เมื่อ สว. ที่ไม่ยึดโยงประชาชน ขอสิทธิ์ “เบรก” รัฐธรรมนูญใหม่ด้วยเสียง 1 ใน 3
เหตุการณ์วันที่ 11 ธันวาคม 2568 ทำให้ประเทศไทยเห็นอีกครั้งว่า “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ไม่ได้อยู่ที่คำพูดสวยหรูเรื่องถ่วงดุล แต่อยู่ที่การจัดวางอำนาจขององค์กรที่ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ให้สามารถกำหนดเงื่อนไขเหนือเจตจำนงของเจ้าของประเทศได้
สรุปสั้น ๆ
- มีข้อเสนอให้การผ่านร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องได้เสียง สว. อย่างน้อย 1 ใน 3 ก่อนส่งประชามติ
- ฝ่ายคัดค้านชี้ว่า สว. ไม่ยึดโยงประชาชนเท่า สส. จึงไม่ควรมี สิทธิยับยั้ง ต่อเจตจำนงประชาชน
- ประเด็นหลักคือ “ใครเป็นเจ้าของอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ”
1) เกิดอะไรขึ้นในสภา: “เพิ่มเงื่อนไข สว. 1 ใน 3” ก่อนส่งประชามติ
ในการประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 มีวาระพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยช่วงหนึ่งของการอภิปราย มีข้อเสนอให้กำหนด “หลักเกณฑ์การผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ว่า นอกจากต้องได้เสียงสมาชิกรัฐสภาเกินครึ่งแล้ว ต้องมีเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภา อย่างน้อย 1 ใน 3 ก่อนส่งให้ประชาชนลงประชามติ
เหตุผลหลักที่ถูกยกขึ้นมา (ตามรายงานข่าว)
- ป้องกัน “เผด็จการรัฐสภา” โดยให้ สว. 1 ใน 3 เป็น “เบรกนิรภัย”
- อ้างการกลั่นกรองเชิงวิชาการ ว่าจะช่วยกันไม่ให้แก้กติกาเพื่อพวกพ้อง
- อ้างความชอบธรรมของ รธน. 2560 และจำนวนผู้เห็นชอบในประชามติเดิม
- อ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ว่ามีข้อผูกพันให้ต้องมีเสียง สว. ตามเกณฑ์หนึ่ง
2) เสียงคัดค้าน: “จะให้ 67 คนยับยั้ง 500 คนได้อย่างไร”
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยชี้ว่า การทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องตั้งอยู่บนความชอบธรรมและการยึดโยงประชาชน และในโครงสร้างปัจจุบัน สส. ยึดโยงประชาชนผ่านการเลือกตั้ง แต่ สว. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังนั้นระดับความเชื่อมโยงระหว่างสองสภาไม่เท่ากัน
อีกประเด็นสำคัญคือ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่มี “ชั้นความเข้มงวด” อยู่แล้ว เช่น การผ่านความเห็นชอบในรัฐสภาและการทำประชามติ การเพิ่มเงื่อนไข สว. 1 ใน 3 จึงถูกมองว่าเป็นการสร้าง “ด่านพิเศษ” ให้คนส่วนน้อยที่ไม่ยึดโยงประชาชนสามารถคุมทางเดินของกระบวนการได้
3) ผลโหวตที่สะท้อนโครงสร้าง: เงื่อนไข สว. 1 ใน 3 ถูกคงไว้
ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน มีรายงานว่าเกิดการลงคะแนนที่ทำให้ เงื่อนไข สว. 1 ใน 3 ถูกคงไว้ และต่อมามีการกล่าวถึงการลงคะแนนแบบขานชื่อ รวมถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จนกระทั่งมีรายงานข่าวอีกสายหนึ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจ ยุบสภา ในคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2568
4) คันฉ่องส่องไทย: ประเด็นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่คือ “สิทธิ์ของเจ้าของประเทศ”
หากเราถอยออกมาหนึ่งก้าว เราจะเห็นว่า นี่ไม่ใช่เรื่อง “รักหรือชัง” สถาบันใด แต่เป็นคำถามพื้นฐานที่สุดของระบอบประชาธิปไตยว่า ใครคือเจ้าของอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ
ในหลักรัฐศาสตร์สากล อำนาจมีสองชั้น:
- อำนาจสถาปนา (Constituent Power) — อำนาจของประชาชนในการสร้าง/เขียนกติกาสูงสุด
- อำนาจตามรัฐธรรมนูญ (Constituted Power) — อำนาจขององค์กรรัฐที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ
เมื่อองค์กรที่เป็น “อำนาจตามรัฐธรรมนูญ” ขอสิทธิ์ยับยั้งเงื่อนไขการไปถึง “ประชามติของประชาชน” นั่นเท่ากับการยกระดับอำนาจของตนให้ทับซ้อนหรือสูงกว่าเจ้าของอำนาจสถาปนา ซึ่งในทางหลักการคือความย้อนแย้งร้ายแรง
5) “คุ้มครองเสียงข้างน้อย” หรือ “สิทธิยับยั้งของอำนาจที่ไม่ยึดโยงประชาชน”
วาทกรรม “คุ้มครองเสียงข้างน้อย” ฟังดูดี แต่ต้องถามต่อว่า เสียงข้างน้อยแบบไหน
- ถ้าเป็น “เสียงข้างน้อยของประชาชน” — ต้องคุ้มครองด้วยสิทธิ เสรีภาพ และหลักนิติรัฐอย่างแท้จริง
- แต่ถ้าเป็น “เสียงข้างน้อยของผู้ดำรงตำแหน่ง” ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง — แล้วขอสิทธิยับยั้งเจตจำนงของคนส่วนใหญ่ นั่นไม่ใช่การคุ้มครองสิทธิประชาชน แต่เป็นการคุ้มครอง “อำนาจของตน”
ประชาธิปไตยสากลยอมรับ “เสียงข้างมาก” เป็นกลไกการตัดสินใจ พร้อมเงื่อนไขสำคัญว่า เสียงข้างมากต้องไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเสียงข้างน้อย แต่ไม่ใช่การให้ “เสียงข้างน้อยที่ไม่ยึดโยงประชาชน” มาคุมเสียงข้างมาก
6) บทสรุปที่อยากส่งถึงคนไทยแบบผู้ใหญ่: “เบรกได้… แต่เจ้าของรถต้องเป็นประชาชน”
ผมไม่ปฏิเสธว่าระบบการเมืองต้องมี “เบรก” และ “ดุลยภาพ” แต่เบรกที่ชอบธรรมต้องอยู่บนฐานเดียวกัน คือ ยึดโยงประชาชน
ถ้าจะมีเงื่อนไขพิเศษเพื่อกัน “พวกมากลากไป” จริง เงื่อนไขนั้นควรถูกวางไว้ที่ ประชาชน ไม่ใช่ที่ “องค์กรที่ประชาชนไม่ได้เลือก” เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่จะอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งชีวิต คือประชาชน ไม่ใช่นักการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งคนใดชั่วคราว
คันฉ่องส่องไทยไม่ขอชวนให้คนไทยโกรธใครเป็นพิเศษ แต่ขอชวนให้คนไทย “เห็นโครงสร้าง” ว่า เมื่อใดที่เราอนุญาตให้สิ่งที่ไม่ยึดโยงประชาชน มีสิทธิ์ยับยั้งการตัดสินใจของประชาชน เมื่อนั้นประชาธิปไตยของไทยจะกลายเป็นประชาธิปไตยที่ “มีเจ้าของหลายคน” และเจ้าของที่แท้จริงกลับมีอำนาจน้อยที่สุด