ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Saturday, November 15, 2025

จีนกับ “สงครามไร้ขีดจำกัด” ต่อสหรัฐอเมริกา

จีนกับ “สงครามไร้ขีดจำกัด” ต่อสหรัฐอเมริกา: การวิเคราะห์เชิงวิชาการว่าด้วยยุทธศาสตร์บ่อนเซาะระยะยาวต่อโลกเสรี

บทนำ

ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา แนวคิด “สงครามไร้ขีดจำกัด” (Unrestricted Warfare – 超限战) ของทหารจีนถูกหยิบยกขึ้นมาอธิบายความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมู่นักยุทธศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายของโลกเสรี แนวคิดนี้เสนอว่าประเทศที่ด้อยกว่าทางการทหารแบบดั้งเดิมสามารถเอาชนะคู่แข่งที่เหนือกว่าได้ หากกล้า “ขยายสนามรบ” ออกจากกรอบการรบทางทหาร ไปสู่อาวุธรูปแบบใหม่ เช่น การเงิน เทคโนโลยี ไซเบอร์ ข้อมูล การก่อการร้าย การกดดันทางกฎหมาย และอื่น ๆ ที่ไม่เคยถูกนับเป็นสงครามในความหมายแบบเดิม

บทความนี้มีเป้าหมายเพื่อ (1) สรุปสาระสำคัญของแนวคิด Unrestricted Warfare ตามต้นฉบับของ Qiao Liang และ Wang Xiangsui, (2) วิเคราะห์การตีความและการใช้งานในมุมมองนักวิชาการร่วมสมัย, (3) แสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่ารัฐจีนได้นำหลักคิดใกล้เคียงนี้ไปใช้ในการบ่อนเซาะและทำให้สหรัฐฯ เปราะบางลงในหลายมิติ และ (4) สะท้อนข้อจำกัดเชิงวิชาการเพื่อไม่ให้การวิเคราะห์กลายเป็นเพียงวาทกรรมโฆษณาชวนเชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

1. ที่มาของแนวคิด “สงครามไร้ขีดจำกัด”

1.1 หนังสือของ Qiao Liang และ Wang Xiangsui (1999)

หนังสือ Unrestricted Warfare แต่งโดยนายทหารอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) สองนาย คือ Qiao Liang และ Wang Xiangsui ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1999 โดยสำนักพิมพ์ของกองทัพเอง ซึ่งสะท้อนว่ามิใช่งานส่วนตัวไร้น้ำหนัก แต่เป็นงานความคิดทางทหารที่ได้รับการยอมรับระดับหนึ่งในโครงสร้างของ PLA

จุดตั้งต้นของหนังสือคือคำถามว่า เมื่อสงครามสมัยใหม่ถูกกำหนดโดยมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ซึ่งมีอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจ การทหาร และเทคโนโลยี ประเทศที่อ่อนแอกว่าจะ “ต่อสู้” อย่างไร โดยผู้เขียนเสนอให้ “ไม่จำกัดการทำสงครามไว้แต่ในกรอบทหาร” แต่ให้ใช้เครื่องมือทุกชนิดที่สร้างแรงกดดันทางยุทธศาสตร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการเงิน (financial war), สงครามการค้า (trade war), สงครามกฎหมาย (legal war), สงครามสื่อและข้อมูล (media & information war) รวมถึงการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนในเชิงไซเบอร์และเศรษฐกิจ

1.2 มุมมองของนักวิชาการร่วมสมัย

งานของ Wójtowicz และ Król (2021) ได้สังเคราะห์แนวคิดนี้อย่างเป็นระบบว่า “สงครามไร้ขีดจำกัด” คือกรอบคิดที่มองสงครามในฐานะ “การใช้ทุกทรัพยากรของรัฐ” เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง โดยไม่จำกัดที่เครื่องมือทางทหารอีกต่อไป และเน้นการโจมตี “จุดอ่อนโครงสร้าง” ของศัตรู เช่น ความเปราะบางทางการเงิน การพึ่งพาซัพพลายเชน เทคโนโลยี หรือการใช้กฎหมายระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือบิดเบือนผลประโยชน์ของคู่แข่ง

งานศึกษาทางทหารของสหรัฐฯ เช่น Military Review ก็ยืนยันว่าหนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลในหมู่นักคิดด้านความมั่นคงทั่วโลก และฉายภาพสงครามยุคใหม่ว่าเป็นการใช้ “ทุกวิธีการ ทั้งทางทหารและไม่ใช่ทหาร” เพื่อบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามยอมตามเจตจำนงของรัฐผู้รุกราน

2. “สงครามไร้ขีดจำกัด” ไม่ใช่แผนแม่บททางการอย่างเป็นทางการ – แต่เป็นกรอบคิดที่ทรงอิทธิพล

มีข้อถกเถียงสำคัญในหมู่นักวิจัยตะวันตกว่า ไม่ควร “ยกหนังสือเล่มเดียว” ไปเท่ากับ “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ของจีนทั้งหมด Josh Baughman แห่ง China Aerospace Studies Institute (CASI) ของกองทัพอากาศสหรัฐชี้ว่า การมอง Unrestricted Warfare เป็น “master plan” ของจีนทั้งประเทศเป็นการอ่านเกินจริง และอาจทำให้ตัดสินใจเชิงนโยบายผิดพลาด

อย่างไรก็ตาม Baughman ก็ยอมรับว่า หนังสือเล่มนี้สะท้อน “วิธีคิดแบบหนึ่ง” ภายใน PLA ว่าด้วยการขยายขอบเขตการใช้เครื่องมือไม่ใช่ทหาร เพื่อได้เปรียบในความขัดแย้งกับสหรัฐฯ และแนวคิดลักษณะเดียวกันนี้ก็พบได้ในเอกสารทางทหารและงานวิชาการจีนจำนวนมากหลังจากนั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ Unrestricted Warfare จะไม่ใช่ “ประกาศนโยบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีน” แต่ก็ทำหน้าที่เป็น “กรอบคิดเชิงแนวคิด (conceptual frame)” ที่ขยายขอบเขตจินตนาการเชิงยุทธศาสตร์ของจีน และถูกใช้โดยนักวิเคราะห์ตะวันตกเป็นเลนส์สำคัญในการอ่านพฤติกรรมจริงของจีนต่อสหรัฐฯ

3. ลักษณะสำคัญของ “สงครามไร้ขีดจำกัด”

จากการสังเคราะห์ทั้งจากต้นฉบับและงานวิชาการร่วมสมัย สามารถสรุปลักษณะของ Unrestricted Warfare ได้อย่างน้อย 4 ประการ:

  1. การผสมเครื่องมือทางทหารและไม่ใช่ทหาร – ไม่แยก “สงคราม” ออกจาก “สันติภาพ” อย่างชัดเจน แต่ถือว่าทุกมิติของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐสามารถกลายเป็น “สนามรบ” ได้ เช่น ตลาดทุน เทคโนโลยี เครือข่ายสังคมออนไลน์ การพึ่งพาห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น
  2. การโจมตีจุดอ่อนเชิงโครงสร้าง (systemic vulnerabilities) – แทนที่จะเผชิญหน้ากองทัพสหรัฐโดยตรง จีนเลือกโจมตีความเปราะบางของสหรัฐในมิติอื่น เช่น หนี้สาธารณะ การพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบสื่อเสรีที่เปิดให้ข้อมูลเท็จแทรกซึมได้ง่าย เป็นต้น
  3. การยืดเวลาความขัดแย้งแบบ “ศึกยืดเยื้อ” – เป้าหมายไม่ใช่ชัยชนะฉับพลัน แต่คือการกัดเซาะระยะยาวให้คู่แข่งอ่อนแรง สูญเสียทรัพยากร สูญเสียความเชื่อมั่นจากประชาชนและพันธมิตร จนขาดศักยภาพในการรักษาระเบียบโลกที่ตนเคยเป็นแกนกลางอยู่
  4. การพร่าเลือนเส้นแบ่งระหว่างรัฐ–เอกชน–อาชญากรรม – เครื่องมือที่ใช้ไม่จำเป็นต้องมาจากรัฐโดยตรง แต่อาจเป็นบริษัท รัฐวิสาหกิจ เครือข่ายอาชญากรรม หรือ “ตัวแสดง” ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับรัฐในระดับต่าง ๆ ซึ่งทำให้ยากต่อการระบุความรับผิดชอบ

4. หลักฐานเชิงประจักษ์: จีนใช้ “สงครามไร้ขีดจำกัด” ต่อสหรัฐฯ อย่างไร

ส่วนนี้จะชี้ให้เห็นว่า การมองจีนว่า “เพียงแค่คู่แข่งทางเศรษฐกิจที่เล่นอยู่ในกติกาเดียวกัน” ไม่สอดคล้องกับหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ว่ารัฐจีนใช้เครื่องมือหลากหลายเพื่อบ่อนเซาะความได้เปรียบของสหรัฐฯ ในระดับโครงสร้าง

4.1 จารกรรมเศรษฐกิจและการขโมยเทคโนโลยี

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DoJ) ประกาศอย่างเป็นทางการในปี 2020 ว่าได้ฟ้องนายทหารสี่นายจากกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้แฮ็กบริษัทเครดิตรายใหญ่ Equifax ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกันราว 145–148 ล้านคนรั่วไหล และเชื่อมโยงกับข้อหาจารกรรมทางเศรษฐกิจและขโมยความลับทางการค้า

รายงานของรัฐสภาสหรัฐชี้ด้วยว่า ประมาณ 80% ของคดีจารกรรมเศรษฐกิจของรัฐบาลกลางมีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน หรือผู้กระทำที่เชื่อมโยงกับจีน ข้อมูลจาก CSIS ซึ่งรวบรวมคดีจารกรรมจีนในสหรัฐระหว่างปี 2000 เป็นต้นมาระบุว่ามีกรณีที่เปิดเผยต่อสาธารณะแล้วกว่า 200 คดี ตั้งแต่ด้านชิป วัสดุขั้นสูง การบินอวกาศ ไปจนถึงไบโอเทคและปัญญาประดิษฐ์

สิ่งเหล่านี้สะท้อน “สงครามเทคโนโลยี” ตามแนวคิด Unrestricted Warfare อย่างชัดเจน คือ ใช้การขโมยเทคโนโลยีพื้นฐานของสหรัฐเพื่อลดช่องว่างทางยุทธศาสตร์ ทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ โดยไม่ต้องลงทุนวิจัยจากศูนย์ในระดับเดียวกัน

4.2 การโจมตีไซเบอร์ต่อโครงสร้างข้อมูลของรัฐสหรัฐ

กรณีการแฮ็กสำนักงานบริหารบุคคล (OPM) ของรัฐบาลสหรัฐในปี 2015 ซึ่งข้อมูลบุคลากรและผู้ที่เคยผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยของรัฐกว่า 22 ล้านรายการถูกขโมยไป ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ถูกเชื่อมโยงกับจีนอย่างหนัก รัฐบาลสหรัฐและสื่อกระแสหลักหลายแห่งรายงานตรงกันว่า การโจมตีนี้มาจากกลุ่มที่เชื่อมโยงกับหน่วยข่าวกรองจีน และถูกมองว่าเป็น “ขุมทรัพย์ข้อมูลเชิงข่าวกรอง” สำหรับการระบุตัว เป้าหมาย และการแบล็กเมลในอนาคต

นอกจากนี้ ฐานข้อมูลเหตุการณ์ไซเบอร์สำคัญของ CSIS ยังบันทึกเหตุการณ์ล่าสุดหลายกรณีที่เชื่อมโยงกับจีน เช่น กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ถูกเรียกว่า “Salt Typhoon” เจาะระบบผู้ให้บริการโทรคมนาคมในสหรัฐและอีกกว่า 20 ประเทศ เพื่อเก็บข้อมูลการสื่อสารในระดับโครงสร้าง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การสอดแนมและเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ความขัดแย้งระดับสูงในอนาคต

4.3 การปฏิบัติการข่าวสารและข้อมูลเท็จ (Information / Disinformation Operations)

รายงานของ RAND ปี 2021 ระบุอย่างชัดเจนว่า PLA กำลังพัฒนาและทดลองใช้ปฏิบัติการสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศเพื่อโจมตีภาพลักษณ์กองทัพและรัฐบาลสหรัฐ โดยใช้บัญชีปลอม ปั่นข่าวบิดเบือน และเนื้อหาที่ออกแบบมาเพื่อทำให้ความเชื่อมั่นภายในสังคมอเมริกันอ่อนแอลง

รายงาน RAND ปี 2024 อีกฉบับหนึ่งยังเตือนว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังศึกษาและทดลองใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบงการสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ ทำให้ปฏิบัติการข้อมูลเท็จมีความเนียนและยากแก่การตรวจจับมากขึ้น ซึ่งถือเป็น “การยกระดับอาวุธในสนามรบเชิงข้อมูล” อย่างเป็นรูปธรรม

ข้อมูลล่าสุดจากบริษัทเทคโนโลยีและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในสหรัฐ—includingรายงานปี 2025 ที่พบปฏิบัติการจากกลุ่มที่เชื่อมโยงกับจีนใช้โมเดล AI เพื่อสร้างเนื้อหาการเมืองแบบแตกแยกในสื่อสังคมออนไลน์สหรัฐ—ยิ่งตอกย้ำว่า ปฏิบัติการแบบนี้ไม่ได้อยู่แค่ในทฤษฎี แต่กำลังเดินอยู่ในสนามจริงแล้ว

4.4 ปฏิบัติการ “แนวร่วม” (United Front) และอิทธิพลทางการเมือง

รายงานของ U.S.–China Economic and Security Review Commission (USCC) อธิบายว่า “งานแนวร่วม” (United Front Work) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างอิทธิพลและบ่อนเซาะในต่างประเทศ ผ่านการเจาะเครือข่ายองค์กรจีนโพ้นทะเล สมาคมการค้า สถาบันการศึกษา และนักการเมืองท้องถิ่น เพื่อดึงให้โครงสร้างเหล่านั้นโน้มเอียงไปตามผลประโยชน์ของปักกิ่ง และลดทอนเสียงวิจารณ์ต่อจีน

กรณีการว่าจ้าง ผู้เชี่ยวชาญ หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสถาบันการเงินและมหาวิทยาลัยสหรัฐ โดยมีการจ่ายค่าตอบแทนแฝงจากสถาบันในจีน (เช่น คดีอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Federal Reserve ที่ถูกกล่าวหาว่าถ่ายทอดข้อมูลลับให้จีน) เป็นตัวอย่างที่สะท้อนการใช้ “soft penetration” เพื่อเข้าถึงข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐอย่างค่อยเป็นค่อยไป

4.5 เครือข่ายอาชญากรรม–ยาเสพติด–สแกมออนไลน์ในฐานะส่วนหนึ่งของการกัดเซาะสังคมสหรัฐ

รายงานของ USCC ปี 2025 ระบุว่า เครือข่ายอาชญากรรมที่เชื่อมโยงกับจีนมีบทบาทสำคัญในการหลอกลวงชาวอเมริกันผ่านสแกมออนไลน์ประเภทต่าง ๆ ทำให้ชาวอเมริกันสูญเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในปีเดียว และส่วนหนึ่งของเครือข่ายเหล่านี้เชื่อมโยงกับโซนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับโครงการ Belt and Road ซึ่งรัฐจีนมีอิทธิพลสูง ตัวรายงานตั้งข้อกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้การบังคับใช้กฎหมายต่อสแกมเหล่านี้เป็น “ข้อแลกเปลี่ยนทางการเมืองและข่าวกรอง” ต่อสหรัฐและประเทศอื่น ๆ

เมื่อมองร่วมกับข้อมูลการไหลของสารตั้งต้นยาเสพติดสังเคราะห์จากจีนสู่เครือข่ายผลิตเฟนทานิลในเม็กซิโกที่ส่งผลให้วิกฤตยาเสพติดในสหรัฐรุนแรงขึ้น นักวิเคราะห์บางส่วนเสนอว่า แม้จะไม่อาจพิสูจน์เจตนา “สงครามยาเสพติด” ของรัฐจีนได้โดยตรง แต่ผลลัพธ์เชิงโครงสร้างก็สอดคล้องกับตรรกะของ Unrestricted Warfare นั่นคือ การปล่อยให้ปัญหาสังคม–สุขภาพสหรัฐลุกลามจนกลายเป็นแรงกัดเซาะจากภายใน

5. การตีความเชิงยุทธศาสตร์: จีนมองสหรัฐเป็น “คู่แข่ง” หรือ “ศัตรูที่ต้องบั่นทอน”?

หลักฐานส่วนใหญ่ที่ยกมาข้างต้นไม่ได้มาจากถ้อยแถลงแบบเปิดเผยของรัฐบาลจีนว่า “ต้องล้มสหรัฐให้ได้” หากแต่มาจากพฤติกรรมที่สอดคล้องกันอย่างยาวนาน ทั้งในระดับไซเบอร์ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และข้อมูล เมื่ออ่านภายใต้กรอบคิดของ Unrestricted Warfare จึงทำให้หลายสำนักคิดในฝั่งสหรัฐตีความว่า CCP ไม่ได้มองสหรัฐเพียงแค่ “คู่แข่ง” แต่เป็น “อุปสรรคเชิงโครงสร้าง” ที่ต้องทำให้อ่อนแรงลงในทุกมิติ เพื่อเปิดทางให้จีนขึ้นมาอยู่ในจุดที่ไม่ถูกกดด้วยระเบียบโลกภายใต้การนำของอเมริกา

Dallas Tueller เขียนใน Small Wars Journal ปี 2024 ว่า สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่เนื้อหาในหนังสือปี 1999 แต่คือ “หลักฐานร่วมสมัย” ว่าจีนกำลังปฏิบัติการในหลายสนามพร้อมกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเจาะข้อมูลโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงการปั่นข่าวปลอมและการสร้างความแตกแยกในสังคมสหรัฐ ซึ่งทั้งหมดนี้ควรถูกเข้าใจในฐานะ “สงครามไร้ขีดจำกัด” ที่กำลังดำเนินอยู่จริง ไม่ใช่เพียงแนวคิดบนกระดาษ

6. ข้อถกเถียงและข้อจำกัดเชิงวิชาการ

เพื่อรักษาความเป็นวิชาการ บทความนี้จำเป็นต้องยอมรับข้อจำกัดสำคัญหลายประการ:

  • การพิสูจน์ “เจตนา” โดยตรงเป็นเรื่องยาก – หลักฐานส่วนใหญ่เป็นพฤติกรรมและคดีที่เชื่อมโยงกับรัฐจีนหรือผู้ปฏิบัติการที่รัฐให้การสนับสนุน แต่การระบุว่า “รัฐบาลจีนตั้งใจจะล้มสหรัฐให้สิ้นซาก” ในฐานะวัตถุประสงค์สูงสุดยังเป็นการตีความที่เกินจากเอกสารทางการที่เปิดเผยอยู่ในปัจจุบัน
  • มหาอำนาจทุกฝ่ายต่างก็ใช้ปฏิบัติการลับและปฏิบัติการข้อมูล – สหรัฐเองก็มีประวัติการปฏิบัติการข่าวกรอง ปฏิบัติการข้อมูล และการแทรกแซงการเมืองในประเทศอื่นเช่นกัน การชี้เพียงจีนฝ่ายเดียวโดยไม่มองโครงสร้างอำนาจโลกทั้งหมด อาจทำให้การวิเคราะห์ไม่สมดุล
  • ความเสี่ยงของการเหมารวม – การวิจารณ์ CCP และ PLA ต้องระวังไม่เหมารวมไปถึง “ชาวจีนทุกคน” ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีส่วนรู้เห็นกับยุทธศาสตร์ระดับรัฐ การรักษาภาษาที่แยก “รัฐบาล/พรรค/กองทัพ” ออกจาก “ประชาชนจีน” จึงเป็นความรับผิดชอบเชิงจริยธรรมของนักวิชาการ

7. บทสรุป

เมื่อพิจารณาร่วมกันทั้ง (1) แนวคิด Unrestricted Warfare ซึ่งเสนอให้ใช้เครื่องมือทุกชนิดเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง, (2) งานวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่ากรอบคิดนี้ยังมีอิทธิพลต่อการคิดเชิงยุทธศาสตร์ของจีน, และ (3) หลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากเกี่ยวกับการจารกรรมเศรษฐกิจ การโจมตีไซเบอร์ ปฏิบัติการข้อมูลเท็จ และการใช้เครือข่ายแนวร่วมในต่างประเทศ ย่อมยากที่จะปฏิเสธว่า จีนกำลังใช้อย่างน้อย “ส่วนหนึ่ง” ของแนวคิดสงครามไร้ขีดจำกัดในการบ่อนเซาะความได้เปรียบของสหรัฐอเมริกาและระเบียบโลกเสรีในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การตีความว่า “จีนตั้งใจจะทำลายล้างสหรัฐฯ แบบสิ้นซาก” ยังเกินจากหลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน หากจะกล่าวอย่างระมัดระวังในเชิงวิชาการ อาจสรุปได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนมองสหรัฐฯ เป็น “คู่แข่งเชิงโครงสร้างและคู่ต่อสู้หลักทางยุทธศาสตร์” ที่ต้องถูกทำให้เปราะบางลงในทุกมิติเท่าที่ทำได้ โดยใช้เครื่องมือที่ไม่จำกัดเฉพาะการทหาร และพร้อมจะใช้ช่องว่างของโลกเสรี (เสรีภาพข้อมูล เสรีภาพเศรษฐกิจ ระบบเปิด) เป็นอาวุธย้อนกลับมาทำให้โลกเสรีอ่อนแอลงเอง ซึ่งสอดคล้องกับหัวใจของแนวคิด Unrestricted Warfare อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับผู้กำหนดนโยบายในสหรัฐและโลกเสรี การยอมรับข้อเท็จจริงเชิงโครงสร้างนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อปลุกปั่นความเกลียดชังต่อจีนหรือชาวจีน แต่เพื่อให้ตระหนักว่า “สนามรบ” ระหว่างจีนกับสหรัฐไม่ได้อยู่แค่ในทะเลจีนใต้หรือไต้หวัน หากแผ่ขยายไปถึงข้อมูลในโทรศัพท์ของประชาชน ตลาดหุ้น มหาวิทยาลัย ห้องวิจัย และแม้กระทั่งการสนทนาบนสื่อสังคมออนไลน์ของพลเมืองธรรมดาทั่วไป การป้องกันตนเองของโลกเสรีจึงต้องยกระดับจากการป้องกันทางทหาร ไปสู่การป้องกัน “สงครามไร้ขีดจำกัด” ในทุกมิติของชีวิตสาธารณะ

บรรณานุกรม (คัดสรร)

  • Air University, China Aerospace Studies Institute. (2022). Unrestricted Warfare Is Not China’s Master Plan.
  • Baughman, J. (2022). “Unrestricted Warfare” is Not China’s Master Plan. China Aerospace Studies Institute.
  • CSIS. (2023). Survey of Chinese Espionage in the United States Since 2000.
  • CSIS. (2023). How the Chinese Communist Party Uses Cyber Espionage to Undermine the American Economy.
  • Department of Justice. (2020). Chinese Military Personnel Charged with Computer Fraud, Economic Espionage, and Wire Fraud for Hacking into Equifax.
  • Harold, S. W. et al. (2021). Chinese Disinformation Efforts on Social Media. RAND.
  • Liang, Q., & Wang, X. (1999). Unrestricted Warfare. Beijing: PLA Literature and Arts Publishing House. (ฉบับแปลภาษาอังกฤษเผยแพร่ผ่าน C4I.org และ archive.org)
  • Military Review. (2019). Précis: Unrestricted Warfare.
  • Office of Personnel Management Data Breach (2015). รายงานของคณะกรรมาธิการตรวจสอบของสภาคองเกรสสหรัฐและสื่อกระแสหลักเกี่ยวกับการแฮ็ก OPM ที่เชื่อมโยงกับจีน.
  • RAND. (2024). Dr. Li Bicheng, or How China Learned to Stop Worrying and Love Social Media Manipulation.
  • Tueller, D. (2024). The Invisible Frontline: The Nature of China’s Unrestricted Warfare and Why the US Needs a Strategic Wake-Up Call. Small Wars Journal.
  • U.S.–China Economic and Security Review Commission. (2025). รายงานเกี่ยวกับเครือข่ายสแกมข้ามชาติที่เชื่อมโยงจีนและการคุกคามต่อความมั่นคงเศรษฐกิจของสหรัฐ.
  • Wójtowicz, T., & Król, D. (2021). Chinese Concept of Unrestricted Warfare – Characteristics and Contemporary Use. Humanities & Social Sciences, 28(4), 165–176.

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.