Monday, December 15, 2025

เมื่อทหารลดทอนการเมือง: ประเทศและปวงชนทั้งชาติคือผู้รับเคราะห์

คันฉ่องส่องไทย • เตือนภัยเชิงโครงสร้าง

เมื่อทหารลดทอนการเมือง: ประเทศและปวงชนทั้งชาติคือผู้รับเคราะห์

ประโยคสั้น ๆ อย่าง “นักการเมืองก็สร้างปัญหากันไป” อาจดูเป็นมุก แต่ซ่อนทัศนคติที่บ่อนทำลายรัฐสมัยใหม่—เพราะมันทำให้อำนาจหลุดพ้นจากความรับผิด

แก่น: อำนาจต้องรับผิด • ทหารต้องอยู่ใต้พลเรือน

ข้อความประเภท “นักการเมืองก็สร้างปัญหากันไป” ที่เพจกองทัพไทยได้นำเสนอดังปรากฏข้างล่างนี้ ไม่ใช่คำล้อเล่นไร้พิษภัย หากเป็นการปลูกฝังภาพจำว่า การเมืองคือผู้ร้ายโดยธรรมชาติ และทำให้สังคมเคยชินกับการลดทอนความชอบธรรมของอำนาจพลเรือน ทั้งที่ในประเทศสมัยใหม่ การเมืองคือกลไกแก้ปัญหาด้วยกติกา ไม่ใช่ด้วยกำลัง

ปัญหาไม่ใช่ว่าการเมืองไม่มีความผิดพลาด—การเมืองย่อมมีข้อบกพร่องเสมอ เพราะเป็นพื้นที่ที่ผลประโยชน์ชนกันและต้องต่อรองกัน แต่สิ่งที่อันตรายคือเมื่อ “ผู้ถืออาวุธ” ใช้ถ้อยคำที่ทำให้ประชาชนเชื่อว่า การเมืองไร้ค่า และความผิดพลาดของประเทศควรถูกโยนให้ฝ่ายบริหารฝ่ายเดียว นั่นคือการเบี่ยงความสนใจจากคำถามสำคัญที่สุด: ใครต้องรับผิดเมื่ออำนาจอื่นล้มเหลว

หน้าที่ของกองทัพคือคุ้มกันเขตแดน ไม่ใช่บ่มเพาะความเกลียดชังต่อการเมือง

หลักการง่าย ๆ ของรัฐสมัยใหม่คือกองทัพต้องทำหน้าที่ป้องกันประเทศและอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือนที่มาจากประชาชน การสื่อสารสาธารณะของกองทัพจึงควรสะท้อนความเป็นมืออาชีพ: เคารพบทบาทรัฐบาล เลี่ยงถ้อยคำที่ลดทอนการเมือง และไม่ทำให้สาธารณะเข้าใจว่า “การเมืองคือปัญหาเสมอ” เพราะนั่นเท่ากับบ่อนทำลายกลไกที่ประชาชนใช้ตรวจสอบและแก้ไขบ้านเมืองด้วยตนเอง

ประเทศไม่ได้ล้มเพราะการเมืองมีปัญหา แต่ล้มเพราะมีอำนาจที่ไม่ยอมรับว่า “ตนเองต้องรับผิดด้วย”

ถ้าชายแดนเรื้อรัง ใครรับผิดชอบต่อประสิทธิภาพด้านความมั่นคง

หากประเทศเพื่อนบ้านที่ด้อยกว่าในหลายมิติยังสามารถสร้างปัญหาชายแดนได้ยืดเยื้อ คำถามเชิงความรับผิดชอบย่อมเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ: เหตุใดปัญหาจึงถูกปล่อยให้สะสมจนกลายเป็นชนวนที่กระทบการทูตและเศรษฐกิจ แล้วใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อ “ผลลัพธ์” ที่เกิดขึ้นในสนามที่กองทัพมีบทบาทโดยตรง

การโยนความผิดให้ “นักการเมือง” อาจทำให้คนบางกลุ่มสะใจ แต่ไม่ได้ทำให้ชายแดนมั่นคงขึ้น ไม่ได้ทำให้การทูตแข็งแรงขึ้น และไม่ได้ทำให้ประเทศไทยดูเป็นรัฐที่มีเสถียรภาพในสายตานานาชาติ ตรงกันข้าม มันทำให้ภาพของรัฐไทยดูคลุมเครือว่าขอบเขตอำนาจอยู่ตรงไหนกันแน่

การเมืองระหว่างประเทศไม่เล่นมุก

ถ้อยคำจากหน่วยงานความมั่นคงสามารถถูกตีความเป็น “ท่าทีของรัฐ” ได้ทันที โดยเฉพาะเมื่อเป็นบัญชีทางการหรือสื่อสารในนามองค์กร ถ้อยคำที่ลดทอนรัฐบาลพลเรือนหรือโยนความผิดให้การเมือง จึงไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์ภายในประเทศ แต่เป็นต้นทุนทางการทูตที่รัฐบาลต้องแบกรับขณะเจรจา และสุดท้ายผู้จ่ายราคาคือประชาชนทั้งชาติ

คันฉ่องส่องไทย: มุกที่ทำให้เราหัวเราะ อาจเป็นเครื่องมือทำให้สังคมเคยชินกับการลดทอนอำนาจประชาชน เมื่อใดที่ “ความจริง” ต้องขออนุญาตก่อนพูด เมื่อนั้นประเทศกำลังเดินถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

ข้อเตือนถึงคนไทยทุกคน

จงวิพากษ์นักการเมืองได้เต็มที่ แต่ต้องไม่เผลอรับ “กรอบคิด” ที่ทำให้การเมืองกลายเป็นผู้ร้ายตลอดกาล เพราะถ้าสังคมเชื่อว่าการเมืองเลวโดยธรรมชาติ สังคมก็จะเริ่มยอมรับโดยไม่รู้ตัวว่า อำนาจอื่นสามารถ “เหนือการเมือง” ได้—และนั่นคือประตูสู่ความไม่รับผิด

ประเทศจะไปต่อได้ก็ต่อเมื่อทุกอำนาจ—ไม่ว่ามาจากที่ใด—ยอมอยู่ภายใต้หลักเดียวกัน: อำนาจต้องถูกตรวจสอบ และต้องรับผิด หากเรายอมให้มีอำนาจที่พูดได้โดยไม่ต้องรับผิด คิดได้โดยไม่ต้องถูกตรวจสอบ และทำได้โดยไม่ต้องยอมรับผลลัพธ์ เรากำลังเปิดทางให้ประเทศติดหล่มเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หมายเหตุ: บทความนี้มุ่งชี้ภัยเชิงโครงสร้าง ไม่พุ่งโจมตีบุคคล เพราะปัญหาหลักไม่ใช่ “ใครพูด” แต่อยู่ที่ “กรอบคิด” ที่ทำให้สังคมหลงทางจากหลักรัฐสมัยใหม่

อย่าหลงว่า “สหรัฐเข้าข้างกัมพูชา” แล้วปล่อยให้ไฟชาตินิยมเผาทั้งการทูตและประชาธิปไตย

คันฉ่องส่องไทย • เตือนภัย “เรื่องเล่า” ที่ทำให้เราอ่านเกมผิด อย่าหลงว่า “สหรัฐเข้าข้างกัมพูชา” แล้วปล่อยให้ไฟชา...