Tuesday, December 23, 2025

ต้องฟัง 15 นิสัยคนไทยที่ทำให้ชาติพัฒนาช้า โดย คันฉ่องส่องไทย กับ ดร. เพียงดิน รักไทย

คันฉ่องส่องไทย: 15 นิสัยร่วมที่บั่นทอนประชาธิปไตยและอนาคตชาติ

คันฉ่องส่องไทย: 15 นิสัยร่วมที่บั่นทอนประชาธิปไตยและอนาคตชาติ
คันฉ่องส่องไทย

15 นิสัยร่วมที่บั่นทอนประชาธิปไตย การพัฒนาชาติ และชีวิตพลเมืองไทย

บทเตือนสติฉบับนี้ไม่ได้เขียนเพื่อประณามใครเป็นรายคน แต่เพื่อสะท้อน “โครงสร้างนิสัยร่วม” ที่ฝังลึกและทำให้ประชาธิปไตยอ่อนแรง การพัฒนาชาติสะดุด และศักดิ์ศรีของพลเมืองติดหล่มซ้ำซาก

15 ข้อในคันฉ่อง

1

ยอมรับอำนาจโดยไม่ตั้งคำถาม

คนไทยจำนวนมากถูกสอนให้เชื่อฟังมากกว่าคิด การตั้งคำถามต่อผู้มีอำนาจถูกตีความว่าไม่เหมาะสมหรือไม่จงรักภักดี เมื่ออำนาจไม่ถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง ประชาธิปไตยจึงกลายเป็นเพียงฉากหน้า ไม่ใช่ระบบที่ทำงานจริง

2

กลัวความขัดแย้งมากกว่ากลัวความอยุติธรรม

สังคมไทยยก “ความสงบ” เหนือ “ความถูกต้อง” การเถียงอย่างมีเหตุผลถูกมองว่าเป็นความแตกแยก ทั้งที่ความขัดแย้งเชิงหลักการคือกลไกสำคัญของประชาธิปไตย ความอยุติธรรมจึงสะสมเงียบ ๆ จนกลายเป็นวิกฤต

3

วัฒนธรรมอุปถัมภ์และระบบศักดินาแฝง

ความก้าวหน้าในชีวิตยังผูกกับเส้นสาย บารมี และความใกล้ชิดผู้มีอำนาจ มากกว่าความสามารถจริง สิ่งนี้ทำลายหลักความเสมอภาค ทำให้คนเก่งหมดแรงใจ และคนไม่เก่งแต่มีเส้นได้ครองตำแหน่งสำคัญ

4

เคยชินกับการ “รอ” มากกว่าการ “ร่วมทำ”

พลเมืองถูกฝึกให้รอผู้นำ รอรัฐ รอคนดีจากฟ้า มากกว่าการลงมือร่วมแก้ปัญหาเอง เมื่อประชาชนเป็นเพียงผู้รอ ประชาธิปไตยย่อมอ่อนแอ เพราะขาดพลังจากฐานล่าง

5

โอนความรับผิดชอบให้ผู้อื่นเสมอ

เมื่อประเทศมีปัญหา ความผิดมักถูกโยนให้รัฐบาล นักการเมือง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยไม่ย้อนถามบทบาทของตนเองในฐานะพลเมือง สังคมที่ไม่รับผิดชอบร่วมกัน จะไม่สามารถพัฒนาระบบที่ยั่งยืนได้

6

ความงมงายที่แทนที่เหตุผล

การพึ่งดวง บุญ วาสนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถูกใช้แทนการวิเคราะห์เชิงเหตุผล เมื่อความเชื่อเหนือข้อมูล นโยบายสาธารณะก็ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักฐาน ประเทศจึงตัดสินใจเรื่องใหญ่ด้วยความรู้สึกมากกว่าวิทยาศาสตร์

7

ทัศนคติไม่รักของยาก ไม่อดทนระยะยาว

สังคมไทยให้คุณค่ากับทางลัดและผลลัพธ์เร็ว มากกว่าการฝึกฝนลึกและยาว การเรียนรู้เชิงลึก วิจัย และการสร้างสถาบันที่มั่นคงจึงถูกมองว่า “ช้าและไม่คุ้ม” ทั้งที่เป็นรากฐานของความเจริญแท้จริง

8

สไตล์การทำงานแบบเลี่ยงความรับผิด

การทำงานจำนวนมากมุ่ง “ไม่ให้ผิด” มากกว่า “ให้สำเร็จ” ความล้มเหลวถูกลงโทษมากกว่านำมาเรียนรู้ นวัตกรรมจึงไม่เกิด องค์กรไม่พัฒนา และประเทศหยุดอยู่กับที่

9

การศึกษาที่ฝึกเชื่อฟังมากกว่าคิด

ระบบการศึกษาสอนให้จำและทำตาม มากกว่าวิเคราะห์ ตั้งคำถาม และโต้แย้งเชิงเหตุผล เด็กจึงโตเป็นผู้ใหญ่ที่รอคำสั่ง ไม่กล้าตัดสินใจ และไม่พร้อมเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย

10

การเมืองแบบอารมณ์และตัวบุคคล

การเมืองถูกลดเหลือการเชียร์หรือเกลียดคน มากกว่าการถกเถียงนโยบายและโครงสร้าง ประชาชนจึงติดกับดักการเมืองแบบแฟนคลับ ขาดการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงานอย่างมีเหตุผล

11

การมีส่วนร่วมทางสังคมแบบฉาบฉวย

การแสดงออกทางการเมืองจบลงที่โพสต์ ด่า หรือแชร์ แต่ไม่ต่อยอดเป็นการรวมกลุ่ม ทำงานเชิงนโยบาย หรือเฝ้าติดตามระยะยาว ประชาธิปไตยจึงขาดความต่อเนื่องและพลังจริง

12

ความเคยชินกับความเหลื่อมล้ำ

ความเหลื่อมล้ำถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ คนจนถูกสอนให้ยอมรับชะตา คนรวยถูกมองว่าเก่งหรือมีบุญ เมื่อความไม่เป็นธรรมถูกทำให้ธรรมดา สังคมก็ไม่รู้สึกจำเป็นต้องแก้ไข

13

การใช้ศีลธรรมแบบเลือกข้าง

ศีลธรรมถูกใช้โจมตีฝ่ายตรงข้าม มากกว่าย้อนตรวจสอบตนเอง กฎหมายและหลักการถูกบิดเพื่อรับใช้ฝ่ายที่ตนชอบ สิ่งนี้ทำลายหลักนิติรัฐ และทำให้กติกาสาธารณะไร้ความศักดิ์สิทธิ์

14

ความเชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก

คนดีจำนวนมากถอยห่างจากการเมือง เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องเลวร้าย ผลคือพื้นที่อำนาจถูกทิ้งให้คนที่ไม่ยึดหลักการ เมื่อคนดีไม่ร่วม ระบบย่อมไม่ดีได้

15

การไม่เห็นคุณค่าของตนเองในฐานะพลเมือง

คนไทยจำนวนไม่น้อยไม่รู้สึกว่าตนเองคือ “เจ้าของประเทศ” แต่เป็นเพียงผู้อาศัย เมื่อไม่เห็นคุณค่าของตนเอง ก็ไม่เรียกร้องสิทธิ ไม่ปกป้องเสรีภาพ และไม่หวงแหนประชาธิปไตย

ภาพรวมในคันฉ่อง: ปัญหาไม่ใช่คนไทยเลวหรือด้อยโดยธรรมชาติ แต่คือ “นิสัยร่วม” ที่ถูกสอน ถูกทำซ้ำ และถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ เมื่อสิ่งใดถูกทำให้ปกติ สิ่งนั้นจะไม่ถูกตั้งคำถาม และเมื่อไม่ถูกตั้งคำถาม การเปลี่ยนแปลงก็ไม่เริ่ม
“ประชาธิปไตยไม่อ่อนแอเพราะตัวบทกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่มันอ่อนแอเพราะพลเมืองถูกฝึกให้เชื่อมากกว่าคิด รอมากกว่าร่วมทำ และกลัวมากกว่ายืนหยัด”

หากคนไทยไม่เปลี่ยนนิสัยเหล่านี้ ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะเขียนดีเพียงใด ประเทศก็จะวนกลับมาที่จุดเดิมเสมอ คันฉ่องบานนี้ไม่ได้เรียกร้องให้ใครโกรธ แต่เรียกร้องให้คนไทยกล้าดูหน้าตนเองในฐานะพลเมือง

คันฉ่องส่องไทย: PISA คณิตศาสตร์สะท้อนอะไรมากกว่าคะแนนสอบ

คันฉ่องส่องไทย: PISA คณิตศาสตร์สะท้อนอะไรมากกว่าคะแนนสอบ
คันฉ่องส่องไทย บทเตือนสติ: คะแนน PISA คณิตศาสตร์สะท้อนอนาคตชาติ

PISA คณิตศาสตร์สะท้อนอะไรมากกว่าคะแนนสอบ
และทำไมคนไทยไม่ควรมองข้าม

คะแนนคณิตศาสตร์ต่ำ ไม่ได้แปลว่าเด็ก “โง่” แต่สะท้อน “นิสัยการคิด” ที่สังคมไทยกำลังหล่อหลอมทั้งระบบ ตั้งแต่รัฐ ครอบครัว โรงเรียน ไปจนถึงตัวเยาวชนเอง

กลุ่มเป้าหมาย: รัฐบาล · พ่อแม่ · ครู · เยาวชน ประเด็น: วินัยทางปัญญา · ตรรกะ · สมาธิ · ความสามารถรับมือความซับซ้อน

ตัวเลขที่ต้องอ่านให้ “ลึก” กว่าคะแนน

หากอ่านผล PISA แบบไม่ผิวเผิน คะแนนคณิตศาสตร์ไม่ได้บอกแค่ว่าเด็กไทย “ทำโจทย์ไม่ได้” แต่กำลังสะท้อน โครงสร้างนิสัยทางปัญญา (cognitive habit) ของสังคมไทย และความพร้อมของประเทศต่อโลกที่ซับซ้อน

394 คะแนน

คะแนนเฉลี่ยคณิตศาสตร์ไทย (2022)

ลดลงจาก 419 (2018) และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย OECD 472
58/81

อันดับโดยรวมในกลุ่มประเทศ/เขตเศรษฐกิจ

สะท้อนความเสี่ยงด้านทุนมนุษย์ระยะยาว
32%

ถึงระดับ 2 (พื้นฐานต่อชีวิตประจำวัน)

เทียบ OECD เฉลี่ย 69%: ช่องว่างความสามารถ “ใช้งานจริง”
1%

ระดับ 5–6 (คิดซับซ้อนระดับสูง)

เทียบ OECD เฉลี่ย 9%: ประเทศจะมี “นักคิดระบบ” น้อยเกินไป
ประเด็นชี้ชะตา

ตัวเลขที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่อันดับโลก แต่คือ “สัดส่วนคนที่ไปถึงระดับคิดซับซ้อน” ที่ต่ำมาก ซึ่งอาจทำให้ประเทศพึ่งพาคนอื่นในงานยุทธศาสตร์: เทคโนโลยี นโยบาย เศรษฐกิจ และการบริหารรัฐ

คะแนนที่ตกต่ำ ไม่ได้บอกว่าเด็กไร้ค่า แต่บอกว่า “ระบบ” กำลังหล่อหลอมอะไร

คณิตศาสตร์ไม่ใช่วิชาท่องจำ และไม่ใช่วิชาที่เอาตัวรอดด้วยไหวพริบเฉพาะหน้า แต่เป็นวินัยที่ต้องอาศัยการฝึกซ้ำ ๆ โดยไม่เห็นผลลัพธ์ทันที หากเด็กส่วนใหญ่ไปไม่ถึงระดับ 2 ซึ่งเป็นระดับพื้นฐานต่อการใช้ชีวิต นั่นอาจหมายความว่าเด็กจำนวนมากยัง จัดการความคิดเชิงตรรกะในสถานการณ์จริงได้ไม่มั่นคง

คันฉ่องส่องไทย

สังคมที่แข็งแรง ไม่ได้ผลิตคนที่ “รู้สึกดี” ตลอดเวลา แต่ผลิตคนที่ “รับผิดชอบต่อความจริง” และรับมือกับความยากอย่างมีวินัยทางปัญญา

หากสิงคโปร์อยู่แถวหน้าของโลก นั่นไม่ใช่เพราะเด็กฉลาดกว่าโดยธรรมชาติเท่านั้น แต่เพราะทั้งระบบ—รัฐ ครู และครอบครัว—ส่งสารตรงกันว่า “ของที่ยาก คือของจำเป็น” เด็กจึงคุ้นชินกับกรอบที่เข้มงวด และไม่ตีความความยากว่าเป็นศัตรู

ในทางกลับกัน สังคมไทยจำนวนไม่น้อยกลับปลอบเด็กด้วยสารที่อาจ “เมตตาแต่ทำร้าย” เช่น “ไม่ถนัดก็ไม่เป็นไร” หรือ “เอาที่สบายใจ” เพราะหากใช้ผิดที่ผิดเวลา ข้อความเหล่านี้อาจกลายเป็นการสอนให้เด็ก ถอยหนีจากรากฐานของการสร้างอนาคต

“นี่ไม่ใช่เรื่องคะแนนสอบ แต่มันคือเรื่องทิศทางของชาติ: เรากำลังสร้างคนที่คิดเป็นระบบ หรือสร้างคนที่แพ้ความยากตั้งแต่ยังไม่เริ่ม?”

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ: รัฐบาลควรทำอะไรทันที

  • ยกระดับ “ความเข้มของหลักสูตรขั้นต่ำ” ให้เด็กทุกคนไปถึงระดับที่ใช้ชีวิตจริงได้ (อย่างน้อย Level 2)
  • ลงทุนครูคณิตศาสตร์แบบจริงจัง ทั้งการอบรมเชิงวิธีสอน การโค้ชรายกรณี และเครื่องมือวัดความก้าวหน้า
  • ลดการเรียนเพื่อท่องจำ เปลี่ยนเป็นการแก้ปัญหา (problem solving) ที่เชื่อมชีวิตจริงและข้อมูลจริง
  • สร้างระบบติว/เสริมฟรีแบบทั่วถึง โดยเน้นโรงเรียนชนบทและกลุ่มเสี่ยง ไม่ใช่ปล่อยให้ตลาดติวกลืนประเทศ
  • วัดผลแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่รอผลสอบใหญ่แล้วค่อยตื่นตกใจ
หลักคิด

แผนปฏิรูปที่ดี ต้องไม่โทษเด็ก แต่ต้องแก้ “สภาพแวดล้อม” ที่ทำให้เด็กไม่เกิดนิสัยการคิดลึก

พ่อแม่และเยาวชนควรเริ่มจากอะไร

  • พ่อแม่: เลิกส่งสารว่า “ของยากไม่จำเป็น” แล้วเปลี่ยนเป็น “ยากได้ แต่ต้องฝึก”
  • พ่อแม่: สร้างเวลา “นิ่งและลึก” วันละ 30–45 นาที (ตัดจอ/ตัดแจ้งเตือน) เพื่อฝึกสมาธิ
  • เยาวชน: อย่ากลัวการทำผิด—คณิตศาสตร์คือสนามซ้อมการล้มแล้วลุกแบบมีเหตุผล
  • เยาวชน: ฝึกโจทย์ให้เป็น “ระบบ” ไม่ใช่ฝึกให้ไว: เข้าใจขั้นตอนก่อน แล้วค่อยเพิ่มความเร็ว
  • ทุกคน: เปลี่ยนทัศนคติจาก “เกลียดเลข” เป็น “ยังไม่ชำนาญ” แล้วค่อย ๆ ฝึก

ประเทศที่ซับซ้อน ต้องการพลเมืองที่คิดเป็นระบบ และนิสัยนั้นเกิดจากการฝึกกับสิ่งที่ยากอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่จากคำพูดสวยงาม หรือแรงบันดาลใจชั่วคราว

บทส่งท้าย: คณิตศาสตร์ไม่ใช่ศัตรูของเด็ก แต่เป็นศัตรูของสังคมที่ไม่กล้าบอกความจริง

หากวันนี้เรายังไม่กล้าบอกเด็กไทยว่า “ของบางอย่างยาก แต่จำเป็น” วันหนึ่งเราอาจต้องบอกลูกหลานว่า ประเทศนี้ไม่มีอำนาจเลือกทางเอง เพราะเราไม่เคยฝึกคิดให้ลึกพอ

นี่ไม่ใช่เรื่องคะแนนสอบ แต่มันคือเรื่อง ทิศทางของชาติ

หมายเหตุข้อมูล (ตามบทสรุปที่ผู้เขียนใช้เป็นฐาน): PISA 2022: ไทยคณิตเฉลี่ย 394 (ลดจาก 419 ปี 2018), อันดับ 58/81, ถึงระดับ 2 = 32%, ระดับ 5–6 = 1%, ช่องว่างฐานะ 61 คะแนน (ต่ำกว่า OECD เฉลี่ย 93) และเพศไม่ต่างชัดเจน

Monday, December 22, 2025

อย่าหลงวาทกรรม "รักชาติ" ที่เนื้อแท้เป็นแค่คำลวง

คันฉ่องส่องไทย


เมื่อการอ้างความ “รักชาติ” ถูกใช้แทน "ความสามารถ" และการเลือกตั้งกลายเป็น "พิธีกรรมหลอกตัวเอง"

ทุกครั้งที่ประเทศเข้าใกล้การเลือกตั้ง กระแสหนึ่งจะถูกปลุกขึ้นมาเสมอ
กระแสที่พูดง่าย จำง่าย และกระแทกอารมณ์ได้เร็ว นั่นคือ
ชาติ ศาสนา กษัตริย์ ความสามัคคี และศัตรูของชาติ

คำเหล่านี้ไม่ผิดในตัวมันเอง
แต่ปัญหาคือ มันถูกใช้เป็น ม่านควัน เพื่อกลบคำถามที่สำคัญกว่ามาก นั่นคือ

ประเทศนี้กำลังมีปัญหาอะไรที่ต้นตอ และต้องการผู้นำแบบไหนมาแก้จริง ๆ


1. ชาตินิยมที่ไม่ถาม “อย่างไร” คือการเมืองแบบปลุกฝูงชน

นักการเมืองสายอนุรักษ์นิยมจำนวนไม่น้อย ไม่เคยอธิบายเชิงระบบ
ไม่เคยบอกว่า

  • จะแก้เศรษฐกิจที่ผูกขาดอย่างไร

  • จะแก้รัฐราชการที่ไร้ประสิทธิภาพอย่างไร

  • จะแก้การทุจริตเชิงโครงสร้างอย่างไร

  • จะแก้กฎหมายที่เอื้ออภิสิทธิ์อย่างไร

แต่เลือกใช้คำว่า
“ผมรักชาติ”
“ผมเลือดเข้มข้น”
“ผมยืนข้างสถาบัน”

คำถามที่คนไทยต้องถามคือ
รักชาติแบบไหน? ด้วยนโยบายอะไร? และต้องเสียอะไรไปบ้าง?


2. การปกป้องสถาบัน ไม่ใช่ข้ออ้างให้ประเทศหยุดคิด

การอ้าง “ปกป้องสถาบันกษัตริย์” ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพื่อ ปิดปากคำถาม และ ปิดการตรวจสอบ

แต่ความจริงเชิงหลักการคือ

  • สถาบันจะมั่นคงได้ ต้องอยู่บนรัฐที่โปร่งใส

  • ความจงรักภักดีไม่อาจทดแทนความสามารถ

  • การบริหารประเทศผิดพลาด ไม่ได้กลายเป็นเรื่องถูกต้องเพียงเพราะอ้างความศักดิ์สิทธิ์

การใช้สถาบันเป็นเกราะกำบังทางการเมือง
ไม่ใช่การปกป้อง
แต่คือการ ดึงสถาบันลงมาเสี่ยงกับความล้มเหลวของรัฐบาล


3. “ความสามัคคี” ที่ไม่แตะความไม่เป็นธรรม คือการบังคับให้คนเงียบ

คำว่า “สามัคคี” ฟังดูดี
แต่ในทางปฏิบัติ มันมักถูกใช้ในความหมายเดียวคือ

อย่าวิจารณ์ อย่าตั้งคำถาม อย่าทำให้ผู้มีอำนาจลำบากใจ

นี่ไม่ใช่ความสามัคคี
แต่มันคือ การทำให้ความอยุติธรรมอยู่ต่อได้อย่างสงบ

ประเทศที่ปัญหาถูกกดไว้ใต้พรม
จะไม่สงบในระยะยาว
มันเพียงแค่ รอวันปะทุ


4. พรรคที่ “อยากมีอำนาจ” มากกว่า “กล้าแก้โครงสร้าง” จะทำอะไรไม่ได้จริง

แม้บางพรรคจะพูดว่าจะแก้ปัญหา
แต่เมื่อพิจารณาให้ลึก จะพบว่า

  • ฐานอำนาจของเขาผูกกับทุนผูกขาด

  • แนวร่วมของเขาคือระบบราชการเก่า

  • ความอยู่รอดของเขาขึ้นกับกลไกนอกการเลือกตั้ง

คำถามคือ
คนที่ต้องพึ่งโครงสร้างเดิม จะกล้าทำลายโครงสร้างเดิมได้อย่างไร?

คำตอบคือ ไม่ได้
หรือ ไม่กล้า
หรือ ทำเป็นพูด แต่ไม่ทำจริง


5. ประเทศไทยวันนี้ ไม่ได้ต้องการ “นักรบ” แต่ต้องการ “หมอผ่าตัดระบบ”

ปัญหาของไทยไม่ใช่ศึกภายนอกเป็นหลัก
แต่คือ

  • ระบบเศรษฐกิจที่เอื้อคนส่วนน้อย

  • การเมืองที่ไม่รับผิด

  • กฎหมายที่ไม่เท่าเทียม

  • การศึกษาและสื่อที่ทำให้ประชาชนคิดไม่เป็น

ประเทศเช่นนี้
ไม่ได้ต้องการคนตะโกนเสียงดัง
ไม่ได้ต้องการผู้นำที่โชว์ความเข้ม
แต่ต้องการ ผู้นำที่กล้าแตะผลประโยชน์ กล้าเสียคะแนน และกล้ารับแรงต้าน


6. เลือกตั้งครั้งนี้ อย่าดูว่าใคร “รักชาติ”

แต่จงดูว่าใคร “รักความจริง”

คนที่รักชาติจริง

  • ต้องยอมรับปัญหา ไม่ปิดบังมัน

  • ต้องยอมให้ตรวจสอบ ไม่กลัวคำถาม

  • ต้องกล้าเปลี่ยนโครงสร้าง แม้จะกระทบพวกเดียวกัน

ถ้าคนไทยยังเลือก
จากอารมณ์
จากความกลัว
จากคำขวัญที่ฟังแล้วอุ่นใจ

เราจะได้รัฐบาลแบบเดิม
ปัญหาแบบเดิม
และอนาคตที่เลื่อนออกไปไม่รู้จบ


คำเตือนสุดท้ายจากคันฉ่องส่องไทย

ชาติไม่ได้พังเพราะศัตรูภายนอกเป็นหลัก
แต่มักพังเพราะประชาชนยอมให้คนไม่เหมาะสม
ใช้ “ชาติ” เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจไปใช้ โดยไร้ความสามารถในการแก้ปัญหาชาติ และพวกนี้ก็มักใช้อำนาจแสวงประโยชน์ในกลุ่มก้อนของตน

การเลือกตั้งไม่ใช่พิธีกรรมแห่งความภักดีหรือมองนักการเมืองว่ามีบุญคุณ หรือรักชาติกว่าใคร
แต่คือ การตัดสินใจเชิงเหตุผล เพื่ออนาคตของลูกหลาน

ถ้าเรายังเลือกด้วยหัวใจอย่างเดียว
โดยไม่ใช้สมอง
ประเทศนี้จะยังถูกปกครองด้วยคำพูดที่กลวงเปล่า
ไม่ใช่ด้วยความจริง เพราะคนที่อ้างว่ารักชาติดัง ๆ นั้น เนื้อแท้มักมีน้ำลายไหลยืดซ่อนอยู่


คันฉ่องส่องไทย

ศัตรูของชาติไทย ไม่ใช่แค่รัฐบาลกัมพูชา อย่างที่หลายคนเข้าใจ โดย คันฉ่องส่องไทย กับ ดร. เพียงดิน รักไทย

Sunday, December 21, 2025

รายงานประจำวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568 (เวลาประเทศไทย)

คันฉ่องส่องโลก : ข่าวเด็ดรอบโลก

รายงานประจำวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568 (เวลาประเทศไทย)

รายการ คันฉ่องส่องโลก คัดกรองและสรุปข่าวสำคัญจากทุกภูมิภาค
เพื่อให้ผู้อ่านเห็นโครงสร้างของโลกยุคปัจจุบันที่เชื่อมโยงระหว่างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม




1) เกาหลีใต้ย้ายสำนักงานประธานาธิบดีกลับสู่ ‘บลูเฮาส์’ แบบดั้งเดิม

SEOUL, South Korea – Dec 22, 2025 –
ประธานาธิบดีลีแจมยองประกาศย้ายสำนักงานประธานาธิบดีเกาหลีใต้กลับไปยังอาคารประวัติศาสตร์ ‘บลูเฮาส์’ หลังจากที่อดีตผู้นำได้ย้ายออกไปตั้งแต่ปี 2022 ด้วยเหตุผลด้านความเชื่อมั่นและแนวคิดใหม่ของการบริหารรัฐบาล Reuters

การย้ายกลับครั้งนี้มีทั้งมิติเชิงสัญลักษณ์และยุทธศาสตร์ เพราะ ‘บลูเฮาส์’ ไม่เพียงเป็นที่ทำการรัฐ แต่ยังถูกมองว่าเป็นตัวแทนของอำนาจบริหารที่เชื่อมโยงกับประชาชนและประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ Reuters

ในมุมภูมิรัฐศาสตร์ การตัดสินใจดังกล่าวอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความมั่นคงของเกาหลีใต้ในเวทีภูมิภาค โดยเฉพาะในความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น จีน และสหรัฐฯ ซึ่งล้วนเป็นผู้มีบทบาทต่อความมั่นคงของคาบสมุทรเกาหลี Reuters


2) ญี่ปุ่นเตรียมตอบโต้ความผันผวนของเงินเยน

TOKYO, Japan – Dec 22, 2025 –
เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านนโยบายเงินตราของญี่ปุ่นระบุว่ารัฐบาลจะดำเนิน “การดำเนินการที่เหมาะสม” เพื่อจัดการกับการเคลื่อนไหวที่เกินควรของเงินเยนในตลาดการเงินโลก โดยไม่ได้ระบุรายละเอียดเชิงนโยบายอย่างชัดเจน Reuters

คำกล่าวนี้มีนัยสำคัญในภาวะที่ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียต้องเผชิญแรงกดดันจากตลาดโลกและนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพค่าเงิน สภาพคล่อง และอัตราดอกเบี้ยในภูมิภาค Reuters

การเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นในฐานะเศรษฐกิจใหญ่อันดับสามของโลกจะต้องพิจารณาถึงผลกระทบทั้งภายในและต่อคู่ค้า เช่น ไทย ซึ่งการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนอาจสะท้อนการเคลื่อนย้ายเงินทุนและอุปสงค์สินค้าส่งออกในเอเชีย Reuters


3) เหตุรุนแรงชายแดนไทย–กัมพูชา: มิติความมั่นคงและมนุษยธรรม

SA KAEO Province, Thailand – Dec 22, 2025 –
สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียด โดยมีรายงานการปะทะขยายพื้นที่ รวมทั้งการปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่องในพื้นที่หนองรีและพื้นที่ใกล้เคียงระหว่างวันที่ 21-22 ธันวาคม Facebook

กองทัพเรือไทยได้เก็บรักษาร่างทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตจากการปะทะไว้เพื่อรอการติดต่อจากฝ่ายกัมพูชาให้รับไปจัดพิธีทางศาสนาและเกียรติยศตามหลักมนุษยธรรม ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงการลาดตระเวนเพื่อรักษาเสถียรภาพของพื้นที่ เดลินิวส์

เหตุการณ์นี้ย้ำให้เห็นถึงความท้าทายด้านความมั่นคงชายแดนของไทยในบริบทที่เชื่อมโยงกับภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน และสะท้อนความจำเป็นของการหาทางออกเชิงนโยบายผ่านเวทีพหุภาคีและภูมิภาคอย่าง ASEAN Facebook+1


4) เปิดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงในจีน กระตุ้นเชื่อมโยงภายในภูมิภาค

GUANGZHOU–ZHANJIANG, China – Dec 22, 2025 –
การเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกว่างโจว–จ้านเจียง ที่เดินทางด้วยความเร็วสูงสุดและเชื่อมพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญด้านใต้ของจีนเข้าด้วยกัน ถือเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มุ่งสร้างการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค CAR250

โครงการนี้ไม่เพียงเร่งการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ยังสะท้อนการเสริมศักยภาพของจีนในการแข่งขันด้านโครงสร้างพื้นฐาน ที่สามารถส่งผลต่อการค้า การเคลื่อนย้ายแรงงาน และการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ CAR250

ความเคลื่อนไหวเช่นนี้มีนัยต่อการแข่งขันด้านโครงสร้างพื้นฐานระหว่างจีนกับประเทศอื่น ๆ รวมทั้งโครงการต่างประเทศของจีน เช่น RCEP และเส้นทางสายไหมใหม่ ซึ่งอาจเปลี่ยนภูมิทัศน์การค้าในระยะยาว CAR250


5) ดาวตกสุดท้ายของปี 2025: เปล่งประกายในท้องฟ้าเหนือซีกโลกเหนือ

GLOBAL OBSERVATION – Dec 22, 2025 –
ฝนดาวตก Ursid ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์สุดท้ายของปี 2025 จะพีคในช่วงดึกถึงเช้าตรู่ของวันที่ 22 ธันวาคม โดยการสังเกตการณ์จากซีกโลกเหนือแนะนำให้ดูท้องฟ้าตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตี 5 เพื่อให้เห็นการพุ่งผ่านของชั้นอุกกาบาตที่เปล่งแสงในม่านดาวบนฉากหลังจักรวาล TIME

แม้จะไม่ใช่เหตุการณ์ทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ แต่ปรากฏการณ์ธรรมชาติดังกล่าวสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และสามารถกระตุ้นความสนใจทางวิทยาศาสตร์และการสำรวจจักรวาลในระดับสาธารณะ TIME


คำถามจากคันฉ่อง

เมื่อโลกประกอบกันด้วยเหตุการณ์ทั้งทางการเมือง ความมั่นคง โครงสร้างพื้นฐาน และธรรมชาติ
คำถามคือ เราจะเชื่อมเส้นเรื่องเหล่านี้อย่างไร
เพื่อให้เราไม่เพียง “รู้ข่าว” แต่สามารถ “เข้าใจทิศทางของโลก”?

สรุป “ไฟล์ Epstein” แบบเป็นระบบ: ใครถูกกล่าวถึง/ปรากฏชื่อบ้าง (อัปเดต ธ.ค. 2025

สรุป “ไฟล์ Epstein” แบบเป็นระบบ: ใครถูกกล่าวถึง/ปรากฏชื่อบ้าง (อัปเดต ธ.ค. 2025)
คันฉ่องส่องโลก — เอกสาร Epstein

สรุป “ไฟล์ Epstein” แบบเป็นระบบ: คนดังคนไหนถูกกล่าวถึง/ปรากฏชื่อบ้าง

Dateline: อัปเดตล่าสุด 22 ธันวาคม 2025 (อิงรายงานการปล่อยเอกสารของ DOJ และเอกสารศาลที่ถูกปลดผนึกในปี 2024)
Disclaimer สำคัญ (อ่านก่อนแชร์): การที่ “ชื่อปรากฏ/ถูกกล่าวถึง” ในเอกสาร Epstein ไม่เท่ากับ หลักฐานว่าบุคคลนั้นกระทำผิด เพราะเอกสารประเภทนี้อาจเป็นบันทึกติดต่อ/ภาพกิจกรรมสังคม/เอกสารคดีที่มีการเอ่ยชื่อโดยบุคคลอื่น ฯลฯ และการปล่อยเอกสารของรัฐยังต้อง “แก้ไข/ปิดบัง” เพื่อคุ้มครองเหยื่อ (redaction) ทำให้เนื้อหาอาจไม่ครบถ้วนในรอบแรก (ดูแหล่งอ้างอิงท้ายบทความ)

กรอบอ่านอย่างรับผิดชอบ: 4 ระดับ “การปรากฏชื่อ”

ระดับ 1 Mentioned/Referenced
ถูก “เอ่ยชื่อ” ในเอกสาร/คำให้การ/ข่าวสรุป โดยไม่ได้หมายถึงการกระทำผิด
ระดับ 2 Photo/Media Appearance
ปรากฏใน “ภาพ/ไฟล์สื่อ” ที่ปล่อยออกมา (ยังไม่ชี้ผิด)
ระดับ 3 Unsealed Court Docs
ชื่ออยู่ใน “เอกสารศาลที่ถูกปลดผนึก” (บริบทสำคัญ: บางรายถูกกล่าวถึงเพียงผ่าน ๆ)
ระดับ 4 Alleged/Accused in filings
เอกสาร/คำให้การมี “ข้อกล่าวหา” ต่อบุคคลนั้นโดยตรง (ยังเป็นข้อกล่าวหา จนกว่าจะมีคำตัดสิน)

A) รายชื่อที่ถูกระบุว่า “ถูกกล่าวถึง” ในเอกสารศาลที่ถูกปลดผนึก (รอบ ม.ค. 2024)

เอกสารชุดนี้มาจากเอกสารศาลในคดีแพ่งที่ศาลสั่ง “เปิดผนึก” ในปี 2024 โดยสื่อหลายแห่งย้ำว่า ไม่ใช่ “client list” ตามความเข้าใจแบบไวรัล และ “ส่วนใหญ่ถูกกล่าวถึงเพียงผ่าน ๆ” มากกว่าถูกกล่าวหาโดยตรง (ดูแหล่งอ้างอิง)

บุคคลสาธารณะ สถานะ/บทบาท ระดับการปรากฏ หมายเหตุเชิงบริบท (เพื่อกันการสรุปเกินหลักฐาน)
Prince Andrew ราชวงศ์อังกฤษ ระดับ 4 สื่อรายงานว่าเอกสารที่เปิดผนึกมี “ข้อกล่าวหา” เกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศต่อ Prince Andrew
Bill Clinton อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระดับ 3 ถูกกล่าวถึง/ปรากฏชื่อในเอกสารที่เปิดผนึก (การปรากฏชื่อไม่ใช่ข้อพิสูจน์ความผิด)
Donald Trump อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระดับ 3 ถูกกล่าวถึง/ปรากฏชื่อในเอกสารที่เปิดผนึกตามสรุปรายชื่อในแหล่งอ้างอิง (ต้องอ่านบริบทประกอบ)
Bill Richardson อดีตผู้ว่าการรัฐนิวเม็กซิโก ระดับ 3 ปรากฏชื่อในชุดเอกสารที่เปิดผนึกตามรายงานสรุป
Alan Dershowitz นักกฎหมาย ระดับ 3 ปรากฏชื่อในเอกสารที่เปิดผนึกตามรายงานสรุป (โปรดแยก “การเอ่ยชื่อ” ออกจาก “ข้อกล่าวหา/ข้อหา”)
Michael Jackson ศิลปิน/นักร้อง ระดับ 3 ปรากฏชื่อในรายงานสรุปเอกสารที่เปิดผนึก
Stephen Hawking นักฟิสิกส์ ระดับ 3 ปรากฏชื่อในรายงานสรุปเอกสารที่เปิดผนึก

B) รายชื่อที่ “สื่อรายงานว่าปรากฏในไฟล์ DOJ ที่ปล่อยตามกฎหมาย” (รอบ 19–21 ธ.ค. 2025)

DOJ ปล่อยเอกสารจำนวนมากตามกฎหมายที่กำหนดเส้นตาย 19 ธ.ค. 2025 แต่มีประเด็นการ “แก้ไข/ปิดบัง” เพื่อคุ้มครองเหยื่อ และมีไฟล์บางส่วนถูกนำออกไปตรวจ ก่อนนำกลับหลังยืนยันว่าไม่เปิดเผยเหยื่อ (ดูแหล่งอ้างอิง Reuters/Guardian/People/WSJ)

บุคคลสาธารณะ ประเภทการปรากฏ ระดับการปรากฏ ข้อสังเกตสำคัญจากรายงานข่าว
Donald Trump ภาพ/ไฟล์สื่อในฐานข้อมูล (มีการดึงออกไปตรวจ แล้วคืนกลับ) ระดับ 2 Reuters รายงานว่า DOJ “คืน” ภาพที่มี Trump หลังตรวจว่าไม่ปรากฏเหยื่อ และย้ำว่าการดึงออกไปตรวจเป็นเรื่องคุ้มครองเหยื่อ ไม่ใช่เกี่ยวกับ Trump
Bill Clinton สื่อรายงานว่ามีภาพ/การอ้างถึงในชุดที่ปล่อย ระดับ 1–2 People รายงานว่ามีการอ้างถึง/ภาพของบุคคลสาธารณะรวมถึง Clinton ในชุดไฟล์ที่ปล่อย
Kevin Spacey สื่อรายงานว่าถูกอ้างถึง/ปรากฏในชุดไฟล์ที่ปล่อย ระดับ 1 People รายงานว่าไฟล์ที่ปล่อยมีการอ้างถึง Spacey (การอ้างถึงไม่ใช่ข้อพิสูจน์ความผิด)
Michael Jackson สื่อรายงานว่าถูกอ้างถึง/ปรากฏในชุดไฟล์ที่ปล่อย ระดับ 1 People รายงานว่าชุดไฟล์ที่ปล่อยมีการอ้างถึง Michael Jackson
หมายเหตุ: รายชื่อในหมวด B นี้ตั้งใจใส่ “เฉพาะรายที่สื่อหลักระบุชัดในรายงานข่าวล่าสุด” เพื่อหลีกเลี่ยงการขยายรายชื่อจากแหล่งรองที่อาจปะปน “ข่าวลือ/การตีความเกินเอกสาร”

C) สิ่งที่ “ยังไม่ควรพูดแบบฟันธง” (กับคำว่า ‘client list’)

  • รายงานข่าวจำนวนมากชี้ว่าเอกสาร/การเปิดผนึก “ไม่ใช่” บัญชีรายชื่อลูกค้าแบบที่โลกออนไลน์ชอบเรียกกันว่า client list และการมีชื่อในเอกสารอาจเป็นเพียงการถูกเอ่ยถึง
  • การปล่อยเอกสารของ DOJ ในรอบ ธ.ค. 2025 มีประเด็นการปกป้องเหยื่อ (redactions) และมีไฟล์บางส่วนถูกดึงออกไปตรวจ/ปรับก่อนเผยแพร่ต่อ

เช็กลิสต์ก่อนแชร์: 5 คำถามกันการ “แชร์เพื่อประหาร”

  1. ชื่อคนดังนี้อยู่ในระดับไหน (1–4) และมีหลักฐาน “ในเอกสารศาล/ข่าวสรุปที่เชื่อถือได้” หรือไม่
  2. แหล่งข่าวพูดว่า “ถูกกล่าวหา” หรือแค่ “ถูกกล่าวถึง”
  3. เอกสารที่อ้างเป็น “ศาลเปิดผนึก” หรือเป็น “ฐานข้อมูลที่ยังถูก redaction”
  4. มีข้อความชี้การกระทำผิด หรือเป็นแค่หลักฐานการพบปะ/ภาพกิจกรรมสังคม
  5. ถ้าคุณเป็นคนที่ถูกเอ่ยชื่อโดยคนอื่น คุณอยากให้สังคมตัดสินคุณจาก “ชื่อโผล่” หรือจาก “หลักฐานและคำตัดสิน”

แหล่งอ้างอิง (เลือกเฉพาะแหล่งที่ใช้ยืนยัน “การปรากฏชื่อ/บริบทการปล่อยเอกสาร”)

  1. Reuters (21 Dec 2025): รายงาน DOJ คืนภาพที่มี Trump หลังตรวจว่าไม่เปิดเผยเหยื่อ — อ่าน
  2. The Guardian (21 Dec 2025): รายงานการดึงภาพออกไปตรวจและข้อถกเถียงเรื่องการปกป้องเหยื่อ/การ redaction — อ่าน
  3. People (19–21 Dec 2025): รายงานไฟล์บางส่วนหายไปชั่วคราวและระบุว่ามีการอ้างถึงบุคคลสาธารณะบางรายในชุดที่ปล่อย — อ่าน
  4. Wall Street Journal (Dec 2025): รายงานเจ้าหน้าที่ DOJ ระบุว่าดึงบางไฟล์ออกเพื่อ redaction คุ้มครองเหยื่อ และจะปล่อยเพิ่มหลังแก้ไข — อ่าน
  5. Al Jazeera (4 Jan 2024): สรุปรายชื่อ/บริบทเอกสารศาลที่ถูกเปิดผนึก และระบุว่ามีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับ Prince Andrew ขณะที่ Trump/Clinton ถูก “กล่าวถึง” — อ่าน
  6. Wikipedia (หน้ารวบรวมบริบท + อ้างอิงต่อ): รายชื่อบุคคลที่ถูกกล่าวถึงในเอกสารศาลที่เปิดผนึกปี 2024 และภาพรวมกำหนดเส้นตายการปล่อยเอกสารปี 2025 — อ่าน

หมายเหตุเชิงบรรณาธิการ: หากต้องการ “รายชื่อแบบยาวมาก” (เช่น เกิน 50–100 รายชื่อ) แนะนำให้ทำเป็น “ฐานข้อมูลพร้อมลิงก์เอกสารต้นทาง/เลขหน้าที่อ้าง” เพื่อป้องกันการหลุดบริบทและลดความเสี่ยงการหมิ่นประมาท

Saturday, December 20, 2025

ใครปล้นอำนาจคนไทย โดยคนไทยจำนวนมากไม่รู้ตัว โดย คันฉ่องส่องไทย ดร. เพียงดิน รักไทย



คันฉ่องส่องไทย:
ใครคือผู้ยึดอำนาจของปวงชนไปใช้
และทำไมระบบนี้ถึงอยู่มาได้นาน

อำนาจของประชาชนไม่ได้หายไปในคืนเดียว แต่มันถูกดึงออกไปทีละชิ้น ผ่านคน ผ่านองค์กร และผ่านความเงียบของสังคม

ถ้าจะเข้าใจการเมืองไทยจริง ๆ เราต้องกล้ามอง “ตัวละคร” ของระบอบ ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่เห็นปลายทาง

ระบอบนี้ไม่ได้อยู่ได้เพราะใครคนเดียว แต่มันอยู่ได้เพราะหลายฝ่ายทำหน้าที่ของตนอย่างพอดี

เริ่มจาก กองทัพ ซึ่งควรมีหน้าที่ป้องกันประเทศ แต่กลับกลายเป็นผู้ยึดอำนาจจากประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อการเมืองไม่เป็นไปตามที่ตนหรือเครือข่ายอำนาจต้องการ

การรัฐประหารไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นเครื่องมือรีเซ็ตอำนาจ เขียนกติกาใหม่ และกันคนที่ประชาชนเลือกออกจากระบบ

ถัดมาคือ องค์กรอิสระที่มีอำนาจเหนืออำนาจปวงชน ไม่ว่าจะเป็นวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากประชาชน ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอย่าง ป.ป.ช. และ ป.ป.ง.

องค์กรเหล่านี้ถูกออกแบบให้ “ตรวจสอบนักการเมือง” แต่ในทางปฏิบัติ กลับสามารถล้มรัฐบาล ยุบพรรค และตัดสิทธิ์ผู้แทนประชาชนได้ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนเลย

อำนาจที่ไม่ต้องถูกตรวจสอบ ย่อมไม่ใช่อำนาจของประชาชน

ในยามที่อำนาจนอกระบบต้องการความเด็ดขาด ศาลทหาร ก็ถูกนำมาใช้ เพื่อจัดการกับพลเรือน ทำให้การเรียกร้องสิทธิ ถูกตีความเป็นภัยความมั่นคง

ขณะเดียวกัน ระบบราชการ ซึ่งควรรับใช้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง กลับถูกฝึกให้ภักดีต่อ “ระบอบ” มากกว่าประชาชน ใครไม่อยู่ในแนว ก็ถูกดอง ถูกย้าย หรือถูกตัดเส้นทางเติบโต

นักการเมืองจำนวนไม่น้อย เรียนรู้ที่จะใช้ประชาชนเป็นบันได หาเสียงด้วยคำสัญญา แต่เมื่อเข้าสู่อำนาจ กลับยอมสยบให้กับกลไกเดิม เพื่อความอยู่รอดและผลประโยชน์ของตน

พรรคการเมืองจึงกลายเป็นแค่ฉากหน้า ขณะที่การตัดสินใจจริง เกิดในที่ที่ประชาชนเข้าไม่ถึง

นักการเมืองที่ “อยู่เป็น” คือฟันเฟืองที่ระบอบรักที่สุด

สื่อมวลชน ซึ่งควรทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจ จำนวนมากกลับเลือกความปลอดภัย หลีกเลี่ยงประเด็นโครงสร้าง หรือทำหน้าที่ผลิตซ้ำวาทกรรมของระบอบ

ข่าวที่ควรถาม กลับถูกทำให้เงียบ คำถามที่ควรถูกตั้ง กลับถูกตีตราว่าเป็นภัยต่อชาติ

ระบบการศึกษา ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือกล่อมเกลา สอนให้เชื่อฟังมากกว่าตั้งคำถาม สอนหน้าที่มากกว่าสิทธิ และทำให้ความไม่เป็นธรรม กลายเป็นเรื่อง “ปกติ”

แม้แต่ ศาสนาและกลไกทางสังคม ซึ่งควรเป็นที่พึ่งทางศีลธรรม ก็ถูกทำให้อ่อนแอ สยบยอม และหลีกเลี่ยงการวิพากษ์อำนาจ

เมื่อศีลธรรมไม่กล้าท้าทายอำนาจ อำนาจก็ไม่จำเป็นต้องมีศีลธรรม

ตัวละครทั้งหมดนี้ ไม่ได้สมคบกันทุกครั้ง แต่ทำงานสอดรับกันโดยผลประโยชน์ และโดยความกลัว

ผลลัพธ์คือ อำนาจไม่ใช่ของปวงชน และผลประโยชน์ของประเทศ จึงกระจุกอยู่กับคนชั้นสูง ที่รับใช้หรือเป็นส่วนหนึ่งของคณาธิปไตย

คันฉ่องส่องไทยไม่ได้เขียนเพื่อให้คนไทยสิ้นหวัง แต่เพื่อให้เห็นว่า การทวงอำนาจคืน ต้องเริ่มจากการรู้ว่าใครถือมันอยู่

คันฉ่องส่องไทย
เมื่อเราเห็นตัวละครครบ เราจะเข้าใจว่า การเปลี่ยนประเทศ ไม่ใช่เรื่องของฮีโร่ แต่คือการรื้อทั้งฉาก ทั้งบท และทั้งกติกา

คันฉ่องส่องไทย:
กระจกบานสุดท้าย — เมื่อระบอบอยู่ได้ เพราะเราเคยชิน

เราส่องกลไกระบอบมาแล้ว เห็นทหาร องค์กรอิสระ ศาล ราชการ สื่อ และการศึกษา แต่ถ้าหยุดแค่นั้น เรื่องจะไม่จบ เพราะระบอบใด ๆ จะยืนยาวไม่ได้ หากไม่มี “การยอมรับ” จากสังคม

ระบอบไม่ได้ชนะเพราะแข็งแรงอย่างเดียว แต่มันชนะเพราะเราเคยชินกับมัน

บทนี้ไม่ใช่การโทษประชาชน แต่คือการส่องดูว่า เราถูกฝึก ถูกปั้น และบางครั้งก็ร่วมมือกับระบบอย่างไร โดยไม่รู้ตัว

นิสัยทางการเมืองอย่างหนึ่งที่ฝังลึก คือ การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เราถูกสอนให้รักความสงบมากกว่าความยุติธรรม เมื่อมีใครตั้งคำถามกับอำนาจ สังคมมักขอให้ “เงียบไว้ก่อน” เพื่อไม่ให้วุ่นวาย

ความสงบเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้ปัญหาหาย แต่มันทำให้อำนาจไม่ต้องถูกตรวจสอบ

อีกความเชื่อหนึ่งคือ การเคารพอำนาจมากกว่าหลักการ เราแยกไม่ชัดระหว่างการเคารพบุคคล กับการตรวจสอบการใช้อำนาจ จนคำถามถูกตีความเป็นการล้ำเส้น

เมื่อการตั้งคำถามถูกทำให้ผิด ความไม่เป็นธรรมก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย

สันดานทางการเมืองที่ถูกฝึกอีกอย่างคือ การยอมรับ “ของเล็กน้อยวันนี้” แทนสิทธิระยะยาว นี่คือดินดีของการซื้อเสียง ไม่ใช่เพราะประชาชนโลภ แต่เพราะระบบทำให้การอยู่รอดระยะสั้นสำคัญกว่าอนาคต

เมื่อคนจนถูกทำให้จนอย่างถาวร การเลือกตั้งจึงกลายเป็นตลาด ไม่ใช่เวทีนโยบาย

เรายังถูกฝึกให้วางฐานะตัวเองเป็น ผู้อยู่ใต้ปกครอง มากกว่าเจ้าของประเทศ การเมืองถูกทำให้ดูไกลตัว ทั้งที่มันกำหนดค่าแรง โรงพยาบาล โรงเรียน และหนี้สินของเรา

เมื่อประชาชนไม่เห็นตัวเองเป็นเจ้าของอำนาจ อำนาจก็ถูกช่วงชิงไปได้ง่าย

ประชาธิปไตยไม่ได้ตายเพราะไม่มีเลือกตั้ง แต่มันตายเพราะคนไม่ใช้พลังของตนเอง

การมีส่วนร่วมที่ผิดรูปอีกแบบคือ การแตกแยกง่าย เราถูกปั่นให้ทะเลาะกันด้วยอัตลักษณ์ จนลืมถามคำถามร่วมว่า ใครได้ประโยชน์จากความขัดแยกนั้น

ขณะที่เราด่ากันเอง โครงสร้างอำนาจก็ไม่ต้องขยับ

เมื่อทหารยึดอำนาจ ระบอบใช้คำว่า “ความจำเป็น” และสังคมจำนวนไม่น้อยยอมรับ เพราะกลัวความวุ่นวายมากกว่ากลัวการปล้นอำนาจ

เมื่อคนดีจำนวนมากเลือกเงียบ ความอยุติธรรมจึงทำงานได้อย่างราบรื่น

ประเทศนี้ไม่ได้ขาดคนดี แต่ขาดคนดีที่ยืนข้างหลักการ

ทั้งหมดนี้ทำให้ผลลัพธ์ซ้ำเดิม คนรวยกระจุก คนจนกระจาย นักการเมืองชั่วอยู่ได้ ประชาธิปไตยถูกตัดแต่งให้สวย แต่ไร้ราก

คันฉ่องส่องไทยไม่ได้ต้องการให้เรารู้สึกผิด แต่ต้องการให้เรารู้ว่า พลังของประชาชนยังอยู่ เพียงถูกทำให้ลืมวิธีใช้

การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากฮีโร่ แต่เริ่มจากการเลิกยอมรับสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เลิกเงียบเมื่อควรถาม เลิกทะเลาะกันเองเมื่อควรมองโครงสร้างร่วม

เส้นชัยของประชาธิปไตย ไม่ใช่วันที่มีเลือกตั้ง แต่คือวันที่ประชาชนยืนในฐานะเจ้าของประเทศจริง ๆ

กระจกบานนี้เจ็บ แต่ถ้าไม่ส่อง เราจะเดินวนอยู่ที่เดิม หากส่องแล้ว เรายังมีทางเลือก

คันฉ่องส่องไทย
เส้นชัยไม่ได้อยู่ข้างหน้าอย่างเดียว แต่มันเริ่มจากการยืนให้ตรงกับศักดิ์ศรีของตนเอง

Friday, December 19, 2025

กรอบพิจารณาพรรคการเมืองก่อนเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้เราถูกหลอกซ้ำในระบอบเดิม

กรอบพิจารณาพรรคการเมืองก่อนเลือกตั้ง
เพื่อไม่ให้เราถูกหลอกซ้ำในระบอบเดิม

เขียนในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่ง ที่เชื่อว่า “การเลือกตั้ง” จะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อเรากล้าประเมินพรรคการเมืองด้วยคำถามเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ด้วยหน้าเดิม เงินเดิม หรือคำสัญญาเดิม

ประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาแค่ “รัฐบาลบริหารไม่เก่ง” แต่มีปัญหาเชิงโครงสร้างลึก ได้แก่ คณาธิปไตยซ้อนราชาธิปไตย, อำนาจรวมศูนย์, องค์กรอิสระที่ก้าวล่วงอธิปไตยประชาชน, การเมืองตระบัดสัตย์, คอร์รัปชัน, ความเหลื่อมล้ำ, เศรษฐกิจผูกขาด, และคุณภาพคนที่ถูกระบบการศึกษากดทับ

ถ้านักการเมืองหรือพรรคการเมืองใด ไม่กล้า หรือไม่สามารถแตะโครงสร้างเหล่านี้ได้ ต่อให้แจกนโยบายสวยหรูแค่ไหน ประเทศก็จะวนอยู่ที่เดิม

หลักคิดของกรอบประเมินนี้

กรอบนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานสำคัญข้อหนึ่ง:

นักการเมืองเก่า แก่ หรือมาจากตระกูลการเมือง มักเรียนรู้ที่จะ “อยู่กับระบอบ” และแสวงประโยชน์จากมัน มากกว่าที่จะเปลี่ยนมัน

ในโลกยุค AI ความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และการแข่งขันเชิงเทคโนโลยี ประเทศไทยต้องการผู้นำที่คิดเป็นระบบ กล้าปรับโครงสร้าง และไม่ติดหนี้บุญคุณเครือข่ายอำนาจเดิม

Rubrics การให้คะแนนพรรคการเมือง (0–10)

1) จุดยืนต่อโครงสร้างอำนาจ

พรรคมองเห็นปัญหาคณาธิปไตย อำนาจรวมศูนย์ และความไม่ชอบธรรมเชิงโครงสร้างหรือไม่ กล้าพูดตรงหรือเลี่ยงบาลี เสนอแก้ไขจริง หรือแค่บริหารให้ “เนียน”

2) ความเป็นอิสระจากเครือข่ายอำนาจเดิม

แกนนำพรรคและแหล่งทุน ผูกพันกับกลุ่มอำนาจเดิม บ้านใหญ่ หรือผลประโยชน์ผูกขาดมากน้อยเพียงใด พรรคนี้ “เป็นหนี้ใคร” หรือไม่

3) คุณภาพและที่มาของบุคลากร

ผู้นำพรรค ส.ส. และทีมบริหาร เติบโตจากความสามารถจริง หรือจากสายสัมพันธ์และมรดกการเมือง เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่หรือไม่

4) ความซื่อสัตย์ทางการเมือง

ประวัติการตระบัดสัตย์ การย้ายข้าง การสมยอมกับอำนาจนอกระบบ และการรับผิดชอบต่อคำพูดในอดีต

5) นโยบายแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

นโยบายแตะโครงสร้างจริงหรือไม่ เช่น การกระจายอำนาจ, ปฏิรูประบบยุติธรรม, ลดการผูกขาด, ปฏิรูประบบราชการ หรือแค่แจกเงินระยะสั้น

6) วิสัยทัศน์ต่อโลกยุคใหม่ (AI / ภูมิรัฐศาสตร์)

พรรคเข้าใจโลกยุค AI, เศรษฐกิจความรู้, การแข่งขันเทคโนโลยี, และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือยังคิดแบบโลกเก่า

7) ความกล้าหาญทางจริยธรรม

เมื่อเผชิญแรงกดดันจากอำนาจนอกระบบ พรรคมีแนวโน้มยืนหยัด หรือยอมถอยเพื่อ “อยู่เป็น”

8) ความสอดคล้องระหว่างคำพูดกับการกระทำ

สิ่งที่พรรคพูดตรงกับสิ่งที่เคยทำหรือไม่ มีประวัติทำตรงข้ามกับที่หาเสียงหรือเปล่า

9) การมองประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ

พรรคมองประชาชนเป็นแค่ฐานเสียง หรือเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เปิดให้ตรวจสอบหรือไม่

10) ศักยภาพในการ “เปลี่ยนโครงสร้าง” จริง

เมื่อประเมินทุกข้อรวมกัน พรรคนี้มีโอกาสมากน้อยเพียงใด ที่จะไม่ถูกกลืน และสามารถเขยื้อนโครงสร้างอำนาจไทยได้จริง

ตารางให้คะแนนเปรียบเทียบพรรคการเมือง
เกณฑ์ พรรค A
(0–10)
พรรค B
(0–10)
พรรค C
(0–10)
หมายเหตุ
1) โครงสร้างอำนาจ
2) อิสระจากอำนาจเดิม
3) บุคลากร
4) ความซื่อสัตย์
5) นโยบายเชิงโครงสร้าง
6) โลกยุค AI
7) จริยธรรมทางการเมือง
8) คำพูดกับการกระทำ
9) ประชาชนคือเจ้าของอำนาจ
10) ศักยภาพเปลี่ยนโครงสร้าง

หมายเหตุ: การให้คะแนนไม่มี “คำตอบถูก–ผิด” แต่มี “คำถามที่ต้องกล้าถาม” เพื่อไม่ให้การเลือกตั้งกลายเป็นเพียงพิธีกรรม ภายใต้ระบอบเดิมอีกครั้ง

อีลอน มัสก์ "ชี้โลกจะไร้คนจน" ประเทศไทยที่ไร้คนจน? นึกออกไหม? คันฉ่องส่องโลก โดย ดร. เพียงดิน รักไทย

คันฉ่องส่องโลก 20 ธันวาคม 2568 สมดุลอำนาจใหม่ โดย ดร. เพียงดิน รักไทย มหาวิทยาลัยประชาชน

ความรู้ใกล้ตัวที่ควรรู้ – ย่อยง่าย แต่ไม่ย่อยความจริง ตอน 6-10


ตอนที่ 6

อุ่นอาหารซ้ำบ่อย ๆ

ไม่ใช่แค่เสียรส แต่เสี่ยงเสียสุขภาพ

หลายบ้านทำอาหารไว้หลายมื้อแล้วอุ่นซ้ำ
สิ่งที่คนไม่ค่อยรู้คือ แบคทีเรียบางชนิดทนความร้อนได้ และอาจเพิ่มจำนวนหากเก็บไม่ถูกวิธี

อาหารบางประเภท เช่น ข้าว ผัด แกงกะทิ
หากอุ่น–ทิ้ง–อุ่นซ้ำหลายรอบ เสี่ยงอาหารเป็นพิษได้

หลักง่าย ๆ คือ

ทำพอทาน เก็บให้เย็นเร็ว อุ่นเท่าที่จะกิน


ตอนที่ 7

น้ำปลา พริกป่น เครื่องปรุง

เปิดทิ้งไว้นาน เสี่ยงเชื้อโดยไม่รู้ตัว

หลายคนคิดว่าเครื่องปรุง “เค็ม เผ็ด คงไม่บูด”
แต่ความจริงคือ ความชื้น อากาศ และมือคน คือแหล่งปนเปื้อนสำคัญ

พริกป่นที่เปิดทิ้งไว้นาน
อาจมีเชื้อราและสารพิษจากเชื้อรา (อะฟลาทอกซิน)
ซึ่งสะสมในร่างกายและทำร้ายตับ

เก็บเครื่องปรุงในภาชนะปิดสนิท
แห้ง สะอาด และไม่ใช้ช้อนเปียกตัก


ตอนที่ 8

น้ำแข็งใส ดูใส ไม่ได้แปลว่าสะอาด

น้ำแข็งหลายแห่งผลิตเพื่อ “แช่” ไม่ใช่เพื่อ “กิน”
หากกระบวนการไม่สะอาด อาจปนเปื้อนเชื้อโรคได้

น้ำแข็งที่ดูใส แต่อาจสัมผัสพื้น มือ หรือภาชนะสกปรก
ทำให้เกิดอาการท้องเสียโดยไม่รู้สาเหตุ

ข้อสังเกตง่าย ๆ คือ

  • น้ำแข็งควรมีรูตรงกลาง

  • ไม่มีกลิ่น

  • ร้านใช้ที่คีบ ไม่ใช้มือ


ตอนที่ 9

กาแฟแก้วละ 80 กับ 300

ต่างกันตรงไหนกันแน่

ราคาไม่ได้บอกคุณภาพเสมอ
กาแฟแพงขึ้นมักมาจากเมล็ด การคั่ว เครื่อง และบรรยากาศ

แต่สำหรับร่างกาย
สิ่งที่ควรดูจริง ๆ คือ น้ำตาล ครีม และไซรัป

กาแฟหวานมันบ่อย ๆ
เพิ่มความเสี่ยงเบาหวาน ไขมันพอกตับ และน้ำหนักเกิน

ดื่มกาแฟได้
แต่จำไว้ว่า

หวานน้อย = ภาระร่างกายน้อย


ตอนที่ 10

ของทอดซ้ำ น้ำมันดำ

ภัยเงียบที่อยู่ในจาน

น้ำมันที่ทอดซ้ำหลายครั้ง
จะเกิดสารก่อมะเร็งและอนุมูลอิสระจำนวนมาก

ของทอดกรอบ สีเข้ม กลิ่นแรง
อาจอร่อย แต่กำลังทำร้ายหลอดเลือดและหัวใจ

สังเกตง่าย ๆ คือ

  • น้ำมันสีคล้ำ

  • มีกลิ่นเหม็นหืน

  • ฟองมากผิดปกติ

ถ้าเห็นแบบนี้

หยุดกิน ดีกว่าเสียดายเงิน


สรุปปิดท้าย

ทุกเรื่องในชุดนี้
ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่เรื่องวิชาการ
แต่คือ เรื่องที่เราเจอทุกวันบนโต๊ะอาหาร

รู้ทันเล็กน้อยวันนี้
ดีกว่าเสียสุขภาพก้อนใหญ่ในวันหน้า







คันฉ่องส่องไทย | บทวิเคราะห์เชิงโครงสร้างที่รัฐบาลหลังการเลือกตั้งต้องดำเนินการ

คันฉ่องส่องไทย | โครงสร้างที่รัฐบาลใหม่ต้องเปลี่ยน หากชาติจะเดินหน้า อัตโนมัติ อ่านมือถือ อ่านเดสก์ท็อป ประเด...