รายงานนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจด้านการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหลักการมอนโร โดยเน้นเนื้อหาที่ละเอียดแต่เข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่ไม่ซับซ้อน หัวข้อย่อย และรายการจุดเพื่อความสะดวกในการอ่าน เราจะเริ่มจากพื้นฐานประวัติศาสตร์ หลักการสำคัญ การวิวัฒนาการ ตัวอย่างการนำไปใช้ และความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โลกในปี 2025บทนำหลักการมอนโรคืออะไร? มันคือเอกสารนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศในปี ค.ศ. 1823 โดยประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร นโยบายนี้เปรียบเสมือน "รั้วกั้น" ที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นเพื่อปกป้องทวีปอเมริกาเหนือและใต้จากอิทธิพลของมหาอำนาจยุโรป ในยุคที่หลายประเทศในละตินอเมริกาเพิ่งได้รับเอกราช มันไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นคำเตือนที่ส่งผลกระทบยาวนานต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนถึงปัจจุบัน มันยังถูกนำมาอ้างอิงในสถานการณ์เช่นการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับจีนหรือรัสเซียในภูมิภาคละตินอเมริกาประวัติศาสตร์พื้นหลังในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ยุโรปกำลังวุ่นวายกับสงครามนโปเลียน ซึ่งทำให้จักรวรรดิสเปนและโปรตุเกสในละตินอเมริกาล้มสลาย ส่งผลให้หลายประเทศ เช่น เม็กซิโก อาร์เจนตินา และบราซิล ได้รับเอกราช สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษไม่นาน กลัวว่ามหาอำนาจยุโรป เช่น รัสเซีย ฝรั่งเศส หรืออังกฤษ จะเข้ามายึดครองพื้นที่เหล่านี้ใหม่
- แรงบันดาลใจหลัก: มาจากคำแนะนำของรัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น ควินซี อดัมส์ ที่ต้องการให้สหรัฐฯ แสดงจุดยืนชัดเจน โดยได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษซึ่งต้องการค้าขายเสรีในภูมิภาคนี้
- การประกาศ: มอนโรประกาศในสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1823 โดยเน้นว่าอเมริกาเป็น "เขตปลอดภัย" สำหรับรัฐเอกราชใหม่ๆ
- ห้ามล่าอาณานิคมใหม่: ยุโรปไม่สามารถตั้งอาณานิคมใหม่ในทวีปอเมริกาได้อีก พื้นที่ที่เหลือถือเป็นเขตของรัฐเอกราชในภูมิภาคนี้
- ห้ามแทรกแซง: ห้ามมหาอำนาจยุโรปเข้าไปควบคุมหรือแทรกแซงรัฐเอกราชในละตินอเมริกา หากทำจะถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ โดยตรง
- ความเป็นกลางของสหรัฐฯ: สหรัฐฯ สัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในยุโรปหรือสงครามของพวกเขา เพื่อแลกกับการที่ยุโรปไม่ยุ่งกับอเมริกา
- ยุคแรก (1823-1900): เน้นการป้องกัน มันถูกนำมาใช้ในปี 1865 เพื่อขับไล่ฝรั่งเศสออกจากเม็กซิโก
- หลักการเสริมของรูสเวลต์ (Roosevelt Corollary, 1904): ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ขยายความ โดยประกาศว่าสหรัฐฯ มีสิทธิ์แทรกแซงในละตินอเมริกาเพื่อป้องกันความวุ่นวาย เช่น กรณีหนี้สินของเวเนซุเอลาที่อาจนำไปสู่การบุกของยุโรป สหรัฐฯ จะทำหน้าที่ "ตำรวจระหว่างประเทศ" เพื่อรักษาความสงบ นี่เปลี่ยนจาก "ป้องกัน" เป็น "แทรกแซงเชิงรุก"
- ยุคสงครามเย็น (1945-1991): สหรัฐฯ ใช้หลักการนี้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ เช่น การสนับสนุนรัฐประหารในกัวเตมาลา (1954) และชิลี (1973) เพื่อป้องกันอิทธิพลโซเวียต
- ยุคหลัง (1990s-ปัจจุบัน): การตีความกว้างขึ้น รวมถึงการต่อต้านอิทธิพลจากนอกยุโรป เช่น จีนและรัสเซีย
- กรณีเม็กซิโก (1865): สหรัฐฯ ใช้หลักการมอนโรกดดันฝรั่งเศสให้ถอนทัพจากเม็กซิโก หลังจากที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 พยายามตั้งหุ่นเชิดปกครอง
- สงครามสเปน-อเมริกา (1898): สหรัฐฯ ยึดคิวบาและเปอร์โตริโก โดยอ้างหลักการนี้เพื่อป้องกันการครอบงำของสเปน
- วิกฤตเวเนซุเอลา (1902-1903): เยอรมนีและอังกฤษบุกเวเนซุเอลาเพื่อเก็บหนี้ รูสเวลต์ใช้ Corollary เพื่อแทรกแซงและแก้ปัญหา
- ยุคสงครามเย็น: การบุกอ่าวหมูในคิวบา (1961) เพื่อโค่นฟิเดล คาสโตร ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยจากโซเวียต
- ต่อต้านจีน: จีนลงทุนมหาศาลในละตินอเมริกา เช่น โครงการเข็มขัดและเส้นทาง (Belt and Road) ในเวเนซุเอลาและบราซิล สหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ (สมมติว่ากลับมาปกครอง) พยายาม "ฟื้นฟู" หลักการมอนโรเพื่อขับไล่จีน เช่น การกดดันไม่ให้ประเทศเหล่านี้รับการลงทุนจากจีน
- รัสเซียและอิหร่าน: รัสเซียสนับสนุนเวเนซุเอลาและคิวบา สหรัฐฯ ใช้หลักการนี้ในการคว่ำบาตรและกดดัน
- มอนโร 2.0: มีการเสนอ "หลักการมอนโรสมัยใหม่" ที่เน้น nearshoring (ย้ายฐานผลิตใกล้บ้าน) เพื่อเสริมเศรษฐกิจละตินอเมริกาและลดการพึ่งพาจีน เช่น การส่งเสริมการค้าภายในซีกโลกตะวันตก