การเมืองบ้านใหญ่: เมื่ออำนาจไม่เคยออกจากตระกูล
แต่ประเทศกลับไม่เคยก้าวไปข้างหน้า
เขียนในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่อยากชวนพี่น้องร่วมชาติหยุดคิดสักนิดว่า เรากำลังเล่น “เกมประชาธิปไตยจริง” หรือแค่ถูกชวนดูการแสดงที่ซับซ้อนขึ้นทุกที
หากเรามองการเมืองไทยด้วยความซื่อสัตย์ จะเห็นภาพซ้ำ ๆ ที่ไม่เปลี่ยนไปมากนัก เลือกตั้งกี่ครั้ง พรรคเปลี่ยนชื่อกี่รอบ รัฐธรรมนูญถูกฉีกกี่ฉบับ แต่คนที่มีอำนาจจริงกลับเป็นกลุ่มเดิม ๆ นามสกุลเดิม เครือข่ายเดิม และวิธีคิดเดิม
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า การเมืองบ้านใหญ่ หรือในทางวิชาการคือ dynastic politics การเมืองที่อำนาจไม่ได้แข่งขันกันด้วยนโยบายหรือความสามารถ แต่สืบทอดผ่านสายเลือด เครือญาติ เงิน อิทธิพล และระบบบุญคุณ
ความแยบยลของการเมืองบ้านใหญ่คือ มันไม่ปฏิเสธประชาธิปไตยตรง ๆ ยังมีการเลือกตั้ง ยังมีสภา ยังมีพรรคการเมือง แต่ทั้งหมดถูกลดทอนให้เป็นเพียง พิธีกรรม ไม่ใช่พื้นที่ของอำนาจประชาชนอย่างแท้จริง
ในหลายพื้นที่ ประชาชนไม่ได้เลือกนโยบาย แต่เลือก “คนที่พึ่งได้” คนที่ช่วยงานศพ พาไปโรงพยาบาล คุมพื้นที่ และคุ้มครองลูกหลาน เมื่อรัฐสวัสดิการอ่อนแอ บ้านใหญ่จึงกลายเป็นรัฐเงา และประชาชนถูกบังคับให้แลกเสียงกับความอยู่รอด
แต่มันคือความล้มเหลวของโครงสร้างรัฐ ที่ปล่อยให้ศักดิ์ศรีถูกแทนที่ด้วยบุญคุณ
สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ การเมืองบ้านใหญ่ไม่ได้เป็นศัตรูกับระบอบคณาธิปไตยไทย ตรงกันข้าม มันคือฟันเฟืองที่ทำงานเข้ากันได้ดี เพราะบ้านใหญ่ไม่ยึดอุดมการณ์ ไม่ตั้งคำถามเชิงโครงสร้าง และพร้อมปรับตัวเพื่อ “อยู่เป็น”
ระบอบคณาธิปไตยไม่ต้องการนักการเมืองที่เก่งหรือกล้าเกินไป มันต้องการนักการเมืองที่ควบคุมได้ และการเมืองบ้านใหญ่ตอบโจทย์นี้อย่างสมบูรณ์ จึงไม่แปลกที่ไม่ว่ารัฐประหารกี่ครั้ง บ้านใหญ่จำนวนมากยังคงอยู่รอดได้เสมอ
เมื่อมีนักการเมืองหรือพรรคที่เก่งเกินระบบรับได้ ได้รับความนิยมจริง และพยายามเปลี่ยนกติกา ระบบจะไม่สู้ด้วยนโยบาย แต่จะโยนเขาเข้าไปในเกมหมาป่ากับลูกแกะ
กติกาของเกมนี้คือ กฎหมายที่ตีความได้ตามใจ องค์กรอิสระที่ไม่อิสระจากอำนาจ และกระบวนการยุติธรรมที่ถูกใช้เป็นสนามรบ คนก้าวหน้าจึงถูกตัดสิทธิ์ ถูกทำให้หมดพลัง และถูกทำให้เป็นบทเรียนให้คนอื่น “จำไว้ว่าอย่าเก่งเกินไป”
แต่มันคัดเลือกคนที่ ยอมจำนนได้ดีที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไป นักการเมืองที่อยู่รอดจะถูกยกย่องว่า “มากประสบการณ์” แต่สิ่งที่สืบทอดจริง ๆ ไม่ใช่ความสามารถบริหารประเทศ หากคือทักษะเอาตัวรอดในระบบอำนาจ และทักษะนี้ถูกถ่ายทอดเป็นมรดกทางการเมืองจากรุ่นสู่รุ่น
ผลลัพธ์คือ ประเทศที่ไม่พัง แต่ก็ไม่เคยพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ นโยบายไม่ต่อเนื่อง การปฏิรูปไม่เคยเกิดจริง คนเก่งถอย คนกล้าเงียบ และความล้มเหลวถูกทำให้ดูเป็นเรื่องปกติ
สิ่งที่คันฉ่องส่องไทยอยากเตือนคนไทยคือ อย่าสับสนระหว่าง “การเลือกตั้ง” กับ “อำนาจของประชาชน” ถ้ากติกาถูกเขียนเพื่อกันบางกลุ่ม ถ้าคนเก่งถูกกำจัด และคนเชื่องถูกเลื่อนขั้น นั่นไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่มันคือการแสดงประชาธิปไตยภายใต้ระบอบคณาธิปไตย
แต่แปลว่าเราต้องเห็นว่า ใครคือผู้เล่น ใครคือฟันเฟือง และใครคือเหยื่อ
หากคนไทยยังไม่กล้าตั้งคำถามกับการเมืองบ้านใหญ่ ระบบนี้ก็จะยังใหญ่ต่อไป และประเทศจะยังเล็กลงในเวทีโลก โดยที่เราค่อย ๆ เคยชินกับมันอย่างเงียบงัน
บทความนี้เขียนเพื่อชวนคิด ไม่ใช่ชวนเกลียด และเชื่อว่าอนาคตของประเทศจะเปลี่ยนได้ ก็ต่อเมื่อเรากล้ามองเห็นความจริงของโครงสร้างที่ครอบเราอยู่
