Thursday, May 22, 2025

ยิวครองโลก ความเชื่อนี้เท็จจริงหรือไม่ อย่างไร?


ความเชื่อที่ว่าชาวยิวครองโลกหรือมีตระกูลยิวบงการเหตุการณ์สำคัญในโลก โดยมีศูนย์กลางที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เป็นแนวคิดที่มาจากทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) ซึ่งได้รับความนิยมในบางกลุ่ม แต่ขาดหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือข้อเท็จจริงที่หนักแน่นรองรับ ต่อไปนี้คือการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และเหตุผลที่เกี่ยวข้อง:

1. ความเป็นไปได้ของความเชื่อนี้
  • ขาดหลักฐานที่เป็นรูปธรรม: ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับการครองโลกของชาวยิวมักอ้างถึงตระกูลที่มีอิทธิพล เช่น ตระกูลรอธส์ไชลด์ (Rothschild) หรือกลุ่มลับ เช่น "Illuminati" แต่ไม่มีเอกสารหรือข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่ยืนยันว่ามีการสมคบคิดระดับโลกโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การอ้างอิงมักมาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือหรือถูกบิดเบือน เช่น เอกสารปลอมอย่าง The Protocols of the Elders of Zion ซึ่งถูกพิสูจน์ว่าเป็นของปลอมตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20
  • ความหลากหลายของอำนาจในโลก: อำนาจในโลกถูกกระจายไปยังหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล บริษัทข้ามชาติ องค์กรระหว่างประเทศ หรือกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพล การกล่าวว่ากลุ่มชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่งควบคุมทุกอย่างขัดแย้งกับความซับซ้อนของระบบการเมืองและเศรษฐกิจโลก
  • จำนวนประชากรยิว: ชาวยิวมีประชากรเพียงประมาณ 15 ล้านคนทั่วโลก (0.2% ของประชากรโลก) ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ การที่กลุ่มเล็ก ๆ จะสามารถควบคุมโลกได้ทั้งหมดดูไม่สมเหตุสมผลในแง่ของจำนวนและทรัพยากร
2. เหตุผลที่ความเชื่อนี้แพร่กระจาย
  • ประวัติศาสตร์ของการต่อต้านยิว (Antisemitism): ความเชื่อนี้มีรากฐานจากอคติต่อตระกูลยิวที่ย้อนกลับไปหลายศตวรรษ ในยุโรปยุคกลาง ชาวยิวมักถูกกล่าวหาว่าเป็น "ผู้อยู่เบื้องหลัง" ความโชคร้ายต่าง ๆ เช่น โรคระบาดหรือวิกฤตเศรษฐกิจ อคติเหล่านี้ถูกต่อยอดในยุคสมัยใหม่ผ่านทฤษฎีสมคบคิด
  • การประสบความสำเร็จของชาวยิวในบางวงการ: ชาวยิวมีบทบาทเด่นในวงการการเงิน วิทยาศาสตร์ สื่อ และศิลปะในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่าพวกเขามีอิทธิพลมากเกินจริง ตัวอย่างเช่น ตระกูลรอธส์ไชลด์เคยมีบทบาทสำคัญในระบบธนาคารยุโรปในศตวรรษที่ 19 แต่ไม่มีหลักฐานว่าพวกเขาควบคุมเศรษฐกิจโลก
  • การใช้ทฤษฎีสมคบคิดเพื่ออธิบายความซับซ้อน: ผู้คนมักหาคำตอบที่ง่ายต่อความซับซ้อนของปัญหาโลก เช่น วิกฤตเศรษฐกิจหรือความขัดแย้งทางการเมือง การกล่าวโทษกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (เช่น ชาวยิว) เป็นวิธีที่ทำให้เข้าใจง่าย แม้จะไม่ถูกต้อง
  • การเผยแพร่ผ่านสื่อและอินเทอร์เน็ต: ในยุคดิจิทัล ข้อมูลเท็จและทฤษฎีสมคบคิดแพร่กระจายได้ง่ายผ่านโซเชียลมีเดีย รวมถึงแพลตฟอร์มอย่าง X ซึ่งทำให้ความเชื่อนี้ยังคงมีผู้ติดตามในบางกลุ่ม
3. ข้อเท็จจริงที่ควรพิจารณา
  • อิทธิพลของสหรัฐฯ และอังกฤษ: อิทธิพลของสองประเทศนี้มาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ การทหาร และวัฒนธรรม ไม่ใช่การควบคุมโดยกลุ่มชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่ง ตัวอย่างเช่น บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (เช่น Google, Apple) หรือนโยบายของรัฐบาลมีบทบาทมากกว่าการสมคบคิดของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
  • ความหลากหลายของผู้มีอิทธิพล: ผู้มีอิทธิพลในโลกมาจากหลากหลายชาติพันธุ์และภูมิหลัง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำจากจีน รัสเซีย หรือตะวันออกกลาง การมองว่าชาวยิวเป็นศูนย์กลางของอำนาจโลกจึงเป็นการมองที่คับแคบ
  • ผลกระทบของความเชื่อนี้: การเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับชาวยิวอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและความรุนแรงต่อชุมชนยิว ซึ่งเคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Holocaust)
______________
แล้วทำไมมีคนเชื่อล่ะ?
ทฤษฎีสมคบคิดที่อ้างว่าชาวยิวครองโลกหรือมีตระกูลยิวบงการเหตุการณ์สำคัญ โดยมีศูนย์กลางที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ มักถูกนำเสนอผ่านข้ออ้างที่เชื่อมโยงเหตุการณ์หรือบุคคลต่าง ๆ เพื่อสร้างภาพของการควบคุมที่ซ่อนอยู่ ต่อไปนี้คือสรุปข้ออ้างหลัก ๆ ที่ทฤษฎีนี้ใช้เพื่อโน้มน้าวให้ผู้คนเชื่อ:
1. อิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเงิน
  • ข้ออ้าง: ชาวยิว โดยเฉพาะตระกูลที่มีชื่อเสียง เช่น รอธส์ ไชลด์ (Rothschild) ถูกกล่าวหาว่าควบคุมระบบธนาคารโลก ผ่านสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารกลาง (Federal Reserve) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ผู้สนับสนุนทฤษฎีนี้ชี้ว่า ความมั่งคั่งและอิทธิพลของตระกูลเหล่านี้ทำให้พวกเขาสามารถกำหนดนโยบายเศรษฐกิจโลกได้
  • เหตุผลที่เชื่อ: ความสำเร็จของบุคคลหรือตระกูลยิวบางกลุ่มในวงการการเงิน เช่น การก่อตั้งธนาคารในศตวรรษที่ 19 โดยตระกูลรอธส์ไชลด์ ถูกขยายความเกินจริงให้ดูเหมือนเป็นการครอบงำทั้งระบบ ผู้คนที่เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจมักมองหา "ผู้ร้าย" ที่ชัดเจน และกลุ่มเหล่านี้ถูกใช้เป็นเป้า
2. การครอบงำสื่อและวัฒนธรรม
  • ข้ออ้าง: ทฤษฎีนี้มักอ้างว่าชาวยิวควบคุมสื่อหลักในสหรัฐฯ และอังกฤษ เช่น ฮอลลีวูด สถานีโทรทัศน์ หรือสำนักข่าวใหญ่ ๆ เพื่อชักจูงความคิดเห็นของประชาชนและกำหนดวาระโลก
  • เหตุผลที่เชื่อ: การมีส่วนร่วมของบุคคลเชื้อสายยิวในวงการสื่อและบันเทิง เช่น ผู้บริหารในบริษัทภาพยนตร์หรือสื่อ ถูกตีความว่าเป็นการสมคบคิดเพื่อควบคุมข้อมูล ความซับซ้อนของอุตสาหกรรมสื่อถูกมองข้าม และมีการเลือกเน้นเฉพาะบุคคลที่มีเชื้อสายยิวเพื่อสนับสนุนข้ออ้าง
3. อิทธิพลทางการเมือง
  • ข้ออ้าง: ชาวยิวถูกกล่าวหาว่ามีอิทธิพลต่อรัฐบาลสหรัฐฯ และอังกฤษผ่านกลุ่มล็อบบี้ เช่น AIPAC (American Israel Public Affairs Committee) หรือผ่านบุคคลสำคัญในวงการเมืองที่เป็นชาวยิวหรือมีเชื้อสายยิว ซึ่งถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงนโยบายต่างประเทศ
  • เหตุผลที่เชื่อ: การที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขันถูกตีความว่าเป็นผลจากการควบคุมของชาวยิว แทนที่จะมองว่าเป็นผลจากผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์หรือการเมืองระหว่างประเทศ ผู้เชื่อมักมองว่านโยบายเหล่านี้เป็นหลักฐานของ "การสมคบคิด"
4. เอกสารและเรื่องเล่าที่ถูกบิดเบือน
  • ข้ออ้าง: เอกสารปลอม เช่น The Protocols of the Elders of Zion ซึ่งอ้างว่าเป็นแผนลับของชาวยิวในการครองโลก ถูกใช้เป็น "หลักฐาน" รวมถึงเรื่องเล่าต่าง ๆ เกี่ยวกับกลุ่มลับ เช่น Illuminati หรือ Freemasons ที่เชื่อมโยงกับชาวยิว
  • เหตุผลที่เชื่อ: เอกสารเหล่านี้ แม้จะถูกพิสูจน์ว่าเป็นของปลอม แต่ยังคงแพร่กระจายในบางกลุ่ม โดยเฉพาะในยุคอินเทอร์เน็ตที่ข้อมูลเท็จแพร่ได้ง่าย การขาดการตรวจสอบแหล่งข้อมูลทำให้ผู้คนบางส่วนยอมรับเรื่องเล่าเหล่านี้
5. การเชื่อมโยงเหตุการณ์สำคัญ
  • ข้ออ้าง: ทฤษฎีสมคบคิดมักเชื่อมโยงเหตุการณ์ใหญ่ เช่น สงคราม วิกฤตเศรษฐกิจ หรือการระบาดของโรค เข้ากับการสมคบคิดของชาวยิว โดยอ้างว่าทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งของแผนการควบคุมโลก
  • เหตุผลที่เชื่อ: ผู้คนที่รู้สึกไม่มั่นคงหรือหวาดกลัวต่อสถานการณ์โลกมักหาคำอธิบายที่เรียบง่าย การโยนความผิดให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (เช่น ชาวยิว) ช่วยให้เข้าใจเหตุการณ์ที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น แม้จะไม่มีหลักฐานสนับสนุน
6. การใช้ประวัติศาสตร์และอคติ
  • ข้ออ้าง: ทฤษฎีนี้มักอ้างถึงประวัติศาสตร์ เช่น การที่ชาวยิวถูกขับไล่หรือเลือกปฏิบัติในหลายยุคสมัย เพื่อชี้ว่าพวกเขา "ต้องมีอะไรผิดปกติ" หรือมีอิทธิพลลับ ๆ ที่ทำให้ถูกเกลียดชัง
  • เหตุผลที่เชื่อ: อคติต่อต้านยิว (antisemitism) ที่ฝังรากในบางสังคมถูกนำมาใช้เพื่อยืนยันความเชื่อนี้ โดยผู้สนับสนุนทฤษฎีมองว่าการต่อต้านยิวในอดีตเป็น "หลักฐาน" ของพลังอำนาจที่ซ่อนอยู่ แทนที่จะมองว่าเป็นผลจากความเกลียดชังที่ไม่มีมูล
ข้ออ้างของทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับการครองโลกของชาวยิวมักอาศัยการเชื่อมโยงที่เลือกสรร (cherry-picking) ข้อมูล เช่น ความสำเร็จของบุคคลยิวบางคนในวงการต่าง ๆ การบิดเบือนประวัติศาสตร์ และการใช้เอกสารปลอม เพื่อสร้างภาพของการสมคบคิดที่ซ่อนอยู่ ความเชื่อเหล่านี้แพร่กระจายได้เพราะตอบสนองความต้องการของผู้คนในการหาคำอธิบายง่าย ๆ สำหรับปัญหาที่ซับซ้อน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากอคติที่มีอยู่แล้วในสังคม อย่างไรก็ตาม ข้ออ้างเหล่านี้ขาดหลักฐานที่หนักแน่นและมักถูกหักล้างโดยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล

Top 10 Countries with the Largest Gold Reserves (2025)


Gold continues to be a key component of international reserves for many countries due to its role as a safe-haven asset, hedge against inflation, and tool for economic stability. Below is a list of the top ten countries with the largest gold reserves based on the most recent data available from the World Gold Council (WGC) and other sources, reflecting holdings as of early 2025 (specifically March 2025 for most countries, per IMF International Financial Statistics). The reserves are measured in metric tonnes.

Top 10 Countries with the Largest Gold Reserves (2025):
  1. United States: 8,133.46 tonnes
    • The U.S. holds the largest gold reserves globally, nearly equaling the combined reserves of the next three countries. Much of this is stored at Fort Knox, with additional holdings at the Federal Reserve Bank of New York and other depositories. Gold represents about 76% of its foreign reserves.
  2. Germany: 3,351.53 tonnes
    • Germany ranks second, with gold stored domestically and in vaults in New York, London, and Switzerland. About two-thirds of its foreign reserves are in gold, reflecting its historical trust in the metal as a store of value.
  3. Italy: 2,451.84 tonnes
    • Italy’s reserves, managed by Banca d’Italia, are held both domestically and abroad (U.S., UK, Switzerland). Gold plays a significant role in its economic strategy, with no major sales in recent years.
  4. France: 2,436.94 tonnes
    • France stores all its gold domestically, managed by the Banque de France. Its reserves have remained stable, serving as a hedge against economic and geopolitical risks.
  5. China: 2,280 tonnes
    • China has significantly increased its gold reserves in recent years, with purchases of 44.17 tonnes in 2024 alone. The People’s Bank of China holds gold domestically, though some analysts suggest actual holdings may be higher than reported. Gold is about 5.5% of its massive foreign exchange reserves.
  6. Russia: 2,332.74 tonnes
    • Russia, a major gold producer, stores all its reserves domestically in Moscow and Saint Petersburg. It has been a consistent buyer since 2007, though purchases slowed in 2024 (3.11 tonnes added).
  7. Switzerland: 1,040 tonnes
    • Switzerland, with the world’s highest per capita gold reserves, maintains stable holdings. Its gold is used to support economic stability and is partly a legacy of its role in gold trading during World War II.
  8. Japan: 846 tonnes
    • Japan’s reserves, managed by the Bank of Japan, have increased slightly to 846 tonnes by late 2024. Gold constitutes about 2% of its total reserves, reflecting a cautious approach to reserve management.
  9. India: 876.18 tonnes
    • India, a major gold consumer, added 72.60 tonnes in 2024, making it the second-largest buyer after Poland. Managed by the Reserve Bank of India, gold is stored in Mumbai and abroad (UK, Switzerland). It serves as a hedge against inflation and currency fluctuations.
  10. Poland: 448.23 tonnes
    • Poland has aggressively increased its reserves, adding 89.54 tonnes in 2024, the largest globally that year. Gold is stored in Warsaw and abroad (UK, Switzerland) and is part of Poland’s strategy to bolster financial security amid regional tensions.
Notes:
  • Data Sources: The figures are primarily sourced from the World Gold Council (WGC) and IMF International Financial Statistics (IFS), with updates as of March 2025 for most countries. Some data, like Russia’s, may be less reliable due to reporting gaps in 2024.
  • Trends: Central banks globally have been net buyers of gold since 2010, with 2024 seeing over 1,000 tonnes purchased, driven by economic uncertainties and geopolitical tensions. Poland, Turkey (+75 tonnes), India, and China were among the top buyers in 2024.
  • Why Gold?: Countries hold gold for currency stabilization, diversification from the U.S. dollar, and protection against inflation and geopolitical risks. Gold’s role as a “safe-haven” asset has grown amid recent global trade tensions and tariff policies.
  • Caveats: Some countries, like China, may underreport reserves, and gold leasing or swaps can obscure actual holdings. Physical storage locations may also vary, with some nations repatriating gold for security.

Tuesday, May 20, 2025

อุปสรรคของ BRICS ในการโค่นล้มดอลลาร์ และเกมตอบโต้ของทรัมป์ หลังผ่าน 100 วันแรก 🏛️

 


บทวิเคราะห์นี้รวมเอาภาพรวมการสร้างความแข็งแกร่งทั้งภายในและภายนอกของสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ และวิธีที่สหรัฐฯ ใช้เครื่องมือทางการเงิน-ภูมิรัฐศาสตร์เพื่อรับมือกับแนวทาง de-dollarization ของ BRICS ดังนี้


1. ทรัมป์กำกับสหรัฐฯ กว่า 100 วันนี้ – สะท้อนพลังทางเศรษฐกิจและความร่วมมือระหว่างประเทศ 🏛️ 

  • ทรัมป์จัดงานรำลึก “100 วันแรก” ที่รัฐมิชิแกน เพื่อเน้นผลงานด้านการลดกฎระเบียบ, ปรับลดงบประมาณ, และเพิ่มการส่งออกสหรัฐฯ  

  • ระหว่างทริปตะวันออกกลาง สหรัฐฯ อ้างว่าประเทศในภูมิภาคให้คำมั่นลงทุนในสหรัฐฯ รวมกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้จะมีข้อกังขาว่าตัวเลขนี้ “ปูพรม” แต่ก็ช่วยเสริมภาพว่าสหรัฐฯ ยังเป็นแหล่งลงทุนที่น่าเชื่อถือ 

  • ต่อมาในการเยือน UAE อีกครั้ง ทรัมป์ประกาศ 200 พันล้านดอลลาร์ ในดีลใหม่ และเร่งดีลเดิมของ UAE มูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ให้เกิดขึ้นเร็วขึ้น 

  • ขณะเดียวกัน ในการพบกับผู้นำอินเดีย ทรัมป์เผยว่า “อินเดียพร้อมให้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ภาษี” แก่สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการขยายตลาดสหรัฐฯ ในอินเดีย 


2. อุปสรรคที่ 1: Network Effects ของดอลลาร์ – ทรัมป์ใช้ดีลลงทุน “ล็อก” การค้าให้ผูกกับดอลลาร์

  • เหตุผลสำคัญ: ดอลลาร์ถูกใช้ในการตั้งราคา, การชำระหนี้ระหว่างประเทศ, และเป็นแหล่งพักสินทรัพย์ปลอดภัย

  • ทรัมป์เสริมภาพต้องการ “เงินทุนต่างชาติไหลกลับสหรัฐฯ” ด้วยการเจรจาดีลลงทุนหลายล้านล้านดอลลาร์ เพื่อให้คู่ค้าในตะวันออกกลางและอินเดีย “ผูกตลาด” กับดอลลาร์ต่อไป

  • ผลลัพธ์: แม้ BRICS+ จะขยายการค้าภายในกลุ่ม แต่บริษัทและธนาคารยังคงต้องถือดอลลาร์เพราะดีลลงทุนมูลค่ามหาศาลยังคงนับเป็นดอลลาร์ก่อนเสมอ


3. อุปสรรคที่ 2: ความแตกแยกภายใน BRICS – เกม “Divide and Rule” ของทรัมป์ ⚖️ 

  • ความจริง: จีน-อินเดียมีข้อพิพาทพรมแดน, รัสเซียโดนคว่ำบาตร, บราซิล–แอฟริกาใต้ยังมีจุดยืนใกล้ตะวันตก

  • เกมทรัมป์:

    1. หนุนข้อตกลงทวิภาคีกับอินเดียเชิงเศรษฐกิจ เพื่อแบ่งแยกความร่วมมืออินเดีย–จีน 

    2. ส่งเสริมสัมพันธไมตรีด้านพลังงานและการค้า กับซาอุดีอาระเบียและ UAE เพื่อสร้าง “แกนเศรษฐกิจใหม่” ที่ไม่ใช่ BRICS

  • ผลลัพธ์: BRICS จะประสานงานยากขึ้น เมื่อสมาชิกแต่ละคนมีพันธมิตรทางเลือกที่เป็นรายบุคคล


4. อุปสรรคที่ 3: โครงสร้างสถาบันไม่เสถียร – ทรัมป์โปรโมต “ดิจิทัลดอลลาร์” และเสริมกลไกการกำกับดูแล 🔐 

  • BRICS ยังขาดธนาคารกลางที่เป็นอิสระ, ตลาดตราสารหนี้เปิดเสรี, และความโปร่งใสทางกฎเกณฑ์

  • ทรัมป์สั่งการศึกษา “ดิจิทัลดอลลาร์” เร่งด่วน พร้อมเชิญพันธมิตร G7 และกลุ่ม NATO ร่วมทดลองระบบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสกุลเงินสหรัฐฯ

  • นอกจากนี้ ยังผลักดันมาตรการ ป้องปรามความเสี่ยง (risk-off) เช่น ปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาความน่าสนใจของตราสารหนี้ดอลลาร์


5. อุปสรรคที่ 4: Weaponization of Dollar – เครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ของทรัมป์ 🛡️ 

  • การคว่ำบาตรผ่าน SWIFT และการอายัดทุนสำรองกลายเป็น “อาวุธลับ” ของวอชิงตัน

  • หลัง 100 วัน ทรัมป์ขยายขอบเขตการคว่ำบาตรไปยังผู้ที่สนับสนุน BRICS+ หรือแม้แต่บริษัทกลางภาคีที่อาจทำธุรกิจกับรัสเซียและจีน

  • เกมต่อรอง: สหรัฐฯ อาจ “ยกเลิก” มาตรการคว่ำบาตรให้เป็นรางวัล หากประเทศใดถอยหนีจากโครงการ de-dollarization


6. อุปสรรคที่ 5: ยังไม่มีคู่แข่งที่พร้อม – ทรัมป์ย้ำ “dollar = freedom” 🔍 

  • หยวนยังถูกควบคุมทุน กำลังซื้อจึงถูกจำกัด, รัสเซียถูกคว่ำบาตรลึกซึ้ง, สกุลใหม่ BRICS ยังไม่มีตลาดจริง

  • ทรัมป์ปลุกระดม Narrative ระดับโลกผ่านงานสัมมนาและสื่อว่า “ดอลลาร์คือตัวแทนของเสรีภาพทางเศรษฐกิจ”

  • ใช้การประชาสัมพันธ์ระดับสูง (public diplomacy) ผสมกับการลงนามข้อตกลงวัฒนธรรม–การศึกษา (soft power) เพื่อสร้างภาพลักษณ์ “เงินสหรัฐเป็นสกุลแห่งเสรีภาพ”


สรุปเกมระยะยาว 🔚 

แม้ BRICS+ จะพยายามลดบทบาทดอลลาร์ผ่าน Rio Reset และโครงการ de-dollarization ต่างๆ แต่ ดอลลาร์ยังได้เปรียบในเชิงสภาพคล่อง, เครือข่ายทั่วโลก, และเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่สหรัฐฯ โดยทรัมป์กำลังขยายขอบเขตอย่างรอบด้าน ทั้งการใช้ hard power, soft power, และการเสริมโครงสร้างทางการเงินของตัวเอง

บทบาทของทรัมป์หลัง 100 วัน จึงไม่ใช่แค่กรอกตัวเลขดีลลงทุน แต่เป็นการ “ล็อก” สมดุลอำนาจโลกผ่านการตอกย้ำอิทธิพลของดอลลาร์ในหลากหลายมิติ ทำให้การโค่นดอลลาร์ของ BRICS น่าจะเป็น “สงครามยืดเยื้อ” มากกว่าการปฏิวัติในเร็ววัน


คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น

ภาพประกอบชวนขำกลิ้ง คลังคำไทยที่มักสะกดผิด – สำหรับฝึกความจำให้คนไทยทุกรุ่น คลังคำไทยที่มักสะกดผิด ภาษาไทยน...