และคงมีตัวแปรที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่ง
แต่จะรออีกต่อไปไม่ได้แล้ว ในความคิดส่วนตัวของผม
บทวัดใจและน้ำยาของคนสีแดง มันมาถึงข้อสอบที่สำคัญอย่างยิ่งแล้วครับ
แนวรบที่หนึ่ง สื่อและการแย่งมวลชน
Originally posted on มิถุนายน 7, 2010 by piangdin
ปัญหาที่รุมเร้าฝ่ายต่าง ๆ ในเมืองไทยเราทุกวันนี้นั้น หลากหลายและรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รัฐบาลและพรรคร่วมดิ้นเพื่อรอกินงบประมาณและกลัวการถูกเช็คบิลทั้งในประเทศ และระดับนานาชาติ ทหารดิ้นเพื่อให้รอดพ้นจากการประชาทัณฑ์ของสังคม พ่อค้าฝ่ายนิยมเผด็จการก็ต้องระวังตัวแจ และต้องสนับสนุนทหารและภาคีประชาธิปัตย์ให้กุมอำนาจต่อ เพราะอำนาจเปลี่ยนขั้วเมื่อใด ก็ต้องลำบากเมื่อนั้น ส่วนที่ดิ้นเพื่อหาเงิน คือดิ้นเพื่อรับใช้อำมาตย์และดิ้นเพื่อสนองกิเลสส่วนตนก็คือ สื่อหลายค่าย โดยเฉพาะ ASTV เมื่อเอาภาพคณะบุคคลเหล่านี้มาต่อกัน เราก็จะได้ภาพของการโหมโฆษณาชวนเชื่อแบบสุนัขหมู่ รุมกัดทำร้ายประเทศและตามขยี้เสื้อแดงอย่างไม่ลดละ พวกนี้ใช้เครื่องมือทุกอย่าง ไม่ต้องสนศีลธรรมจรรยาหรือจรรยาบรรณอันใดกันแล้ว ตอแหลกันแหลกราญไปวัน ๆ โดยไม่สนใจว่าชาวบ้านเขาก็คน คนไทยไม่ได้โง่งมงายขนาดหลงเชื่ออะไรที่มันขัดกับความจริงสุด ๆ
และกลหนึ่งที่พวกนี้ต้องพึ่งก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกนี้อ้างสถาบันฯ ตลอด ตั้งแต่การทำลายกลไกประชาธิปไตย ก่อนขึ้นอำนาจ และการพยายามเกาะและใช้อำนาจเพื่อค้ำการกินโกงบนอำนาจเถื่อนนั้น และจะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ สถาบันฯ ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้ง และด้วยภาพความจริงที่ปรากฎต่อสายตามวลชน ประชาชนจำนวนมากได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์คนชั้นสูงและถึงกับมีการลบหลู่ สถาบันมากขึ้นทุกวัน และในที่สุด สิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้ยินเลยในยุครัตนโกสินทร์เลยก็คือ การด่าและตั้งใจเปลี่ยนสถานะเจ้า หรือหากต้องล้มก็ต้องทำกันเลยทีเดียว นี่เลยทำให้กระแสเกาะเจ้า และกระแสการทำกษัตริย์ให้เป็นเทวดาผู้น่ารักด้วยเหตุผลทั้งปวง จึงเกิดขึ้นเหมือนดอกเห็น
นี่คือภาพความจริง และสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อการใดเลย พี่น้องที่รัก เพื่อสกัดคนเสื้อแดงและสกัดการมีเสรีประชาธิปไตยทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ก็คือ พวกที่กล่าวมาจะเสียผลประโยชน์ และเมื่อไม่อยากเสีย ไม่อยากถูกเช็คบิล ก็ต้องใส่ร้ายแดงและสร้างภาพดี ๆ ของตนและพรรคพวก ดังนั้น สื่อที่อยู่ในแนวทางนี้ คือศัตรูในแนวรบนี้ของคนเสื้อแดง เป้าหมายศัตรูคือกล่อมมวลชนให้เคลิ้มตามภาพหลอนและความตอแหล ส่วนยุทธศาสตร์ของคนเสื้อแดงก็คือ ต้องแย้งและรุกเข้าไปแย่งพื้นที่สื่อและสร้างสื่อทดแทน เพื่อถึงมวลชน เพื่อดึงมวลชนมาเข้าข้างเสื้อแดง ให้ตาสว่าง ให้ใจสว่าง และให้หันมาสนับสนุนแนวทางการปฎิวัติสังคมไทย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นมานานพอสมควรในสงครามแย่งเสรีประชาธิปไตยของประชาชนชาวไทยแล้ว
เสื้อแดงทำได้ดีระดับหนึ่ง ในแง่การเคลื่อนที่ของนปช. แดงทั้งแผ่นดิน และมีแนวเสริมอย่างของคุณชูพงศ์ คุณคฑาวุธ และล่าสุดของนปช. แต่ที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือ พี่น้องเรา นักรบไซเบอร์ทั้งที่มีสังกัดจากนักการเมืองหรือกลุ่มการเมือง หรือจะเป็นปัจเจกชนที่เร่าร้อนทนเห็นความไม่เป็นธรรมและการกดขี่ไม่ได้ ออกมาแสวงหาเสรีภาพและทางออกให้สังคมไทยตามเว็ปบอร์ดต่าง ๆ มากมาย ผมจะไม่เสนอแนวคิดย่อย ๆ ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่ผมจะบอกว่า เราสู้กับเขามาตลอด และไม่เคยยินยอมต่อการใช้กฎหมายและอำนาจเถื่อนในการไล่ปิดเว็บ ยึดสมาชิกภาพ ส่งนักโพสต์จอมทำลาย 2.4 จนถึงการจับยัดห้องขัง แต่คนไทยหัวใจสีแดงได้ก้าวไกลไปมาก ทั้งทางความคิด ฐานะการกินอยู่ และความรู้ในโลกเทคโนลียี แนวรบนี้ เราจึงพัฒนากันมาไกลจน ICT ปวดหัว ปิดไปพันเว็บ ก็โผล่อีกพันเว็บแทบจะในเวลาวันเดียวกัน แต่เรายังไม่ชนะนะครับ ย้ำว่าเรายังไม่ชนะ เราทำได้ดี เราเชื่อมข้อมูลข่าวสารจากภาคีของเราทุกแหล่ง แล้วเราก็ไปร่วมกันนักรบบนถนน ร่วมกับ นปช.
แต่สิ่งที่ผมอยากเสนอเป็นข้อคิดก็คือว่า เราต้องก้าวไปข้างหน้า ต้องให้ได้ผลตามยุทธศาสตร์ นั่นคือการเปิดตาของมวลชน เราทำได้ดีในการขยายตัวมาระดับหนึ่งละ แต่เวลานี้เรารู้แล้วว่ามวลชนหลักแสนหรือล้านเดียวมันไม่พอ เราต้องเพิ่มคนให้มากกว่านี้ การใช้เวลาพูดทำนองเดียวกัน เห็นตรงกัน และรักแดงแบบไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนี้ แล้วเราก็สร้างเครื่อข่ายระหว่างพวกเราให้เข้มแข็งเสมอไป ดีเฉพาะตอนพักยกครับ… พอยกใหม่เริ่มต้น เราต้องคิดใหม่แล้วว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้หัวใจสีแดงเพิ่มขึ้น ใครทำอะไรที่ไหนได้บ้าง กลุ่ม เด็กนักเรียน แม่บ้าน ทหารตำรวจ นักศึกษา พระเณร ครูอาจารย์ นักธุรกิจ คนชั้นกลางผู้หลับใหล หรือแม้แต่ชาวไร่ชาวนาที่ยังไม่รับรู้ข้อมูลมากพอที่จนทนอยู่กับบ้านไม่ได้…
เราต้องทำอะไรอีกมาก บางคนใจร้อนก็บอกว่า ยึด ASTV หรือทีวีรัฐซะเลยดีไหม ดีครับ แต่ต้องเป็นตอนที่ประชาชนกุมอำนาจโดยรวมได้แล้ว และบางทีเราอาจจะต้องรอแนวรบด้านอื่นด้วย เช่น หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เราก็ได้สื่อกระแสหลักมาอย่างน้อยก็ส่วนหนึ่ง แต่นั่นก็ยังไม่พออยู่ดี เรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละที่ทำได้ในการแย่งมวลชน ผมถือว่านี่เป็นข้อสอบประชาธิปไตยสำหรับพี่น้องเลือดแดงเข้มนะครับ ท่านและหลาย ๆ ท่าน ทำอะไรได้บ้าง เพื่อเป้าหมายในการสร้างกระแสตาสว่าง และแย่งมวลชนให้มากกว่าจำนวนเสื้อแดงทีหัวใจแดงอยู่แล้ว.… เวทีเปิดแล้วครับ เชิญครับ…
และกลหนึ่งที่พวกนี้ต้องพึ่งก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกนี้อ้างสถาบันฯ ตลอด ตั้งแต่การทำลายกลไกประชาธิปไตย ก่อนขึ้นอำนาจ และการพยายามเกาะและใช้อำนาจเพื่อค้ำการกินโกงบนอำนาจเถื่อนนั้น และจะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ สถาบันฯ ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้ง และด้วยภาพความจริงที่ปรากฎต่อสายตามวลชน ประชาชนจำนวนมากได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์คนชั้นสูงและถึงกับมีการลบหลู่ สถาบันมากขึ้นทุกวัน และในที่สุด สิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้ยินเลยในยุครัตนโกสินทร์เลยก็คือ การด่าและตั้งใจเปลี่ยนสถานะเจ้า หรือหากต้องล้มก็ต้องทำกันเลยทีเดียว นี่เลยทำให้กระแสเกาะเจ้า และกระแสการทำกษัตริย์ให้เป็นเทวดาผู้น่ารักด้วยเหตุผลทั้งปวง จึงเกิดขึ้นเหมือนดอกเห็น
นี่คือภาพความจริง และสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อการใดเลย พี่น้องที่รัก เพื่อสกัดคนเสื้อแดงและสกัดการมีเสรีประชาธิปไตยทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ก็คือ พวกที่กล่าวมาจะเสียผลประโยชน์ และเมื่อไม่อยากเสีย ไม่อยากถูกเช็คบิล ก็ต้องใส่ร้ายแดงและสร้างภาพดี ๆ ของตนและพรรคพวก ดังนั้น สื่อที่อยู่ในแนวทางนี้ คือศัตรูในแนวรบนี้ของคนเสื้อแดง เป้าหมายศัตรูคือกล่อมมวลชนให้เคลิ้มตามภาพหลอนและความตอแหล ส่วนยุทธศาสตร์ของคนเสื้อแดงก็คือ ต้องแย้งและรุกเข้าไปแย่งพื้นที่สื่อและสร้างสื่อทดแทน เพื่อถึงมวลชน เพื่อดึงมวลชนมาเข้าข้างเสื้อแดง ให้ตาสว่าง ให้ใจสว่าง และให้หันมาสนับสนุนแนวทางการปฎิวัติสังคมไทย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นมานานพอสมควรในสงครามแย่งเสรีประชาธิปไตยของประชาชนชาวไทยแล้ว
เสื้อแดงทำได้ดีระดับหนึ่ง ในแง่การเคลื่อนที่ของนปช. แดงทั้งแผ่นดิน และมีแนวเสริมอย่างของคุณชูพงศ์ คุณคฑาวุธ และล่าสุดของนปช. แต่ที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือ พี่น้องเรา นักรบไซเบอร์ทั้งที่มีสังกัดจากนักการเมืองหรือกลุ่มการเมือง หรือจะเป็นปัจเจกชนที่เร่าร้อนทนเห็นความไม่เป็นธรรมและการกดขี่ไม่ได้ ออกมาแสวงหาเสรีภาพและทางออกให้สังคมไทยตามเว็ปบอร์ดต่าง ๆ มากมาย ผมจะไม่เสนอแนวคิดย่อย ๆ ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่ผมจะบอกว่า เราสู้กับเขามาตลอด และไม่เคยยินยอมต่อการใช้กฎหมายและอำนาจเถื่อนในการไล่ปิดเว็บ ยึดสมาชิกภาพ ส่งนักโพสต์จอมทำลาย 2.4 จนถึงการจับยัดห้องขัง แต่คนไทยหัวใจสีแดงได้ก้าวไกลไปมาก ทั้งทางความคิด ฐานะการกินอยู่ และความรู้ในโลกเทคโนลียี แนวรบนี้ เราจึงพัฒนากันมาไกลจน ICT ปวดหัว ปิดไปพันเว็บ ก็โผล่อีกพันเว็บแทบจะในเวลาวันเดียวกัน แต่เรายังไม่ชนะนะครับ ย้ำว่าเรายังไม่ชนะ เราทำได้ดี เราเชื่อมข้อมูลข่าวสารจากภาคีของเราทุกแหล่ง แล้วเราก็ไปร่วมกันนักรบบนถนน ร่วมกับ นปช.
แต่สิ่งที่ผมอยากเสนอเป็นข้อคิดก็คือว่า เราต้องก้าวไปข้างหน้า ต้องให้ได้ผลตามยุทธศาสตร์ นั่นคือการเปิดตาของมวลชน เราทำได้ดีในการขยายตัวมาระดับหนึ่งละ แต่เวลานี้เรารู้แล้วว่ามวลชนหลักแสนหรือล้านเดียวมันไม่พอ เราต้องเพิ่มคนให้มากกว่านี้ การใช้เวลาพูดทำนองเดียวกัน เห็นตรงกัน และรักแดงแบบไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนี้ แล้วเราก็สร้างเครื่อข่ายระหว่างพวกเราให้เข้มแข็งเสมอไป ดีเฉพาะตอนพักยกครับ… พอยกใหม่เริ่มต้น เราต้องคิดใหม่แล้วว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้หัวใจสีแดงเพิ่มขึ้น ใครทำอะไรที่ไหนได้บ้าง กลุ่ม เด็กนักเรียน แม่บ้าน ทหารตำรวจ นักศึกษา พระเณร ครูอาจารย์ นักธุรกิจ คนชั้นกลางผู้หลับใหล หรือแม้แต่ชาวไร่ชาวนาที่ยังไม่รับรู้ข้อมูลมากพอที่จนทนอยู่กับบ้านไม่ได้…
เราต้องทำอะไรอีกมาก บางคนใจร้อนก็บอกว่า ยึด ASTV หรือทีวีรัฐซะเลยดีไหม ดีครับ แต่ต้องเป็นตอนที่ประชาชนกุมอำนาจโดยรวมได้แล้ว และบางทีเราอาจจะต้องรอแนวรบด้านอื่นด้วย เช่น หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เราก็ได้สื่อกระแสหลักมาอย่างน้อยก็ส่วนหนึ่ง แต่นั่นก็ยังไม่พออยู่ดี เรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละที่ทำได้ในการแย่งมวลชน ผมถือว่านี่เป็นข้อสอบประชาธิปไตยสำหรับพี่น้องเลือดแดงเข้มนะครับ ท่านและหลาย ๆ ท่าน ทำอะไรได้บ้าง เพื่อเป้าหมายในการสร้างกระแสตาสว่าง และแย่งมวลชนให้มากกว่าจำนวนเสื้อแดงทีหัวใจแดงอยู่แล้ว.… เวทีเปิดแล้วครับ เชิญครับ…
พลพรรคคนเสื้อแดง ต้องรอบคอบ แต่อย่าใจแคบ…
Originally posted on กุมภาพันธ์ 28, 2010 by piangdin
พลพรรคคนเสื้อแดง ต้องรอบคอบ แต่อย่าใจแคบ…
ในระยะหลัง ๆ และระยะต่อไปนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
คือความขัดแย้งในแนวทาง ความแตกต่างในรายละเอียดการทำงานของกลุ่มต่าง ๆ
และที่สำคัญ จะมีการสร้างข่าว สร้างบ่าง และสร้างภาพความขัดแย้งโดยฝ่ายขี้ข้าอำมาตย์
จะเกิดศิลปินจำนวนมากที่กำกับโดยระบอบเผด็จการ ออกมาช่วยกันละเลงสี สร้างภาพลบ
และทำทุกอย่างเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของคนเสื้อแดง… ยิ่งใกล้วันวิกฤติ ก็จะยิ่งชัดเจนขึ้น
ดังนั้น พวกเราทุกคนที่มีหัวใจสีแดง อยากเห็นชัยชนะ อยากได้เสรีประชาธิปไตย
จะต้องรอบคอบ แต่ไม่ใจแคบ หลงไปมองเรื่องเล็กโดยไม่เห็นภาพใหญ่ หลงมองด้านผิด
โดยไม่มองด้านถูก หรืออะไรทำนองที่ไม่สร้างสรรค์
กล่าวคือ แนวทางแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างนั้น เราอย่าได้แต่ท่องติดปาก
แต่จะต้องเอามาคิด ตรึกตรอง และทำให้สอดคล้องด้วย
ศึกนี้เดิมพันมันสูง ยิ่งทักษิณสูญเงิน 76000 ล้านบาท
บาปกรรมมันก็จะติดตัวอำมาตย์และเทพอสูรอย่างหนักหน่วง
เงิน 76000 ล้านบาท ไม่ใช่แค่เงิน 760 หรือ 7600 บาทนะครับ
ทำกันได้ขนาดนี้ ใครเล่าจะยอม?
และแน่นอนว่า กฎแห่งกรรม มันก็ยิ่งจะถูกกระตุ้นให้แรงขึ้น
โดยทั้งฝ่ายอำมาตย์และคุณทัก้ษิณต่างรู้ดัว่าเดิมพันมันสูง
อีกไม่กี่สัปดาห์นี้ เขาจึงเรียกว่า จะมีสงครามช้างสารเชื่อกใหญ่ชนกัน…
พร้อมกับแนวรบกองหน้าและทัพย่อย ก็จะต้องได้รับเรียกให้ทำหน้าที่ไปด้วย…
กรณีของคุณทักษิณ การได้คืนหรือสูญเสียทรัพย์สิน จะไม่มีผลมากมายกับพลังประชาชน
แต่อาจจะมีผลบ้าง กับนักการเมืองที่เกาะพลังประชาชนเพื่อรับใช้ทักษิณ เพื่อรอลาภผลในวันชนะ
สงคราม เราต้องอ่านตรงนี้ให้ขาด…
พวกที่ทำหน้าที่ให้พวกเราคนเสื้อแดงนั้น บรรดาหลายฝ่าย แต่แรกเริ่มเดิมที ก็ไม่ได้เข้ามาเพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยนะครับ
แต่เมื่อเข้ามาแล้ว เราก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเขา
และเราต่างยอมรับกันเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่สัมพันธ์กันแน่นแฟ้นขึ้น
อย่างไรก็ตาม เราจะไปหวังให้ทุกคนที่แสดงตัวแสดงหน้าในกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เป็นพวกรักเสรีประชาธิปไตยแบบเอาชีวิตแลกได้เสียหมด คงไม่ได้
แต่จะมองว่า คนที่เป็นนักการเมือง นักการทหารเลียเจ้า และคนรักทักษิณ ไม่ได้พัฒนาอุดมการณ์ที่แท้จริง ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน
โลกเรามันไม่ใช่ขาวกับดำเสมอไป และคนที่เป็นอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง ณ วันหนึ่ง ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะคงที่หรือเหมือนเดิม
นายกทักษิณ นี่คือนักธุรกิจที่มีมันสมองทางธุรกิจและความคิดเรื่องการลงทุนเพื่อผลตอบแทนนะครับ
ดังนั้น ระยะแรก เขาจึงมองดูทิศทาง หาทางเจรจา และสนับสนุนอย่างลับ ๆ
โดยใช้คนสนิทที่รักใคร่หรือมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ทำงานให้
จนเมื่อแน่ใจแล้วว่า เทพอสูรและอำมาตย์ใหญ่ ไม่ยอมประสานผลประโยชน์แน่นอนแล้ว
กอปรกับพลังแดงทั่วแผ่นดินได้ผล
เขาจึงเปิดเผยตัวออกมา และการที่เขาได้ยืนเป็นขุนศึกเอกของทัพเสื้อแดง
ก็เพราะผลกรรมดีเก่า ๆ ที่เขาได้ทำ ตลอดจนผลกรรมดี
ที่ไม่คิดร้ายหรือเอาตัวลงต่ำเพื่อต่อสู้เรียกร้องผลประโยชน์ส่วนตน
โดยไม่มองผลดีร้ายต่อชาติและบ้านเมือง
วันนี้ เขาจึงอยู่ในใจคนเสื้อแดง และคงได้คิดแล้วว่า
ตายเพราะอยู่กับประชาชน
ย่อมดีกว่าการไปกราบกรานแทบตีนเทวดาใจหมาหน้าไหนทั้งสิ้น
แต่เชื่อเถิดครับ ว่าการเป็นนักการเมืองและนักธุรกิจ
ในอนาคตหากเขาต้องเล่นกับอำนาจอีก เราอาจจะต้องได้เห็นอะไรที่ขัดใจบ้าง
เพราะเกมการเมือง มันต้องประสานผลประโยชน์
ผมจะละเอาไว้ แล้วให้กาลเวลาช่วยตัดสิน อีกอย่่างหนึ่ง นับจากนี้ไป
อะไรจะออกหัวและก้อย มันยังสรุปไม่ได้ เรายังคงต้องเดากันต่อไป
แต่หากอยากชนะ ก็ต้องสร้างเงื่อนไขแห่งชัยชนะทั้งหลายให้เข้มแข็ง
ในส่วนที่เกี่ยวกัยท่านทักษิณนี้ แม้ผมจะไม่นิยมการเทิดทูนบูชาคน ๆ เดียว
และผมก็ไม่เชื่อว่าคน ๆ เดียวจะต้องเก่งจนทำอะไรได้ทุกอย่าง
แต่ผมคิดว่า ต้องช่วยคุณทักษิณครับ
เพราะวันนี้ เขาเป็นพี่ชายคนโตในบ้านเสรีประชาธิปไตยเลยก็ว่าได้
และวันข้างหน้า หากสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ
เขาอาจจะเป็นความหวัง ที่ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง
เหมือนกับผู้ใหญ่ใจเด็กพิการของเมืองไทยหลายคน
สองสามวันนี้ มีการพูดถึงคุณเฉลิม สุดารัตน์
พลเอกชวลิต พลเอกพัลลภ เสธแดง และแกนนำสามเกลอ ตลอดจนแกนนำนปช.
เราควรมองพวกนี้ให้ทะลุ กลุ่มคนตรงนี้
รวมถึงแกนนำระดับท้องถิ่นที่เริ่มทะยอยกันขึ้นเวที
โดยเฉพาะสส. ท้องถิ่น หากมองแบบ
จงเกลียดจงชังก็สามารถพูดได้ว่า
รับจ้างออกหน้าเพื่อหวังลาภยศตำแหน่งส่วนตนและครอบครัว (เฉลิม)
หรือมองว่า เป็นนางบัวลอย คือลอยไปลอยมาโดยไม่ทำอะไร เพื่อรอวันรับผลประโยชน์ (คุณหญิง)
หรือมวยเชิงที่ไม่มีหมัดน็อค แต่มัดใจคนดูตลอดกาล (อย่างจาตุรนต์)
หรือผู้ทรงอิทธิพลสีเขียวผู้ชอบหลายแคม (ชวลิต)
หรือนักรบทรยศแก๊งค์ของตัวเอง (พัลลภ)
หรือนักรบน้ำลายมันผู้ยึดมั่นในของเก่า (เสธแดง)
หรือสามเกลอสู้แล้วรวย แต่เดินเกมสวยด้วยพลังสีแดง
ฯลฯ
อันนี้ คือมองภาพแบบด้านเดียวนะครับ
และเราจะเห็นได้ว่า ภาพเหล่านี้ มันเป็นเรื่องสันดานเก่า
เป็นเรื่องผลประโยชน์เฉพาะหน้า
และการเก็งผลประโยชน์ทั้งสิ้น และทุกวันนี้
คนเสื้อแดงต้องเก็บรายละเอียดพฤติกรรม
การลงทุนและความจริงใจของคนเหล่านี้ไว้
เพราะถึงที่สุดแล้ว พวกเราเองน่ะแหละ
ที่จะตัดสินให้ผลประโยชน์ ให้คุณ หรือให้โทษกับคนเหล่านี้ได้
และต้องยอมรับว่า คนเรามันมีสันดานอยู่กับการดำรงชีพ
การได้เสียเพื่ออยู่รอดและก้าวหน้า ดังนั้น อย่าไปตำหนิพวกเขา…
หากไม่มีการได้ ไม่มีคนยอมเสีย… เราอาจจะไม่สามารถก้าวมาถึงวันนี้ได้…
แม้แต่พี่น้องเสื้อแดงที่ติดตามสนับสนุนทัพเสื้อแดงมาสามปีกว่าเอง
ก็หมดเงินหมดทองส่วนตัวไปไม่น้อยแล้วนะครับ
ดังนั้น เราต้องมองด้วยว่า ทุกท่านที่ว่ามา เป็นพลังคนเสื้อแดง
ที่เราต้องใช้ เพื่อต่อสู้กับอำนาจโบราณทั้งหลายครับ
เราผลักพวกเขาออกไป เราจะไม่ได้อะไรเลย แต่การรับพวกเขาทำงาน
ก็ไม่ได้แปลว่า พวกเขาต้องได้อามิสสินจ้างใด ๆ
คนเสื้อแดงที่มีพลังบริสุทธิ์ มีมากมายนัก
และมีจำนวนมากกว่าผู้มีอิทธิพลตามหน้าสื่อที่ว่ามามากมาย
พวกเราในเว็บบอร์ดเอง ก็ถือเป็นพลังสำคัญ
นักจัดรายการอย่างคุณคฑาวุธ คุณชูพงศ์ แม้แต่แต้มแทมป้าและวิทยากรทั้งหลาย
เว็บ นปช. ทั่วโลก เหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีจุดร่วม ที่แม้จะมีจุดต่าง เราต้องสงวนไว้อย่างสนิท
แล้วทำงานร่วมกันต่อไป
ผมเคยพูดเรื่องการอย่าเอาไข่ใส่ตะกร้าใบเดียว เคยบอกเรื่องศึกเก้าทัพ
เคยเสนอเรื่องการแยกกันตี และวันนี้ หากจะเสนอภาพแบบลับ ลวง พรางไปด้วยก็ยิ่งดี
เล่นให้อำมาตย์ใหญ่งง ขี้ข้าอำมาตย์จับจุดไม่ได้ว่าใครทำให้พวกมันรู้สึกไม่ปลอดภัย
และให้พวกมันไม่รู้ว่าพวกเราจะโจมตีวันใด ตรงไหน และวิธีใด
แต่ลึก ๆ แล้ว ขอให้พวกเราติดต่อประสานงานกัน หน้าฉากอาจจะแกล้งทะเลาะกันบ้าง (หากเหมาะสมในเชิงยุทธวิธี)
แต่หลังฉาก ให้มีแผนร่วมไว้เสมอ…
ในขณะที่ตัวละครที่ว่ามาต้องเล่นกันไป และคนเสื้อแดงก็สนับสนุนให้พลังมันประสานและยิ่งใหญ่
ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่อย่างถาวรกับคนที่ว่ามานะครับ
คุณทักษิณอาจจะโดนยึดทรัพย์และฆ่าตายในเวลาไม่กี่ปีก็ได้
สามเกลออาจจะลงเอยติดคุกหรือถูกฆ่่าตาย หรือถอยทัพพับฐานก็ได้
นปช.บางท่าน อาจจะแก่ตายวายพลัง
เสธแดง ผู้หวังอยากอยู่ในอำนาจสูงสุดทางการทหาร หรือนักการเมืองที่คิดอยากได้ผลกำไรทางการเมืองจากการลงทุน
พวกนี้อาจจะเปลี่ยนจุดยืนได้เสมอ… และไม่ต้องไปแปลกใจหากมันเกิดขึ้น
แต่คนหนุ่มที่ได้คลุกคลีและได้ครูดี
คือประชาชนรากหญ้าและรากแก้วเป็นผู้สั่งสอนทางจิตวิญญาณ
อย่างณัฐวุฒิ จตุพร แรมโบ้ อริสมันต์ จักรภพ และอีกหลายท่านที่ยังหนุ่มแน่น ผมหวังว่า ท่านจะไม่ยอมหยุดแค่ผลประโยชน์พรรคและส่วนตนนะครับ
ผมฝากความหวังไว้กับพวกท่าน
แต่สำคัญที่สุด ประชาชน พี่น้องทั้งหลาย หญิง ชาย แก่ อ่อน รวย จน
การศึกษาต่ำหรือสูงทุกท่านครับ
พวกท่านคือคนที่สำคัญที่สุด พวกท่านคือพลังที่แท้จริงของแผ่นดิน…
เมื่อพวกท่านก้าวหน้าไปไกลแล้ว… ตาสว่างแล้ว…
อย่าหยุดอยู่แค่นี้… จงสร้างหัวใจสีแดงให้เต็มแผ่นดิน ให้มันเพิ่มขึ้นทุกวัน
จนวันหนึ่ง เราจะได้ชัยชนะ และได้รับการเคารพเกรงอกเกรงใจ จากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินและตัวแทนที่ไปใช้อำนาจอธิปไตย
และเหล่าลูกจ้างของพวกเราที่เราใช้ให้พวกม้นไปทำงานเป็นรั้วของชาติ
และดูแลความเรียบร้อยของบ้านเมือง
ประชาชน ยิ่งใหญ่ที่สุด.. เราต้องท่องเอาไว้ และต้องทำให้ประชาชนเป็นใหญ่ให้ได้ในที่สุด
เพราะนั่น คือ สิทธิมนุษยชนที่ทั่วโลกเขายอมรับ และเป็นอารยธรรมของมนุษย์ศตวรรษที่ 21 ครับ
ด้วยปรารถนาดีเสมอ
เพียงดิน
ในระยะหลัง ๆ และระยะต่อไปนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
คือความขัดแย้งในแนวทาง ความแตกต่างในรายละเอียดการทำงานของกลุ่มต่าง ๆ
และที่สำคัญ จะมีการสร้างข่าว สร้างบ่าง และสร้างภาพความขัดแย้งโดยฝ่ายขี้ข้าอำมาตย์
จะเกิดศิลปินจำนวนมากที่กำกับโดยระบอบเผด็จการ ออกมาช่วยกันละเลงสี สร้างภาพลบ
และทำทุกอย่างเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของคนเสื้อแดง… ยิ่งใกล้วันวิกฤติ ก็จะยิ่งชัดเจนขึ้น
ดังนั้น พวกเราทุกคนที่มีหัวใจสีแดง อยากเห็นชัยชนะ อยากได้เสรีประชาธิปไตย
จะต้องรอบคอบ แต่ไม่ใจแคบ หลงไปมองเรื่องเล็กโดยไม่เห็นภาพใหญ่ หลงมองด้านผิด
โดยไม่มองด้านถูก หรืออะไรทำนองที่ไม่สร้างสรรค์
กล่าวคือ แนวทางแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างนั้น เราอย่าได้แต่ท่องติดปาก
แต่จะต้องเอามาคิด ตรึกตรอง และทำให้สอดคล้องด้วย
ศึกนี้เดิมพันมันสูง ยิ่งทักษิณสูญเงิน 76000 ล้านบาท
บาปกรรมมันก็จะติดตัวอำมาตย์และเทพอสูรอย่างหนักหน่วง
เงิน 76000 ล้านบาท ไม่ใช่แค่เงิน 760 หรือ 7600 บาทนะครับ
ทำกันได้ขนาดนี้ ใครเล่าจะยอม?
และแน่นอนว่า กฎแห่งกรรม มันก็ยิ่งจะถูกกระตุ้นให้แรงขึ้น
โดยทั้งฝ่ายอำมาตย์และคุณทัก้ษิณต่างรู้ดัว่าเดิมพันมันสูง
อีกไม่กี่สัปดาห์นี้ เขาจึงเรียกว่า จะมีสงครามช้างสารเชื่อกใหญ่ชนกัน…
พร้อมกับแนวรบกองหน้าและทัพย่อย ก็จะต้องได้รับเรียกให้ทำหน้าที่ไปด้วย…
กรณีของคุณทักษิณ การได้คืนหรือสูญเสียทรัพย์สิน จะไม่มีผลมากมายกับพลังประชาชน
แต่อาจจะมีผลบ้าง กับนักการเมืองที่เกาะพลังประชาชนเพื่อรับใช้ทักษิณ เพื่อรอลาภผลในวันชนะ
สงคราม เราต้องอ่านตรงนี้ให้ขาด…
พวกที่ทำหน้าที่ให้พวกเราคนเสื้อแดงนั้น บรรดาหลายฝ่าย แต่แรกเริ่มเดิมที ก็ไม่ได้เข้ามาเพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยนะครับ
แต่เมื่อเข้ามาแล้ว เราก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเขา
และเราต่างยอมรับกันเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่สัมพันธ์กันแน่นแฟ้นขึ้น
อย่างไรก็ตาม เราจะไปหวังให้ทุกคนที่แสดงตัวแสดงหน้าในกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เป็นพวกรักเสรีประชาธิปไตยแบบเอาชีวิตแลกได้เสียหมด คงไม่ได้
แต่จะมองว่า คนที่เป็นนักการเมือง นักการทหารเลียเจ้า และคนรักทักษิณ ไม่ได้พัฒนาอุดมการณ์ที่แท้จริง ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน
โลกเรามันไม่ใช่ขาวกับดำเสมอไป และคนที่เป็นอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง ณ วันหนึ่ง ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะคงที่หรือเหมือนเดิม
นายกทักษิณ นี่คือนักธุรกิจที่มีมันสมองทางธุรกิจและความคิดเรื่องการลงทุนเพื่อผลตอบแทนนะครับ
ดังนั้น ระยะแรก เขาจึงมองดูทิศทาง หาทางเจรจา และสนับสนุนอย่างลับ ๆ
โดยใช้คนสนิทที่รักใคร่หรือมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ทำงานให้
จนเมื่อแน่ใจแล้วว่า เทพอสูรและอำมาตย์ใหญ่ ไม่ยอมประสานผลประโยชน์แน่นอนแล้ว
กอปรกับพลังแดงทั่วแผ่นดินได้ผล
เขาจึงเปิดเผยตัวออกมา และการที่เขาได้ยืนเป็นขุนศึกเอกของทัพเสื้อแดง
ก็เพราะผลกรรมดีเก่า ๆ ที่เขาได้ทำ ตลอดจนผลกรรมดี
ที่ไม่คิดร้ายหรือเอาตัวลงต่ำเพื่อต่อสู้เรียกร้องผลประโยชน์ส่วนตน
โดยไม่มองผลดีร้ายต่อชาติและบ้านเมือง
วันนี้ เขาจึงอยู่ในใจคนเสื้อแดง และคงได้คิดแล้วว่า
ตายเพราะอยู่กับประชาชน
ย่อมดีกว่าการไปกราบกรานแทบตีนเทวดาใจหมาหน้าไหนทั้งสิ้น
แต่เชื่อเถิดครับ ว่าการเป็นนักการเมืองและนักธุรกิจ
ในอนาคตหากเขาต้องเล่นกับอำนาจอีก เราอาจจะต้องได้เห็นอะไรที่ขัดใจบ้าง
เพราะเกมการเมือง มันต้องประสานผลประโยชน์
ผมจะละเอาไว้ แล้วให้กาลเวลาช่วยตัดสิน อีกอย่่างหนึ่ง นับจากนี้ไป
อะไรจะออกหัวและก้อย มันยังสรุปไม่ได้ เรายังคงต้องเดากันต่อไป
แต่หากอยากชนะ ก็ต้องสร้างเงื่อนไขแห่งชัยชนะทั้งหลายให้เข้มแข็ง
ในส่วนที่เกี่ยวกัยท่านทักษิณนี้ แม้ผมจะไม่นิยมการเทิดทูนบูชาคน ๆ เดียว
และผมก็ไม่เชื่อว่าคน ๆ เดียวจะต้องเก่งจนทำอะไรได้ทุกอย่าง
แต่ผมคิดว่า ต้องช่วยคุณทักษิณครับ
เพราะวันนี้ เขาเป็นพี่ชายคนโตในบ้านเสรีประชาธิปไตยเลยก็ว่าได้
และวันข้างหน้า หากสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ
เขาอาจจะเป็นความหวัง ที่ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง
เหมือนกับผู้ใหญ่ใจเด็กพิการของเมืองไทยหลายคน
สองสามวันนี้ มีการพูดถึงคุณเฉลิม สุดารัตน์
พลเอกชวลิต พลเอกพัลลภ เสธแดง และแกนนำสามเกลอ ตลอดจนแกนนำนปช.
เราควรมองพวกนี้ให้ทะลุ กลุ่มคนตรงนี้
รวมถึงแกนนำระดับท้องถิ่นที่เริ่มทะยอยกันขึ้นเวที
โดยเฉพาะสส. ท้องถิ่น หากมองแบบ
จงเกลียดจงชังก็สามารถพูดได้ว่า
รับจ้างออกหน้าเพื่อหวังลาภยศตำแหน่งส่วนตนและครอบครัว (เฉลิม)
หรือมองว่า เป็นนางบัวลอย คือลอยไปลอยมาโดยไม่ทำอะไร เพื่อรอวันรับผลประโยชน์ (คุณหญิง)
หรือมวยเชิงที่ไม่มีหมัดน็อค แต่มัดใจคนดูตลอดกาล (อย่างจาตุรนต์)
หรือผู้ทรงอิทธิพลสีเขียวผู้ชอบหลายแคม (ชวลิต)
หรือนักรบทรยศแก๊งค์ของตัวเอง (พัลลภ)
หรือนักรบน้ำลายมันผู้ยึดมั่นในของเก่า (เสธแดง)
หรือสามเกลอสู้แล้วรวย แต่เดินเกมสวยด้วยพลังสีแดง
ฯลฯ
อันนี้ คือมองภาพแบบด้านเดียวนะครับ
และเราจะเห็นได้ว่า ภาพเหล่านี้ มันเป็นเรื่องสันดานเก่า
เป็นเรื่องผลประโยชน์เฉพาะหน้า
และการเก็งผลประโยชน์ทั้งสิ้น และทุกวันนี้
คนเสื้อแดงต้องเก็บรายละเอียดพฤติกรรม
การลงทุนและความจริงใจของคนเหล่านี้ไว้
เพราะถึงที่สุดแล้ว พวกเราเองน่ะแหละ
ที่จะตัดสินให้ผลประโยชน์ ให้คุณ หรือให้โทษกับคนเหล่านี้ได้
และต้องยอมรับว่า คนเรามันมีสันดานอยู่กับการดำรงชีพ
การได้เสียเพื่ออยู่รอดและก้าวหน้า ดังนั้น อย่าไปตำหนิพวกเขา…
หากไม่มีการได้ ไม่มีคนยอมเสีย… เราอาจจะไม่สามารถก้าวมาถึงวันนี้ได้…
แม้แต่พี่น้องเสื้อแดงที่ติดตามสนับสนุนทัพเสื้อแดงมาสามปีกว่าเอง
ก็หมดเงินหมดทองส่วนตัวไปไม่น้อยแล้วนะครับ
ดังนั้น เราต้องมองด้วยว่า ทุกท่านที่ว่ามา เป็นพลังคนเสื้อแดง
ที่เราต้องใช้ เพื่อต่อสู้กับอำนาจโบราณทั้งหลายครับ
เราผลักพวกเขาออกไป เราจะไม่ได้อะไรเลย แต่การรับพวกเขาทำงาน
ก็ไม่ได้แปลว่า พวกเขาต้องได้อามิสสินจ้างใด ๆ
คนเสื้อแดงที่มีพลังบริสุทธิ์ มีมากมายนัก
และมีจำนวนมากกว่าผู้มีอิทธิพลตามหน้าสื่อที่ว่ามามากมาย
พวกเราในเว็บบอร์ดเอง ก็ถือเป็นพลังสำคัญ
นักจัดรายการอย่างคุณคฑาวุธ คุณชูพงศ์ แม้แต่แต้มแทมป้าและวิทยากรทั้งหลาย
เว็บ นปช. ทั่วโลก เหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีจุดร่วม ที่แม้จะมีจุดต่าง เราต้องสงวนไว้อย่างสนิท
แล้วทำงานร่วมกันต่อไป
ผมเคยพูดเรื่องการอย่าเอาไข่ใส่ตะกร้าใบเดียว เคยบอกเรื่องศึกเก้าทัพ
เคยเสนอเรื่องการแยกกันตี และวันนี้ หากจะเสนอภาพแบบลับ ลวง พรางไปด้วยก็ยิ่งดี
เล่นให้อำมาตย์ใหญ่งง ขี้ข้าอำมาตย์จับจุดไม่ได้ว่าใครทำให้พวกมันรู้สึกไม่ปลอดภัย
และให้พวกมันไม่รู้ว่าพวกเราจะโจมตีวันใด ตรงไหน และวิธีใด
แต่ลึก ๆ แล้ว ขอให้พวกเราติดต่อประสานงานกัน หน้าฉากอาจจะแกล้งทะเลาะกันบ้าง (หากเหมาะสมในเชิงยุทธวิธี)
แต่หลังฉาก ให้มีแผนร่วมไว้เสมอ…
ในขณะที่ตัวละครที่ว่ามาต้องเล่นกันไป และคนเสื้อแดงก็สนับสนุนให้พลังมันประสานและยิ่งใหญ่
ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่อย่างถาวรกับคนที่ว่ามานะครับ
คุณทักษิณอาจจะโดนยึดทรัพย์และฆ่าตายในเวลาไม่กี่ปีก็ได้
สามเกลออาจจะลงเอยติดคุกหรือถูกฆ่่าตาย หรือถอยทัพพับฐานก็ได้
นปช.บางท่าน อาจจะแก่ตายวายพลัง
เสธแดง ผู้หวังอยากอยู่ในอำนาจสูงสุดทางการทหาร หรือนักการเมืองที่คิดอยากได้ผลกำไรทางการเมืองจากการลงทุน
พวกนี้อาจจะเปลี่ยนจุดยืนได้เสมอ… และไม่ต้องไปแปลกใจหากมันเกิดขึ้น
แต่คนหนุ่มที่ได้คลุกคลีและได้ครูดี
คือประชาชนรากหญ้าและรากแก้วเป็นผู้สั่งสอนทางจิตวิญญาณ
อย่างณัฐวุฒิ จตุพร แรมโบ้ อริสมันต์ จักรภพ และอีกหลายท่านที่ยังหนุ่มแน่น ผมหวังว่า ท่านจะไม่ยอมหยุดแค่ผลประโยชน์พรรคและส่วนตนนะครับ
ผมฝากความหวังไว้กับพวกท่าน
แต่สำคัญที่สุด ประชาชน พี่น้องทั้งหลาย หญิง ชาย แก่ อ่อน รวย จน
การศึกษาต่ำหรือสูงทุกท่านครับ
พวกท่านคือคนที่สำคัญที่สุด พวกท่านคือพลังที่แท้จริงของแผ่นดิน…
เมื่อพวกท่านก้าวหน้าไปไกลแล้ว… ตาสว่างแล้ว…
อย่าหยุดอยู่แค่นี้… จงสร้างหัวใจสีแดงให้เต็มแผ่นดิน ให้มันเพิ่มขึ้นทุกวัน
จนวันหนึ่ง เราจะได้ชัยชนะ และได้รับการเคารพเกรงอกเกรงใจ จากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินและตัวแทนที่ไปใช้อำนาจอธิปไตย
และเหล่าลูกจ้างของพวกเราที่เราใช้ให้พวกม้นไปทำงานเป็นรั้วของชาติ
และดูแลความเรียบร้อยของบ้านเมือง
ประชาชน ยิ่งใหญ่ที่สุด.. เราต้องท่องเอาไว้ และต้องทำให้ประชาชนเป็นใหญ่ให้ได้ในที่สุด
เพราะนั่น คือ สิทธิมนุษยชนที่ทั่วโลกเขายอมรับ และเป็นอารยธรรมของมนุษย์ศตวรรษที่ 21 ครับ
ด้วยปรารถนาดีเสมอ
เพียงดิน
ทำไมต้อง เสรีประชาธิปไตย?
Originally Posted on มีนาคม 30, 2009 by piangdin
ทำไมต้อง เสรีประชาธิปไตย?
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทย วันนี้ขอเข้าเรื่องเลยนะครับ หลังจากตั้งสติ หยิบขลุ่ยในหัวใจมาเป่าด้วยความคิดถึงบ้านเกิดและกังวลต่อสถานการณ์ความ ตกต่ำของประเทศ ก็เลยบรรเลงไปตามนิ้วของหัวใจสั่ง ในที่สุดก็มาลงเอยที่บทเพลงพื้น ๆ ที่บรรยายธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ในสังคมที่ต้องอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะขอบรรเลงด้วยทำนองธรรม ที่เป็นสัจจะ เป็นสิ่งที่ต้องเกิดตามภาวะเงื่อนไข ตามกฎแห่งกรรม เพื่อให้เราเข้าใจปัญหาร่วมกันว่า ทำไมเมืองไทยเราจึงวุ่นวายกันในช่วงสามสีปีหลังนี้ อย่างไม่เคยคาดคิดกันมาก่อนด้วยซ้ำ
คนเราตั้งแต่ เกิดมาวินาทีแรก เราก็ได้รับสิทธิพื้นฐานหลาย ๆ อย่าง โดยมีเสรีภาพด้วยนะครับ เช่น เสรีภาพในการแหกปากร้องตั้งแต่โผล่หัวมาทักทายโลก และก็ไม่เคยมีหมอพยาบาล หรือหมอตำแยคนไหนเอามือปิดปากไม่ให้ร้อง ปิดหูไม่ให้ได้ยิน หรือปิดตาไม่ให้เปิด อันที่จริง พ่อแม่พี่น้อง ต่างเฝ้ารอจะให้เราแสดงอาการทุกอย่างของประสาทสัมผัสเสียด้วยซ้ำ เวลาหิวนม เราก็มีสิทธิแสดงออกให้คุณแม่เปิดนมให้ดูดดื่ม เวลาคันเปียก เราก็มีสิทธิดิ้น เพื่อส่งสัญญาณให้พ่อแม่รับทราบ นี่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์เรา เกิดมาพร้อมกับเสรีภาพ เกิดมาพร้อมกับสิทธิที่จะทำในสิ่งที่ร่างกายและความรู้สึกมันต้องการ และนี่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้น เกิดมาพร้อมกับเสรีภาพและสิทธิพื้นฐานเลยทีเดียว
ยามเป็นเด็กเล็ก เราก็ได้รับสิทธิพื้นฐานในการเป็นคน ที่ควรจะมีอาหาร เสื้อผ้า ที่พักพิง และยารักษาโรคยามป่วยไข้ และกฎหมายก็ประกันสิทธิให้เราได้รับการเลี้ยงดูอบรม ได้รับการศึกษาสมความเป็นคน สมกับที่เราเชื่อแลพูดกันติดปากว่า เด็ก ๆ เป็นอนาคตของชาติ เด็กดีเป็นศรีของชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
แนวคิดการตอบสนองต่อสิทธิพื้นฐานและการให้เสรีภาพ คือไม่มีการจำกัด บีบคั้น ปิดกั้นในการได้รับสิทธิเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสร้างชาติ สร้างอนาคต หากเด็กแต่ละคน เติบโตสมบูรณ์ทางกาย มีสติปัญญาที่พัฒนาสมวัย มีจิตสำนึกที่มีธรรม และมีความรู้ความสามารถที่เป็นคุณกับบ้านเมือง ก็จะทำให้ประเทศชาติเจริญได้ และเราจะเห็นได้ว่า เมื่อประชาชนแต่ละคนได้รับสิทธิเสรีภาพ จนเกิดการพัฒนาการในทุก ๆ ด้านที่ดีแล้ว ประเทศชาติส่วนรวมก็จะพัฒนาไปด้วย นี่เป็นแนวคิดของระบอบการปกครองแทบทุกระบบ คือ พลเมืองที่มีคุณภาพ หมายถึงประเทศชาติจะมีคุณภาพตามไปด้วย แต่มันต่างกันตรงที่ระบอบเสรีประชาธิปไตยนั้น เน้นให้แต่ละบุคคล หรือประชาชน มีสิทธิเสรีภาพในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด และใช้อำนาจนั้น ด้วยตัวเองโดยตรงหรือผ่านผู้แทนก็ได้ และผลประโยชน์ของการใช้อำนาจนั้น ต้องเน้นที่การรับใช้ประชาชนเจ้าของอำนาจเป็นหลัก ซึ่งต่างกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินหรือพระราชา เป็นเจ้าของอำนาจ ใช้อำนาจได้ตามสะดวกแบบเด็ดขาด และจะให้ผลประโยชน์เพื่อใครก็แล้วแต่เขาจะกำหนดกดตราเอาไว้ ประชาชนก็ไม่ได้มีความเป็นคนเท่าเทียม ดังได้เห็นมาแล้วในการปกครองของไทยโบราณ ไล่มาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จะว่าถึงยุครัชการที่เจ็ดเลยก็ได้ ส่วนอีกระบอบหนึ่ง คือระบอบคอมมิวนิสต์ อันนี้ถือว่า อำนาจนั้นเป็นของพรรคที่เป็นผู้แทนและใช้อำนาจแทนประชาชนทุกคน คอยทำหน้าที่จัดการทุกอย่าง เพื่อให้ทุกคนรับใช้ซึงกันและกัน และได้รับผลการงอกงามของการทำงานร่วมกันอย่างยุติธรรม
แต่ปัญหาของ ระบอบพระเจ้าแผ่นดินเป็นใหญ่นั้น มันอยู่ที่การไม่ถือว่าประชาชนเป็นคน ที่มีสิทธิเท่าเทียมกันทั้งแผ่นดิน กษัตริย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ดังนั้น สมัยก่อน แม้แต่ปลูกต้นหมากไว้เคี้ยวกิน ก็ต้องเสียภาษีเข้าหลวง และการรีดนาทาเร้นก็ทำกันเป็นลำดับศักดินา (คือใครทำดี รับใช้และเป็นที่ไว้ใจของพระเจ้าแผ่นดิน ก็ได้ศักดิ์เป็นที่นาตามนั้น) ดังนั้น จึงมีผู้ที่ได้สิทธิพิเศษกันมาตามลำดับ ไม่ว่าเจ้าขุนมูลนาย เวียงวังคลังนาทั้งหลาย รวมมาถึงพวกพ่อค้าวาณิชย์ ที่ฉลาดในการรับหน้าที่ไปรีดภาษีจากประชาชน แล้วกินส่วนต่าง หรือรับสัมปทานรีดภาษีและถืออำนาจปกครองประชาชนในนามพระเจ้าแผ่นดิน อันนี้จึงเป็นระบอบการปกครองที่ทำให้เกิดความแตกต่างของชนชั้น ทำให้เกิดการกดไม่ให้คนรากหญ้ามีโอกาสลืมตาอ้าปาก แม้แต่แรงงานของตนก็ยังเป็นสิทธิของเขาอื่น คือหลวงจะเกณฑ์แรงงานเมื่อไหร่ก็ได้ ทำให้เกิดการข่มเหงน้ำใจของคนที่ไม่มีอำนาจ เช่น ใครมีลูกสาวหรือพี่สาวน้องสาวหน้าตาดี ๆ ก็ยังอาจจะต้องถูกเรียกตัวไปบำเรอรับใช้เจ้านายระดับต่าง ๆ ที่อยู่เหนือหัวเหนือเกล้าของตน ระบอบการปกครองแบบนี้ มันผิดหลักที่กล่าวมาข้างต้น ว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับความจำเป็น ความต้องการ ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐาน การปกครองแบบคนตระกูลหนึ่งเป็นใหญ่ แล้วกดให้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นทาสรับใช้ เป็นขี้ข้า เป็นไพร่ และเป็นทุกอย่างที่ขัดกับหลักพื้นฐานความเป็นมนุษย์นี้ จึงอยู่ได้ไม่จีรังยั่งยืน ล้มหายตายสูญไปเป็นค่อนโลก ที่เหลืออยู่ก็ต้องปรับตัวกันขนานใหญ่
ส่วนการปกครอง แบบคอมมิวนิสต์นั้นเล่า หลักการดูเหมือนดี คือ ทุกคนต้องช่วยกันทำทุกอย่างที่ทำได้ แต่จะได้ส่วนแบ่งเกินงามไม่ได้ แทบทุกอย่างต้องเอามาเข้ากองกลาง เพื่อจะได้ไม่มีใครเอารัดเอาเปรียบใคร การพัฒนาจะได้มีเป้าหมาย และพลังของประชาชนจะได้ถูกนำมาใช้เพือความก้าวหน้าร่วมกัน การสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่อย่างเข้มแข็ง สังเกตุว่า ระบอบการปกครองแบบนี้ ใช้กับประเทศที่ใหญ่ และมีการแบ่งแยกของพลเมืองที่ยากแก่การปกครอง และจัดสรรทรัพยากร เช่น จีน รัสเซีย และคิวบาเป็นต้น แต่เท่าที่ผ่านมาการปกครองแบบนี้ล้มเหลว ที่เหลืออยู่ทั้งรัสเซีย และจีน ตลอดจนประเทศเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกทำให้เป็นคอมมิวนิสต์อย่างเวียตนาม และลาว ต่างต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ จนแทบจะไม่เหลือค่านิยมดั้งเดิมของระบอบนี้อยู่แล้ว ทั้งนี้ก็เพราะระบอบนี้มันมีปัญหาตรงที่ทำให้คนดีและเห็นตรงกันไม่ได้ ผู้นำที่รักษาผลประโยชน์ให้พรรคเอง ก็ไม่สามารถหลีกพ้นความเป็นมนุษย์ที่มีกิเลสตัณหาได้ และที่สำคัญที่สุด มันขัดกับหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ที่อยากมีเสรีภาพในการใช้ชีวิตอย่างเสรี ไม่มีใครมากำหนดกดขี่เกินกรอบกฎหมายที่เน้นความเป็นธรรมและการเคารพสิทธิ พื้นฐานของความเป็นมนุษย์เช่นในระบอบเสรีประชาธิปไตย และที่สำคัญสูงสุดก็คือ สิทธิในการที่ทำกิจการงานต่าง ๆ เพื่อเติบโตและร่ำรวยมั่งคั่ง ตามความขยัน มันสมอง ความถนัด และโอกาสที่สร้างขึ้นได้ด้วยตัวเอง ในกรอบการสนับสนุนและดูแลของรัฐ ซึ่งเป็นตัวแทนของตนเอง ในเมื่อระบอบคอมมิวนิสต์ถือพรรคและความก้าวหน้าของส่วนรวมเป็นใหญ่ หากคุณทำประโยชน์มาก ประโยชน์ก็เข้าส่วนรวมมาก ซึ่งน่าจะดีต่อส่วนรวม แต่ปัญหาก็คือ หากคุณทำงานสร้างมูลค่าได้ร้อยล้านบาทต่อปี แต่บางคนทำแบบไม่ต้องใช้แรงกายแรงสมองมาก อาจจะผลิตบางสิ่งบางอย่างในมูลค่ารวมแค่หมื่นบาทต่อปี แล้วสิ่งที่คุณทำได้เยอะ ๆ น่ะ มันตกเป็นของกลาง เสียเกือบหมด คนจึงขาดแรงจูงใจในการทำดี คิดดี และสร้างตัวให้ดี ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงไม่สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างดีพอ สู้กับประเทศเสรีประชาธิปไตย ที่เน้นให้คนมีเสรีภาพและสิทธิในการดำเนินการผลิตและบริการในกรอบการแข่งขัน ทำให้คนเกิดแรงจูงใจ อยากทำ อยากสร้าง และอยากเติบโตมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยมือและสมองของตนนั้น ไม่ได้เลย
ทุกประเทศทั่ว โลกมีปัญหากันทั้งนั้นแหละครับ แต่จะมากน้อยแค่ไหน ต่างกันในรายละเอียด แต่หากมองในแง่คุณภาพชีวิตแล้ว เห็นได้ชัดว่า ประเทศทีเป็นเสรีประชาธิปไตย โดยเฉลี่ยแล้วจะมั่งคั่งกว่า สงบกว่า และคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย เกาหลี ญี่ปุ่น แม้ว่าจีนจะกำลังพัฒนา แต่สภาพโดยรวมทั่วประเทศยังล้าหลังอยู่มาก และที่พัฒนาได้เร็ว ก็เพราะหันมาใช้ระบอบทุนนิยมเสรีที่ให้สิทธิประชาชนในการค้าขายและบริหาร ชีวิตตนเองมากขึ้น ส่วนประเทศที่มีกษัตริย์นั้น ที่พัฒนาแล้วและดูดี สถาบันกษัตริย์ปรับตัว ไม่เอาเปรียบประชาชน และเอาตัวสถาบันฯ ออกห่างเสียจากความวุ่นวายทางการเมือง เช่น อังกฤษ สวีเดน และญี่ปุ่น ซึ่งว่าไปแล้ว เขาก็กลายเป็นเสรีประชาธิปไตยแล้วนั่นเอง ประเทศอื่น ๆ ที่มีกษัตริย์แล้วร่ำรวยได้ ก็ส่วนใหญ่เป็นเพราะโชคดีมีน้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติเสียเป็นหลัก ไม่ใช่เพราะกษัตริย์หรือผู้ปกครองที่มีอำนาจดังเทวดาเหนือผู้คนทั่วไปเป็น ผู้บริหารให้บังเกิดผลขึ้น
ประเทศไทยเรา นั้น อ้างชื่อกันว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่เสรีประชาธิปไตย เพราะเรายังเอาอำนาจสูงสุดทั้งสามของประชาชน ไปผ่านขั้นตอนที่บังคับในรัฐธรรมนูญให้พระมหาษัตริย์ต้องลงพระปรมาภิไธย ในการสร้างกฎหมายทั้งหมด (ฝ่ายนิติบัญญัติ) การแต่งตั้งและปฎิบัติงานของผู้แทนประชาชนที่ไปทำหน้าที่รัฐบาลและกลไกต่าง ๆ ในการปกครอง (ฝ่ายบริหาร) และการแต่งตั้งและลงพระปรมาภิไธยรับรองการทำงานของศาล (ฝ่ายตุลาการ) การที่ทุกอำนาจถูกนำไปผูกกับสถาบันฯ นี้เอง เป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยเป็นระบอบการปกครองที่ไม่ใช่เสรีประชาธิปไตย และเป็นที่มาของปัญหายุ่งเหยิงกันมาตลอด จนทำให้กฎหมายทั้งที่สูงสุด คือรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกทั้งหลาย ถูกคณะปฎิวัติรัฐประหาร ถูกล้มล้างแบบไร้ค่า แล้วก็เขียนขึ้นมาใหม่โดยผู้ที่บังอาจยึดอำนาจการปกครองจากประชาชนไป นี่ทำกันมาเกือบยี่สิบครั้งแล้วนะครับ นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในปี 2475 เฉลี่ยแล้ว กฎหมายสูงสุดที่เป็นใหญ่เหนือกฎหมายทั้งปวงนี้ ถูกเขียนทับหรือฉีกทิ้งแล้วเขียนใหม่สี่ปีครั้งเลยนะครับ ทั้งที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาใช้อันเดิมโดยไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเลย เป็นเวลาเกินร้อยปี!!! และใครจะปฎิวัติรัฐประหารก็ทำไม่ได้นะครับ เพราะไม่มีใครจะรับรองให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ ในแง่นี้ สถาบันพระมหากษัตริย์จึงเหมือนถูกนำไปวางไว้ตรงขั้วอำนาจ หากจะมีใครขโมยอำนาจจากประชาชน จึงต้องมีการโยนเผือกร้อนไปให้พระมหากษัตริย์ และผู้คนก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมมันเกิดบ่อยจัง และพระมหากษัตริย์ทรงเห็นด้วยกระนั้นหรือ? ซึ่งเป็นคำถามที่ต้องถามกัน ความชัดเจนว่า อำนาจในการตรากฎหมาย อำนาจในการให้ตัวแทนประชาชนไปตรากฎหมายนั้น สามารถถูกล้มล้างด้วยกลุ่มที่ใช้กำลังเข้าปล้น แล้วเอาลายพระหัตถ์ของพระมหากษัตริย์เข้าสำทับให้เป็นรัฐถาธิปัตย์ได้ กระนั้นหรือ?
สิ่งที่เกิดขึ้น ในระยะสองสามปีหลังนี้ มันยุ่งเหยิงมาก เพราะประชาชนเริ่มรู้สึกชัดขึ้น ว่าอำนาจของพวกเขา ซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าของ และให้ตัวแทนที่เขาเลือกขึ้นไปใช้ ทั้งในการตรากฎหมาย การบริหารประเทศ และการทำหน้าที่สร้างความยุติธรรมนั้น ได้ถูกทำลายลงไป โดย
· เริ่มต้นตั้งแต่การล้มล้างรัฐบาลที่พวกเขาเลือกเข้าไปทำหน้าที่สร้างการ อยู่ดีกินดีและการสร้างโอกาสในการเติบโตก้าวหน้าอย่างมีศักดิ์ศรีสมความเป็น มนุษย์ที่ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่ไพร่ ไม่ใช่คนที่ด้อยค่ากว่าใครในสังคม
· การล้มพรรคการเมืองที่พวกเขาร่วมกันก่อตั้ง โดยคนไม่กี่คนที่ถูกตั้งขึ้นมาจากรัฐธรรมนูญฉบับที่พวกเขาถูกยัดเยียดให้
· ล้มรัฐบาลที่พวกเขาเลือกขึ้นมาด้วยข้อหาที่น่าหัวเราะต่อชนทั่วโลก เช่นกรณีนายกสมัคร ที่พ้นตำแหน่งด้วยข้อหาทำกับข้าวออกโทรทัศน์ ซึ่งน่าจะเป็นตลกประชาธิปไตยที่ตลกที่สุดในจักรวาลเลยกระมัง
· การตัดสินคดีความที่ค้านสายตาพวกเขา โดยมักลำเอียงออกไปในทางให้คุณกับคนบางกลุ่มที่ประชาชนไม่ได้สนับสนุน หรือทำการร่วมหรือเป็นคุณกับฝ่ายปล้นอำนาจ แล้วเกาะตัวกันเป็นผู้สร้างสถานการณ์อันขัดกับหลักกฎหมายบ้านเมือง แต่ได้รับการคุ้มครองจากผู้ใช้อำนาจบังคับใช้กฎหมายแบบโจ่งแจ้ง ในขณะที่พยายามเอาผิดใส่ร้ายฝ่ายประชาชนที่เรียกร้องความเป็นธรรม จนผู้คนมากมายโจษจันกันว่า “เมื่อประเทศไทย ไม่มีความเที่ยงธรรม ก็จะไม่มีสันติสุข” เลยทีเดียว
· ฯลฯ
เมื่อพิจารณาดู ความแตกแยก ความวุ่นวายเสียหาย และความตกต่ำของการพัฒนาประเทศในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ก็อาจจะสรุปได้ง่าย ๆ ว่า มันเกิดขึ้นเพราะเราไม่ใช่เสรีประชาธิปไตยครับ กล่าวคือ เราไม่เคารพสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันของทุกคนในชาติ เราไม่ยอมให้ตัวแทนประชาชนไปบริหารประเทศตามทำนองคลองธรรม แต่มีความพยายามยัดเยียดผู้นำที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เลือก และเกิดมีการเขียนกฎหมายและแต่งตั้งผู้ใช้กฎหมายที่มาจากคณะรัฐประหาร หรือผู้ปล้นอำนาจประชาชนนั่นแหละครับ ให้เข้ามาจัดการเรื่องความเป็นธรรมของสังคม หลัก ๆ สองสามตัวอย่างใหญ่ ๆ นี้ มันเลยทำให้เกิดความไม่พอใจของประชาชน เมื่อความไม่พอใจมันเกิดขึ้นบ่อย เหมือนกับอาการเจ็บจากหนองที่ขยายตัวบนส่วนบวมของฝีขนาดใหญ่ ประชาชนก็เลยต้องมานั่งร้องระบายออก แถมเวลาร้องเสียงดัง ก็ยังถูกเสียงลึกลับจากในเนื้อหนอง บอกว่าอย่าร้อง อย่าเสียงดัง อย่าวุ่นวาย จงยอมให้หนองอยู่อย่างนั้นต่อไป แต่เราต้องไม่ลืมนะครับ ว่าประชาชนไม่ได้กินหญ้า เขาก็เลยลุกขึ้นมาเอามือจับแตะหนอง เอาตาจ้องวิเคราะห์และปรึกษากัน และพวกเขาก็รู้ดีว่า หนองที่บวมปวด สีเหลืองเปล่งสง่านี้ มันไม่มีทางหาย หากไม่เอาหัวฝีออกมา แค่กระแซะให้น้ำเหลืองไหลออกมาจากเนื้อที่เจ็บ มันไม่พอ การบีบแต่ละครั้ง ไม่ใช่ไม่เจ็บเนื้อนะครับ เขาเสี่ยง เขาเจ็บ และพวกเขาอาจจะท้อด้วย เพราะแตะตรงไหนก็ถูกหัวข้างในขยับตัวกระซิบออกมาเบา ๆ แต่มันเจ็บปวดปลาบยิ่งนัก แต่ไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้วล่ะครับ ประชาชนเข้าใจว่า เวลามันใกล้จะเหมาะแก่การบ่งฝีและบีบเอาหัวออกแล้วครับ … แต่เขาจะใช้กลยุทธใด บีบแรงขนาดไหน บีบจากกี่ทิศ จะเสียน้ำตาหรือไม่ จะฉีดยาชาไหม? เหล่านี้เป็นคำถามที่เวลาได้ช่วยคลี่คำตอบให้บ้างแล้ว และคำตอบสำคัญ ๆ ที่เหลือ ก็คงจะเผยออกมาในอีกไม่ช้านี้แล้ว
=====================
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทย วันนี้ขอเข้าเรื่องเลยนะครับ หลังจากตั้งสติ หยิบขลุ่ยในหัวใจมาเป่าด้วยความคิดถึงบ้านเกิดและกังวลต่อสถานการณ์ความ ตกต่ำของประเทศ ก็เลยบรรเลงไปตามนิ้วของหัวใจสั่ง ในที่สุดก็มาลงเอยที่บทเพลงพื้น ๆ ที่บรรยายธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ในสังคมที่ต้องอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะขอบรรเลงด้วยทำนองธรรม ที่เป็นสัจจะ เป็นสิ่งที่ต้องเกิดตามภาวะเงื่อนไข ตามกฎแห่งกรรม เพื่อให้เราเข้าใจปัญหาร่วมกันว่า ทำไมเมืองไทยเราจึงวุ่นวายกันในช่วงสามสีปีหลังนี้ อย่างไม่เคยคาดคิดกันมาก่อนด้วยซ้ำ
คนเราตั้งแต่ เกิดมาวินาทีแรก เราก็ได้รับสิทธิพื้นฐานหลาย ๆ อย่าง โดยมีเสรีภาพด้วยนะครับ เช่น เสรีภาพในการแหกปากร้องตั้งแต่โผล่หัวมาทักทายโลก และก็ไม่เคยมีหมอพยาบาล หรือหมอตำแยคนไหนเอามือปิดปากไม่ให้ร้อง ปิดหูไม่ให้ได้ยิน หรือปิดตาไม่ให้เปิด อันที่จริง พ่อแม่พี่น้อง ต่างเฝ้ารอจะให้เราแสดงอาการทุกอย่างของประสาทสัมผัสเสียด้วยซ้ำ เวลาหิวนม เราก็มีสิทธิแสดงออกให้คุณแม่เปิดนมให้ดูดดื่ม เวลาคันเปียก เราก็มีสิทธิดิ้น เพื่อส่งสัญญาณให้พ่อแม่รับทราบ นี่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์เรา เกิดมาพร้อมกับเสรีภาพ เกิดมาพร้อมกับสิทธิที่จะทำในสิ่งที่ร่างกายและความรู้สึกมันต้องการ และนี่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้น เกิดมาพร้อมกับเสรีภาพและสิทธิพื้นฐานเลยทีเดียว
ยามเป็นเด็กเล็ก เราก็ได้รับสิทธิพื้นฐานในการเป็นคน ที่ควรจะมีอาหาร เสื้อผ้า ที่พักพิง และยารักษาโรคยามป่วยไข้ และกฎหมายก็ประกันสิทธิให้เราได้รับการเลี้ยงดูอบรม ได้รับการศึกษาสมความเป็นคน สมกับที่เราเชื่อแลพูดกันติดปากว่า เด็ก ๆ เป็นอนาคตของชาติ เด็กดีเป็นศรีของชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
แนวคิดการตอบสนองต่อสิทธิพื้นฐานและการให้เสรีภาพ คือไม่มีการจำกัด บีบคั้น ปิดกั้นในการได้รับสิทธิเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสร้างชาติ สร้างอนาคต หากเด็กแต่ละคน เติบโตสมบูรณ์ทางกาย มีสติปัญญาที่พัฒนาสมวัย มีจิตสำนึกที่มีธรรม และมีความรู้ความสามารถที่เป็นคุณกับบ้านเมือง ก็จะทำให้ประเทศชาติเจริญได้ และเราจะเห็นได้ว่า เมื่อประชาชนแต่ละคนได้รับสิทธิเสรีภาพ จนเกิดการพัฒนาการในทุก ๆ ด้านที่ดีแล้ว ประเทศชาติส่วนรวมก็จะพัฒนาไปด้วย นี่เป็นแนวคิดของระบอบการปกครองแทบทุกระบบ คือ พลเมืองที่มีคุณภาพ หมายถึงประเทศชาติจะมีคุณภาพตามไปด้วย แต่มันต่างกันตรงที่ระบอบเสรีประชาธิปไตยนั้น เน้นให้แต่ละบุคคล หรือประชาชน มีสิทธิเสรีภาพในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด และใช้อำนาจนั้น ด้วยตัวเองโดยตรงหรือผ่านผู้แทนก็ได้ และผลประโยชน์ของการใช้อำนาจนั้น ต้องเน้นที่การรับใช้ประชาชนเจ้าของอำนาจเป็นหลัก ซึ่งต่างกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินหรือพระราชา เป็นเจ้าของอำนาจ ใช้อำนาจได้ตามสะดวกแบบเด็ดขาด และจะให้ผลประโยชน์เพื่อใครก็แล้วแต่เขาจะกำหนดกดตราเอาไว้ ประชาชนก็ไม่ได้มีความเป็นคนเท่าเทียม ดังได้เห็นมาแล้วในการปกครองของไทยโบราณ ไล่มาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จะว่าถึงยุครัชการที่เจ็ดเลยก็ได้ ส่วนอีกระบอบหนึ่ง คือระบอบคอมมิวนิสต์ อันนี้ถือว่า อำนาจนั้นเป็นของพรรคที่เป็นผู้แทนและใช้อำนาจแทนประชาชนทุกคน คอยทำหน้าที่จัดการทุกอย่าง เพื่อให้ทุกคนรับใช้ซึงกันและกัน และได้รับผลการงอกงามของการทำงานร่วมกันอย่างยุติธรรม
แต่ปัญหาของ ระบอบพระเจ้าแผ่นดินเป็นใหญ่นั้น มันอยู่ที่การไม่ถือว่าประชาชนเป็นคน ที่มีสิทธิเท่าเทียมกันทั้งแผ่นดิน กษัตริย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ดังนั้น สมัยก่อน แม้แต่ปลูกต้นหมากไว้เคี้ยวกิน ก็ต้องเสียภาษีเข้าหลวง และการรีดนาทาเร้นก็ทำกันเป็นลำดับศักดินา (คือใครทำดี รับใช้และเป็นที่ไว้ใจของพระเจ้าแผ่นดิน ก็ได้ศักดิ์เป็นที่นาตามนั้น) ดังนั้น จึงมีผู้ที่ได้สิทธิพิเศษกันมาตามลำดับ ไม่ว่าเจ้าขุนมูลนาย เวียงวังคลังนาทั้งหลาย รวมมาถึงพวกพ่อค้าวาณิชย์ ที่ฉลาดในการรับหน้าที่ไปรีดภาษีจากประชาชน แล้วกินส่วนต่าง หรือรับสัมปทานรีดภาษีและถืออำนาจปกครองประชาชนในนามพระเจ้าแผ่นดิน อันนี้จึงเป็นระบอบการปกครองที่ทำให้เกิดความแตกต่างของชนชั้น ทำให้เกิดการกดไม่ให้คนรากหญ้ามีโอกาสลืมตาอ้าปาก แม้แต่แรงงานของตนก็ยังเป็นสิทธิของเขาอื่น คือหลวงจะเกณฑ์แรงงานเมื่อไหร่ก็ได้ ทำให้เกิดการข่มเหงน้ำใจของคนที่ไม่มีอำนาจ เช่น ใครมีลูกสาวหรือพี่สาวน้องสาวหน้าตาดี ๆ ก็ยังอาจจะต้องถูกเรียกตัวไปบำเรอรับใช้เจ้านายระดับต่าง ๆ ที่อยู่เหนือหัวเหนือเกล้าของตน ระบอบการปกครองแบบนี้ มันผิดหลักที่กล่าวมาข้างต้น ว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับความจำเป็น ความต้องการ ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐาน การปกครองแบบคนตระกูลหนึ่งเป็นใหญ่ แล้วกดให้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นทาสรับใช้ เป็นขี้ข้า เป็นไพร่ และเป็นทุกอย่างที่ขัดกับหลักพื้นฐานความเป็นมนุษย์นี้ จึงอยู่ได้ไม่จีรังยั่งยืน ล้มหายตายสูญไปเป็นค่อนโลก ที่เหลืออยู่ก็ต้องปรับตัวกันขนานใหญ่
ส่วนการปกครอง แบบคอมมิวนิสต์นั้นเล่า หลักการดูเหมือนดี คือ ทุกคนต้องช่วยกันทำทุกอย่างที่ทำได้ แต่จะได้ส่วนแบ่งเกินงามไม่ได้ แทบทุกอย่างต้องเอามาเข้ากองกลาง เพื่อจะได้ไม่มีใครเอารัดเอาเปรียบใคร การพัฒนาจะได้มีเป้าหมาย และพลังของประชาชนจะได้ถูกนำมาใช้เพือความก้าวหน้าร่วมกัน การสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่อย่างเข้มแข็ง สังเกตุว่า ระบอบการปกครองแบบนี้ ใช้กับประเทศที่ใหญ่ และมีการแบ่งแยกของพลเมืองที่ยากแก่การปกครอง และจัดสรรทรัพยากร เช่น จีน รัสเซีย และคิวบาเป็นต้น แต่เท่าที่ผ่านมาการปกครองแบบนี้ล้มเหลว ที่เหลืออยู่ทั้งรัสเซีย และจีน ตลอดจนประเทศเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกทำให้เป็นคอมมิวนิสต์อย่างเวียตนาม และลาว ต่างต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ จนแทบจะไม่เหลือค่านิยมดั้งเดิมของระบอบนี้อยู่แล้ว ทั้งนี้ก็เพราะระบอบนี้มันมีปัญหาตรงที่ทำให้คนดีและเห็นตรงกันไม่ได้ ผู้นำที่รักษาผลประโยชน์ให้พรรคเอง ก็ไม่สามารถหลีกพ้นความเป็นมนุษย์ที่มีกิเลสตัณหาได้ และที่สำคัญที่สุด มันขัดกับหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ที่อยากมีเสรีภาพในการใช้ชีวิตอย่างเสรี ไม่มีใครมากำหนดกดขี่เกินกรอบกฎหมายที่เน้นความเป็นธรรมและการเคารพสิทธิ พื้นฐานของความเป็นมนุษย์เช่นในระบอบเสรีประชาธิปไตย และที่สำคัญสูงสุดก็คือ สิทธิในการที่ทำกิจการงานต่าง ๆ เพื่อเติบโตและร่ำรวยมั่งคั่ง ตามความขยัน มันสมอง ความถนัด และโอกาสที่สร้างขึ้นได้ด้วยตัวเอง ในกรอบการสนับสนุนและดูแลของรัฐ ซึ่งเป็นตัวแทนของตนเอง ในเมื่อระบอบคอมมิวนิสต์ถือพรรคและความก้าวหน้าของส่วนรวมเป็นใหญ่ หากคุณทำประโยชน์มาก ประโยชน์ก็เข้าส่วนรวมมาก ซึ่งน่าจะดีต่อส่วนรวม แต่ปัญหาก็คือ หากคุณทำงานสร้างมูลค่าได้ร้อยล้านบาทต่อปี แต่บางคนทำแบบไม่ต้องใช้แรงกายแรงสมองมาก อาจจะผลิตบางสิ่งบางอย่างในมูลค่ารวมแค่หมื่นบาทต่อปี แล้วสิ่งที่คุณทำได้เยอะ ๆ น่ะ มันตกเป็นของกลาง เสียเกือบหมด คนจึงขาดแรงจูงใจในการทำดี คิดดี และสร้างตัวให้ดี ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงไม่สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างดีพอ สู้กับประเทศเสรีประชาธิปไตย ที่เน้นให้คนมีเสรีภาพและสิทธิในการดำเนินการผลิตและบริการในกรอบการแข่งขัน ทำให้คนเกิดแรงจูงใจ อยากทำ อยากสร้าง และอยากเติบโตมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยมือและสมองของตนนั้น ไม่ได้เลย
ทุกประเทศทั่ว โลกมีปัญหากันทั้งนั้นแหละครับ แต่จะมากน้อยแค่ไหน ต่างกันในรายละเอียด แต่หากมองในแง่คุณภาพชีวิตแล้ว เห็นได้ชัดว่า ประเทศทีเป็นเสรีประชาธิปไตย โดยเฉลี่ยแล้วจะมั่งคั่งกว่า สงบกว่า และคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย เกาหลี ญี่ปุ่น แม้ว่าจีนจะกำลังพัฒนา แต่สภาพโดยรวมทั่วประเทศยังล้าหลังอยู่มาก และที่พัฒนาได้เร็ว ก็เพราะหันมาใช้ระบอบทุนนิยมเสรีที่ให้สิทธิประชาชนในการค้าขายและบริหาร ชีวิตตนเองมากขึ้น ส่วนประเทศที่มีกษัตริย์นั้น ที่พัฒนาแล้วและดูดี สถาบันกษัตริย์ปรับตัว ไม่เอาเปรียบประชาชน และเอาตัวสถาบันฯ ออกห่างเสียจากความวุ่นวายทางการเมือง เช่น อังกฤษ สวีเดน และญี่ปุ่น ซึ่งว่าไปแล้ว เขาก็กลายเป็นเสรีประชาธิปไตยแล้วนั่นเอง ประเทศอื่น ๆ ที่มีกษัตริย์แล้วร่ำรวยได้ ก็ส่วนใหญ่เป็นเพราะโชคดีมีน้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติเสียเป็นหลัก ไม่ใช่เพราะกษัตริย์หรือผู้ปกครองที่มีอำนาจดังเทวดาเหนือผู้คนทั่วไปเป็น ผู้บริหารให้บังเกิดผลขึ้น
ประเทศไทยเรา นั้น อ้างชื่อกันว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่เสรีประชาธิปไตย เพราะเรายังเอาอำนาจสูงสุดทั้งสามของประชาชน ไปผ่านขั้นตอนที่บังคับในรัฐธรรมนูญให้พระมหาษัตริย์ต้องลงพระปรมาภิไธย ในการสร้างกฎหมายทั้งหมด (ฝ่ายนิติบัญญัติ) การแต่งตั้งและปฎิบัติงานของผู้แทนประชาชนที่ไปทำหน้าที่รัฐบาลและกลไกต่าง ๆ ในการปกครอง (ฝ่ายบริหาร) และการแต่งตั้งและลงพระปรมาภิไธยรับรองการทำงานของศาล (ฝ่ายตุลาการ) การที่ทุกอำนาจถูกนำไปผูกกับสถาบันฯ นี้เอง เป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยเป็นระบอบการปกครองที่ไม่ใช่เสรีประชาธิปไตย และเป็นที่มาของปัญหายุ่งเหยิงกันมาตลอด จนทำให้กฎหมายทั้งที่สูงสุด คือรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกทั้งหลาย ถูกคณะปฎิวัติรัฐประหาร ถูกล้มล้างแบบไร้ค่า แล้วก็เขียนขึ้นมาใหม่โดยผู้ที่บังอาจยึดอำนาจการปกครองจากประชาชนไป นี่ทำกันมาเกือบยี่สิบครั้งแล้วนะครับ นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในปี 2475 เฉลี่ยแล้ว กฎหมายสูงสุดที่เป็นใหญ่เหนือกฎหมายทั้งปวงนี้ ถูกเขียนทับหรือฉีกทิ้งแล้วเขียนใหม่สี่ปีครั้งเลยนะครับ ทั้งที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาใช้อันเดิมโดยไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเลย เป็นเวลาเกินร้อยปี!!! และใครจะปฎิวัติรัฐประหารก็ทำไม่ได้นะครับ เพราะไม่มีใครจะรับรองให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ ในแง่นี้ สถาบันพระมหากษัตริย์จึงเหมือนถูกนำไปวางไว้ตรงขั้วอำนาจ หากจะมีใครขโมยอำนาจจากประชาชน จึงต้องมีการโยนเผือกร้อนไปให้พระมหากษัตริย์ และผู้คนก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมมันเกิดบ่อยจัง และพระมหากษัตริย์ทรงเห็นด้วยกระนั้นหรือ? ซึ่งเป็นคำถามที่ต้องถามกัน ความชัดเจนว่า อำนาจในการตรากฎหมาย อำนาจในการให้ตัวแทนประชาชนไปตรากฎหมายนั้น สามารถถูกล้มล้างด้วยกลุ่มที่ใช้กำลังเข้าปล้น แล้วเอาลายพระหัตถ์ของพระมหากษัตริย์เข้าสำทับให้เป็นรัฐถาธิปัตย์ได้ กระนั้นหรือ?
สิ่งที่เกิดขึ้น ในระยะสองสามปีหลังนี้ มันยุ่งเหยิงมาก เพราะประชาชนเริ่มรู้สึกชัดขึ้น ว่าอำนาจของพวกเขา ซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าของ และให้ตัวแทนที่เขาเลือกขึ้นไปใช้ ทั้งในการตรากฎหมาย การบริหารประเทศ และการทำหน้าที่สร้างความยุติธรรมนั้น ได้ถูกทำลายลงไป โดย
· เริ่มต้นตั้งแต่การล้มล้างรัฐบาลที่พวกเขาเลือกเข้าไปทำหน้าที่สร้างการ อยู่ดีกินดีและการสร้างโอกาสในการเติบโตก้าวหน้าอย่างมีศักดิ์ศรีสมความเป็น มนุษย์ที่ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่ไพร่ ไม่ใช่คนที่ด้อยค่ากว่าใครในสังคม
· การล้มพรรคการเมืองที่พวกเขาร่วมกันก่อตั้ง โดยคนไม่กี่คนที่ถูกตั้งขึ้นมาจากรัฐธรรมนูญฉบับที่พวกเขาถูกยัดเยียดให้
· ล้มรัฐบาลที่พวกเขาเลือกขึ้นมาด้วยข้อหาที่น่าหัวเราะต่อชนทั่วโลก เช่นกรณีนายกสมัคร ที่พ้นตำแหน่งด้วยข้อหาทำกับข้าวออกโทรทัศน์ ซึ่งน่าจะเป็นตลกประชาธิปไตยที่ตลกที่สุดในจักรวาลเลยกระมัง
· การตัดสินคดีความที่ค้านสายตาพวกเขา โดยมักลำเอียงออกไปในทางให้คุณกับคนบางกลุ่มที่ประชาชนไม่ได้สนับสนุน หรือทำการร่วมหรือเป็นคุณกับฝ่ายปล้นอำนาจ แล้วเกาะตัวกันเป็นผู้สร้างสถานการณ์อันขัดกับหลักกฎหมายบ้านเมือง แต่ได้รับการคุ้มครองจากผู้ใช้อำนาจบังคับใช้กฎหมายแบบโจ่งแจ้ง ในขณะที่พยายามเอาผิดใส่ร้ายฝ่ายประชาชนที่เรียกร้องความเป็นธรรม จนผู้คนมากมายโจษจันกันว่า “เมื่อประเทศไทย ไม่มีความเที่ยงธรรม ก็จะไม่มีสันติสุข” เลยทีเดียว
· ฯลฯ
เมื่อพิจารณาดู ความแตกแยก ความวุ่นวายเสียหาย และความตกต่ำของการพัฒนาประเทศในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ก็อาจจะสรุปได้ง่าย ๆ ว่า มันเกิดขึ้นเพราะเราไม่ใช่เสรีประชาธิปไตยครับ กล่าวคือ เราไม่เคารพสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันของทุกคนในชาติ เราไม่ยอมให้ตัวแทนประชาชนไปบริหารประเทศตามทำนองคลองธรรม แต่มีความพยายามยัดเยียดผู้นำที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เลือก และเกิดมีการเขียนกฎหมายและแต่งตั้งผู้ใช้กฎหมายที่มาจากคณะรัฐประหาร หรือผู้ปล้นอำนาจประชาชนนั่นแหละครับ ให้เข้ามาจัดการเรื่องความเป็นธรรมของสังคม หลัก ๆ สองสามตัวอย่างใหญ่ ๆ นี้ มันเลยทำให้เกิดความไม่พอใจของประชาชน เมื่อความไม่พอใจมันเกิดขึ้นบ่อย เหมือนกับอาการเจ็บจากหนองที่ขยายตัวบนส่วนบวมของฝีขนาดใหญ่ ประชาชนก็เลยต้องมานั่งร้องระบายออก แถมเวลาร้องเสียงดัง ก็ยังถูกเสียงลึกลับจากในเนื้อหนอง บอกว่าอย่าร้อง อย่าเสียงดัง อย่าวุ่นวาย จงยอมให้หนองอยู่อย่างนั้นต่อไป แต่เราต้องไม่ลืมนะครับ ว่าประชาชนไม่ได้กินหญ้า เขาก็เลยลุกขึ้นมาเอามือจับแตะหนอง เอาตาจ้องวิเคราะห์และปรึกษากัน และพวกเขาก็รู้ดีว่า หนองที่บวมปวด สีเหลืองเปล่งสง่านี้ มันไม่มีทางหาย หากไม่เอาหัวฝีออกมา แค่กระแซะให้น้ำเหลืองไหลออกมาจากเนื้อที่เจ็บ มันไม่พอ การบีบแต่ละครั้ง ไม่ใช่ไม่เจ็บเนื้อนะครับ เขาเสี่ยง เขาเจ็บ และพวกเขาอาจจะท้อด้วย เพราะแตะตรงไหนก็ถูกหัวข้างในขยับตัวกระซิบออกมาเบา ๆ แต่มันเจ็บปวดปลาบยิ่งนัก แต่ไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้วล่ะครับ ประชาชนเข้าใจว่า เวลามันใกล้จะเหมาะแก่การบ่งฝีและบีบเอาหัวออกแล้วครับ … แต่เขาจะใช้กลยุทธใด บีบแรงขนาดไหน บีบจากกี่ทิศ จะเสียน้ำตาหรือไม่ จะฉีดยาชาไหม? เหล่านี้เป็นคำถามที่เวลาได้ช่วยคลี่คำตอบให้บ้างแล้ว และคำตอบสำคัญ ๆ ที่เหลือ ก็คงจะเผยออกมาในอีกไม่ช้านี้แล้ว
=====================
คำนำ
ผมร้างการเขียนไปนาน เพราะมัวแต่พูดเสียจนเคยชิน
จริง ๆ แล้ว ชีวิตต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ หรือต้องนำสิ่งเก่ามาทบทวน ปรับแต่ง พิจารณาและสังเคราะห์อยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้การเรียนรู้มันไม่เหี่ยวเฉา และการเขียนหรือการเรียบเรียงสิ่งต่าง ๆ เหมือนบันทึกไดอารี่ หรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นกุศโลบายให้เราสามารถบังคับให้การเรียนรู้มันเกิดขึ้นได้บ่อยขึ้น
ผมลองสร้างบล็อกนี้ขึ้น เพื่อเป็นเวทีการเรียนรู้ของตนเอง การแลกเปลี่ยนกับญาติมิตรและคนชอบพอกัน เชิญทุกท่านแวะมาอ่านเป็นเพื่อนกันนะครับ หากจะสนทนาด้วยกัน ก็ยินดีครับ
piangdin March 2, 2015
จริง ๆ แล้ว ชีวิตต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ หรือต้องนำสิ่งเก่ามาทบทวน ปรับแต่ง พิจารณาและสังเคราะห์อยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้การเรียนรู้มันไม่เหี่ยวเฉา และการเขียนหรือการเรียบเรียงสิ่งต่าง ๆ เหมือนบันทึกไดอารี่ หรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นกุศโลบายให้เราสามารถบังคับให้การเรียนรู้มันเกิดขึ้นได้บ่อยขึ้น
ผมลองสร้างบล็อกนี้ขึ้น เพื่อเป็นเวทีการเรียนรู้ของตนเอง การแลกเปลี่ยนกับญาติมิตรและคนชอบพอกัน เชิญทุกท่านแวะมาอ่านเป็นเพื่อนกันนะครับ หากจะสนทนาด้วยกัน ก็ยินดีครับ
piangdin March 2, 2015
Saturday, January 17, 2015
อ.ชูพงศ์-ดร.เพียงดิน ตอน ต้องปฏิเสธอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ แล้วยึดอำนาจ สถาปนาประชาธิปไตย
อ.ชูพงศ์-ดร.เพียงดิน 2015-01-16 ตอน... by piangdin อ.ชูพงศ์-ดร.เพียงดิน ตอน ต้องปฏิเสธอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ แล้วยึดอำนาจ สถาปนาประชาธิปไตย
Friday, December 6, 2013
UN จี้ไทยสอบตม. ส่งมอบโรฮิงญาให้แก๊งค้ามนุษย์กลางทะเล
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000151092
สหประชาชาติและสหรัฐฯเมื่อวันศุกร์(6) เรียกร้องให้ดำเนินการสืบสวนรายงานของรอยเตอร์ที่พบว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยขนชาวโรฮิงญาให้แก๊งค้ามนุษย์กลางทะเล ขณะที่ประเด็นนี้ก็ส่อให้อเมริกาลดระดับไทยสู่ขั้นต่ำสุดด้านค้ามนุษย์และอาจมาซึ่งโดนมาตรการคว่ำบาตรบางอย่าง รายงานที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี(5) อ้างข้อมูลการสืบสวนยาวนาว 2 เดือนใน 3 ประเทศ เผยให้เห็นว่ามีการลอบนำตัวเหล่าผู้ลี้ภัยโรฮิงญาจากศูนย์กักกันผู้อพยพของไทย ขายให้กับขบวนการค้ามนุษย์และส่งมอบกันกลางทะเล จากนั้นชาวโรฮิงยาเหล่านี้ก็จะถูกพาไปยังภาคใต้และกักขังในค่ายลับกลางป่าติดกับชายแดนมาเลเซียจนกว่าญาติๆจะยอมจ่ายเงินค่าไถ่ ด้วยบางส่วนถูกทุบตีและบางคนก็ถึงขั้นเสียชีวิต "ข้อกล่าวหานี้จำเป็นต้องมีการสืบสวนอย่างเร่งด่วน" นางวิเวียน แทน โฆษกหน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติกล่าวในถ้อยแถลง "เราได้ร้องขอประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้เสมอมา ต่อมาตรการปกป้องชั่วคราวแก่ผู้ลี้ภัย ในนั้นรวมถึงป้องกันการถูกทำทารุณและแสวงหาประโยชน์อย่างไม่ถูกต้อง" ด้านสหรัฐฯก็ออกเรียกร้องแบบเดียวกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาว่า "เราทราบถึงรายงานที่กล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายผู้ลี้ภัยโรฮิงญาแก่ขบวนการค้ามนุษย์" แมรี ฮาร์ฟ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอเมริการะบุ "เราเรียกร้องรัฐบาลไทยดำเนินการสืบสวนอย่างจริงจังและโปรงใส่ในประเด็นนี้" |
Subscribe to:
Posts (Atom)