Saturday, December 13, 2025

คันฉ่องส่องไทย: เมื่อ สว. ที่ไม่ยึดโยงประชาชน ขอสิทธิ์ “เบรก” รัฐธรรมนูญใหม่ด้วยเสียง 1 ใน 3

คันฉ่องส่องไทย: เมื่อ สว. ที่ไม่ยึดโยงประชาชน ขอสิทธิ์ “เบรก” รัฐธรรมนูญใหม่ด้วยเสียง 1 ใน 3
คันฉ่องส่องไทย
รัฐธรรมนูญใหม่ · อำนาจ สว. · หลักการประชาธิปไตย

เมื่อ สว. ที่ไม่ยึดโยงประชาชน ขอสิทธิ์ “เบรก” รัฐธรรมนูญใหม่ด้วยเสียง 1 ใน 3

เหตุการณ์วันที่ 11 ธันวาคม 2568 ทำให้ประเทศไทยเห็นอีกครั้งว่า “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ไม่ได้อยู่ที่คำพูดสวยหรูเรื่องถ่วงดุล แต่อยู่ที่การจัดวางอำนาจขององค์กรที่ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ให้สามารถกำหนดเงื่อนไขเหนือเจตจำนงของเจ้าของประเทศได้

สรุปสั้น ๆ

  • มีข้อเสนอให้การผ่านร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องได้เสียง สว. อย่างน้อย 1 ใน 3 ก่อนส่งประชามติ
  • ฝ่ายคัดค้านชี้ว่า สว. ไม่ยึดโยงประชาชนเท่า สส. จึงไม่ควรมี สิทธิยับยั้ง ต่อเจตจำนงประชาชน
  • ประเด็นหลักคือ “ใครเป็นเจ้าของอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ”

1) เกิดอะไรขึ้นในสภา: “เพิ่มเงื่อนไข สว. 1 ใน 3” ก่อนส่งประชามติ

ในการประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 มีวาระพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยช่วงหนึ่งของการอภิปราย มีข้อเสนอให้กำหนด “หลักเกณฑ์การผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ว่า นอกจากต้องได้เสียงสมาชิกรัฐสภาเกินครึ่งแล้ว ต้องมีเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภา อย่างน้อย 1 ใน 3 ก่อนส่งให้ประชาชนลงประชามติ

“ไม่ใช่การหวงอำนาจ… แต่เป็นผ้าเบรกกลั่นกรองรัฐธรรมนูญใหม่…” สรุปสาระจากการอภิปรายและรายงานข่าว (11 ธ.ค. 2568)

เหตุผลหลักที่ถูกยกขึ้นมา (ตามรายงานข่าว)

  • ป้องกัน “เผด็จการรัฐสภา” โดยให้ สว. 1 ใน 3 เป็น “เบรกนิรภัย”
  • อ้างการกลั่นกรองเชิงวิชาการ ว่าจะช่วยกันไม่ให้แก้กติกาเพื่อพวกพ้อง
  • อ้างความชอบธรรมของ รธน. 2560 และจำนวนผู้เห็นชอบในประชามติเดิม
  • อ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ว่ามีข้อผูกพันให้ต้องมีเสียง สว. ตามเกณฑ์หนึ่ง

2) เสียงคัดค้าน: “จะให้ 67 คนยับยั้ง 500 คนได้อย่างไร”

ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยชี้ว่า การทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องตั้งอยู่บนความชอบธรรมและการยึดโยงประชาชน และในโครงสร้างปัจจุบัน สส. ยึดโยงประชาชนผ่านการเลือกตั้ง แต่ สว. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังนั้นระดับความเชื่อมโยงระหว่างสองสภาไม่เท่ากัน

“ถ้าเราให้เสียง สว. จำนวน 67 คน มายับยั้งเสียง สส.ที่มาจากประชาชนทั้งหมดได้… รัฐธรรมนูญที่เราจะได้มันจะเป็นฉบับประชาชนได้อย่างไร” ถ้อยความตามรายงานข่าวเกี่ยวกับการอภิปรายในที่ประชุม (11 ธ.ค. 2568)

อีกประเด็นสำคัญคือ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่มี “ชั้นความเข้มงวด” อยู่แล้ว เช่น การผ่านความเห็นชอบในรัฐสภาและการทำประชามติ การเพิ่มเงื่อนไข สว. 1 ใน 3 จึงถูกมองว่าเป็นการสร้าง “ด่านพิเศษ” ให้คนส่วนน้อยที่ไม่ยึดโยงประชาชนสามารถคุมทางเดินของกระบวนการได้

3) ผลโหวตที่สะท้อนโครงสร้าง: เงื่อนไข สว. 1 ใน 3 ถูกคงไว้

ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน มีรายงานว่าเกิดการลงคะแนนที่ทำให้ เงื่อนไข สว. 1 ใน 3 ถูกคงไว้ และต่อมามีการกล่าวถึงการลงคะแนนแบบขานชื่อ รวมถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จนกระทั่งมีรายงานข่าวอีกสายหนึ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจ ยุบสภา ในคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2568

“ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ” ข้อความที่ถูกเผยแพร่ในรายงานข่าวเกี่ยวกับการยุบสภา (11 ธ.ค. 2568)

4) คันฉ่องส่องไทย: ประเด็นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่คือ “สิทธิ์ของเจ้าของประเทศ”

หากเราถอยออกมาหนึ่งก้าว เราจะเห็นว่า นี่ไม่ใช่เรื่อง “รักหรือชัง” สถาบันใด แต่เป็นคำถามพื้นฐานที่สุดของระบอบประชาธิปไตยว่า ใครคือเจ้าของอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ

ในหลักรัฐศาสตร์สากล อำนาจมีสองชั้น:

  • อำนาจสถาปนา (Constituent Power) — อำนาจของประชาชนในการสร้าง/เขียนกติกาสูงสุด
  • อำนาจตามรัฐธรรมนูญ (Constituted Power) — อำนาจขององค์กรรัฐที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ

เมื่อองค์กรที่เป็น “อำนาจตามรัฐธรรมนูญ” ขอสิทธิ์ยับยั้งเงื่อนไขการไปถึง “ประชามติของประชาชน” นั่นเท่ากับการยกระดับอำนาจของตนให้ทับซ้อนหรือสูงกว่าเจ้าของอำนาจสถาปนา ซึ่งในทางหลักการคือความย้อนแย้งร้ายแรง

ประชามติ = ช่องทางที่ให้ “เจ้าของประเทศ” ตัดสิน ด่าน สว. 1/3 = ช่องทางที่ให้ “คนไม่กี่คน” คุมทางไปถึงประชามติ

5) “คุ้มครองเสียงข้างน้อย” หรือ “สิทธิยับยั้งของอำนาจที่ไม่ยึดโยงประชาชน”

วาทกรรม “คุ้มครองเสียงข้างน้อย” ฟังดูดี แต่ต้องถามต่อว่า เสียงข้างน้อยแบบไหน

  • ถ้าเป็น “เสียงข้างน้อยของประชาชน” — ต้องคุ้มครองด้วยสิทธิ เสรีภาพ และหลักนิติรัฐอย่างแท้จริง
  • แต่ถ้าเป็น “เสียงข้างน้อยของผู้ดำรงตำแหน่ง” ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง — แล้วขอสิทธิยับยั้งเจตจำนงของคนส่วนใหญ่ นั่นไม่ใช่การคุ้มครองสิทธิประชาชน แต่เป็นการคุ้มครอง “อำนาจของตน”

ประชาธิปไตยสากลยอมรับ “เสียงข้างมาก” เป็นกลไกการตัดสินใจ พร้อมเงื่อนไขสำคัญว่า เสียงข้างมากต้องไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเสียงข้างน้อย แต่ไม่ใช่การให้ “เสียงข้างน้อยที่ไม่ยึดโยงประชาชน” มาคุมเสียงข้างมาก

6) บทสรุปที่อยากส่งถึงคนไทยแบบผู้ใหญ่: “เบรกได้… แต่เจ้าของรถต้องเป็นประชาชน”

ผมไม่ปฏิเสธว่าระบบการเมืองต้องมี “เบรก” และ “ดุลยภาพ” แต่เบรกที่ชอบธรรมต้องอยู่บนฐานเดียวกัน คือ ยึดโยงประชาชน

ถ้าจะมีเงื่อนไขพิเศษเพื่อกัน “พวกมากลากไป” จริง เงื่อนไขนั้นควรถูกวางไว้ที่ ประชาชน ไม่ใช่ที่ “องค์กรที่ประชาชนไม่ได้เลือก” เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่จะอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งชีวิต คือประชาชน ไม่ใช่นักการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งคนใดชั่วคราว

“คันเร่งไม่ใช่เจ้าของรถ เบรกก็ไม่ใช่เจ้าของรถ… เจ้าของรถคือประชาชน” ถ้อยความเชิงหลักการที่สะท้อนแก่นของประชาธิปไตยในเหตุการณ์นี้

คันฉ่องส่องไทยไม่ขอชวนให้คนไทยโกรธใครเป็นพิเศษ แต่ขอชวนให้คนไทย “เห็นโครงสร้าง” ว่า เมื่อใดที่เราอนุญาตให้สิ่งที่ไม่ยึดโยงประชาชน มีสิทธิ์ยับยั้งการตัดสินใจของประชาชน เมื่อนั้นประชาธิปไตยของไทยจะกลายเป็นประชาธิปไตยที่ “มีเจ้าของหลายคน” และเจ้าของที่แท้จริงกลับมีอำนาจน้อยที่สุด

คันฉ่องส่องไทย: เมื่อ สว. ที่ไม่ยึดโยงประชาชน ขอสิทธิ์ “เบรก” รัฐธรรมนูญใหม่ด้วยเสียง 1 ใน 3

คันฉ่องส่องไทย: เมื่อ สว. ที่ไม่ยึดโยงประชาชน ขอสิทธิ์ “เบรก” รัฐธรรมนูญใหม่ด้วยเสียง 1 ใน 3 ...