ความภักดีต่อกษัตริย์และทรราชในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ:
บทสังเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและกรณีศึกษาของประเทศไทย
บทสังเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและกรณีศึกษาของประเทศไทย
บทคัดย่อ
งานศึกษานี้วิเคราะห์รูปแบบซ้ำของประวัติศาสตร์โลกที่สะท้อนให้เห็นว่า “ความจงรักภักดีต่อกษัตริย์หรือผู้นำเผด็จการ” มิได้เป็นหลักประกันความปลอดภัยของผู้รับใช้ แต่อาจกลับกลายเป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกกำจัด เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ หรือเมื่อผู้ปกครองเกิดความหวาดระแวง ข้อเขียนนี้วิเคราะห์กรณีศึกษาสำคัญจากจีน ญี่ปุ่น ยุโรป และตะวันออกกลาง ก่อนเปรียบเทียบกับกรณีในประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่อยุธยา ธนบุรี จนถึงยุครัตนโกสินทร์ เพื่อชี้ให้เห็น “กฎเหล็กของระบอบอำนาจส่วนบุคคล” ที่ปรากฏอย่างต่อเนื่องและไร้ข้อยกเว้น
1. บทนำ
ปรากฏการณ์ที่มนุษย์มอบความภักดีอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูให้กษัตริย์หรือผู้นำอำนาจนิยม ปรากฏตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ทว่า “ความภักดี” ในโครงสร้างอำนาจที่อาศัยบุคคลเป็นศูนย์กลาง (personalist authority) กลับมักไร้หลักประกัน เพราะระบอบเช่นนี้มีลักษณะสำคัญคือ ความไม่แน่นอนของอำนาจ การเปลี่ยนขั้วรวดเร็ว และความหวาดระแวงภายในราชสำนัก [1] ผู้รับใช้ใกล้ชิดจึงกลายเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่สุดต่อการถูกกำจัด หายไปจากประวัติศาสตร์ หรือถูกลบล้างความดีความชอบเมื่อผู้นำเปลี่ยนใจ
2. ประวัติศาสตร์โลก: ผู้ภักดีที่จบไม่สวย
2.1 จีน: ความหวาดระแวงในราชสำนักและการทำลายผู้รู้ความลับ
จีนเป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนของปรากฏการณ์นี้ กรณีของ หลี่ซือ (Li Si) อัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ฉิน ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างจักรวรรดิให้ฉินสื่อหวงตี้ แต่หลังจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ กลุ่มอำนาจใหม่ได้ใส่ร้ายและลงโทษเขาอย่างโหดร้าย จนถูกทรมานและประหารในที่สุด [2] เหตุการณ์นี้สะท้อนโครงสร้างการเมืองที่ผู้รับใช้ใกล้ตัวมีค่าเฉพาะเมื่อผู้นำเดิมยังมีอำนาจอยู่เท่านั้น
อีกกรณีหนึ่งคือ เว่ยเจิง (Wei Zheng) ขุนนางผู้ตักเตือนจักรพรรดิไท่จงอย่างตรงไปตรงมา งานศึกษาหลายชิ้นชี้ว่า แม้เขาจะได้รับการยกย่องในฐานะ “ขุนนางสัตย์ซื่อ” แต่ก็เผชิญแรงต่อต้านจากฝ่ายใน เพราะความซื่อตรงที่แตะต้องอำนาจโดยตรง กลายเป็นสิ่งที่ราชสำนักไม่อาจควบคุมได้ [3]
2.2 ญี่ปุ่น: ซามูไรผู้ภักดีแต่ถูกใช้แล้วทอดทิ้ง
ในบริบทของญี่ปุ่น ศักดินานิยมทหารได้สร้างโครงสร้างความภักดีแบบสุดขั้วเช่นเดียวกัน กรณีของ อาเคจิ มิตสึฮิเดะ ซึ่งรับใช้โอดะ โนบุนากะอย่างซื่อสัตย์ แต่ถูกดูหมิ่นและทำลายศักดิ์ศรีซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนำไปสู่การก่อกบฏในเหตุการณ์ที่รู้จักในชื่อว่า “เหตุการณ์ฮนโนจิ” (Honnō-ji Incident) ก่อนที่เขาจะถูกกำจัดภายในเวลาไม่กี่วัน [4] กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า “ความภักดี” เพียงลำพังไม่อาจหยุดความโหดร้ายของโครงสร้างอำนาจที่ขึ้นกับอารมณ์ของผู้ปกครอง
2.3 ยุโรป: ราชสำนักอังกฤษและการม้วนพรมทิ้งผู้รับใช้
โธมัส ครอมเวลล์ (Thomas Cromwell) เป็นแบบอย่างระดับโลกของผู้รับใช้ที่ถูกทิ้งอย่างไร้เยื่อใย เขารับใช้พระเจ้าเฮนรีที่ 8 อย่างสุดกำลัง จัดการการสมรส การหย่าร้าง และการประหารพระมเหสีตามพระประสงค์ แต่เมื่อความไว้วางใจลดลงเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็มีรับสั่งให้ตัดศีรษะเขาอย่างรวดเร็ว [5] กรณีนี้สะท้อน “กฎแห่งบัลลังก์อังกฤษ” ที่ว่า ผู้รับใช้ที่รู้ความลับของพระราชา หรือเป็นผู้สร้างบัลลังก์ให้มั่นคง คือคนที่ถูกกำจัดก่อนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
2.4 โซเวียต: ทรราชที่กลืนลูกน้องตนเอง
ในยุคของ โจเซฟ สตาลิน ตำแหน่งหัวหน้าตำรวจลับ NKVD เป็นหนึ่งในตำแหน่งที่อันตรายที่สุดในระบบการเมืองโซเวียต นิโคไล เยโซฟ (Nikolai Yezhov) ผู้บังคับบัญชาการกวาดล้างใหญ่ (Great Purge) ที่มีผู้เสียชีวิตและถูกจำคุกจำนวนมหาศาล ถูกสตาลินสั่งจับ ทรมาน และประหารในเวลาต่อมา [6] กรณีนี้ตอกย้ำว่า ในระบอบทรราช ผู้รับใช้ยิ่งฆ่าเพื่อระบอบมากเท่าไร ยิ่งใกล้ความตายของตนเองมากเท่านั้น
2.5 ตะวันออกกลาง: ผู้ภักดีที่ถูกสังหารเพียงเพราะวิจารณ์
กรณีของ จามาล กอชอกกี (Jamal Khashoggi) ผู้สื่อข่าวและที่ปรึกษาราชสำนักซาอุฯ เป็นตัวอย่างร่วมสมัยของการที่ผู้รับใช้ยาวนานกว่า 30 ปี ถูกล่อให้เข้าสถานทูตและถูกสังหารอย่างโหดร้าย เพียงเพราะวิจารณ์อำนาจและแนวทางการปฏิรูปของผู้นำ [7] กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า ระบอบที่ยึด “ความจงรักภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข” เป็นหัวใจ สามารถลงมือทำลายชีวิตผู้เคยรับใช้ได้ทันทีที่เห็นว่าบุคคลนั้นไม่ภักดี 100%
3. กฎเหล็กสากล: โครงสร้างอำนาจแบบราชสำนักและทรราช
จากกรณีศึกษาทั้งหมด สามารถสังเคราะห์เป็น “กฎเหล็กของประวัติศาสตร์อำนาจส่วนบุคคล” ได้ดังนี้
1) อำนาจส่วนบุคคลผลิต ความหวาดระแวงเป็นระบบ;
2) ผู้ใกล้ชิดที่สุดคือผู้ที่ เสี่ยงที่สุด;
3) ความภักดีไม่มีค่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจ;
4) ผู้รู้ความลับของราชสำนักมักถูกทำลายก่อนเสมอ;
5) ระบอบที่ไม่ยืนบนหลักนิติรัฐ ใช้อารมณ์และความกลัวเป็นกลไกหลักในการควบคุม.
กฎเหล่านี้ปรากฏร่วมกันเกือบทุกวัฒนธรรมและทุกยุคสมัย ไม่ว่าระบบการปกครองจะอ้างศาสนา ประเพณี หรืออุดมการณ์การเมืองรูปแบบใดก็ตาม
4. กรณีศึกษาในประวัติศาสตร์ไทย: จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์
4.1 คอนสแตนติน ฟอลคอน (เจ้าพระยาวิชาเยนทร์)
ฟอลคอนเป็นหนึ่งในขุนนางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มีบทบาทสำคัญด้านการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แต่เมื่อพระองค์ประชวรและเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจอย่างฉับพลันในราชสำนักอยุธยา ฟอลคอนถูกจับ ทรมาน และประหารชีวิตในปี พ.ศ. 2231 [8] กรณีนี้เป็นแบบอย่างชัดเจนของการที่ผู้รับใช้สูญชีวิตทันทีเมื่อ “ร่มเงาของกษัตริย์” หายไป
4.2 แม่ทัพและขุนนางในยุคสมเด็จพระเจ้าตากสิน
หลังการสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสิน บุคคลใกล้ชิดหลายคนถูกลงโทษ ประหาร หรือหายไปจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ ส่วนหนึ่งเนื่องจากการจัดระเบียบความชอบธรรมของอำนาจใหม่ [9] นักประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งอภิปรายว่า โครงสร้างอำนาจในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทำให้การลบความทรงจำและการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง [10]
4.3 ขุนนางและตระกูลใหญ่ในรัตนโกสินทร์ตอนต้น–กลาง
พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ระบุกรณีของขุนนางจำนวนหนึ่งที่ถูกริบทรัพย์ โบย หรือประหารเพียงเพราะถูกกล่าวหาว่าไม่ซื่อ หรือทำการผิดพระราชอัธยาศัย แม้มิใช่ความผิดร้ายแรง [11] กรณีเหล่านี้สะท้อนโครงสร้างอำนาจที่ความปลอดภัยของผู้รับใช้ขึ้นอยู่กับความโปรดปรานจากเบื้องบน มากกว่าหลักกฎหมายที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร
4.4 บุคคลใกล้ชิดที่ถูกถอด ย้าย หรือยึดตำแหน่งในยุคปัจจุบัน
เอกสารข่าวร่วมสมัยในไทย เช่น ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ระบุชัดถึงหลายกรณีของบุคคลใกล้ชิดราชสำนักที่ถูกถอดยศ ถอนเบี้ยหวัด ปลดจากตำแหน่งทหาร–ตำรวจ หรือถูกดำเนินคดีอาญา โดยมีการให้เหตุผลในเชิง “ประพฤติตนไม่สมควร” หรือ “กระทำผิดวินัยร้ายแรง” ในลักษณะที่ตีความได้กว้าง [12]
แม้รายละเอียดเชิงลึกของแต่ละกรณีจะต้องวิเคราะห์อย่างระมัดระวัง แต่รูปแบบที่เกิดซ้ำคือ “ความโปรด–ไม่โปรด” ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้อย่างฉับพลัน สอดคล้องกับกฎเหล็กที่พบในประวัติศาสตร์โลกว่าระบอบบุคคลนิยมไม่อาจรับประกันความปลอดภัยให้ผู้รับใช้ใด ๆ แม้จะมีประวัติการภักดีมาอย่างยาวนานก็ตาม
5. วิเคราะห์เชิงสังเคราะห์: เหตุใดผู้ภักดีจึงเสี่ยงที่สุด
จากทั้งโลกและไทย สามารถสรุปเป็นสมมติฐานเชิงโครงสร้างได้ว่า:
1) ระบอบบุคคลนิยมมีศูนย์กลางเดียว ความปลอดภัยของผู้คนขึ้นอยู่กับอารมณ์และการประเมินของผู้นำ มากกว่าหลักกฎหมาย;
2) ความภักดีที่แรงเกินไปสามารถกลับกลายเป็นภัย เพราะผู้ปกครองอาจหวาดระแวงว่าผู้ภักดีกำลังสะสมอำนาจหรืออิทธิพลมากเกินรับได้;
3) เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ ผู้ภักดีของคนเก่ามักถูกมองว่าเป็นศัตรูของคนใหม่ จึงตกเป็นเป้าของการกำจัดเพื่อลดความเสี่ยงทางการเมือง;
4) ยิ่งใกล้บัลลังก์ ยิ่งรู้ความลับ การกำจัดผู้รับใช้ใกล้ชิดจึงเป็นวิธีปิดปากและปิดประวัติศาสตร์ที่ง่ายที่สุด.
ประวัติศาสตร์ทั้งใบให้บทเรียนเดียวกันว่า ระบอบที่ไม่มีหลักนิติรัฐและสถาบันตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็ง ย่อมไม่สามารถคุ้มครองผู้รับใช้ใด ๆ ได้ แม้จะภักดีเพียงใด
6. บทสรุป
งานศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ความภักดีต่อกษัตริย์หรือทรราชเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงบุคคล โครงสร้างอำนาจแบบส่วนบุคคลหรือราชสำนัก สร้างความหวาดระแวงเป็นระบบ และผู้ใกล้ชิดที่สุดมักเป็นผู้ที่จบไม่สวยที่สุด ไม่ว่าจะในจีน ญี่ปุ่น ยุโรป โซเวียต ตะวันออกกลาง หรือประเทศไทย
7. บุคคลสำคัญในสังคมไทยที่ยืนอยู่ใต้โครงสร้าง “ชาติ–ศาสน์–กษัตริย์” แต่จบไม่สวย
ปรีดี พนมยงค์ คือกรณีคลาสสิกของปัญญาชนผู้ก่อตั้งระบอบใหม่ให้ราชวงศ์ แต่กลับถูกผลักออกจากชาติในฐานะ “ราชาศัตรู” เขาเป็นผู้นำคณะราษฎรคนสำคัญ ผู้ทำให้สยามเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และยังทำหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8 ขณะพระมหากษัตริย์เสด็จไปศึกษาในยุโรป ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์อย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม หลังเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่ 8 เมื่อ พ.ศ. 2489 กระแสทางการเมืองและชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษนิยมได้ผลักดันให้ปรีดีถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ แม้จะไม่มีหลักฐานพิสูจน์อย่างเป็นทางการก็ตาม การรัฐประหาร พ.ศ. 2490 และความล้มเหลวของความพยายาม “กู้ชาติ” ในปี 2492 ส่งผลให้ปรีดีต้องลี้ภัยต่างประเทศและไม่เคยได้กลับมาตายในผืนแผ่นดินไทย ชีวิตของเขาจึงสะท้อนโครงสร้างอำนาจที่สามารถเปลี่ยน “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ให้กลายเป็น “ผู้ต้องสงสัย” และ “ผู้ลี้ภัยทางการเมือง” ได้ในชั่วเวลาไม่กี่ปี[13]
ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นตัวอย่างของข้าราชการเทคนิคที่จงรักภักดีต่อระบอบ “ชาติ–ศาสน์–กษัตริย์” อย่างเปิดเผย เขาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่อายุน้อยที่สุดและนั่งรับผิดชอบยาวนานที่สุด วางรากฐานเสถียรภาพการเงินและงบประมาณรัฐจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ พร้อมทั้งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แม้ป๋วยจะยืนบนหลักสันติประชาธรรม ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงของทั้งรัฐและฝ่ายนักศึกษา แต่หลังการสังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์ เขากลับถูกฝ่ายขวาและกระแสชาตินิยมจัดวางให้เป็น “ตัวการเบื้องหลัง” ของขบวนการนักศึกษา ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และ “ทำลายเอกภาพของชาติ” จนต้องขึ้นเครื่องลี้ภัยออกนอกประเทศในวันเดียวกับที่เหตุการณ์ยังร้อนระอุ แล้วใช้ชีวิตบั้นปลายในอังกฤษพร้อมสภาพร่างกายที่อ่อนแรงจากโรคหลอดเลือดสมอง กรณีของป๋วยจึงสะท้อนว่า แม้จะเป็น “ข้าราชการพระราชทานเครื่องราชย์” และเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ ก็ไม่อาจรอดพ้นจากการถูกทำให้เป็น “คนชายขอบของชาติ” ได้ เมื่อโครงสร้างอำนาจและวาทกรรมชาตินิยมเปลี่ยนเป้า[14]
จอมพล ป. พิบูลสงคราม แม้มักถูกจดจำในฐานะผู้นำทหารที่ท้าทายและลดบทบาทสถาบันกษัตริย์ในยุคแรก แต่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาพยายามปรับตัวเข้าหาอุดมการณ์ “ชาติ–ศาสน์–กษัตริย์” และผูกสายสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาในบริบทสงครามเย็น ระบอบของจอมพล ป. เต็มไปด้วยการใช้สถาบันกษัตริย์เป็นหนึ่งในเสาหลักความชอบธรรมใหม่ ทว่ารัฐประหาร พ.ศ. 2500 ที่นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมีฐานสนับสนุนฝั่งราชสำนักอย่างเข้มแข็ง กลับโค่นอำนาจของเขาลงอย่างสิ้นเชิง จอมพล ป. ถูกบังคับให้ลี้ภัยออกนอกประเทศ และไปเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในญี่ปุ่น ก่อนที่อัฐิของเขาจะถูกนำกลับประเทศไทยภายหลัง จบชีวิตจากผู้นำสูงสุดของชาติและผู้เคยควบคุมเครื่องมือรัฐ กลายเป็น “อดีตผู้นำที่ตายต่างแดน” แสดงให้เห็นว่าการเล่นเกมอำนาจกับสถาบันกษัตริย์และกองทัพนั้น ไม่ได้มีหลักประกันใด ๆ แม้สำหรับผู้นำเผด็จการเอง[15]
ควง อภัยวงศ์ เป็นนักการเมืองสายราชวงศ์และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในยุคต้น เขาเป็นที่รู้กันว่ามีความใกล้ชิดกับชนชั้นนำและสถาบันกษัตริย์ รัฐประหาร พ.ศ. 2490 ที่โค่นกลุ่มของปรีดีและเปิดทางให้ฝ่ายนิยมเจ้า กลับดึงควงขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เพียงปีถัดมา กลุ่มรัฐประหาร 2490 เดิมเองก็หันมาโค่นรัฐบาลควงในการรัฐประหาร พ.ศ. 2491 บีบให้ต้องลาออกจากตำแหน่ง กรณีนี้สะท้อนว่า แม้จะอยู่ “ข้างราชสำนัก” ในเชิงอุดมการณ์ แต่เมื่อกลไกอำนาจทหาร–ราชสำนักต้องการจัดระเบียบใหม่ นักการเมืองก็สามารถถูกใช้เป็นสะพานชั่วคราวแล้วผลักตกน้ำในเวลาอันสั้น[16]
หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นเชื้อพระวงศ์นักกฎหมายและนักการทูต มีบทบาทสำคัญในขบวนการเสรีไทยฝ่ายสหรัฐฯ เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง โดยปฏิเสธไม่ยื่นคำประกาศสงครามต่อสหรัฐฯ ตามคำสั่งรัฐบาลจอมพล ป. ภายหลังสงคราม เขาเป็นนายกรัฐมนตรีหลายสมัยในฐานะผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ และวางตัวเป็นฝ่ายราชนิยมชัดเจน ทว่าหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รัฐบาลเสนีย์ก็ถูกกองทัพโค่นลงอย่างรวดเร็ว และแทนที่ด้วยรัฐบาลสายขวาจัดของธานินทร์ กรัยวิเชียร ชะตากรรมทางการเมืองของเสนีย์จึงชี้ให้เห็นว่า แม้จะเป็น “คนของระบอบเก่า” หรืออยู่ใกล้สถาบันเพียงใด ก็สามารถถูกโค่นเพื่อเปิดทางให้ระบอบเผด็จการทางการเมืองที่แข็งกว่ายึดอำนาจได้เสมอ[17]
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นตัวอย่างร่วมสมัยของปัญญาชนที่นิยามตนเองว่าเป็น “มิตรแท้ของสถาบันกษัตริย์” วิพากษ์เพื่อให้สถาบันปรับตัวและอยู่ได้ในระยะยาว แต่กลับถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) หลายครั้ง ตั้งแต่ทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา รวมถึงกรณีการตั้งคำถามต่อพระราชพงศาวดารว่าด้วยการชนช้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งเป็นข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ล้วน ๆ การที่ปัญญาชนซึ่งยืนยันว่าตนจงรักภักดีต่อสถาบัน ยังถูกใช้กฎหมายพิเศษเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนโครงสร้างที่ไม่สามารถรองรับ “มิตรที่พูดความจริง” ได้ และตอกย้ำว่าในระบบที่ใช้สถาบันกษัตริย์เป็นแกนหลักของความชอบธรรม แม้แต่ผู้ปรารถนาดีต่อสถาบัน ก็อาจพบจุดจบทางกฎหมายและชื่อเสียงที่ไม่งดงามนัก[18]
อัญชัน ปรีเลิศ ข้าราชการบำนาญสตรีวัยชราเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ “ผู้รับใช้รัฐ” ที่ถูกกระบวนการยุติธรรมบดขยี้ แม้จะมิได้มีบทบาทระดับผู้นำเหมือนบุคคลข้างต้น เธอถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลารวม 87 ปี (ลดเหลือ 43 ปีจากการรับสารภาพ) จากการแชร์คลิปเสียงที่ถูกมองว่าหมิ่นสถาบันกษัตริย์ผ่านอินเทอร์เน็ต และต้องรับโทษจำคุกจริงกว่า 8 ปี ก่อนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษและพ้นโทษ ชะตากรรมของอัญชันชี้ให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ผู้นำหรือปัญญาชนเท่านั้น หากแต่ข้าราชการระดับล่างและประชาชนที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในระบบราชการเอง ก็อาจตกเป็น “เหยื่อประกอบสร้าง” เพื่อแสดงให้สังคมเห็นอำนาจของกฎหมายที่ใช้ปกป้องสถาบันกษัตริย์เช่นกัน[19]
ประวัติศาสตร์ไทยมิใช่ข้อยกเว้น และรูปแบบดังกล่าวยังปรากฏในยุคปัจจุบันผ่านประกาศของรัฐอย่างเป็นทางการ ในมิติของสังคมประชาธิปไตยปัจจุบัน กรอบความคิดนี้เป็นบทเตือนให้ประชาชนเข้าใจว่า
“อำนาจที่รวมศูนย์ย่อมทำลายคนใกล้อำนาจก่อนเสมอ และสุดท้ายทำลายสังคมทั้งระบบ”
และถ้าจะให้ทุกท่านนึกถึงรายชื่ออื่น ๆ ที่ีชะตากรรมอันหนักหนาไม่แพ้ผู้ที่กล้าลุกขึ้นท้าทายอำนาจเยี่ยงนี้ ที่อยู่ในคุก ถูกทำให้ตาย หรือต้องลี้ภัย ท่านคงบอกว่า ก็ดร. ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของเขาอย่างไรเล่า คือตัวอย่างร่วมสมัยที่สะท้อนว่าสิ่งที่กล่าวในบทความนี้ จริงทั้งในอดีตและปัจจุบัน แล้วก็คงเป็นไปอีกในอนาคต
เชิงอรรถ
- Finer, S. The History of Government. Oxford University Press, 1997.
- Loewe, M. The Cambridge History of China, Vol. 1. Cambridge University Press, 1986.
- Wright, A. The Sui and T’ang Dynasties. Routledge, 1990.
- Turnbull, S. The Samurai: A Military History. Macmillan, 1977.
- Loades, D. Thomas Cromwell. Amberley Publishing, 2013.
- Conquest, R. The Great Terror. Oxford University Press, 1990.
- United Nations Human Rights Council Report, 2019.
- ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง. มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2544.
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระเจ้าตาก. มติชน, 2545.
- Baker, C. & Phongpaichit, P. A History of Thailand. Cambridge University Press, 2014.
- พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1–3.
- ราชกิจจานุเบกษา และประกาศทางการอื่น ๆ ระหว่าง พ.ศ. 2557–2566 (ข้อมูลสาธารณะ).

No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.