ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Wednesday, November 19, 2025

คันฉ่องส่องไทย: ยึดทรัพย์ชินวัตร—ความจริงที่แยกไม่ออกจากอำนาจ

 

1. การยึดทรัพย์ไม่ใช่แค่คดี แต่เป็นสงครามทางชนชั้นการเมือง

สิ่งที่ถูกยึดไปไม่ใช่แค่ “ทรัพย์” แต่คือ อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ–การเมือง ของเครือข่ายนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งขึ้นมาท้าทายระเบียบเดิมที่ผูกขาดประเทศมานานหลายทศวรรษ
เมื่อรัฐประหาร 2549 – 2557 ใช้กลไก “สอบ–ฟ้อง–ยึด–ล่า” เพื่อตัดขาดกำลังทุนของอีกฝ่าย นั่นคือสัญญาณว่าในไทย กฎหมายเป็นสนามรบ ไม่ใช่เครื่องทำความยุติธรรม

2. คตส. คือศาลเตี้ยเชิงสถาบันในนามของรัฐ

องค์กรที่ตั้งโดยคณะรัฐประหารย่อมสะท้อนเจตนารมณ์ของผู้ปฏิวัติ ไม่ใช่ประชาชน
คตส. ถูกออกแบบเพื่อ “จัดการ” เครือข่ายทักษิณ โดยเฉพาะ
การไต่สวน–ยึดทรัพย์ 46,000 ล้าน จึงต้องมองว่าเป็นกระบวนการที่เกิดในสภาพแวดล้อมที่ขาดดุลประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
ผิดมีจริงก็ส่วนหนึ่ง แต่การเลือกเป้าเพียงฝ่ายเดียวคือ รอยด่างของกระบวนการยุติธรรมไทยทั้งระบบ

3. ไทยใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐานมานาน—ยึดเฉพาะคู่อำนาจ ไม่กล้ายึดพวกเดียวกัน

ในยุโรปหรืออเมริกา ผู้มีอำนาจใดก็ตาม หากใช้นโยบายเอื้อประโยชน์ตัวเอง ก็ต้องพบกับคดีอาญา–คดีแพ่ง–คดีอัยการอิสระ
แต่ในไทย

  • นักการเมืองฝ่ายทหาร–อนุรักษ์นิยม

  • ข้าราชการระดับสูง

  • กลุ่มทุนที่แนบชิดอำนาจ
    ล้วน “รอดทุกคดี” แม้มีหลักฐานเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทตัวเองชัดเจน เพราะกระบวนการตรวจสอบ “ไม่เคยเริ่มต้น”

ขณะที่กรณีทักษิณ–ยิ่งลักษณ์ ถูกเล่นงานทุกช่องทาง ทั้งคดีอาญา คดีแพ่ง คดีภาษี การยึดทรัพย์ การยึดหนังสือเดินทาง การตัดสิทธิ
ทั้งหมดสะท้อนว่าไทย มีรัฐ แต่ไม่ค่อยมีนิติรัฐ

4. เงินที่ยึดแม้ไม่ได้ไปเข้ากระเป๋ากษัตริย์—แต่เสริมเกราะให้ระบอบที่ปกป้องสถาบัน

ตามตัวบทกฎหมาย เงินที่ยึดจากชินวัตรกลายเป็นทรัพย์ของ “รัฐไทย”
ไม่ได้เข้ากองทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
แต่…
เมื่ออำนาจของเครือข่ายทักษิณถูกทำลายลง ระบอบที่มีสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางก็ แข็งแรงขึ้น เพราะผู้ท้าทายอำนาจถูกปราบแล้ว
นี่คือผลประโยชน์เชิงโครงสร้าง—ไม่ใช่เชิงบัญชี
เงินอาจไม่ไปเข้าพระคลัง
แต่ “อำนาจต่อรอง” กลับเข้ามือระบอบเดิมอย่างเต็มรูปแบบ

5. คดีจำนำข้าว: บทเรียนของการใช้กฎหมายเป็นอาวุธ

ความเสียหายระดับนโยบายมีจริง นโยบายมีช่องโหว่จริง
แต่วิธีลงโทษยิ่งลักษณ์ในยุค คสช. คือการ “สั่งชดใช้ก่อน–พิสูจน์ภายหลัง”
ค่าชดใช้ 35,000 ล้านถูกวิจารณ์หนักจนศาลปกครองสูงสุดต้องลดลงเหลือ 10,000 ล้าน
นี่คือหลักฐานว่าระบบตรวจสอบไทย ขาดความยับยั้งชั่งใจ และถูกครอบงำด้วยความแค้นทางการเมืองมากกว่าความยุติธรรม
จุดประสงค์ไม่ใช่ “ทำให้รัฐได้เงินคืน”
แต่คือ “ทำลายตระกูลทางการเมืองให้สิ้นซาก”

6. กระบวนการยุติธรรมที่ดีต้อง “ไม่เลือกศัตรู” แต่ของไทยเลือกชัดเจน

มาตรฐานสิทธิมนุษยชนตะวันตกเรียกร้องให้รัฐ

  • ไม่เลือกปฏิบัติ
  • ไม่ใช้ศาลพิเศษจากรัฐประหาร
  • ไม่ใช้กฎหมายย้อนหลัง
  • ไม่ทำลายฝ่ายตรงข้ามเกินสัดส่วน

แต่ไทยทำครบทุกข้อในทางตรงกันข้าม
เมื่อรัฐประหารเข้ามาเป็น “ผู้พิทักษ์กฎหมาย” จะหวังความเป็นกลางได้อย่างไร?
ประเทศไทยจึงสร้าง ภาพลวงตาแห่งนิติรัฐ แต่จริง ๆ แล้วคือ “กฎหมายที่ต่อต้านอีกฝั่ง แต่ปกป้องพวกตัวเอง”

7. การยึดทรัพย์ชินวัตรคือสัญลักษณ์ของการต่อสู้ระหว่าง ‘รัฐประชาชน’ กับ ‘รัฐอำนาจเก่า’

ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์ผิดบางอย่างจริง ไม่สมบูรณ์แบบจริง
แต่ระบอบอำนาจเก่ากลับผิดมากกว่า—เพราะ

  1. ใช้กำลังยึดอำนาจ
  2. แต่งตั้งองค์กรมาไต่สวนเฉพาะฝ่ายที่ตนต้องการล้ม
  3. สร้างกลไกตุลาการภิวัตน์
  4. ใช้กฎหมายเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจ ไม่ใช่เพื่อความยุติธรรม

ไทยจึงไม่เคย “ชนะการคอร์รัปชัน”
แต่ไทย “ชนะศัตรูทางการเมือง” ด้วยการใช้ข้อหาคอร์รัปชันต่างหาก

8. ท้ายที่สุด… การยึดทรัพย์ไม่เคยแก้ปัญหาประเทศ—แต่ทำให้ประเทศกลับหลัง

หลังยึด 46,000 ล้าน
หลังตัดสิทธิ
หลังประหารทางการเมืองโดยกฎหมาย
ไทยได้อะไรกลับมา?

  • เศรษฐกิจล้มเหลว
  • เสรีภาพถดถอย
  • ความเชื่อมั่นต่างชาติหาย
  • ความแตกแยกขยาย
  • วงจรอำนาจเก่ากลับมาครองประเทศ

แต่สิ่งที่ไทย “ไม่ได้” คือ
กระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลาง และประเทศที่ก้าวไปข้างหน้า

9. ความจริงสุดท้าย: ไทยไม่ได้ขาดกฎหมาย—แต่ขาดความซื่อสัตย์ต่อการใช้กฎหมาย

ถ้าไทยใช้กฎหมายเพื่อประเทศ
เราคงมีศาลอิสระ อัยการอิสระ องค์กรตรวจสอบที่ไม่ใช่แขนของรัฐประหาร
แต่ไทยใช้กฎหมายเป็นเหมือน “ดาบ”
ฝ่ายที่ถือดาบปลอดภัย
ฝ่ายถูกฟันต้องตาย
นี่คือปัญหาที่ลึกกว่าคดีทักษิณหรือยิ่งลักษณ์มากนัก
ลึกถึง รากของรัฐไทยเอง

10. คันฉ่องส่องไทยที่แท้จริงจึงสะท้อนว่า:

“สิ่งที่ควรยึดไม่ใช่ทรัพย์ของนักการเมือง แต่คืออำนาจอันไม่อาจตรวจสอบได้ของระบอบเก่า และสิ่งที่ควรคืนให้ประชาชน ไม่ใช่เงิน แต่คือความยุติธรรมที่ถูกปล้นไปพร้อมกับรัฐประหาร.”