ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Tuesday, November 11, 2025

แผ่นดินแห่งความจริงและความหวัง อนาคตประเทศไทยสดใสได้ถ้าเราช่วยกัน


แผ่นดินแห่งความจริงและความหวัง

แผ่นดินแห่งความจริงและความหวัง

โดย คันฉ่องส่องไทย · เครือข่าย มหาวิทยาลัยประชาชน · Education for Peace Foundation · 2025

สาระสำคัญ: สังคมไทยมีปัญหาและความเสื่อมถอยหลายด้าน แต่ยังมีฐานดีงามให้ต่อยอดได้ หากประชาชนมองโลกด้วยใจที่เป็นธรรม ใช้กาลามสูตรยับยั้งการด่วนตัดสิน ยึดมั่นหลักประชาธิปไตย และร่วมทำสิ่งเล็ก ๆ เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังใหญ่ ประเทศไทยยังมีความหวังได้จริง ไม่ใช่เพียงคำปลอบใจ

๑. มองความจริงโดยไม่สิ้นหวัง

เมื่อมองการเมืองไทยร่วมสมัย เราแทบเห็นแต่ข่าวลบ: การเมืองติดหล่ม, ทหารแทรกแซง, นักการเมืองพูดอย่างทำอีกอย่าง, ข้าราชการทุจริต, วัดวาเสื่อม, ระบบการศึกษาล้าหลัง, เจ้าสัวผูกขาด, และประชาชนที่เหนื่อยจนไม่อยากสนใจการเมืองอีกต่อไป ภาพทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวง — มันคือความจริงส่วนหนึ่งของสังคมไทย

แต่ความจริงอีกส่วนหนึ่งที่มักไม่ถูกพูดถึง คือ ประเทศนี้ยังไม่ถึงขั้นล่มสลาย เรายังมีคนดีจำนวนมากที่ทำงานเงียบ ๆ ยังมีระบบรูปแบบประชาธิปไตยที่ยังไม่ถูกทำลายหมด ยังมีสื่อ ยังมีศาล ยังมีการเลือกตั้ง และยังมีประชาชนที่ไม่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรม การมองเห็นทั้งสองด้านพร้อมกัน คือสภาวะของจิตที่เป็นธรรม

๒. กาลามสูตร: เครื่องมือของพลเมืองตื่นรู้

พุทธธรรมให้ของขวัญอันล้ำค่าแก่คนไทย คือกาลามสูตร — “อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเขาพูดกันมา อย่าเพิ่งเชื่อเพราะตำราว่า อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้ใหญ่สั่ง แต่ให้พิจารณาเองว่าดีจริงไหม ถูกต้องไหม ไม่เบียดเบียนใครไหม” นี่คือหลักเดียวกับประชาธิปไตยที่แท้: ให้ปัญญาประชาชนตัดสิน ไม่ใช่อำนาจบังคับ

ถ้าคนไทยใช้กาลามสูตรกับข่าวการเมือง เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของวาทกรรมสร้างศัตรู เราจะไม่ถูกลากให้เกลียดคนต่างฝ่ายแบบเบ็ดเสร็จ และเราจะไม่ถูกหลอกให้รับใช้กลุ่มผลประโยชน์ใด ๆ ในฐานะ “ทาสไพร่ยุคใหม่” ที่แค่เปลี่ยนเครื่องแบบเท่านั้น

๓. สิ่งดีงามที่ยังเป็นทุนอยู่

แม้สังคมไทยมีความเสื่อม แต่ “น้ำใจไทย” ยังมีให้เห็นในยามภัยพิบัติ ยามคนเดือดร้อน ยามมีคนป่วย ยามเพื่อนบ้านตกงาน — คนไทยยังยื่นมือช่วย แม้รัฐไม่ช่วย นี่คือทุนทางสังคมที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง

นักการเมืองเอง แม้จะอนุรักษ์นิยม หลอกลวง หรือรับใช้ระบอบ แต่ก็ยังต้องอาศัยเสียงประชาชน ต้องทำทีว่าอยู่ข้างประชาชน ต้องประกาศนโยบายที่จับต้องได้ นี่หมายความว่า “อำนาจเสียงประชาชนยังมีอยู่” เพียงแต่เรายังใช้มันไม่เต็มที่

เสรีภาพก็เช่นกัน แม้พูดถึงเจ้าไม่ได้เต็มปาก แต่เรายังพูดเรื่องปากท้อง ความเหลื่อมล้ำ คุณภาพการศึกษา การผูกขาด การเลือกตั้ง ได้มากกว่าหลายประเทศที่ปิดกั้นสิ้นเชิง ตรงนี้คือพื้นที่ให้เราขยายปัญญา

๔. กลไกประชาธิปไตยที่ยังไม่ตาย

หลายคนบอกว่า “ประชาธิปไตยไทยตายแล้ว” ซึ่งในเชิงสาระก็จริงอยู่มาก แต่ในเชิงโครงสร้าง เรายังมีโครงให้ต่อเติมได้ คือมีรัฐสภา มีการเลือกตั้ง มีพรรคการเมือง มีสื่อประชาชน มีศาล มีองค์กรอิสระ แม้หลายอย่างถูกยึด function ไป แต่การที่มันยังมี “รูปแบบ” อยู่ เท่ากับยังมีเสาให้ยึด เพื่อดึงกลับเข้าสู่หลักการได้ในวันหนึ่ง

ประเทศที่เผด็จการเบ็ดเสร็จจะไม่เหลือแม้แต่รูปแบบ แต่ไทยยังเหลือ นี่คือต้นทุนที่ไม่ควรมองข้าม

๕. ทำสิ่งเล็ก ๆ ให้ถูกต้อง เพื่อทำสิ่งใหญ่ร่วมกัน

ถ้าประชาชนรอแต่ “ผู้นำที่ดี” ประเทศก็จะเดินช้า เพราะผู้นำที่ดีต้องเกิดบนฐานประชาชนที่เข้มแข็ง ถ้าฐานยังไม่เข้ม ผู้นำก็จะอ่อนแรงและถูกกลืนในระบบ การเปลี่ยนแปลงจึงต้องเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ทุกคนทำได้: ไม่โกงในระดับตน ไม่ผลิตข่าวปลอม ไม่ด่าทอไร้เหตุผล ไม่ยอมให้ลูกหลานโตมาด้วยความคิดเลือกปฏิบัติ และร่วมกันปกป้องพื้นที่สาธารณะให้เป็นของทุกคน

“มดแดงล้มช้าง” ไม่ใช่คำเปรียบเทียบสวย ๆ แต่คือทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่แท้จริง — เมื่อสิ่งเล็ก ๆ จำนวนมากถาโถมไปในทิศเดียวกัน แม้โครงสร้างใหญ่ก็ต้องขยับ

๖. ความหวังที่ตั้งอยู่บนปัญญา ไม่ใช่การปลอบใจ

ความหวังแบบหลับตา มันอันตราย — เพราะจะถูกคนมีอำนาจใช้ปลอบให้เรานิ่ง แต่ความหวังแบบลืมตา คือการเห็นว่าประเทศนี้มีปัญหาเชิงโครงสร้าง มีการผูกขาดอำนาจ มีวาทกรรมราชาชาตินิยมค้ำยันความเหลื่อมล้ำ แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าประชาชนไทยมีศักยภาพ มีเมตตา และมีเครื่องมือบางอย่างอยู่แล้ว เราเพียงต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างมีสติและร่วมมือกัน

ประเทศไทยยังมีความหวัง — ไม่ใช่เพราะผู้ปกครองดีขึ้นทันที แต่เพราะประชาชนเริ่มตาสว่างมากขึ้น เห็นกลเกมมากขึ้น และเริ่มมองข้ามการแบ่งฝักฝ่ายที่ชนชั้นนำใช้แบ่งเรา

๗. ไม่ให้ใครใช้ความแตกแยกมาปกครองเราได้อีก

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเต็มไปด้วย “การปกครองด้วยความแตกแยก” (divide and rule) ทั้งระดับรัฐ–ประชาชน และระดับประชาชน–ประชาชน คนเสื้อสีต่าง ๆ ถูกทำให้เกลียดกันจนลืมว่าเราถูกเอาเปรียบจากโครงสร้างเดียวกัน บทเรียนนี้ควรจบได้แล้ว

ทางออกคือให้เราตั้งหลักร่วมกันที่ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ + ประชาธิปไตย + การไม่เบียดเบียน” ใครเสนออะไรที่ทำลายสามอย่างนี้ เราควรเห็นว่าเป็นกลยุทธ์ของอำนาจ ไม่ใช่เสียงจากสวรรค์

ถ้อยคำฝากถึงคนไทย:
อย่าปล่อยให้ความเสื่อมของคนบางกลุ่ม ทำให้เราสิ้นศรัทธาต่ออนาคตของชาติทั้งหมด อย่าปล่อยให้ความโกรธชั่วคราว ทำลายความร่วมมือระยะยาว และอย่าปล่อยให้ใครใช้ความรักชาติแบบผิด ๆ มาบังคับให้เรายอมเป็นไพร่

Monday, November 10, 2025

คนไทยควรเรียนรู้อะไร จาก หนังสือ Animal Farm ของ George Orwell

 หนังสือ Animal Farm ของ George Orwell เป็นผลงานคลาสสิกที่สะท้อนการเมืองและอำนาจอย่างลึกซึ้ง โดยใช้นิทานอุปมาวิพากษ์เผด็จการและทุจริต เขียนในสงครามโลกครั้งที่สอง แรงบันดาลใจจากปฏิวัติรัสเซีย 1917 และสตาลิน Orwell ใช้สัตว์แทนมนุษย์ แสดงความเปราะบางของอุดมการณ์และการต่อสู้เสรีภาพ เขาต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ ผลงานยังเกี่ยวข้องกับโลกสมัยใหม่ที่มีโฆษณาชวนเชื่อและบิดเบือนความจริง 



เนื้อเรื่องหลักสัตว์ในฟาร์มถูกกดขี่จากมนุษย์เจ้าของ ซึ่งสัญลักษณ์ชนชั้นเอารัดเอาเปรียบ นำโดยหมู Old Major เสนออุดมการณ์เท่าเทียม ลุกปฏิวัติโค่นมนุษย์ สร้างสังคมปกครองโดยสัตว์ ตั้ง Seven Commandments เช่น "All animals are equal" ห้ามเลียนแบบมนุษย์ แต่หลังปฏิวัติสำเร็จ หมู Napoleon ยึดอำนาจ บิดเบือนกฎเพื่อประโยชน์ตน ใช้เล่ห์กล โฆษณาชวนเชื่อ ความรุนแรงควบคุม ทำให้ฟาร์มกลายเป็นการกดขี่ไม่เท่าเทียมยิ่งกว่าเดิม 


สิ่งสำคัญ: ความหวังและอุดมการณ์ถูกบิดเบือนโดยอำนาจง่ายดาย หมูใช้คำสวยหรูปกปิด เช่น แก้กฎเป็น "All animals are equal, but some animals are more equal than others" เสียดสีความเหลื่อมล้ำ เน้นสัตว์อื่นถูกหลอกไม่ตั้งคำถาม ทำให้เผด็จการยั่งยืน สะท้อนประวัติศาสตร์โซเวียต และผู้นำปัจจุบันใช้สื่อรักษาอำนาจ 


ในสังคมไทย: เห็นคล้ายคลึง ระวังคำสวยหรูปกปิดความจริง ไทยมีประวัติรัฐประหาร เปลี่ยนรัฐบาล ต่อสู้ประชาธิปไตย วาทกรรมเช่น "ปฏิรูป" "ความมั่นคง" "เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์" บางครั้ง оправдатьอำนาจไม่ชอบธรรม ปกปิดผลประโยชน์ ผู้มีอำนาจใช้สื่อ โซเชียล กฎหมายควบคุมความเห็น ทำให้ประชาชนถูกหลอกเหมือนสัตว์เชื่อคำสัญญาหมู ถ้าไม่ระวัง สังคมหวังประชาธิปไตยแท้ กลายเอื้อกลุ่มเล็ก การอ่าน Animal Farm เตือนคนไทยตื่นตัวตรวจสอบข้อมูล ไม่ยอมรับคำสวยโดยไม่ไตร่ตรอง 


การศึกษาเรื่องนี้: ช่วยเห็นความสำคัญตรวจสอบอำนาจและมีส่วนร่วมการเมืองชัดเจน สอนว่าปฏิวัติไม่ใช่จุดจบ แต่เริ่มต้นต้องเฝ้าระวัง ประชาชนต้องตรวจสอบผู้นำผ่านเลือกตั้ง ประท้วงสันติ สิทธิแสดงความเห็น เน้นการศึกษาเป็นเครื่องมือต้านโฆษณาชวนเชื่อ เพราะสัตว์ถูกหลอกมักขาดการศึกษา คิดวิเคราะห์ ในไทย ส่งเสริมอ่านวรรณกรรมวิพากษ์อย่าง Animal Farm ในโรงเรียนชุมชน ช่วยสร้างพลเมืองตื่นตัว มีส่วนร่วม สังคมมีภูมิคุ้มกันทุจริต ใช้อำนาจมิชอบ 


ส่งท้ายอย่าลืมเสรีภาพไม่ได้มาง่าย ต้องปกป้องรักษาต่อเนื่อง ไม่ใช่ของขวัญครั้งเดียว แต่กระบวนการต่อสู้เฝ้าระวัง ถ้าปล่อย ผู้มีอำนาจยึดทีละน้อย เหมือนฟาร์ม Orwell เราทุกคนมีหน้าที่รักษา เพื่อลูกหลานอยู่ในสังคมเท่าเทียมยุติธรรมแท้จริง 



ภพ–ภูมิ ตามหลักพุทธวจนะ: ภพไหนเห็นภพไหนได้อย่างไร? เทวดาช่วยมนุษย์ได้ไหม?

ภพ–ภูมิ ตามหลักพุทธวจนะ: ภพไหนเห็นภพไหนได้อย่างไร? เทวดาช่วยมนุษย์ได้ไหม?

เผยแพร่โดย “คันฉ่องส่องธรรม” • เหมาะสำหรับผู้อ่านทั่วไปและนักศึกษาพระไตรปิฎก

คำสอนเรื่อง “ภพ” และ “ภูมิ” ในพุทธศาสนาตามพุทธวจนะจริง ๆ นั้น ลึกกว่าความเชื่อพื้นบ้านมาก แก่นสำคัญคือ ภพไม่ได้เป็นแค่สถานที่ลอยๆ แต่คือ ภาวะที่จิตและขันธ์ไปอาศัยเกิด เมื่อจิตหยาบก็ไปอยู่ภพหยาบ เมื่อจิตละเอียดก็อยู่ภพละเอียดกว่า ดังนั้นคำถามว่า “ภพไหนเห็นภพไหนได้?” หรือ “เทวดาช่วยมนุษย์ได้ไหม?” จึงตอบได้ด้วยการมองผ่านระดับความละเอียดของจิต และเงื่อนไขของกรรม

๑. ภพกับภูมิในพุทธวจนะ

“ภพ” (bhava) คือความเกิดขึ้นของขันธ์ตามภวตัณหา ส่วน “ภูมิ” คือฐานะที่สัตว์ไปเกิดตามกรรม รวมกันจึงเป็นภาพของ “โลกหลายชั้น” ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ซึ่งโดยย่อแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่:

  • กามภูมิ – มนุษย์ เทวดาชั้นต่ำ เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน นรก
  • รูปภูมิ – พรหมผู้ละกามได้แต่ยังมีรูป
  • อรูปภูมิ – พรหมผู้ละทั้งกามและรูป เหลือแต่จิตละเอียด

จะเห็นว่าแกนของมันคือ จิตละเอียด–หยาบ ไม่ใช่แผนที่ภูมิศาสตร์

๒. หลักการใหญ่: ผู้ละเอียดกว่าเห็นผู้หยาบกว่า

พระสูตรหลายแห่ง โดยเฉพาะหมวดเทวดา แสดงหลักง่าย ๆ ว่า ผู้ที่มีจิตละเอียดกว่าย่อมเห็นภพที่หยาบกว่าได้ แต่ผู้ที่จิตหยาบกว่าจะไม่อาจเห็นภพที่ละเอียดกว่า เพราะอายตนะ (ช่องรับรู้) ไม่พอจะรองรับความละเอียดนั้น

สรุปให้เห็นภาพ:

  • เทวดา (โดยเฉพาะกามเทวโลก) มองเห็นและใส่ใจโลกมนุษย์ได้ เพราะมนุษย์อยู่ชั้นหยาบกว่า
  • มนุษย์ปกติ ไม่เห็นเทวดา เพราะจิตหยาบและอายตนะไม่ละเอียดพอ
  • ผู้ได้ฌาน/ญาณ เช่นมีทิพพจักขุ ทิพพโสต เจโตปริยญาณ สามารถข้ามข้อจำกัดนี้ชั่วคราวและรับรู้ภพอื่นได้
  • พรหม ยิ่งละเอียดขึ้นไป ก็ยิ่งเห็นกามภูมิได้ง่าย

๓. เทวดาเห็นและช่วยมนุษย์ได้หรือไม่?

ตามพุทธวจนะ คำตอบคือ “ได้ แต่ไม่เหนือกรรม”

อธิบายเป็นข้อ ๆ:

  1. เทวดาเป็นสัตว์ในกามภูมิที่จิตละเอียดกว่าเรา จึง “เล็งเห็น” มนุษย์ได้ และในหลายสูตรก็เล่าว่าเทวดา มาฟังธรรม มาทูลถาม หรือมาสรรเสริญผู้ประพฤติดีในโลกมนุษย์ แสดงว่าการ “สื่อถึงกัน” มีอยู่จริง
  2. อย่างไรก็ดี พระพุทธองค์ตรัสชัดว่า “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน” เทวดาไม่สามารถลบผลกรรมที่สุกงอมแล้ว หรือให้ผลใหญ่แทนกรรมของเราได้
  3. สิ่งที่เทวดาช่วยได้คือ ช่วยในส่วนที่ยังเป็นปัจจัยได้ เช่น บันดาลให้เจอครูดี ป้องกันอันตรายบางอย่าง ดลใจให้คิดธรรมะ ทำให้การทำบุญราบรื่น หรือให้กำลังใจ ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขว่า “มนุษย์ตนนั้นมีบุญหรือกรรมสัมพันธ์กับเทวดานั้นอยู่ก่อน”
  4. เพราะฉะนั้น การอ้อนวอนแบบข้ามกรรมจึงไม่ตรงกับพุทธวจนะ แต่การสร้างเหตุให้เทวดาอนุเคราะห์ เช่น ทำบุญ อุทิศส่วนกุศล รักษาศีล ตั้งจิตดี – แบบนี้สอดคล้องกับหลักกรรม

๔. ช่องทางการรับรู้ข้ามภพในเชิงจิต

พระพุทธเจ้าทรงแสดง “ทิพพจักขุ – ทิพพโสต – เจโตปริยญาณ – อิทธิปาฏิหาริย์” ไว้ นี่คือชุดความสามารถของจิตที่ทำให้ภพอื่น “ปรากฏ” ได้ ดังนั้นภพอื่นไม่ได้ไกล แต่จิตเรายังไม่ละเอียดพอจะให้มันปรากฏ

๕. สรุปแบบตาราง

ผู้รับรู้ มองเห็นภพใดได้ เงื่อนไข
มนุษย์ทั่วไป โลกมนุษย์เท่านั้น ยกเว้นมีฌาน/ญาณพิเศษ
เทวดาชั้นจาตุมฯ–ดาวดึงส์ มนุษย์ + เทวดาชั้นเดียวกันหรือต่ำกว่า จิตละเอียดกว่ามนุษย์
พรหม กามภูมิและรูปภูมิ ไม่ข้องในกาม จิตสูง
พระอรหันต์/พระพุทธเจ้า ทั่วสังสารวัฏ เพราะความสิ้นอวิชชา

๖. หลักที่ควรจำ

“โลกทั้งสามนี้มีจิตเป็นใหญ่ มีจิตเป็นประธาน ผู้ใดฝึกจิตดีแล้ว โลกอื่นย่อมปรากฏแก่ผู้นั้น”

ประโยคนี้แสดงหัวใจของเรื่องภพ–ภูมิ: ไม่ใช่เดินทางไปหาโลกอื่น แต่ทำจิตให้ละเอียดจนโลกอื่นปรากฏ และเมื่อมองอย่างนี้ เราจะวางใจต่อ “เทวดาช่วยได้ไหม?” อย่างพอดี คือเห็นคุณค่า แต่ไม่หวังพึ่งแทนกรรมของเรา

เรียบเรียงเพื่อการเผยแพร่ธรรม อนุญาตให้คัดลอกได้พร้อมอ้างที่มา

Sunday, November 9, 2025

เตือนสติ: การรับเงินซื้อเสียง – เงินเล็กน้อยที่แลกกับอนาคตที่พังพินาศ


พี่น้องที่รัก เราทุกคนต่างปรารถนาสังคมที่ยุติธรรม เศรษฐกิจที่มั่นคง และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสำหรับตัวเรา ลูกหลาน และประเทศชาติ แต่ในช่วงเวลาของการเลือกตั้ง เรามักเจอกับการยื่นมือเข้ามา "ช่วยเหลือ" ในรูปแบบเงินสดหรือของแจกเล็ก ๆ น้อย ๆ จากนักการเมืองหรือผู้สมัครบางคน ซึ่งก็คือ "การซื้อเสียง" ที่หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องปกติหรือแค่ "เงินฟรี" ที่ไม่เสียหายอะไร 

แต่ความจริงแล้ว มันคือกับดักที่ทำลายอนาคตของเราอย่างรุนแรง ลองคิดตามผมดูสิครับว่าทำไมเงินเพียง 500-1,000 บาทต่อเสียง ถึงกลายเป็นหายนะใหญ่หลวงได้อย่างไร

1. นักการเมืองที่ได้มาจากการซื้อเสียง คือคนที่ไม่จริงใจกับประชาชน
  • เมื่อนักการเมืองใช้เงินซื้อคะแนนเสียง แทนที่จะแข่งขันด้วยนโยบายที่แท้จริง พวกเขาจะไม่รู้สึกผูกพันกับประชาชน พอได้รับเลือกตั้งเข้ามา ก็จะมุ่งเน้นแต่การคืนทุนจากการลงทุนซื้อเสียงนั้น โดยการคอร์รัปชั่น หาประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดิน เช่น การฮั้วประมูลโครงการรัฐ การรับสินบนจากธุรกิจใหญ่ หรือแม้แต่การขายสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติให้ต่างชาติ ผลคือ เงินภาษีของเราที่ควรนำไปพัฒนาโรงเรียน โรงพยาบาล ถนนหนทาง กลับรั่วไหลไปเข้ากระเป๋านักการเมืองและพวกพ้อง ทำให้ประเทศชาติติดหล่มความยากจนและความเหลื่อมล้ำต่อไป
  • ตัวอย่างจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย: ในอดีต เรามีกรณีนักการเมืองหลายคนที่ถูกจับได้ว่าทุจริตงบประมาณ เช่น โครงการรับจำนำข้าวที่ทำให้รัฐสูญเสียเงินหลายแสนล้านบาท หรือโครงการก่อสร้างที่ล่าช้าและ予算บานปลายเพราะการแบ่งเปอร์เซ็นต์ สุดท้าย คนที่เดือดร้อนคือชาวบ้านอย่างเรา ที่ต้องจ่ายภาษีแพงขึ้นแต่ชีวิตไม่ดีขึ้น
2. ทำลายระบบประชาธิปไตย ทำให้ประเทศถอยหลัง
  • การซื้อเสียงทำให้การเลือกตั้งไม่สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน แต่กลายเป็นการแข่งขันด้วยเงินทุน ใครมีเงินมากกว่าก็ชนะ ส่งผลให้คนดี คนมีความสามารถแต่ไม่มีเงินทุนมหาศาล ถูกกีดกันออกไปจากเวทีการเมือง เราจึงได้รัฐบาลที่อ่อนแอ ขาดวิสัยทัศน์ และไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ได้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจถดถอย การว่างงานของเยาวชน หรือวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างฝุ่น PM2.5 และน้ำท่วมซ้ำซาก
  • ลองคิดดู: ถ้าทุกคนรับเงินซื้อเสียง ประเทศเราจะกลายเป็น "ประชาธิปไตยปลอม" ที่คล้ายกับบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เคยล้มเหลวเพราะคอร์รัปชั่น จนประชาชนต้องออกมาประท้วงและเปลี่ยนรัฐบาลซ้ำซาก สุดท้าย เศรษฐกิจพัง เงินเฟ้อสูง ค่าครองชีพแพง และลูกหลานเราต้องหนีไปทำงานต่างประเทศเพราะไม่มีโอกาสในบ้านเกิด
3. ผลกระทบตรงต่อชีวิตคุณและครอบครัว
  • เงินเล็กน้อยที่รับมา อาจพอซื้อข้าวกินได้ไม่กี่มื้อ แต่แลกกับอนาคตที่มืดมน เช่น ลูกของคุณอาจไม่ได้เรียนในโรงเรียนดี ๆ เพราะงบการศึกษาถูกโกงไป หรือคุณอาจต้องรอคิวยาวนานในโรงพยาบาลรัฐเพราะอุปกรณ์ไม่พอ การซื้อเสียงยังนำไปสู่สังคมที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมและยาเสพติด เพราะนักการเมืองที่ไม่จริงใจมักปล่อยปละละเลยปัญหาเหล่านี้เพื่อเอาใจกลุ่มทุนผิดกฎหมาย
  • นึกถึงตัวอย่างใกล้ตัว: ในบางจังหวัดที่การซื้อเสียงแพร่หลาย ชาวบ้านยังคงยากจนเหมือนเดิม แม้จะได้รับเงินเลือกตั้งทุกครั้ง เพราะนักการเมืองไม่ได้พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นจริง ๆ แต่กลับทำให้หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากนโยบายประชานิยมที่ไม่ยั่งยืน สุดท้าย คุณและครอบครัวต้องแบกรับภาระหนี้ประเทศที่พุ่งสูงขึ้น
4. ทางออก: เลือกด้วยหัวใจและเหตุผล ไม่ใช่เงิน
  • การปฏิเสธเงินซื้อเสียงคือการปกป้องอนาคตของชาติ คุณสามารถรายงานการซื้อเสียงได้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผ่านสายด่วน 1171 หรือแอปพลิเคชัน "ตาสับปะรด" โดยไม่ต้องกลัว เพราะกฎหมายคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส ลองคิดดูสิครับ ถ้าทุกคนเลือกนักการเมืองจากนโยบายที่ชัดเจน เช่น การแก้ปัญหาค่าครองชีพ การพัฒนาการศึกษา หรือการต่อต้านคอร์รัปชั่น เราจะได้รัฐบาลที่ทำงานเพื่อประชาชนจริง ๆ ทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าเทียบเท่านานาชาติ
  • จำไว้ว่า: เงิน 500 บาทอาจหายไปในพริบตา แต่การตัดสินใจผิดพลาดในการเลือกตั้ง จะหลอกหลอนเรานานหลายปี อย่าให้เงินเล็กน้อยทำลายความฝันของชาติเราเลยครับ
ถ้าทุกคนช่วยกันปฏิเสธการซื้อเสียง แล้วเลือกนักการเมืองที่ไม่ซื้อเสียงและมีนโยบายที่น่าเชื่อถือ เราจะสร้างประเทศไทยที่สดใสสำหรับรุ่นลูกรุ่นหลานได้

Saturday, November 8, 2025

“คนไทย” กับการประดิษฐ์ชาติ: การทับซ้อนของอัตลักษณ์กับอำนาจ (บทความก้อม วิชาการชาวบ้าน)

“คนไทย” กับการประดิษฐ์ชาติ: การทับซ้อนของอัตลักษณ์กับอำนาจ

“คนไทย” กับการประดิษฐ์ชาติ: การทับซ้อนของอัตลักษณ์กับอำนาจ

โดย คันฉ่องส่องไทย · เผยแพร่บนเว็บไซต์ส่วนตัว · 2025

บทคัดย่อ (Abstract)

บทความนี้ตั้งคำถามต่อแนวคิด “คนไทย” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นอัตลักษณ์ดั้งเดิมของประชาชนในประเทศไทย ทั้งที่ในความเป็นจริง “ความเป็นไทย” เป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐศูนย์กลางเพื่อรวมอำนาจและสร้างเอกภาพทางการเมืองในช่วงศตวรรษที่ 19–20 การวิเคราะห์นี้อาศัยกรอบแนวคิด Imagined Communities ของ Benedict Anderson และแนววิเคราะห์เชิงหลังอาณานิคม (postcolonial analysis) เพื่อชี้ให้เห็นว่า “ชาติไทย” เป็นสิ่งที่ถูกจินตนาการขึ้นมาโดยชนชั้นนำและได้รับการสืบทอดผ่านระบบการศึกษา ศาสนา และวาทกรรม “รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์” การเข้าใจรากทางการเมืองของ “ความเป็นไทย” จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อยตนเองจากอำนาจที่ปิดกั้นความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม

1. การสร้างชาติและการกำเนิด “คนไทย”

แนวคิด “คนไทย” มิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หากถูกผลิตขึ้นในช่วงการปฏิรูปรัฐสมัยรัชกาลที่ 5 ภายใต้แรงกดดันของจักรวรรดินิยมตะวันตก สยามในขณะนั้นต้องรวบรวมดินแดนหลากหลายเชื้อชาติ—ล้านนา ลาว มลายู เขมร มอญ จีน ฯลฯ—เข้ามาอยู่ภายใต้รัฐเดียว เพื่อสร้าง “เอกภาพแห่งอาณาจักร” และป้องกันการตกเป็นอาณานิคม

รัฐศูนย์กลางจึงใช้เครื่องมือทางสถาบัน เช่น ระบบราชการ การศึกษา และกฎหมาย เพื่อกลืนให้ทุกท้องถิ่น “กลายเป็นไทย” ภาษาไทยกลางถูกยกให้เป็นภาษาของชาติ ศิลปวัฒนธรรมและความเชื่อของท้องถิ่นถูกลดชั้นให้เป็นเพียง “ของพื้นบ้าน” ขณะที่พิธีกรรมและศิลปะจากราชสำนักถูกยกให้เป็น “ไทยแท้”

2. “ความเป็นไทย” ในฐานะกลไกควบคุม

โครงการสร้าง “ชาติไทย” ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงสร้างเอกภาพทางวัฒนธรรม แต่ยังเป็นการสร้าง “ความชอบธรรมทางการเมือง” ให้แก่ชนชั้นปกครอง การผูกคำว่า “ชาติ–ศาสนา–พระมหากษัตริย์” เข้าด้วยกันทำให้การตั้งคำถามต่อสถาบันหรือรัฐกลายเป็น “การทรยศต่อชาติ”

การอ้าง “ความเป็นไทย” จึงไม่ใช่เรื่องอัตลักษณ์ล้วน ๆ แต่เป็นการวางโครงควบคุมความคิด เพื่อให้ประชาชนยอมรับอำนาจที่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์

ระบบการศึกษาถูกออกแบบให้ประชาชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในแบบราชาชาตินิยม เช่น สยามเป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรมและความดีงาม ขณะที่เพื่อนบ้านถูกมองเป็น “ผู้รุกราน” หรือ “ผู้ด้อยกว่า” ส่งผลให้เกิดความเข้าใจแบบแคบและปิดกั้นการมองเห็นรากเหง้าร่วมของภูมิภาค

3. การกลืนและการทำให้ลืม

เมื่อ “ความเป็นไทย” ถูกทำให้เป็นมาตรฐานกลาง อัตลักษณ์อื่น ๆ ถูกทำให้หายไปอย่างเป็นระบบ วัฒนธรรมล้านนาและอีสานถูกมองว่า “ไม่สุภาพ” หรือ “ไม่ถูกหลักภาษาไทยกลาง” ประวัติศาสตร์ของรัฐปัตตานีและหัวเมืองมลายูถูกตัดออกจากแบบเรียน ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่รู้ว่าพื้นที่เหล่านั้นเคยมีรัฐและระเบียบสังคมของตนเองก่อนการรวมศูนย์

การกลืนเช่นนี้มิใช่เพียงเรื่องภาษา หากเป็นการทำลายหน่วยความจำทางวัฒนธรรม (cultural memory) เพื่อให้ทุกคนมองตนเองผ่านกรอบเดียว—คือ “ไทย” ในความหมายของรัฐ

4. ชาติ: ชุมชนจินตกรรมและการครอบงำทางความคิด

ตามแนวคิดของ Benedict Anderson ชาติคือ “ชุมชนจินตกรรม” ที่ประชาชนเชื่อว่ามีความเป็นหนึ่งเดียว ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันจริง “ความเป็นไทย” ก็เช่นเดียวกัน — เป็นผลจากการจินตนาการร่วมผ่านสื่อ พิธีกรรม เพลงชาติ และคำสอนทางศาสนา

แต่ในบริบทไทย ชุมชนจินตกรรมนี้มักเป็น “ชุมชนภายใต้การบังคับให้จินตนาการ” (enforced imagination) เพราะรัฐเป็นผู้กำหนดว่าจะจินตนาการชาติอย่างไร ใครเป็นคนดีของชาติ และใครเป็นภัยต่อชาติ

5. รักชาติด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยความกลัว

การรักชาติอย่างแท้จริงจึงไม่ใช่การยอมรับทุกสิ่งที่รัฐนิยาม แต่คือการรักบนฐานของความจริงและความยุติธรรม การรักชาติที่ไม่ยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมคือการทำลายชาติจากภายใน การฟื้นฟู “ความเป็นไทย” จึงต้องเริ่มจากการคืนพื้นที่ให้เสียงของทุกกลุ่มชาติพันธุ์และความคิดที่แตกต่าง

6. บทสรุป: ความเป็นไทยในอนาคต

หากเรายอมรับว่าชาติเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น เราก็สามารถ “สร้างใหม่” ได้เสมอ — สร้างชาติที่เคารพความหลากหลาย ไม่กีดกันความแตกต่าง ไม่ยัดเยียดให้ทุกคนต้องเป็น “ไทยแบบเดียวกัน” นั่นต่างหากคือ “ความเป็นไทย” ที่มีศักดิ์ศรีของมนุษย์และสอดคล้องกับยุคประชาธิปไตย

บรรณานุกรมเบื้องต้น

  • Anderson, Benedict. Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread of Nationalism. Verso, 1983.
  • Winichakul, Thongchai. Siam Mapped: A History of the Geo-Body of a Nation. University of Hawaii Press, 1994.
  • Keyes, Charles. Thailand: Buddhist Kingdom as Modern Nation-State. Westview Press, 1987.
  • Reynolds, Craig J. National Identity and Its Defenders: Thailand, 1939–1989. Silkworm Books, 1991.
  • ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. การเมืองไทยสมัยรัชกาลที่ 5. สำนักพิมพ์มติชน, 2545.
  • ณัฐพล ใจจริง. ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี. ฟ้าเดียวกัน, 2563.

© 2025 เผยแพร่เพื่อการศึกษาและการตั้งคำถามเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับรัฐไทย

ขอบคุณภาพจากมติชนรายสัปดาห์



สำหรับคอวิชาการที่อยากอ่านสาระเพิ่ม “คนไทย”: การประดิษฐ์ชาติและการปกครองด้วยอัตลักษณ์

“คนไทย”: การประดิษฐ์ชาติและการปกครองด้วยอัตลักษณ์

โดย คันฉ่องส่องไทย (Kanchong Songthai) · ในนามเครือข่ายความรู้ของ มหาวิทยาลัยประชาชน (People’s University) และ Education for Peace Foundation · เผยแพร่ครั้งแรก: 2025

Abstract

This article critically examines the category “khon Thai” (“Thai people”) as a historically constructed identity rather than an ahistorical and primordial essence. Building on Anderson’s concept of imagined communities, Hobsbawm’s notion of invented traditions, and Thongchai Winichakul’s analysis of the geo-body of Siam, the article argues that “Thainess” emerged as part of the late 19th–early 20th century state-making project, aimed at centralizing power, defending territorial integrity against colonial pressures, and disciplining diverse cultural groups into a single national subject. The paper further contends that the Thai state has deployed identity as a political technology — through education, royal-nationalist historiography, language standardization, and moral–religious discourses — to delimit legitimate political speech and to render alternative historical memories invisible. The conclusion proposes a pluralistic and civic-oriented understanding of “Thainess” that acknowledges multiple historical polities and cultural lineages within present-day Thailand.

Keywords: Thainess; nation-building; imagined community; geo-body; identity and power; postcolonial Thailand

1. บทนำ

ความคิดเรื่อง “คนไทย” เป็นหนึ่งในวาทกรรมที่ทรงอิทธิพลที่สุดต่อการจัดระเบียบความรับรู้ของสังคมไทยยุคใหม่ ทว่าความคิดนี้กลับถูกใช้อย่างกว้างขวางราวกับเป็นข้อเท็จจริงทางธรรมชาติ ไม่มีการตั้งคำถามว่าอัตลักษณ์ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเมื่อใด ใครเป็นผู้มีอำนาจนิยาม และเหตุใดจึงมีอำนาจครอบงำเหนืออัตลักษณ์ย่อยอื่น ๆ อาทิ คนลาว คนล้านนา คนปัตตานี-มลายู หรือชุมชนจีนสยาม บทความนี้มีจุดมุ่งหมายในการรื้อถอน (de-naturalize) ภาพลวงดังกล่าว และอธิบายให้เห็นว่า “คนไทย” เป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ที่ผูกพันอย่างลึกซึ้งกับการสร้างรัฐชาติ การรวมศูนย์อำนาจ และการใช้อัตลักษณ์เป็นเทคโนโลยีทางการเมือง

ถ้าเรายอมรับว่าชาติเป็นสิ่งที่ถูกจินตนาการ (imagined) ดังที่ Benedict Anderson (1983) เสนอ การวิเคราะห์ “คนไทย” ก็จำเป็นต้องจัดวางในกรอบเดียวกัน กล่าวคือ ต้องมองมันในฐานะ “รูปแบบการจินตนาการร่วมที่ถูกทำให้เป็นทางการโดยรัฐ” มากกว่าจะเป็นคำอธิบายทางชาติพันธุ์ที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางมานุษยวิทยา ในบริบทไทย จุดหักเหสำคัญอยู่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งรัฐสยามต้องเผชิญแรงกดดันจากจักรวรรดินิยมตะวันตก การกำหนดอธิปไตยเหนือดินแดน (territorial sovereignty) และการสร้างประชากรที่ภักดีต่อรัฐเดียวกันจึงกลายเป็นวาระระยะยาวของชนชั้นนำ

ดังนั้น บทความนี้จะชี้ว่า “คนไทย” มิได้เป็นเพียงคำเรียกประชากรในทางสถิติ แต่เป็น “อัตลักษณ์ทางการเมือง” (political identity) ที่รัฐใช้สร้างความชอบธรรมของตนเอง และใช้เป็นเส้นแบ่งระหว่าง “ผู้จงรักภักดี” กับ “ผู้เบี่ยงเบน” ในพื้นที่ความคิดและการแสดงออก

2. กรอบแนวคิดทางทฤษฎี

การวิเคราะห์นี้ยืนบนสามเสาหลักทางทฤษฎี ได้แก่ (1) แนวคิด “ชุมชนจินตกรรม” ของ Benedict Anderson (1983) ซึ่งอธิบายว่าชาติสมัยใหม่เกิดจากการที่ผู้คนจำนวนมากที่ไม่รู้จักกันถูกทำให้จินตนาการว่าตนเป็นสมาชิกชุมชนเดียวกัน ผ่านภาษา สื่อ และสถาบัน (2) แนวคิด “ประเพณีที่ถูกประดิษฐ์” (invented traditions) ของ Eric Hobsbawm (1983) ซึ่งชี้ว่าหลายสิ่งที่ถูกอ้างว่าเป็นของดั้งเดิมนั้นจริง ๆ แล้วสร้างขึ้นใหม่เพื่อรองรับรัฐสมัยใหม่ และ (3) งานของธงชัย วินิจจะกูล (1994) ว่าด้วย “ร่างภูมิกายาของชาติ” (geo-body) ที่ทำให้เราเข้าใจว่าดินแดนไทยในปัจจุบันคือผลของการทำให้พื้นที่มีความหมายทางการเมือง

นอกจากนั้น บทความยังอาศัยกรอบของ Michel Foucault ว่าด้วยอำนาจแบบวินัย (disciplinary power) และอำนาจแบบปกครองชีพ (governmentality) ในการอธิบายว่ารัฐไทยไม่ได้ใช้อำนาจผ่านการบังคับด้วยกำลังเท่านั้น หากยังใช้อำนาจผ่านหลักสูตรการศึกษา ประวัติศาสตร์ชาติแบบราชาชาตินิยม พิธีกรรมรัฐ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อผลิต “ตัวแบบพลเมืองไทย” ที่เชื่อง สยบยอม และมีขอบเขตการพูดที่จำกัด

3. การสร้างรัฐและอัตลักษณ์ “คนไทย” ในประวัติศาสตร์

การก่อรูปของ “คนไทย” สัมพันธ์โดยตรงกับกระบวนการสร้างรัฐสมัยใหม่ของสยามในช่วงรัชกาลที่ 5 การปฏิรูปการปกครอง พ.ศ. 2435 (ร.ศ. 111) ที่เปลี่ยนหัวเมืองประเทศราชเป็นมณฑลเทศาภิบาล ทำให้พื้นที่ที่เคยมีความเป็นอิสระสูง เช่น ล้านนา ปัตตานี อีสาน ถูกดึงเข้าสู่การควบคุมของรัฐส่วนกลางอย่างเป็นระบบ การสร้างระบบราชการ การจัดเก็บภาษี การเกณฑ์ทหาร และการใช้อำนาจตุลาการแบบรวมศูนย์ ล้วนมีผลทางอ้อมต่อการทำให้ประชากรเหล่านี้ “กลายเป็นราษฎรของสยาม” แทนที่จะเป็นพลเมืองของรัฐท้องถิ่นเดิม

ต่อมาในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2482 เป็นต้นไป) การเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” ไม่ได้เป็นเพียงการปรับปรุงสำนวน หากเป็นการเลื่อนฐานคิดจาก “รัฐราชวงศ์ที่มีไพร่ฟ้าหลากชาติพันธุ์” ไปสู่ “รัฐชาติที่มีพลเมืองเชื้อชาติไทย” การออกประกาศวัฒนธรรม การส่งเสริมภาษาไทยกลาง การกำหนดมารยาทและการแต่งกายแบบรัฐนิยม ล้วนสะท้อนความพยายามสร้าง “ชาติที่เป็นเนื้อเดียว” (cultural homogenization) ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของชาติพันธุ์นิยมสมัยใหม่ (modern ethnic nationalism)

ในระดับประวัติศาสตร์ภูมิภาค แนวโน้มนี้ยังสัมพันธ์กับการทำสนธิสัญญากับมหาอำนาจตะวันตกที่บังคับให้สยามกำหนดเขตแดนชัดเจน การนิยามว่าใครอยู่ในและนอกเขตแดนนี้ นำไปสู่ภาวะที่ผู้คนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ถูกเหมารวมว่าเป็น “ไทย” แม้จะไม่มีประสบการณ์วัฒนธรรมแบบกลางมาก่อน

4. “ความเป็นไทย” กับอำนาจการปกครองและวาทกรรมรัฐ

เมื่อรัฐสมัยใหม่มุ่งรวมดินแดนและประชากรสำเร็จ ขั้นตอนถัดมาคือการสร้าง “จิตสำนึกชาติ” (national consciousness) ให้ผู้คนรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของชาติเดียวกัน สิ่งนี้กระทำผ่านโรงเรียน วัด ระบบสื่อของรัฐ และพิธีกรรมสาธารณะ เช่น การเคารพธงชาติและการร้องเพลงชาติพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งล้วนเป็นตัวอย่างของ “ประเพณีที่ถูกประดิษฐ์” (Hobsbawm 1983) ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความต่อเนื่องทางอารมณ์ระหว่างประชาชนกับรัฐ

วาทกรรม “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ทำหน้าที่เป็นกรอบอุดมการณ์หลักของรัฐไทยสมัยใหม่ กล่าวคือ ชาติถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์จนไม่อาจวิจารณ์ พระมหากษัตริย์ถูกวางไว้ในฐานะศูนย์รวมของชาติ และพุทธศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือด้านศีลธรรมเพื่ออบรมให้พลเมืองเป็น “คนดีของชาติ” เมื่อองค์ประกอบทั้งสามนี้ถูกร้อยเข้าด้วยกัน การคัดค้านระบอบการเมืองที่เป็นอยู่จึงถูกตีความได้ง่ายว่าเป็นการคัดค้านชาติด้วย

ที่สำคัญ รัฐไทยยังใช้อัตลักษณ์เป็นเครื่องมือนิยาม “ศัตรูภายใน” โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น ซึ่งรัฐใช้คำว่า “คอมมิวนิสต์” และ “ไม่รักชาติ” เพื่อลดทอนความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เช่นเดียวกับในยุคปัจจุบันที่บุคคลหรือกลุ่มที่วิพากษ์สถาบันกษัตริย์อาจถูกกล่าวหาว่า “ไม่ใช่คนไทยแท้” จึงเห็นได้ว่าความเป็นไทยในเชิงวาทกรรมมีฟังก์ชันทางการเมืองอย่างชัดเจน

5. การลืมและการทำให้หลากหลายกลายเป็นหนึ่ง

ปรากฏการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งของการสร้าง “คนไทย” คือการทำให้ประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ย่อยถูกกลบเลือน (historical silencing) ตัวอย่างเช่น ในภาคอีสาน กลุ่มคนที่พูดภาษาไท-ลาวเป็นจำนวนมากถูกเปลี่ยนสถานะจาก “คนลาว” ให้กลายเป็น “คนไทยภาคอีสาน” ผ่านระบบโรงเรียนและการห้ามใช้ภาษาท้องถิ่นในพื้นที่ทางการ อันที่จริงงานของ Charles Keyes (1987) และ Andrew Walker (2012) แสดงให้เห็นว่าอีสานมีพลวัตทางการเมืองและเศรษฐกิจของตนเอง แต่รัฐไทยเลือกเล่าอีสานในฐานะ “ชายขอบที่จงรักภักดี”

ในภาคใต้ตอนล่าง ประวัติศาสตร์ของรัฐปัตตานีซึ่งเคยเป็นรัฐมลายูมุสลิมที่มีอำนาจและเครือข่ายการค้าเป็นของตนเอง ถูกลดทอนให้เหลือเพียง “หัวเมืองมลายูที่ก่อกบฏ” ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย ความทรงจำเกี่ยวกับความรุ่งเรืองของปัตตานีจึงถูกกันออกจาก “ประวัติศาสตร์แห่งชาติ” การไม่ยอมรับประวัติศาสตร์ย่อยเหล่านี้ทำให้ความขัดแย้งทางอัตลักษณ์ดำรงอยู่ยาวนาน

กรณีล้านนาก็คล้ายกัน การที่อักษรธรรมล้านนาถูกกันออกจากระบบการศึกษาแบบรัฐ ทำให้คนรุ่นใหม่เชื่อว่า “ภาษาไทยกลางคือมาตรฐานเดียวของความเป็นไทย” ทั้งที่ในอดีต ดินแดนนี้มีสถาบันกษัตริย์ วรรณกรรม และระบบกฎหมายเป็นของตนเอง การทำให้ความหลากหลายหายไปเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการทำให้กลายเป็นหนึ่งเดียวเชิงวัฒนธรรม” (cultural unification project) ของรัฐชาติไทย

6. วิวัฒน์ของ “คนไทย” ภายใต้บริบทโลกสมัยใหม่

แม้รัฐไทยจะพยายามตรึงความหมายของ “ความเป็นไทย” ให้คงที่ แต่กระแสโลกาภิวัตน์ การเคลื่อนย้ายแรงงาน การสื่อสารดิจิทัล และการเมืองประชาธิปไตยแบบใหม่ ได้ทำให้ประชากรกลุ่มต่าง ๆ เริ่มตั้งคำถามต่อวาทกรรมชาติแบบเดิม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงองค์ความรู้ข้ามชาติ พวกเขามองว่าอัตลักษณ์ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับชาติแบบชาติพันธุ์ (ethnic nation) แต่อาจผูกกับหลักสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมทางสังคม หรือประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม

ในเชิงทฤษฎี แนวคิดของ Jürgen Habermas ว่าด้วย “constitutional patriotism” เสนอว่าความรักชาติแบบใหม่ควรตั้งอยู่บนการยึดมั่นในรัฐธรรมนูญและสิทธิของปัจเจก มากกว่าการยึดถือสายเลือดหรือชาติพันธุ์ หากนำมาปรับใช้กับไทย ก็อาจหมายความว่า การเป็น “คนไทย” ควรหมายถึงการเคารพสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีของกันและกัน มากกว่าการสยบยอมต่ออุดมการณ์ที่รัฐกำหนดฝ่ายเดียว

นอกจากนี้ การที่ไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมโดยข้อเท็จจริง แต่กลับดำเนินนโยบายชาติแบบเอกวัฒนธรรม (mono-cultural nationalism) ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างรัฐกับพลเมือง ตัวอย่างนโยบายของแคนาดา หรือสโลแกน “Bhinneka Tunggal Ika” ของอินโดนีเซีย แสดงให้เห็นว่ารัฐชาติสามารถยอมรับความหลากหลายและสร้างเอกภาพไปพร้อมกันได้ ซึ่งเป็นบทเรียนที่ไทยควรพิจารณา

7. บทสรุป

การทำความเข้าใจ “คนไทย” ในฐานะอัตลักษณ์ที่ถูกประดิษฐ์ มิได้มีเป้าหมายเพื่อลบล้างชาติหรือบ่อนทำลายความเป็นปึกแผ่นของสังคม หากเพื่อเปิดเผยเงื่อนไขทางอำนาจที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธินิยามชาติและกำหนดว่าใคร “พึงเป็นไทย” และใคร “เป็นอื่น” การรู้เท่าทันกระบวนการสร้างชาติจะทำให้เราสามารถออกแบบ “ความเป็นไทยแบบใหม่” ที่เปิดกว้าง เป็นประชาธิปไตย และรับใช้ประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ใช่เฉพาะชนชั้นนำหรือวาทกรรมแบบรัฐนิยมเท่านั้น

ในอนาคต หากสังคมไทยเลือกเคลื่อนไปสู่ประชาธิปไตย substantive ที่แท้จริง ความเป็นไทยจะต้องถูกปลดจากการผูกขาดของรัฐและชนชั้นนำ แล้วคืนให้เป็นพื้นที่ต่อรองร่วมกันของประชาชนทุกส่วน การรักชาติในความหมายใหม่นี้จึงมิใช่การยอมจำนนต่ออำนาจ แต่คือการยืนยันสิทธิของทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินนี้ให้ได้รับการมองเห็นในประวัติศาสตร์ชาติ

บรรณานุกรม

  • Anderson, Benedict. 1983. Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread of Nationalism. London: Verso.
  • Hobsbawm, Eric, and Terence Ranger, eds. 1983. The Invention of Tradition. Cambridge: Cambridge University Press.
  • Winichakul, Thongchai. 1994. Siam Mapped: A History of the Geo-Body of a Nation. Honolulu: University of Hawai‘i Press.
  • Keyes, Charles F. 1987. “Thailand: Buddhist Kingdom as Modern Nation-State.” Boulder, CO: Westview Press.
  • Reynolds, Craig J. 1991. National Identity and Its Defenders: Thailand 1939–1989. Chiang Mai: Silkworm Books.
  • Walker, Andrew. 2012. Thailand’s Political Peasants: Power in the Modern Rural Economy. Madison: University of Wisconsin Press.
  • ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. 2545. การเมืองไทยสมัยรัชกาลที่ 5. กรุงเทพฯ: มติชน.
  • ณัฐพล ใจจริง. 2563. ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี. กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน.

© 2025 คันฉ่องส่องไทย · มหาวิทยาลัยประชาชน · Education for Peace Foundation — เผยแพร่เพื่อการศึกษา วิพากษ์ และการคืนความทรงจำให้แก่ประชาชน