ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Wednesday, November 19, 2025

การวิวัฒนาการของมวยไทยในยุคโลกาณิวัตน์: เมื่อนักชกต่างชาติรุกคืบด้วยพลังและความเร็ว



มวยไทย หรือ "ศิลปะแม่ไม้มวยไทย" เป็นศาสตร์การต่อสู้ที่สืบทอดมายาวนานตั้งแต่สมัยโบราณกาล โดยเน้นการรุก-รับที่สมดุล การผูก-แก้ในระยะประชิด และเทคนิคหลากหลายอย่างศอก เข่า เท้า และหมัด ที่มุ่งเน้นการสะสมคะแนนหรือการป้องกันตัวมากกว่าการมุ่งรุกอย่างฮีกหาญเพื่อหวังน็อคเอาท์อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันที่มวยไทยก้าวสู่เวทีสากล นักชกต่างชาติที่หลงรักและศึกษาศาสตร์นี้อย่างลึกซึ้ง ได้พัฒนากลยุทธ์ใหม่เพื่อ "แก้ทาง" นักมวยไทย โดยใช้จุดเด่นด้านความแข็งแกร่ง ความเร็ว และอาวุธหนักที่มุ่งเป้าไปที่การน็อคเอาท์ ซึ่งกำลังสร้างความท้าทายให้กับนักชกไทยอย่างเห็นได้ชัดการปรับตัวของนักชกต่างชาติ: จากผู้เรียนรู้สู่ผู้ท้าชิงนักชกต่างชาติ หรือที่เรียกกันว่า "มวยฝรั่ง" (Muay Farang) มักมาจากพื้นฐานการต่อสู้แบบอื่น เช่น มวยสากล คิกบ็อกซิง หรือแม้แต่ศิลปะการต่อสู้ผสม (MMA) ทำให้พวกเขามีจุดแข็งในด้านพละกำลังจากโปรแกรมฝึกซ้อมที่เน้นเวทเทรนนิ่ง ความเร็วในการออกอาวุธ และการมุ่งเน้นหมัดหนักเพื่อจบไฟต์อย่างรวดเร็ว ต่างจากนักมวยไทยดั้งเดิมที่เน้นเทคนิคการคลินช์ (การกอดรัด) และการเตะสะสมเพื่อทำคะแนน นักชกต่างชาติจึงนำ "ลูกใหม่" มาผสมผสาน เช่น การใช้หมัดตรงเร็วแรงจากมวยสากล หรือการเตะต่ำที่รุนแรงเพื่อทำลายฐานยืน ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถพลิกเกมและเอาชนะนักชกไทยได้บ่อยครั้งขึ้น
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือในเวทีระดับโลกอย่าง ONE Championship หรือ Lumpinee Stadium ซึ่งมีนักชกต่างชาติหลายคนเคยคว้าแชมป์หรือเอาชนะแชมป์ไทย เช่น Ramon Dekkers ชาวดัตช์ที่เป็นตำนานมวยฝรั่ง ด้วยสถิติชนะน็อคสูงและเทคนิคใหม่ที่ท้าทายนักมวยไทยในยุค 90s โดยเขาเคยเอาชนะนักชกไทยชื่อดังอย่าง Cherry S. Wanich และ Namphon Nongkee Pahuyuth แต่ก็เคยพ่ายแพ้ให้กับ Sakmongkol Sitthichai และ Jongsanan Fairtex ในบางไฟต์ หรือ Toshio Fujiwara ชาวญี่ปุ่นที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักชกต่างชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ด้วยสถิติ 126-13-2 และ 99 น็อคเอาท์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการต่อสู้กับนักมวยไทย ล่าสุด ในปี 2025 ยังมีเหตุการณ์อย่าง Sinue Juarez Victorino นักชกเม็กซิกันที่เอาชนะน็อค Petchphadan นักมวยไทยด้วยเตะลำตัวในยกแรก ที่เวที Rajadamnern
นอกจากนี้ ในเวที ONE Championship ยังมีตัวอย่างนักมวยไทยชื่อดังที่พ่ายแพ้ให้กับต่างชาติ เช่น Jonathan Haggerty ชาวอังกฤษที่เอาชนะ Nong-O Gaiyanghadao (ไทย) ด้วยน็อคเอาท์ในยกแรก เพื่อคว้าแชมป์โลก ONE Bantamweight Muay Thai ในปี 2023 และ Haggerty ยังเคยเอาชนะ Rodtang Jitmuangnon (ไทย) ในปี 2019 สำหรับแชมป์ Flyweight Muay Thai โดยใช้ความเร็วและหมัดหนักพลิกเกมได้อย่างน่าประทับใจ ล่าสุดใน ONE 173 ที่จัดขึ้นที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2025 Nadaka Yoshinari นักชกญี่ปุ่นได้เอาชนะ Numsurin Chor Ketwina (ไทย) ด้วยคะแนนเอกฉันท์ เพื่อคว้าแชมป์โลก ONE Atomweight Muay Thai รุ่นแรก โดย Nadaka ใช้ความแข็งแกร่งและอาวุธหนักกดดันตลอดไฟต์ จน Numsurin ซึ่งเป็นนักชกไทยมากประสบการณ์ไม่สามารถแก้ทางได้ทัน รวมถึงซูเปอร์เล็กที่ทั้งเก่งและประสบการณ์สูง ที่แพ้แก่นักมวยญี่ปุ่นด้วยอีกราย แสดงให้เห็นว่านักชกต่างชาติไม่เพียงแต่เรียนรู้มวยไทย แต่ยังปรับแต่งให้เข้ากับจุดแข็งของตนเอง เพื่อมุ่งเป้าน็อคเอาท์แทนการยืดเยื้อความท้าทายและโอกาสสำหรับมวยไทย: การยกระดับของนักชกไทยการ "แก้ทาง" นี้ทำให้มวยไทยต้องมีวิวัฒนาการ นักชกไทยหลายคนเริ่มผสมผสานเทคนิคสากล เช่น การฝึกความเร็วและพลังหมัด และการเตะที่แรงและถี่ขึ้น เพื่อรับมือกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า อย่างไรก็ดี นี่คือโอกาสที่ทำให้มวยไทยได้รับความนิยมทั่วโลกมากขึ้น โดยมีนักชกต่างชาติที่รักและเคารพศาสตร์นี้เข้ามาแข่งขัน สร้างความหลากหลายและความตื่นเต้นให้กับกีฬา ในขณะเดียวกัน นักมวยไทยก็ได้ยกระดับตัวเองและปราบนักชกต่างชาติเก่งๆ ได้เช่นกัน 
ยกตัวอย่าง เช่น Superbon Singha Mawynn ที่เอาชนะ Giorgio Petrosyan (อาร์เมเนีย-อิตาลี) ด้วยเตะหัวน็อคเอาท์ใน ONE First Strike ปี 2021 และล่าสุดใน ONE 173 เขาป้องกันแชมป์ Featherweight Kickboxing ด้วยการชนะ Masaaki Noiri (ญี่ปุ่น) ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 
Buakaw Banchamek ตำนานมวยไทยที่เอาชนะ Yoshihiro Sato (ญี่ปุ่น) และ Masato (ญี่ปุ่น) ในเวที K-1 ซึ่งเป็นการผสมผสานความเร็วและพลังเข้ากับเทคนิคไทยดั้งเดิม 
หรือ Nabil Anane นักชกไทยเชื้อสายอัลจีเรียที่เอาชนะ Felipe Lobo (บราซิล) ด้วยน็อคเอาท์ใน ONE 173 โดยใช้เข่าและศอกที่เฉียบคมกดดันจนคู่ต่อสู้ยอมแพ้ 
นอกจากนี้ Saenchai Sor. Kingstar ยังมีสถิติชนะนักชกต่างชาติมากกว่า 50 ครั้ง รวมถึง Liam Harrison (อังกฤษ) และ Kevin Ross (อเมริกัน) ซึ่งพิสูจน์ว่ามวยไทยสามารถปรับตัวและครองความได้เปรียบได้เมื่อผสานกับการพัฒนาใหม่ๆ
ในท้ายที่สุด มวยไทยไม่ได้แพ้พ่าย แต่กำลังเติบโตผ่านการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมการต่อสู้นี้ หากนักชกไทยสามารถผสานจุดแข็งดั้งเดิมเข้ากับความทันสมัย ก็จะยังคงครองความเป็นเจ้าแห่งศิลปะการต่อสู้แบบยืนได้ต่อไป

"จุดจบอันวิบัติ" ของผู้ฝากกายถวายชีวิตด้วยความจงรักภักดี

 


ความภักดีต่อกษัตริย์และทรราชในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

ความภักดีต่อกษัตริย์และทรราชในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ:

บทสังเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและกรณีศึกษาของประเทศไทย

บทคัดย่อ

งานศึกษานี้วิเคราะห์รูปแบบซ้ำของประวัติศาสตร์โลกที่สะท้อนให้เห็นว่า “ความจงรักภักดีต่อกษัตริย์หรือผู้นำเผด็จการ” มิได้เป็นหลักประกันความปลอดภัยของผู้รับใช้ แต่อาจกลับกลายเป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกกำจัด เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ หรือเมื่อผู้ปกครองเกิดความหวาดระแวง ข้อเขียนนี้วิเคราะห์กรณีศึกษาสำคัญจากจีน ญี่ปุ่น ยุโรป และตะวันออกกลาง ก่อนเปรียบเทียบกับกรณีในประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่อยุธยา ธนบุรี จนถึงยุครัตนโกสินทร์ เพื่อชี้ให้เห็น “กฎเหล็กของระบอบอำนาจส่วนบุคคล” ที่ปรากฏอย่างต่อเนื่องและไร้ข้อยกเว้น

1. บทนำ

ปรากฏการณ์ที่มนุษย์มอบความภักดีอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูให้กษัตริย์หรือผู้นำอำนาจนิยม ปรากฏตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ทว่า “ความภักดี” ในโครงสร้างอำนาจที่อาศัยบุคคลเป็นศูนย์กลาง (personalist authority) กลับมักไร้หลักประกัน เพราะระบอบเช่นนี้มีลักษณะสำคัญคือ ความไม่แน่นอนของอำนาจ การเปลี่ยนขั้วรวดเร็ว และความหวาดระแวงภายในราชสำนัก [1] ผู้รับใช้ใกล้ชิดจึงกลายเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่สุดต่อการถูกกำจัด หายไปจากประวัติศาสตร์ หรือถูกลบล้างความดีความชอบเมื่อผู้นำเปลี่ยนใจ

2. ประวัติศาสตร์โลก: ผู้ภักดีที่จบไม่สวย

2.1 จีน: ความหวาดระแวงในราชสำนักและการทำลายผู้รู้ความลับ

จีนเป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนของปรากฏการณ์นี้ กรณีของ หลี่ซือ (Li Si) อัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ฉิน ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างจักรวรรดิให้ฉินสื่อหวงตี้ แต่หลังจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ กลุ่มอำนาจใหม่ได้ใส่ร้ายและลงโทษเขาอย่างโหดร้าย จนถูกทรมานและประหารในที่สุด [2] เหตุการณ์นี้สะท้อนโครงสร้างการเมืองที่ผู้รับใช้ใกล้ตัวมีค่าเฉพาะเมื่อผู้นำเดิมยังมีอำนาจอยู่เท่านั้น

อีกกรณีหนึ่งคือ เว่ยเจิง (Wei Zheng) ขุนนางผู้ตักเตือนจักรพรรดิไท่จงอย่างตรงไปตรงมา งานศึกษาหลายชิ้นชี้ว่า แม้เขาจะได้รับการยกย่องในฐานะ “ขุนนางสัตย์ซื่อ” แต่ก็เผชิญแรงต่อต้านจากฝ่ายใน เพราะความซื่อตรงที่แตะต้องอำนาจโดยตรง กลายเป็นสิ่งที่ราชสำนักไม่อาจควบคุมได้ [3]

2.2 ญี่ปุ่น: ซามูไรผู้ภักดีแต่ถูกใช้แล้วทอดทิ้ง

ในบริบทของญี่ปุ่น ศักดินานิยมทหารได้สร้างโครงสร้างความภักดีแบบสุดขั้วเช่นเดียวกัน กรณีของ อาเคจิ มิตสึฮิเดะ ซึ่งรับใช้โอดะ โนบุนากะอย่างซื่อสัตย์ แต่ถูกดูหมิ่นและทำลายศักดิ์ศรีซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนำไปสู่การก่อกบฏในเหตุการณ์ที่รู้จักในชื่อว่า “เหตุการณ์ฮนโนจิ” (Honnō-ji Incident) ก่อนที่เขาจะถูกกำจัดภายในเวลาไม่กี่วัน [4] กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า “ความภักดี” เพียงลำพังไม่อาจหยุดความโหดร้ายของโครงสร้างอำนาจที่ขึ้นกับอารมณ์ของผู้ปกครอง

2.3 ยุโรป: ราชสำนักอังกฤษและการม้วนพรมทิ้งผู้รับใช้

โธมัส ครอมเวลล์ (Thomas Cromwell) เป็นแบบอย่างระดับโลกของผู้รับใช้ที่ถูกทิ้งอย่างไร้เยื่อใย เขารับใช้พระเจ้าเฮนรีที่ 8 อย่างสุดกำลัง จัดการการสมรส การหย่าร้าง และการประหารพระมเหสีตามพระประสงค์ แต่เมื่อความไว้วางใจลดลงเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็มีรับสั่งให้ตัดศีรษะเขาอย่างรวดเร็ว [5] กรณีนี้สะท้อน “กฎแห่งบัลลังก์อังกฤษ” ที่ว่า ผู้รับใช้ที่รู้ความลับของพระราชา หรือเป็นผู้สร้างบัลลังก์ให้มั่นคง คือคนที่ถูกกำจัดก่อนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

2.4 โซเวียต: ทรราชที่กลืนลูกน้องตนเอง

ในยุคของ โจเซฟ สตาลิน ตำแหน่งหัวหน้าตำรวจลับ NKVD เป็นหนึ่งในตำแหน่งที่อันตรายที่สุดในระบบการเมืองโซเวียต นิโคไล เยโซฟ (Nikolai Yezhov) ผู้บังคับบัญชาการกวาดล้างใหญ่ (Great Purge) ที่มีผู้เสียชีวิตและถูกจำคุกจำนวนมหาศาล ถูกสตาลินสั่งจับ ทรมาน และประหารในเวลาต่อมา [6] กรณีนี้ตอกย้ำว่า ในระบอบทรราช ผู้รับใช้ยิ่งฆ่าเพื่อระบอบมากเท่าไร ยิ่งใกล้ความตายของตนเองมากเท่านั้น

2.5 ตะวันออกกลาง: ผู้ภักดีที่ถูกสังหารเพียงเพราะวิจารณ์

กรณีของ จามาล กอชอกกี (Jamal Khashoggi) ผู้สื่อข่าวและที่ปรึกษาราชสำนักซาอุฯ เป็นตัวอย่างร่วมสมัยของการที่ผู้รับใช้ยาวนานกว่า 30 ปี ถูกล่อให้เข้าสถานทูตและถูกสังหารอย่างโหดร้าย เพียงเพราะวิจารณ์อำนาจและแนวทางการปฏิรูปของผู้นำ [7] กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า ระบอบที่ยึด “ความจงรักภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข” เป็นหัวใจ สามารถลงมือทำลายชีวิตผู้เคยรับใช้ได้ทันทีที่เห็นว่าบุคคลนั้นไม่ภักดี 100%

3. กฎเหล็กสากล: โครงสร้างอำนาจแบบราชสำนักและทรราช

จากกรณีศึกษาทั้งหมด สามารถสังเคราะห์เป็น “กฎเหล็กของประวัติศาสตร์อำนาจส่วนบุคคล” ได้ดังนี้

1) อำนาจส่วนบุคคลผลิต ความหวาดระแวงเป็นระบบ;

2) ผู้ใกล้ชิดที่สุดคือผู้ที่ เสี่ยงที่สุด;

3) ความภักดีไม่มีค่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจ;

4) ผู้รู้ความลับของราชสำนักมักถูกทำลายก่อนเสมอ;

5) ระบอบที่ไม่ยืนบนหลักนิติรัฐ ใช้อารมณ์และความกลัวเป็นกลไกหลักในการควบคุม.

กฎเหล่านี้ปรากฏร่วมกันเกือบทุกวัฒนธรรมและทุกยุคสมัย ไม่ว่าระบบการปกครองจะอ้างศาสนา ประเพณี หรืออุดมการณ์การเมืองรูปแบบใดก็ตาม

4. กรณีศึกษาในประวัติศาสตร์ไทย: จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์

4.1 คอนสแตนติน ฟอลคอน (เจ้าพระยาวิชาเยนทร์)

ฟอลคอนเป็นหนึ่งในขุนนางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มีบทบาทสำคัญด้านการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แต่เมื่อพระองค์ประชวรและเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจอย่างฉับพลันในราชสำนักอยุธยา ฟอลคอนถูกจับ ทรมาน และประหารชีวิตในปี พ.ศ. 2231 [8] กรณีนี้เป็นแบบอย่างชัดเจนของการที่ผู้รับใช้สูญชีวิตทันทีเมื่อ “ร่มเงาของกษัตริย์” หายไป

4.2 แม่ทัพและขุนนางในยุคสมเด็จพระเจ้าตากสิน

หลังการสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสิน บุคคลใกล้ชิดหลายคนถูกลงโทษ ประหาร หรือหายไปจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ ส่วนหนึ่งเนื่องจากการจัดระเบียบความชอบธรรมของอำนาจใหม่ [9] นักประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งอภิปรายว่า โครงสร้างอำนาจในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทำให้การลบความทรงจำและการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง [10]

4.3 ขุนนางและตระกูลใหญ่ในรัตนโกสินทร์ตอนต้น–กลาง

พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ระบุกรณีของขุนนางจำนวนหนึ่งที่ถูกริบทรัพย์ โบย หรือประหารเพียงเพราะถูกกล่าวหาว่าไม่ซื่อ หรือทำการผิดพระราชอัธยาศัย แม้มิใช่ความผิดร้ายแรง [11] กรณีเหล่านี้สะท้อนโครงสร้างอำนาจที่ความปลอดภัยของผู้รับใช้ขึ้นอยู่กับความโปรดปรานจากเบื้องบน มากกว่าหลักกฎหมายที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร

4.4 บุคคลใกล้ชิดที่ถูกถอด ย้าย หรือยึดตำแหน่งในยุคปัจจุบัน

เอกสารข่าวร่วมสมัยในไทย เช่น ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ระบุชัดถึงหลายกรณีของบุคคลใกล้ชิดราชสำนักที่ถูกถอดยศ ถอนเบี้ยหวัด ปลดจากตำแหน่งทหาร–ตำรวจ หรือถูกดำเนินคดีอาญา โดยมีการให้เหตุผลในเชิง “ประพฤติตนไม่สมควร” หรือ “กระทำผิดวินัยร้ายแรง” ในลักษณะที่ตีความได้กว้าง [12]

แม้รายละเอียดเชิงลึกของแต่ละกรณีจะต้องวิเคราะห์อย่างระมัดระวัง แต่รูปแบบที่เกิดซ้ำคือ “ความโปรด–ไม่โปรด” ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้อย่างฉับพลัน สอดคล้องกับกฎเหล็กที่พบในประวัติศาสตร์โลกว่าระบอบบุคคลนิยมไม่อาจรับประกันความปลอดภัยให้ผู้รับใช้ใด ๆ แม้จะมีประวัติการภักดีมาอย่างยาวนานก็ตาม

5. วิเคราะห์เชิงสังเคราะห์: เหตุใดผู้ภักดีจึงเสี่ยงที่สุด

จากทั้งโลกและไทย สามารถสรุปเป็นสมมติฐานเชิงโครงสร้างได้ว่า:

1) ระบอบบุคคลนิยมมีศูนย์กลางเดียว ความปลอดภัยของผู้คนขึ้นอยู่กับอารมณ์และการประเมินของผู้นำ มากกว่าหลักกฎหมาย;

2) ความภักดีที่แรงเกินไปสามารถกลับกลายเป็นภัย เพราะผู้ปกครองอาจหวาดระแวงว่าผู้ภักดีกำลังสะสมอำนาจหรืออิทธิพลมากเกินรับได้;

3) เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ ผู้ภักดีของคนเก่ามักถูกมองว่าเป็นศัตรูของคนใหม่ จึงตกเป็นเป้าของการกำจัดเพื่อลดความเสี่ยงทางการเมือง;

4) ยิ่งใกล้บัลลังก์ ยิ่งรู้ความลับ การกำจัดผู้รับใช้ใกล้ชิดจึงเป็นวิธีปิดปากและปิดประวัติศาสตร์ที่ง่ายที่สุด.

ประวัติศาสตร์ทั้งใบให้บทเรียนเดียวกันว่า ระบอบที่ไม่มีหลักนิติรัฐและสถาบันตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็ง ย่อมไม่สามารถคุ้มครองผู้รับใช้ใด ๆ ได้ แม้จะภักดีเพียงใด

6. บทสรุป

งานศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ความภักดีต่อกษัตริย์หรือทรราชเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงบุคคล โครงสร้างอำนาจแบบส่วนบุคคลหรือราชสำนัก สร้างความหวาดระแวงเป็นระบบ และผู้ใกล้ชิดที่สุดมักเป็นผู้ที่จบไม่สวยที่สุด ไม่ว่าจะในจีน ญี่ปุ่น ยุโรป โซเวียต ตะวันออกกลาง หรือประเทศไทย

7. บุคคลสำคัญในสังคมไทยที่ยืนอยู่ใต้โครงสร้าง “ชาติ–ศาสน์–กษัตริย์” แต่จบไม่สวย

ปรีดี พนมยงค์ คือกรณีคลาสสิกของปัญญาชนผู้ก่อตั้งระบอบใหม่ให้ราชวงศ์ แต่กลับถูกผลักออกจากชาติในฐานะ “ราชาศัตรู” เขาเป็นผู้นำคณะราษฎรคนสำคัญ ผู้ทำให้สยามเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และยังทำหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8 ขณะพระมหากษัตริย์เสด็จไปศึกษาในยุโรป ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์อย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม หลังเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่ 8 เมื่อ พ.ศ. 2489 กระแสทางการเมืองและชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษนิยมได้ผลักดันให้ปรีดีถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ แม้จะไม่มีหลักฐานพิสูจน์อย่างเป็นทางการก็ตาม การรัฐประหาร พ.ศ. 2490 และความล้มเหลวของความพยายาม “กู้ชาติ” ในปี 2492 ส่งผลให้ปรีดีต้องลี้ภัยต่างประเทศและไม่เคยได้กลับมาตายในผืนแผ่นดินไทย ชีวิตของเขาจึงสะท้อนโครงสร้างอำนาจที่สามารถเปลี่ยน “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ให้กลายเป็น “ผู้ต้องสงสัย” และ “ผู้ลี้ภัยทางการเมือง” ได้ในชั่วเวลาไม่กี่ปี[13]

ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นตัวอย่างของข้าราชการเทคนิคที่จงรักภักดีต่อระบอบ “ชาติ–ศาสน์–กษัตริย์” อย่างเปิดเผย เขาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่อายุน้อยที่สุดและนั่งรับผิดชอบยาวนานที่สุด วางรากฐานเสถียรภาพการเงินและงบประมาณรัฐจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ พร้อมทั้งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แม้ป๋วยจะยืนบนหลักสันติประชาธรรม ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงของทั้งรัฐและฝ่ายนักศึกษา แต่หลังการสังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์ เขากลับถูกฝ่ายขวาและกระแสชาตินิยมจัดวางให้เป็น “ตัวการเบื้องหลัง” ของขบวนการนักศึกษา ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และ “ทำลายเอกภาพของชาติ” จนต้องขึ้นเครื่องลี้ภัยออกนอกประเทศในวันเดียวกับที่เหตุการณ์ยังร้อนระอุ แล้วใช้ชีวิตบั้นปลายในอังกฤษพร้อมสภาพร่างกายที่อ่อนแรงจากโรคหลอดเลือดสมอง กรณีของป๋วยจึงสะท้อนว่า แม้จะเป็น “ข้าราชการพระราชทานเครื่องราชย์” และเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ ก็ไม่อาจรอดพ้นจากการถูกทำให้เป็น “คนชายขอบของชาติ” ได้ เมื่อโครงสร้างอำนาจและวาทกรรมชาตินิยมเปลี่ยนเป้า[14]

จอมพล ป. พิบูลสงคราม แม้มักถูกจดจำในฐานะผู้นำทหารที่ท้าทายและลดบทบาทสถาบันกษัตริย์ในยุคแรก แต่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาพยายามปรับตัวเข้าหาอุดมการณ์ “ชาติ–ศาสน์–กษัตริย์” และผูกสายสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาในบริบทสงครามเย็น ระบอบของจอมพล ป. เต็มไปด้วยการใช้สถาบันกษัตริย์เป็นหนึ่งในเสาหลักความชอบธรรมใหม่ ทว่ารัฐประหาร พ.ศ. 2500 ที่นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมีฐานสนับสนุนฝั่งราชสำนักอย่างเข้มแข็ง กลับโค่นอำนาจของเขาลงอย่างสิ้นเชิง จอมพล ป. ถูกบังคับให้ลี้ภัยออกนอกประเทศ และไปเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในญี่ปุ่น ก่อนที่อัฐิของเขาจะถูกนำกลับประเทศไทยภายหลัง จบชีวิตจากผู้นำสูงสุดของชาติและผู้เคยควบคุมเครื่องมือรัฐ กลายเป็น “อดีตผู้นำที่ตายต่างแดน” แสดงให้เห็นว่าการเล่นเกมอำนาจกับสถาบันกษัตริย์และกองทัพนั้น ไม่ได้มีหลักประกันใด ๆ แม้สำหรับผู้นำเผด็จการเอง[15]

ควง อภัยวงศ์ เป็นนักการเมืองสายราชวงศ์และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในยุคต้น เขาเป็นที่รู้กันว่ามีความใกล้ชิดกับชนชั้นนำและสถาบันกษัตริย์ รัฐประหาร พ.ศ. 2490 ที่โค่นกลุ่มของปรีดีและเปิดทางให้ฝ่ายนิยมเจ้า กลับดึงควงขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เพียงปีถัดมา กลุ่มรัฐประหาร 2490 เดิมเองก็หันมาโค่นรัฐบาลควงในการรัฐประหาร พ.ศ. 2491 บีบให้ต้องลาออกจากตำแหน่ง กรณีนี้สะท้อนว่า แม้จะอยู่ “ข้างราชสำนัก” ในเชิงอุดมการณ์ แต่เมื่อกลไกอำนาจทหาร–ราชสำนักต้องการจัดระเบียบใหม่ นักการเมืองก็สามารถถูกใช้เป็นสะพานชั่วคราวแล้วผลักตกน้ำในเวลาอันสั้น[16]

หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นเชื้อพระวงศ์นักกฎหมายและนักการทูต มีบทบาทสำคัญในขบวนการเสรีไทยฝ่ายสหรัฐฯ เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง โดยปฏิเสธไม่ยื่นคำประกาศสงครามต่อสหรัฐฯ ตามคำสั่งรัฐบาลจอมพล ป. ภายหลังสงคราม เขาเป็นนายกรัฐมนตรีหลายสมัยในฐานะผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ และวางตัวเป็นฝ่ายราชนิยมชัดเจน ทว่าหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รัฐบาลเสนีย์ก็ถูกกองทัพโค่นลงอย่างรวดเร็ว และแทนที่ด้วยรัฐบาลสายขวาจัดของธานินทร์ กรัยวิเชียร ชะตากรรมทางการเมืองของเสนีย์จึงชี้ให้เห็นว่า แม้จะเป็น “คนของระบอบเก่า” หรืออยู่ใกล้สถาบันเพียงใด ก็สามารถถูกโค่นเพื่อเปิดทางให้ระบอบเผด็จการทางการเมืองที่แข็งกว่ายึดอำนาจได้เสมอ[17]

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นตัวอย่างร่วมสมัยของปัญญาชนที่นิยามตนเองว่าเป็น “มิตรแท้ของสถาบันกษัตริย์” วิพากษ์เพื่อให้สถาบันปรับตัวและอยู่ได้ในระยะยาว แต่กลับถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) หลายครั้ง ตั้งแต่ทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา รวมถึงกรณีการตั้งคำถามต่อพระราชพงศาวดารว่าด้วยการชนช้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งเป็นข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ล้วน ๆ การที่ปัญญาชนซึ่งยืนยันว่าตนจงรักภักดีต่อสถาบัน ยังถูกใช้กฎหมายพิเศษเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนโครงสร้างที่ไม่สามารถรองรับ “มิตรที่พูดความจริง” ได้ และตอกย้ำว่าในระบบที่ใช้สถาบันกษัตริย์เป็นแกนหลักของความชอบธรรม แม้แต่ผู้ปรารถนาดีต่อสถาบัน ก็อาจพบจุดจบทางกฎหมายและชื่อเสียงที่ไม่งดงามนัก[18]

อัญชัน ปรีเลิศ ข้าราชการบำนาญสตรีวัยชราเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ “ผู้รับใช้รัฐ” ที่ถูกกระบวนการยุติธรรมบดขยี้ แม้จะมิได้มีบทบาทระดับผู้นำเหมือนบุคคลข้างต้น เธอถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลารวม 87 ปี (ลดเหลือ 43 ปีจากการรับสารภาพ) จากการแชร์คลิปเสียงที่ถูกมองว่าหมิ่นสถาบันกษัตริย์ผ่านอินเทอร์เน็ต และต้องรับโทษจำคุกจริงกว่า 8 ปี ก่อนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษและพ้นโทษ ชะตากรรมของอัญชันชี้ให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ผู้นำหรือปัญญาชนเท่านั้น หากแต่ข้าราชการระดับล่างและประชาชนที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในระบบราชการเอง ก็อาจตกเป็น “เหยื่อประกอบสร้าง” เพื่อแสดงให้สังคมเห็นอำนาจของกฎหมายที่ใช้ปกป้องสถาบันกษัตริย์เช่นกัน[19]

ประวัติศาสตร์ไทยมิใช่ข้อยกเว้น และรูปแบบดังกล่าวยังปรากฏในยุคปัจจุบันผ่านประกาศของรัฐอย่างเป็นทางการ ในมิติของสังคมประชาธิปไตยปัจจุบัน กรอบความคิดนี้เป็นบทเตือนให้ประชาชนเข้าใจว่า

“อำนาจที่รวมศูนย์ย่อมทำลายคนใกล้อำนาจก่อนเสมอ และสุดท้ายทำลายสังคมทั้งระบบ”
และถ้าจะให้ทุกท่านนึกถึงรายชื่ออื่น ๆ ที่ีชะตากรรมอันหนักหนาไม่แพ้ผู้ที่กล้าลุกขึ้นท้าทายอำนาจเยี่ยงนี้ ที่อยู่ในคุก ถูกทำให้ตาย หรือต้องลี้ภัย ท่านคงบอกว่า ก็ดร. ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของเขาอย่างไรเล่า คือตัวอย่างร่วมสมัยที่สะท้อนว่าสิ่งที่กล่าวในบทความนี้ จริงทั้งในอดีตและปัจจุบัน แล้วก็คงเป็นไปอีกในอนาคต

เชิงอรรถ

  1. Finer, S. The History of Government. Oxford University Press, 1997.
  2. Loewe, M. The Cambridge History of China, Vol. 1. Cambridge University Press, 1986.
  3. Wright, A. The Sui and T’ang Dynasties. Routledge, 1990.
  4. Turnbull, S. The Samurai: A Military History. Macmillan, 1977.
  5. Loades, D. Thomas Cromwell. Amberley Publishing, 2013.
  6. Conquest, R. The Great Terror. Oxford University Press, 1990.
  7. United Nations Human Rights Council Report, 2019.
  8. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง. มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2544.
  9. นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระเจ้าตาก. มติชน, 2545.
  10. Baker, C. & Phongpaichit, P. A History of Thailand. Cambridge University Press, 2014.
  11. พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1–3.
  12. ราชกิจจานุเบกษา และประกาศทางการอื่น ๆ ระหว่าง พ.ศ. 2557–2566 (ข้อมูลสาธารณะ).

คันฉ่องส่องไทย: ยึดทรัพย์ชินวัตร—ความจริงที่แยกไม่ออกจากอำนาจ

 

1. การยึดทรัพย์ไม่ใช่แค่คดี แต่เป็นสงครามทางชนชั้นการเมือง

สิ่งที่ถูกยึดไปไม่ใช่แค่ “ทรัพย์” แต่คือ อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ–การเมือง ของเครือข่ายนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งขึ้นมาท้าทายระเบียบเดิมที่ผูกขาดประเทศมานานหลายทศวรรษ
เมื่อรัฐประหาร 2549 – 2557 ใช้กลไก “สอบ–ฟ้อง–ยึด–ล่า” เพื่อตัดขาดกำลังทุนของอีกฝ่าย นั่นคือสัญญาณว่าในไทย กฎหมายเป็นสนามรบ ไม่ใช่เครื่องทำความยุติธรรม

2. คตส. คือศาลเตี้ยเชิงสถาบันในนามของรัฐ

องค์กรที่ตั้งโดยคณะรัฐประหารย่อมสะท้อนเจตนารมณ์ของผู้ปฏิวัติ ไม่ใช่ประชาชน
คตส. ถูกออกแบบเพื่อ จัดการ” เครือข่ายทักษิณ โดยเฉพาะ
การไต่สวน–ยึดทรัพย์ 46,000 ล้าน จึงต้องมองว่าเป็นกระบวนการที่เกิดในสภาพแวดล้อมที่ขาดดุลประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง ผิดมีจริงก็ส่วนหนึ่ง แต่การเลือกเป้าเพียงฝ่ายเดียวคือ รอยด่างของกระบวนการยุติธรรมไทยทั้งระบบ

3. ไทยใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐานมานาน—ยึดเฉพาะคู่อำนาจ ไม่กล้ายึดพวกเดียวกัน

ในยุโรปหรืออเมริกา ผู้มีอำนาจใดก็ตาม หากใช้นโยบายเอื้อประโยชน์ตัวเอง ก็ต้องพบกับคดีอาญา–คดีแพ่ง–คดีอัยการอิสระ
แต่ในไทย

  • นักการเมืองฝ่ายทหาร–อนุรักษ์นิยม
  • ข้าราชการระดับสูง
  • กลุ่มทุนที่แนบชิดอำนาจ
  • ล้วน “รอดทุกคดี” แม้มีหลักฐานเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทตัวเองชัดเจน เพราะกระบวนการตรวจสอบ “ไม่เคยเริ่มต้น”

ขณะที่กรณีทักษิณ–ยิ่งลักษณ์ ถูกเล่นงานทุกช่องทาง ทั้งคดีอาญา คดีแพ่ง คดีภาษี การยึดทรัพย์ การยึดหนังสือเดินทาง การตัดสิทธิ
ทั้งหมดสะท้อนว่าไทย มีรัฐ แต่ไม่ค่อยมีนิติรัฐ

4. เงินที่ยึดแม้ไม่ได้ไปเข้ากระเป๋ากษัตริย์—แต่เสริมเกราะให้ระบอบที่ปกป้องสถาบัน

ตามตัวบทกฎหมาย เงินที่ยึดจากชินวัตรกลายเป็นทรัพย์ของ “รัฐไทย”
ไม่ได้เข้ากองทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
แต่…
เมื่ออำนาจของเครือข่ายทักษิณถูกทำลายลง ระบอบที่มีสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางก็ แข็งแรงขึ้น เพราะผู้ท้าทายอำนาจถูกปราบแล้ว
นี่คือผลประโยชน์เชิงโครงสร้าง—ไม่ใช่เชิงบัญชี
เงินอาจไม่ไปเข้าพระคลัง
แต่ “อำนาจต่อรอง” กลับเข้ามือระบอบเดิมอย่างเต็มรูปแบบ

5. คดีจำนำข้าว: บทเรียนของการใช้กฎหมายเป็นอาวุธ

ความเสียหายระดับนโยบายมีจริง นโยบายมีช่องโหว่จริง
แต่วิธีลงโทษยิ่งลักษณ์ในยุค คสช. คือการ “สั่งชดใช้ก่อน–พิสูจน์ภายหลัง”
ค่าชดใช้ 35,000 ล้านถูกวิจารณ์หนักจนศาลปกครองสูงสุดต้องลดลงเหลือ 10,000 ล้าน
นี่คือหลักฐานว่าระบบตรวจสอบไทย ขาดความยับยั้งชั่งใจ และถูกครอบงำด้วยความแค้นทางการเมืองมากกว่าความยุติธรรม
จุดประสงค์ไม่ใช่ “ทำให้รัฐได้เงินคืน”
แต่คือ “ทำลายตระกูลทางการเมืองให้สิ้นซาก”

6. กระบวนการยุติธรรมที่ดีต้อง “ไม่เลือกศัตรู” แต่ของไทยเลือกชัดเจน

มาตรฐานสิทธิมนุษยชนตะวันตกเรียกร้องให้รัฐ

  • ไม่เลือกปฏิบัติ
  • ไม่ใช้ศาลพิเศษจากรัฐประหาร
  • ไม่ใช้กฎหมายย้อนหลัง
  • ไม่ทำลายฝ่ายตรงข้ามเกินสัดส่วน

แต่ไทยทำครบทุกข้อในทางตรงกันข้าม
เมื่อรัฐประหารเข้ามาเป็น “ผู้พิทักษ์กฎหมาย” จะหวังความเป็นกลางได้อย่างไร?
ประเทศไทยจึงสร้าง ภาพลวงตาแห่งนิติรัฐ แต่จริง ๆ แล้วคือ “กฎหมายที่ต่อต้านอีกฝั่ง แต่ปกป้องพวกตัวเอง”

7. การยึดทรัพย์ชินวัตรคือสัญลักษณ์ของการต่อสู้ระหว่าง ‘รัฐประชาชน’ กับ ‘รัฐอำนาจเก่า’

ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์ผิดบางอย่างจริง ไม่สมบูรณ์แบบจริง
แต่ระบอบอำนาจเก่ากลับผิดมากกว่า—เพราะ

  1. ใช้กำลังยึดอำนาจ
  2. แต่งตั้งองค์กรมาไต่สวนเฉพาะฝ่ายที่ตนต้องการล้ม
  3. สร้างกลไกตุลาการภิวัตน์
  4. ใช้กฎหมายเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจ ไม่ใช่เพื่อความยุติธรรม

ไทยจึงไม่เคย “ชนะการคอร์รัปชัน”
แต่ไทย “ชนะศัตรูทางการเมือง” ด้วยการใช้ข้อหาคอร์รัปชันต่างหาก

8. ท้ายที่สุด… การยึดทรัพย์ไม่เคยแก้ปัญหาประเทศ—แต่ทำให้ประเทศกลับหลัง

หลังยึด 46,000 ล้าน
หลังตัดสิทธิ
หลังประหารทางการเมืองโดยกฎหมาย
ไทยได้อะไรกลับมา?

  • เศรษฐกิจล้มเหลว
  • เสรีภาพถดถอย
  • ความเชื่อมั่นต่างชาติหาย
  • ความแตกแยกขยาย
  • วงจรอำนาจเก่ากลับมาครองประเทศ

แต่สิ่งที่ไทย “ไม่ได้” คือ
กระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลาง และประเทศที่ก้าวไปข้างหน้า

9. ความจริงสุดท้าย: ไทยไม่ได้ขาดกฎหมาย—แต่ขาดความซื่อสัตย์ต่อการใช้กฎหมาย

ถ้าไทยใช้กฎหมายเพื่อประเทศ
เราคงมีศาลอิสระ อัยการอิสระ องค์กรตรวจสอบที่ไม่ใช่แขนของรัฐประหาร
แต่ไทยใช้กฎหมายเป็นเหมือน “ดาบ”
ฝ่ายที่ถือดาบปลอดภัย
ฝ่ายถูกฟันต้องตาย
นี่คือปัญหาที่ลึกกว่าคดีทักษิณหรือยิ่งลักษณ์มากนัก
ลึกถึง รากของรัฐไทยเอง

10. คันฉ่องส่องไทยที่แท้จริงจึงสะท้อนว่า:

“สิ่งที่ควรยึดไม่ใช่ทรัพย์ของนักการเมือง แต่คืออำนาจอันไม่อาจตรวจสอบได้ของระบอบเก่า และสิ่งที่ควรคืนให้ประชาชน ไม่ใช่เงิน แต่คือความยุติธรรมที่ถูกปล้นไปพร้อมกับรัฐประหาร.”

Monday, November 17, 2025

ประเทศไทยไม่ได้ติดหล่ม — แต่ถูก ตรึง

 


ภาพประกอบ : การรัฐประหาร 2549

มันไม่ใช่อุบัติเหตุ

มันไม่ใช่ความบังเอิญ


แต่มันคือการปฏิบัติการที่ยืดยาวกว่า 20 ปีเพื่อให้ประเทศนี้


เดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ให้ แต่ต้องยืนคาอยู่ตรงจุดที่ชนชั้นนำสั่งไว้

ใครก้าวออกนอกเส้น—ถูก “ผ่าออกจากเกม”

1) ประชาชนคือปัญหาในสายตาชนชั้นนำ

อำนาจเก่ามองประชาชนแบบเดียวกับที่ศาสตราจารย์มองเฟรชแมนที่เพิ่งเปิดเทอม
— “ยังโง่ ยังไม่พร้อมใช้สิทธิ ยังต้องถูกคุม”

ทันทีที่มีนักการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงเกินไป
ระบบจะเปิดโหมดป้องกันตัวทันที

ไม่ใช่เพราะเขากลัวนักการเมือง
แต่เพราะเขากลัว ประชาชนที่เริ่มคิดเองเป็น

ประเทศไทยเลยได้ประชาธิปไตยที่หมกไว้ในตู้กระจก
—แตะได้ แต่มือจะถูกตี

2) ทำลายทักษิณ = ทำลายเสียงของประชาชน

การทำลายทักษิณไม่ใช่เพราะเขาโกงมากกว่าใคร
แต่เพราะเขา “ได้รับความรักจากคนจนมากเกินไป”
มากจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อชนชั้นนำที่เคยผูกขาดการตัดสินใจของประเทศ

พรรคไหนชนะเลือกตั้งด้วยเสียงคนส่วนใหญ่
—สั่งยุบ
ผู้นำพรรคไหนมีเสน่ห์
—สั่งตัดสิทธิ
ขยับอะไรที่ประชาชนชอบแต่ชนชั้นนำไม่ชอบ
—สั่งฟันด้วยกฎหมายแบบเลือกเป้า

นี่ไม่ใช่การจัดระเบียบ
นี่คือ การผ่าตัดล้างความปรารถนาทางการเมืองของประชาชน

3) การดึงทักษิณกลับมา คือการใช้ศัตรูเก่ามาเป็น “เครื่องมือ”

ทักษิณไม่ได้กลับมาเพราะเขาได้รับการยกโทษ
แต่เพราะผู้มีอำนาจต้องการ “ไม้กันหมา”
เพื่อกันไม่ให้กระแสก้าวหน้ากลายเป็นพายุ

เขาไม่ได้กลับมาเดินอย่างสง่างาม
เขากลับมาแบบคนที่ถูกคล้องปลอกคอ
—อยู่ในคอกเมื่อถึงเวลา
—ออกมาขู่เมื่อถูกสั่ง
—ถูกยึดทรัพย์เมื่อจำเป็นต้องถูกเตือนว่าใครใหญ่กว่า

นี่คือการคุมตัวประกันทางการเมือง ไม่ใช่ "ปรองดอง" แม้แต่นิดเดียว

4) ประเทศที่มีเลือกตั้ง แต่ห้ามเปลี่ยนอำนาจจริง

ประเทศไทยกลายเป็นสนามที่เล่นละครเลือกตั้ง
แต่บทจะจบแบบไหน ผู้ชมไม่มีสิทธิตัดสิน
เพราะตอนจบถูกเขียนไว้แล้วหลังเวที

ประชาชนเลือกได้
แต่ถ้าผลที่เลือก “ไม่ถูกใจบนเขา”
—จะมีคดี
—จะมีมติ
—จะมีองค์กรอิสระ
—จะมีตีความกฎหมายแบบเฉพาะกิจ

ใช้ทุกอย่างทำได้
ยกเว้น “การยอมรับความจริงว่าประชาชนคือเจ้าของประเทศ”

5) สุดท้ายแล้ว… ประเทศถูกแช่แข็งด้วยความจงใจ

นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เติบโตช้า
นี่คือประชาธิปไตยที่ถูก จับโยกใส่ตู้แช่แข็ง -18°C

ขยับไม่ได้
โตไม่ได้
เลือกได้ แต่ใช้ไม่ได้
ชนะได้ แต่ปกครองไม่ได้

และเมื่อใดที่ประชาชนเริ่มรู้สึกตัวว่า “ประเทศนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”
ก็จะมีสื่อบางสำนัก องค์กรบางกลุ่ม อำนาจบางชุด
ออกมาบอกว่า


“อย่าคิดมาก ประเทศไทยดีอยู่แล้ว 

ประชาชนแค่ต้องเชื่อฟัง”

Sunday, November 16, 2025

ความสัมพันธ์การค้าไทย-สหรัฐ: ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย โดยสหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นกว่า 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยในปี 2025 สินค้าส่งออกหลักจากสหรัฐมายังไทย ได้แก่ เชื้อเพลิงแร่ธาตุ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักร ขณะที่สินค้านำเข้าหลักจากไทยไปสหรัฐคือ สินค้าทุน (เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์) สินค้าอุปโภคบริโภค (เช่น โทรศัพท์มือถือและเสื้อผ้า) และยานยนต์กับชิ้นส่วน การค้านี้ส่งผลให้ไทยมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐสูงถึง 45.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ซึ่งคิดเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยการค้าทั้งหมด (ส่งออกและนำเข้ากับทุกคู่ค้า) คิดเป็นประมาณ 137% ของ GDP ไทยในปี 2024 แสดงให้เห็นว่าการค้าต่างประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของไทย

ในทางตรงกันข้าม การค้าของสหรัฐกับไทยคิดเป็นสัดส่วนน้อยมาก น้อยกว่า 1% ของ GDP สหรัฐ โดยการค้ากับกลุ่มอาเซียนทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 571.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ซึ่งเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น สำนักสำมะโนประชากรสหรัฐและตัวแทนการค้าสหรัฐ
เมื่อมองไปยังความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดโดยรวมของไทย จีนครองสัดส่วนนำเข้าถึง 26.2% ของนำเข้าทั้งหมดในปี 2024 โดยไทยนำเข้าจากจีนสูงถึง 69.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ส่งออกไปจีนอยู่ที่ 35.2-44.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การพึ่งพาจีนที่เพิ่มขึ้นนี้ (นำเข้าเติบโต 29.98% ในช่วงล่าสุด) ทำให้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงต่อความผันผวนจากจีน เช่น การแข่งขันจากสินค้าจีนราคาถูกที่คุกคามอุตสาหกรรมไทย
ในบริบทของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐ-จีน คนไทยควรตระหนักว่าการรักษาสัมพันธภาพอันดีกับสหรัฐเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพื่อกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ สร้างสมดุลการค้า และรักษาตำแหน่งของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก หากละเลย ไทยอาจตกอยู่ในภาวะพึ่งพาจีนมากเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว