ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Thursday, September 18, 2025

คันฉ่องส่องไทย: 19 ปีหลัง 19 กันยา (2549–2568/2025)

1) พิมพ์เขียวของการ “บอนไซ”

แนวคิด “เครือข่ายราชาธิปไตย” (network monarchy) ของ Duncan McCargo อธิบายโครงสร้างอำนาจที่ไม่ใช่แค่ตัวสถาบัน แต่คือเครือข่ายองคมนตรี ข้าราชการระดับสูง ศาล และกองทัพที่แทรกตัวในนโยบาย–ตุลาการ–ความมั่นคง เพื่อคานหรือกำกับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง 

2) เครื่องมือที่ใช้ตัดแต่งประชาธิปไตย

  • รัฐประหารซ้ำ: 19 ก.ย. 2549 โค่นรัฐบาลทักษิณ; 22 พ.ค. 2557 โค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์—ตอกย้ำวัฏจักรอำนาจนอกระบบ ทั้งยังสะสม “ทุนสถาบัน” ให้เครือข่ายเดิมกลับมากำหนดกติกาใหม่ได้เสมอ 

    ไทยมี ความพยายามรัฐประหารกว่า 20 ครั้ง และสำเร็จราว 13 ครั้ง นับแต่ 2475—สูงสุดประเทศหนึ่งของโลกสมัยใหม่ 

  • รัฐธรรมนูญแบบวางกับดัก: ฉบับ 2560 เปิดทาง วุฒิสภาแต่งตั้ง 250 คน ร่วมโหวตนายกฯ แม้แพ้เสียงประชาชนในสภาผู้แทนฯ ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเอนเข้าขั้วอนุรักษนิยมต่อเนื่อง 

  • ตุลาการภิวัฒน์: นายกฯ สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลวินิจฉัยพ้นตำแหน่งกรณีรายการทำอาหาร (9 ก.ย. 2551); ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกศาลสั่งพ้นจากตำแหน่ง (7 พ.ค. 2557) ฐานโยกย้ายนายข้าราชการความมั่นคง—การเมืองจึง “เปลี่ยนนายกฯ ทางศาล” บ่อยครั้ง 

  • วัตถุพยานชั้น “ยุบพรรค”: ยุบไทยรักษาชาติ (มี.ค. 2562); ยุบอนาคตใหม่ (ก.พ. 2563); และ ยุบก้าวไกล (7 ส.ค. 2567) จากนโยบายแก้ ม.112—รูปแบบซ้ำที่ทำให้ “พรรคใหญ่จากคะแนนประชาชน” ตกขอบสนามซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

  • กฎหมายหมิ่นฯ (ม.112) เป็นคมกรรไกร: ตั้งแต่ 2563–2567 มี อย่างน้อย 304 คดี ตามส統 TLHR; ผู้ถูกดำเนินคดีรวมคดีการเมืองเกือบ 2,000 คน/1,300 คดี สะท้อนการใช้ด่านอาญาคุมเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุม 

  • การใช้กำลัง/ปล่อยให้พ้นผิด: เหตุสลายการชุมนุมเม.ย.–พ.ค. 2553 มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย แต่การนำผู้มีอำนาจขึ้นรับผิดชอบไม่คืบหน้า—สิ่งที่องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกว่า “วงจรลอยนวลพ้นผิด” 

3) เส้นเรื่อง 19 ปี: จุดใหญ่ ๆ ที่เชื่อมอดีต–ปัจจุบัน

  1. รัฐประหาร 2549 เปลี่ยนโครงอำนาจ–รีเซ็ตกติกา (ยกรธน.ใหม่) เปิดทางการเมืองภายใต้ร่มเครือข่ายเดิมกลับมาคุมเกม, และ “ราชทหาร” กลายเป็นตัวแสดงนำอีกครั้ง 

  2. 2008–2014: ศาลการเมือง—สมัครพ้นเพราะ “พิธีกรทำกับข้าว”; 2557 ศาลปลด ยิ่งลักษณ์ และไม่กี่วันต่อมาทหารยึดอำนาจ ย้ำบทบาท “ศาล–ทหาร” เป็นคานการเมืองเลือกตั้ง 

  3. เลือกตั้ง 2562: เพื่อไทยได้ ส.ส.มากสุด 136 แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ขณะที่พลังประชารัฐได้ 116 ที่นั่งและได้เสียงจากวุฒิสภาแต่งตั้งช่วยโหวตนายกฯ—ชี้ชัด “กติกาเอียง” 

  4. ยุบอนาคตใหม่ 2563: ปลดล็อกขั้วฝ่ายก้าวหน้าด้วยเครื่องมือกฎหมายการเงินพรรค ควบคู่ยุทธศาสตร์ “เสียงข้างมากในสภา–เสียงข้างน้อยในอำนาจจริง” 

  5. เลือกตั้ง 2566: ก้าวไกลชนะมากสุด แต่ถูก วุฒิสภาแต่งตั้ง ขัดขวางการโหวตนายกฯ จนนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคอันดับสองแทน 

  6. วินิจฉัย ม.ค. 2567: ศาลสั่งก้าวไกล “เลิกผลักดันแก้ ม.112”—เปิดประตูสู่การ ยุบก้าวไกล (ส.ค. 2567) ในที่สุด; เป็นหมุดหมายที่ทำให้ “นโยบาย” กลายเป็น “ความผิด” ทางรัฐธรรมนูญได้ 

  7. กันยา 2568: ศาลวินิจฉัยว่า ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง หากจะยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่—ยืนยัน ‘กติกาเข้ม’ ต่อการปฏิรูปเชิงโครงสร้างผ่านเจตจำนงประชาชนโดยตรง 

  8. สิงหา 2568: ศาลปลด แพทองธาร ชินวัตร จากนายกฯ ด้วยเหตุผิดจริยธรรมจากสายตรงกับ ฮุน เซน—ต่อจิ๊กซอว์ “การคุมฝ่ายการเมืองผ่านตุลาการ” แบบต่อเนื่องในศตวรรษนี้ 


4) ภาพรวม “วันนี้”: ตัวเลขที่บอกสภาพโครงสร้าง

  • Freedom House 2024: ไทยขยับจาก “Not Free” เป็น “Partly Free” เพราะมีเลือกตั้งแข่งขันได้มากขึ้น—แต่ยังชี้ว่า วุฒิสภาแต่งตั้งขวางพรรคที่ชนะ ขึ้นเป็นรัฐบาลได้ 

  • Rule of Law (WJP) 2024: ไทยอยู่อันดับ 78 จาก 142 คะแนนรวม 0.50—ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกและภูมิภาค สะท้อนปัญหาหลักนิติธรรมเชิงโครงสร้าง 

  • เสรีภาพสื่อ (RSF): ปี 2024 ไทยอยู่อันดับ 87/180 และ 85/180 ในปี 2025 RSF ชี้บรรยากาศการเมือง–กฎหมาย (โดยเฉพาะ ม.112) ทำให้สื่อเผชิญแรงกดดันและการเซ็นเซอร์ตัวเองสูง 

  • คดีการเมือง–ม.112: อย่างน้อย 1,954 คน/1,299 คดี ตั้งแต่ปี 2563 (รวมทุกข้อหา) และ อย่างน้อย 304 คดี เฉพาะ ม.112—เป็นฐานข้อมูลที่ชี้ภาวะ “อาญาภิวัฒน์” ต่อเสรีภาพอย่างชัดเจน 


5) กว้างให้ไกล–ลึกให้ถึง: เพราะอะไร “แรงต้านยิ่งสูง กรรไกรยิ่งคม”

  1. สถาบันที่คุมจุดยุทธศาสตร์—กองทัพ, วุฒิสภาแต่งตั้ง, ศาลรัฐธรรมนูญ/องค์กรอิสระ—ถูกออกแบบให้ “คาน” รัฐบาลที่ชนะเลือกตั้งและตั้งกำแพงต่อการปฏิรูป เช่น ยุบพรรคจาก “นโยบาย” หรือกำหนดเงื่อนไขประชามติหลายชั้นในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ 

  2. การเมืองเชิงกฎหมาย (lawfare)—ทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อในศาล มากกว่าคูหาเลือกตั้ง ส่งผลให้ฝ่ายประชาชนหมดแรง–หมดทุนเร็ว ขณะที่เครือข่ายเดิมมีทรัพยากร–สถาบันรองรับ

  3. ความทรงจำแบบ “ลอยนวลพ้นผิด” จาก 2553 ทำให้การใช้กำลัง/คุมสื่อกลับมาได้ง่ายโดยไม่ต้องจ่ายต้นทุนความรับผิดมากนัก 


สรุปบทเรียนสำหรับคนไทยที่อยากเห็น “ประชาธิปไตยเต็มใบ”

ที่ผ่านมา “พลาดอะไร/ขาดอะไร”

  1. พึ่งผู้นำมากไป–สถาบันน้อยไป: ชนะเลือกตั้งแล้วไม่เร่ง ปลูกสถาบันคานอำนาจ ระดับท้องถิ่น/ชุมชน/สหภาพ/สื่อชุมชน ทำให้โดน “สับคันเร่ง” จากศาล–กองทัพได้ง่าย

  2. ปล่อยให้สนามกฎหมายเป็นของอีกฝ่าย: ขาดเครือข่ายทนาย สิทธิมนุษยชน นักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ขยายฐานความรู้สู่ประชาชนอย่างเป็นระบบ

  3. แนวร่วมแคบ: ติดกับดัก “สองขั้ว” จนไม่สร้างฉันทามติขั้นต่ำร่วมกันเรื่องสิทธิ–ศักดิ์ศรี–กติกายุติธรรม

  4. การสื่อสารเชิงข้อมูลไม่ต่อเนื่อง: ไม่มีแดชบอร์ดสาธารณะติดตามคดีการเมือง/สถิติละเมิดสิทธิให้เห็น “ต้นทุนที่ประชาชนจ่ายจริง”

  5. ไม่มีองค์การนำ ไม่มีเครือข่ายที่จับต้องได้ ไม่มีการจัดตั้ง หรือไม่มีองค์การปวงชนที่สามารถรวมพลังปวงชนโดยรวมได้จริง การเคลื่อนไหวจึงเป็นเพียงไฟไหม้ฟางและถูกดับง่าย จนเกือบมอดเป็นช่วง ๆ 


ควรทำอย่างไร “ต่อจากนี้”

  • เล่นเกมยาวด้วยสถาบันของประชาชน: สภาองค์กรพลเมืองท้องถิ่น–งบมีส่วนร่วม–สื่อชุมชน–สหภาพวิชาชีพ ทำให้การเมืองไม่ผูกกับบุคคล

  • ยึดกติกา–ตีความกติกา: ลงทุนสร้าง legal capacity (คลินิกกฎหมาย, ทนายอาสา, court-watch) ควบคู่ civic-tech (ฐานข้อมูลคดี 112/การชุมนุมแบบเรียลไทม์) เพื่อเปลี่ยน “สนามศาล” จากจุดอับเป็นจุดได้เปรียบ 

  • ขยายแนวร่วมข้ามความเห็น: วาง “ชุดขั้นต่ำร่วม” คือรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจประชาชนจริง, เลือกตั้งเสรีเป็นวาระแห่งชาติ, หลักนิติธรรม–สิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่ต่อรอง

  • ทำประชาธิปไตยให้จับต้องได้: ผูกโยงกับปากท้อง—จัดทำงบมีส่วนร่วม, สัญญาเลือกตั้งที่ตรวจสอบได้, กลไกถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น–ผู้แทนที่ผิดสัญญา

  • วินัยไม่ใช้ความรุนแรง + ความปลอดภัยดิจิทัล: ลดช่องให้ถูกปราบ–ถูกกล่าวหา และรักษากำลังคนระยะยาว

  • ระหว่างทางสู่รัฐธรรมนูญใหม่: เมื่อศาลบังคับ “ประชามติ 3 ครั้ง” ต้องวางยุทธศาสตร์สารพัดช่องทาง—การสื่อสารสาธารณะ, เครือข่ายลงพื้นที่, พันธมิตรวิชาชีพ—เพื่อให้ประชามติเป็น “เวทีให้กติกาเป็นของประชาชนจริง” ไม่ใช่พิธีกรรมทางกฎหมายอีกชั้น 


ใจความสุดท้าย: 19 ปีที่ผ่านมาแสดงชัดว่า ถ้าประชาธิปไตยเป็นแค่ “ต้นไม้กระถาง” ใครก็หยิบกรรไกรมาตัดได้ แต่หากเราปลูก “ราก” ผ่านสถาบันของประชาชน—ศาล–สภา–สื่อ–ชุมชนที่ตอบต่อประชาชน—เครือข่ายใดก็ “บอนไซ” ได้ยากลงเรื่อย ๆ


อ้างอิงหลัก: รัฐประหาร/ไทม์ไลน์ (Reuters)  ; ยุบพรรค (Reuters/PBS)  ; วุฒิสภาแต่งตั้งและผลต่อการตั้งรัฐบาล (Reuters)  ; ตัวเลข ม.112/คดีการเมือง (TLHR)  ; เสรีภาพ–นิติธรรม (Freedom House/WJP)  ; RSF 2024–25  ; คำวินิจฉัย “ประชามติ 3 ครั้ง” (The Nation/ThaiPBS)  ; กรณีปลดนายกฯ แพทองธาร (Reuters)  .


ยุทธศาสตร์ “ทวงคืนบากรัม” กับภูมิรัฐศาสตร์สหรัฐ-จีน-รัสเซีย


ทรัมพ์ประกาศในแถลงข่าวร่วมกับนายกฯ สตาร์เมอร์ว่าสหรัฐฯ “กำลังพยายามเอาฐานบากรัมคืน” โดยชูเหตุผลด้านระยะใกล้จีนและศักยภาพยุทธศาสตร์ของฐานนี้ หลังการถอนทัพปี 2021 ที่ปล่อยให้ตาลีบันยึดครองไป (ไม่มีรายละเอียดเรื่องการคุยกับตาลีบัน)    บากรัมเคยเป็นหัวใจปฏิบัติการของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน และถูกทิ้งในกรกฎา 2021 ตามกรอบข้อตกลง “โดฮา” ปี 2020 ที่เปิดทางสู่การถอนกำลังเต็มรูปแบบภายใน 14 เดือนและการปล่อยนักโทษตาลีบัน 5,000 คน (ข้อตกลงไม่พูดถึงการคงบากรัม) 

เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ชู

  • ทำเล/ระยะต่อจีน: บากรัมอยู่ไม่ไกลพรมแดนจีนบริเวณซินเจียงผ่าน “วาคานคอร์ริดอร์” (พรมแดนจีน-อัฟกานิสถานยาว ~92 กม.) ช่วยเพิ่มมิติข่าวกรอง/ข่มขวัญต่อทรัพย์สินยุทธศาสตร์ของจีนแถบนี้ เมื่อเทียบฐานสหรัฐฯ ในอินโด-แปซิฟิกที่ไกลกว่าอย่างมาก 

  • สกัด BRI/CPEC: จีนผลักดันเหมือง-โครงสร้างพื้นฐานในอัฟกานิสถาน และการต่อขยาย CPEC เชื่อมกวาดาร์-เอเชียกลาง หากสหรัฐฯ มีจุดยืนทางทหาร/ข่าวกรองในอัฟกานิสถาน จะเพิ่มอำนาจต่อรองต่อเส้นทางบกของจีน-ปากีสถาน 

  • คานรัสเซียในเอเชียกลาง: รัสเซียยังมีอิทธิพลความมั่นคงในเอเชียกลางผ่านเครือข่ายฐาน/พันธมิตรเดิม การกลับไปยืนใกล้ “หลังบ้าน” ของ CSTO จะเพิ่มแต้มต่อเชิงภูมิรัฐศาสตร์ให้วอชิงตัน (ท่ามกลางข้อจำกัดหลังปิดฐานคีร์กีซฯ/อุซเบกิสถานไปก่อนหน้า) 

ข้อจำกัด/อุปสรรคใหญ่

  1. อธิปไตยของตาลีบัน: จะกลับไปได้ต้องได้ “ยินยอม” โดยปริยายหรือกรอบข้อตกลงใหม่กับตาลีบัน (ซึ่งกำลังใกล้ชิดจีนมากขึ้น) มิฉะนั้นเสี่ยงเป็นการละเมิดอธิปไตยและจุดชนวนความไม่สงบรอบใหม่ 

  2. การเมืองภูมิภาค: ปากีสถาน (CPEC), จีน (ความมั่นคงซินเจียง/เหมือง), รัสเซีย (อิทธิพลในเอเชียกลาง), อิหร่าน (ชายแดนตะวันตก) ล้วนเป็น “วีโต้เพลเยอร์”

  3. โลจิสติกส์/เส้นทางส่งกำลัง: สหรัฐฯ ไม่มีฐานแนวหน้าในเอเชียกลางแล้ว การคงกำลังที่บากรัมต้องพึ่งเส้นทางบิน/บกผ่านปากีสถานหรือรัฐเอเชียกลาง—เสี่ยงถูก “ปิดคอขวด” ได้ทุกเมื่อ 

  4. ต้นทุนทางการเมือง: ภาพจำการถอนตัวปี 2021 และเหตุระเบิด Abbey Gate ทำให้การ “รีเอ็นทรี” ต้องอธิบายต่อสาธารณะอย่างหนักว่าคุ้มความเสี่ยง/ค่าใช้จ่ายหรือไม่ (ทรัมพ์ใช้ประเด็นนี้โจมตีไบเดนอยู่แล้ว) 


ฉากทัศน์ (3–4 แบบ ที่อาจจะเกิดขึ้น)

ฉากทัศน์ A: ดีลจำกัดกับตาลีบัน (“Bagram-lite”)

สหรัฐฯ ไม่ปักธงเต็มรูปแบบ แต่ได้สิทธิใช้งานบางส่วน: จุดเติมเชื้อเพลิง/ข่าวกรอง/โดรน แลกกับผ่อนคลายคว่ำบาตร/ความช่วยเหลือเศรษฐกิจ ตาลีบันรักษาหน้า-จีนยอมได้บางระดับถ้าคุมเงื่อนไขต่อต้านกลุ่มติดอาวุธในซินเจียงเข้มข้นขึ้น 


ฉากทัศน์ B: “ฐานร่วมมนุษยธรรม-ต่อต้านก่อการร้าย” หลายฝ่าย

กรอบพหุภาคีผ่านยูเอ็น/โอไอซี ใช้บากรัมเป็นฮับช่วยเหลือมนุษยธรรม-CT เฉพาะกิจ ลดธงชาติสหรัฐฯ ให้เป็น “นานาชาติ” ลดแรงเสียดทาน แต่ประสิทธิภาพด้านข่าวกรอง/ข่มขวัญจีน-รัสเซียจะลดลง


ฉากทัศน์ C: ไม่ได้ฐาน แต่ได้ “สิทธิบิน/สิทธิข่าวกรอง”

สหรัฐฯ ได้ corridor การบิน/การเข้าถึงทรัพย์สินข่าวกรองในอัฟกานิสถาน-ปากีสถานแทนการกลับไปตั้งฐานจริง ผลเชิงยุทธศาสตร์ปานกลางแต่เสี่ยงน้อยกว่า


ฉากทัศน์ D: ชนวนปะทุ

จีน-ปากีสถาน/รัสเซียใช้แรงกดดันรวม (การทูต-เศรษฐกิจ-ข่าวสาร) ให้ตาลีบัน “ห้าม” สหรัฐฯ กลับฐาน ทำให้วอชิงตันต้องถอยไปใช้ฐานห่างไกลเดิม และหันไปเพิ่มแรงกดในอินโด-แปซิฟิกแทน


ตัวชี้วัดที่ต้องจับตา (What to watch)

  • สัญญาณ “ช่องทางลับ” สหรัฐฯ-ตาลีบัน (เชิงดีลผ่อนคว่ำบาตร/ปล่อยตัว/แลกข่าวกรอง) 

  • ความคืบหน้า CPEC-Afghanistan และโครงการจีน (เช่น เหมือง Mes Aynak, เครือข่ายถนน-ทางรถไฟ Gwadar-Termez) ซึ่งยิ่งคืบ สหรัฐฯ ยิ่งมีแรงจูงใจกลับไปคานอิทธิพล 

  • ท่าทีรัสเซีย-จีนต่อ “สถานะทางกฎหมาย” ของกองกำลังต่างชาติในอัฟกานิสถาน (แรงกดดันผ่าน SCO/CSTO)

  • สัญญาณจากเพนตากอนเรื่องโลจิสติกส์: เส้นทางบิน, สิทธิ์ผ่านน่านฟ้า, ขีดความสามารถโดรน/ISR ระยะไกลแทนการตั้งฐาน

เราอาจสรุปได้ว่า การ“ทวงคืนบากรัม” คือการทวง “เลเวอเรจภาคพื้น” ใกล้ซินเจียง-เอเชียกลาง เพื่อกดดัน BRI/CPEC และคานอิทธิพลรัสเซีย แต่กุญแจเปิดประตูชื่อ ตาลีบัน—และเบื้องหลังคือ จีน-ปากีสถาน-รัสเซีย ที่ถือสิทธิยับยั้งทางภูมิรัฐศาสตร์อยู่ หากเกิดขึ้นจริง โฉมหน้าความมั่นคงแถบเอเชียกลางจะเปลี่ยนทันที; หากไม่สำเร็จ สหรัฐฯ น่าจะหันไป “ทางเลือกกึ่งไฮบริด” คือสิทธิข่าวกรอง-การบิน และเสริมแรงกดทางทะเล/อากาศฝั่งอินโด-แปซิฟิกควบคู่กันไป