สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025:
เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา
บทวิเคราะห์เชิงโครงสร้างสำหรับสาธารณชนไทย–กัมพูชา และผู้กำหนดนโยบายระดับนานาชาติ
บทคัดย่อ
การปะทุของความรุนแรงชายแดนไทย–กัมพูชาในเดือนธันวาคม 2025 พร้อมการโจมตีทางอากาศของไทยด้วยเครื่องบินรบ F-16 ต่อเป้าหมายฝ่ายกัมพูชา สะท้อนความล้มเหลวของข้อตกลงหยุดยิงที่อยู่ภายใต้แรงผลักดันของสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และจีน ขณะเดียวกันก็เกิดขึ้นท่ามกลางการปราบปรามเครือข่ายสแกมข้ามชาติ ที่โยงถึงบุคคลซึ่งใช้ชื่อว่า Benjamin “Ben Smith” Mauerberger และพันธมิตรทางการเมืองในไทยและกัมพูชา บทความนี้เสนอการ “ชำแหละ” สถานการณ์ออกเป็น 10 ประเด็นหลัก ตั้งแต่โครงสร้างข้อพิพาทชายแดน บทบาทของทรัมพ์และมาตรการภาษี การเมืองภายในของทั้งสองประเทศ เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ไปจนถึงบทบาทของจีนในฐานะผู้อุปถัมภ์ใหม่ พร้อมตั้งคำถามเชิงจริยธรรมทางการเมืองว่า การท้าทายคำมั่นสัญญาต่อสหรัฐฯ และการเสี่ยงชีวิตประชาชนจำนวนมากนั้น “คุ้ม” กับผลประโยชน์ของผู้นำและเครือข่ายอำนาจหรือไม่
-
1. โครงสร้างข้อพิพาทชายแดน: จากแผนที่อาณานิคมสู่สงครามปี 2025
ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ได้เริ่มต้นในปี 2025 แต่ย้อนกลับไปอย่างน้อยถึงสนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยามต้นศตวรรษที่ 20 ที่กำหนดแนวเขตแดนบนสันเขาพนมดงเร็ก แต่การปักปันจริงกลับคลาดเคลื่อน ทำให้พื้นที่รอบวัดพระวิหารและเขตใกล้เคียงกลายเป็น “พื้นที่ซ้อนทับ” ที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีแผนที่อ้างสิทธิ์ของตนเอง[1]
หลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสินในปี 1962 ให้ตัวปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนกัมพูชา ปัญหาไม่ได้จบลง เพราะพื้นที่รอบปราสาทและแนวเขตที่เหลือยังไม่ถูก demarcate อย่างชัดเจน เมื่อรวมกับการเมืองชาตินิยมในไทยหลังปี 2008 และการเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกของเขมร ข้อพิพาทจึงกลายเป็น “วัตถุไวไฟ” ทางการเมืองและการทหารที่พร้อมปะทุซ้ำได้ตลอดเวลา[2]
เหตุปะทะในปี 2025 จึงควรมองว่าเป็น “คลื่นลูกใหญ่ล่าสุด” ของข้อพิพาทเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยวที่เกิดขึ้นโดยไร้ฉากหลังทางประวัติศาสตร์และการเมือง
-
2. ข้อตกลงหยุดยิงภายใต้เงาทรัมพ์–อนวาร์–จีน: สันติภาพแบบมีเงื่อนไขทางภาษี
ในเดือนกรกฎาคม 2025 การสู้รบที่ปะทุขึ้นตามแนวชายแดนได้ขยายตัวจนมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนและประชาชนต้องอพยพหลายแสนคน ความพยายามของผู้นำมาเลเซียและจีนในการกดดันให้หยุดยิงมีบทบาทสำคัญ แต่สิ่งที่ปลดล็อกให้ไทยยอมเข้าร่วมการเจรจาอย่างจริงจังคือ โทรศัพท์จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ที่ผูกเรื่อง ceasefire เข้ากับการกลับมาเจรจาภาษีกับไทยอีกครั้ง[3]
ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2025 สหรัฐฯ ยังได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะผูกความคืบหน้าของข้อตกลงหยุดยิงกับท่าทีของไทยในโต๊ะการค้า และขู่กลาย ๆ ว่าการไม่ร่วมมืออาจกระทบการเจรจาภาษีและการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ของไทย[4] นั่นหมายความว่า ข้อตกลงหยุดยิงไทย–กัมพูชาไม่ได้เป็นเพียง “เรื่องความมั่นคงชายแดน” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขเชิงเศรษฐกิจ” ที่ผูกไทยเข้ากับระบบการค้าสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้น
การที่ทั้งไทยและกัมพูชากล้าละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในปลายปี 2025 จึงเท่ากับการส่งสัญญาณว่า ผู้นำทั้งสองประเทศพร้อมจะเสี่ยง ต่อแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐฯ เพื่อแลกกับเป้าหมายบางอย่าง ทั้งในทางการเมืองภายในและในทางยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ
-
3. การโจมตีทางอากาศของไทย: จาก F-16 ถึงข้อกล่าวหาเรื่องอาวุธจีน
การตัดสินใจใช้เครื่องบินรบ F-16 ของกองทัพอากาศไทยในการโจมตีเป้าหมายฝั่งกัมพูชา ถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งจากการยิงปะทะภาคพื้นดิน ไปสู่ สงครามเชิงอากาศ (air war) อย่างชัดเจน โดยฝ่ายไทยอ้างว่าเป้าหมายคือฐานอาวุธหนักและจุดสนับสนุนไฟของเขมร ซึ่งรวมถึงระบบจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 ที่ผลิตในจีนและ BM-21 จากยุคโซเวียต ที่เชื่อว่าสามารถยิงถึงสนามบินและโรงพยาบาลในฝั่งไทย[5]
รายงานจากสื่อต่างประเทศระบุตรงกันว่า การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากทหารไทยคนหนึ่งเสียชีวิตจากเหตุปะทะหรือเหตุระเบิด และฝ่ายไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาละเมิดเงื่อนไขการถอนอาวุธหนักตามข้อตกลงหยุดยิง โดยนำปืนใหญ่และจรวดระยะไกลกลับเข้าพื้นที่พิพาท[6]
แม้ไทยจะยืนยันว่ามุ่งโจมตีเป้าหมายทางทหาร แต่ฝ่ายกัมพูชาระบุว่ามีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน และเรียกร้องให้ประชาคมโลกประณามพฤติกรรมของไทย ขณะที่อดีตผู้นำอย่างฮุน เซน ออกมาเตือนมิให้ตอบโต้เกินกว่าเหตุ ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า “การใช้ F-16 ไม่ใช่เพียงการตอบโต้เชิงยุทธวิธี แต่เป็นการส่งสารเชิงการเมืองทั้งต่อเพื่อนบ้านและต่อชาติมหาอำนาจ”
-
4. กัมพูชาภายใต้ตระกูลฮุน: ใช้ความขัดแย้งสร้างเอกภาพและคะแนนนิยม?
รัฐบาลกัมพูชายุคหลังการเปลี่ยนผ่านจากฮุน เซน สู่ฮุน มาเนต ต้องเผชิญโจทย์สำคัญสองด้านพร้อมกัน คือ การรักษาฐานอำนาจของตระกูลทางการเมือง และการจัดการกับแรงกดดันเรื่องสิทธิมนุษยชน เศรษฐกิจ และการพึ่งพาจีนในระดับสูง ในบริบทเช่นนี้ ความขัดแย้งชายแดนกับไทยกลายเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ที่สามารถใช้เพื่อสร้างเอกภาพภายใน และวาดภาพรัฐบาลว่าเป็นผู้คุ้มครองอธิปไตยและศักดิ์ศรีชาติ
การเรียกระดม “ความเป็นปึกแผ่นของชาติ” หลังการโจมตีของไทย และการย้ำภาพลักษณ์ว่าเขมรถูกกระทำ ช่วยเบี่ยงความสนใจจากคำถามยาก ๆ ภายใน เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การผูกขาดทุน และการถูกวิจารณ์เรื่องการกวาดล้างฝ่ายค้าน จึงเป็นไปได้ว่า การปล่อยให้สถานการณ์ชายแดนยืดเยื้อหรือร้อนแรงเป็นระยะ ๆ นั้น มีฟังก์ชันทางการเมืองภายในที่สำคัญ ไม่ใช่เพียงความผิดพลาดของระบบเตือนภัยทางทหาร
นอกจากนี้ การปะทะที่มีพลเรือนเสียชีวิตยังอาจถูกใช้เป็น “หลักฐานเชิงการเมือง” ในเวทีระหว่างประเทศ หากกัมพูชาตัดสินใจนำคดีไปสู่กลไกระหว่างประเทศในอนาคต คล้ายกับที่เคยทำในกรณีวัดพระวิหาร
-
5. รัฐบาลไทยภายใตอนุทิน: วาทกรรม “ปกป้องอธิปไตย” กับคำถามเรื่องความรับผิดชอบ
ฝ่ายไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่าการโจมตีทางอากาศเป็น “การป้องกันตนเอง” เพื่อตอบโต้การละเมิดหยุดยิงของกัมพูชา และเพื่อปกป้องชีวิตพลเรือนในจังหวัดชายแดน พร้อมทั้งปฏิเสธการแทรกแซงจากต่างชาติ โดยระบุในทำนองว่า “ไทยจะตัดสินใจบนฐานของอธิปไตยของตนเอง”[6]
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าไทยเคยยอมรับข้อตกลงหยุดยิงที่ผูกโยงกับการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ รวมทั้งได้รับแรงสนับสนุนจากมาเลเซียและจีน การกลับมาใช้กำลังทางทหารในระดับที่เสี่ยงต่อการขยายวงความขัดแย้ง ย่อมทำให้เกิดคำถามด้านความรับผิดชอบต่อพันธะสัญญาระหว่างประเทศ และต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะตกกับประชาชนไทยในระยะกลางและระยะยาว
ในเชิง “คันฉ่องส่องไทย” จุดยืนแข็งกร้าวของรัฐบาลไทยในเวทีสาธารณะจึงต้องถูกตรวจสอบคู่กับ วาระภายในประเทศ ทั้งในด้านคดีคอร์รัปชัน เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความพยายามกลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อผู้นำทางการเมือง
-
6. เครือข่ายสแกมข้ามชาติและบทบาทของ Benjamin “Ben Smith” Mauerberger
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปะทุของความขัดแย้งชายแดน ทางการไทยได้ประกาศการยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเครือข่ายสแกมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ การฟอกเงิน และธุรกิจอำพรางหลายประเภท โดยรายงานสืบสวนของผู้สื่อข่าวและสื่อระหว่างประเทศระบุว่า บุคคลที่ใช้ชื่อว่า Benjamin “Ben Smith” Mauerberger มีบทบาทเป็น “จุดศูนย์กลาง” ของเครือข่ายทางการเงินที่เชื่อมโยงไปยังนักการเมืองและกลุ่มทุนในไทยและกัมพูชา[7][8][9]
จากรายงานเชิงสืบสวนและคำแถลงของหน่วยงานปราบปรามการฟอกเงินในไทย เครือข่ายนี้ใช้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ สายการบินเอกชน และธุรกิจบริการต่าง ๆ เป็นช่องทางในการหมุนเงินจากการหลอกลวงเหยื่อจำนวนมากทั่วโลก โดยมีร่องรอยของการถือหุ้นไขว้ การจดทะเบียนบริษัทที่อยู่เดียวกัน และการโยกย้ายเงินผ่านหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สิ่งสำคัญคือ รายงานบางส่วนระบุถึงความเชื่อมโยงของเครือข่ายสแกมกับ “นักการเมืองและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ชายแดน” ซึ่งทำให้พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชากลายเป็นทั้งสมรภูมิทางทหารและ “สมรภูมิของอาชญากรรมข้ามชาติ” ในเวลาเดียวกัน แม้รายละเอียดหลายประเด็นยังอยู่ในกระบวนการสอบสวน แต่แนวโน้มรวมชี้ให้เห็นว่า เครือข่ายสแกมไม่ได้ดำรงอยู่ได้ หากปราศจากการปกป้องหรือการเพิกเฉยจากผู้มีอำนาจทั้งสองฝั่งพรมแดน
-
7. พรมแดนอาชญากรรม–การเมือง: ข้อกล่าวหาเรื่องสายสัมพันธ์นักการเมืองไทย–กัมพูชา
กระแสข่าวและการอภิปรายในสภาไทยช่วงต้นเดือนธันวาคม 2025 ทำให้ชื่อ “Ben Smith” กลายเป็นประเด็นสาธารณะอย่างฉับพลัน เมื่อมีการกล่าวหาว่าเขามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบุคคลสำคัญทั้งในกัมพูชาและไทย รวมถึงถูกกล่าวพาดพิงถึงการมีสายสัมพันธ์กับผู้นำกัมพูชาบางคน และนักการเมืองไทยระดับสูงที่มีบทบาทด้านความมั่นคงและเกษตรกรรม[10][11][12][21]
นายกรัฐมนตรีอนุทินเองออกมายอมรับในเวลาต่อมาว่าเคยพบ Ben Smith จริง แต่ยืนยันว่าเป็นเพียง “คนรู้จักผ่านเพื่อน” และไม่สนิทสนมเป็นการส่วนตัว พร้อมทั้งย้ำว่าจะไม่ลังเลในการดำเนินการกับอาชญากรรมข้ามชาติ หากมีหลักฐานชัดเจน[10][11][19]
สำหรับมุมมองเชิงวิเคราะห์ สิ่งสำคัญไม่ใช่การสรุปโดยพลการว่า “ใครผิด–ใครถูก” ในทันที แต่คือการตั้งคำถามเชิงโครงสร้างว่า ทำไมเครือข่ายสแกมที่มีเงินหมุนเวียนระดับหลายร้อยล้านดอลลาร์ จึงสามารถเติบโตในภูมิภาคนี้ได้ยาวนาน และทำไมภาพถ่ายหรือความสัมพันธ์เชิงสังคมระหว่างนักการเมืองกับผู้ถูกกล่าวหา จึงเกิดขึ้นได้โดยไม่มีระบบตรวจสอบล่วงหน้าที่เข้มแข็งกว่านี้
เมื่อเชื่อมโยงกับการตัดสินใจใช้กำลังทางทหารในช่วงเวลาที่คดีเครือข่ายสแกมถูกจับตาอย่างหนัก จึงไม่น่าแปลกใจที่สาธารณชนจำนวนหนึ่งตั้งคำถามว่า “ไฟสงครามถูกใช้เพื่อกลบไฟการสอบสวนหรือไม่” แม้คำถามนี้ยังเป็นเพียงสมมติฐาน แต่ก็เป็นสมมติฐานที่ควรได้รับการตรวจสอบอย่างโปร่งใสและเป็นระบบ
-
8. จีนในฐานะผู้อุปถัมภ์ใหม่: อาวุธ โครงสร้างพื้นฐาน และกันชนทางการทูต
ความสัมพันธ์กัมพูชา–จีนด้านความมั่นคงเติบโตอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่การปรับปรุงฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) ด้วยเงินทุนและเทคโนโลยีจากจีน ไปจนถึงการวางระบบป้องกันภัยทางอากาศและเรดาร์ในพื้นที่สำคัญ[13][14] การที่มีรายงานว่าอาวุธบางส่วนที่กัมพูชาใช้ หรือถูกกล่าวหาว่าสะสมไว้ตามแนวชายแดน เป็นระบบจรวดที่ผลิตในจีน จึงสะท้อนว่า จีนไม่ได้เป็นเพียง “ผู้เล่นทางเศรษฐกิจ” แต่เป็น “ผู้เล่นทางการทหาร” ในภูมิภาคอย่างเด่นชัด[5]
ในเวลาเดียวกัน ไทยเองก็เร่งกระชับความสัมพันธ์กับจีน ผ่านโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีน–ลาว–ไทย และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในกรอบ Belt and Road Initiative ซึ่งถูกนำเสนอในฐานะ “การยกระดับความเชื่อมโยงของภูมิภาค” แต่ก็สร้างภาวะพึ่งพิงต่อเงินทุนและตลาดของจีนในระดับสูงด้วย[1][4][6][15][16][17]
ผลรวมคือ ทั้งไทยและกัมพูชามี “กันชนทางการทูตและเศรษฐกิจ” จากจีนในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ผู้นำทั้งสองประเทศ “รู้สึกกล้าขึ้น” ในการยืนระยะต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ทั้งในเรื่องหยุดยิงชายแดนและในเรื่องปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่พัวพันกับกลุ่มทุนระดับภูมิภาค
-
9. ทำไมการท้าทายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ “ไม่คุ้ม” สำหรับประชาชนสองประเทศ
สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในคู่ค้าและแหล่งการลงทุนสำคัญของไทย และมีบทบาทต่อเสถียรภาพของภูมิภาคในฐานะ “ตราชั่ง” ถ่วงดุลจีน เมื่อทรัมพ์ส่งสัญญาณว่าจะเชื่อมโยงการเจรจาภาษีและข้อตกลงการค้ากับท่าทีของไทยในกรณีชายแดน เท่ากับว่า การกลับมาใช้กำลังทางทหารของไทยและการละเมิดหยุดยิงย่อมมีต้นทุนเชิงเศรษฐกิจที่จับต้องได้ ตั้งแต่ความเสี่ยงต่อมาตรการภาษี ไปจนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว[3][4][11][14]
สำหรับกัมพูชา แม้จะพึ่งพาจีนอย่างหนัก แต่ก็ยังต้องการการเข้าถึงตลาดตะวันตกและความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินนานาชาติ การปล่อยให้ตนเองถูกมองว่าเป็น “รัฐที่พร้อมละเมิดข้อตกลงหยุดยิง” ย่อมลดอำนาจต่อรองในเวทีนานาชาติ และเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีเสถียรภาพต่ำ
เมื่อชั่งน้ำหนักในมุมมองผลประโยชน์สาธารณะ การท้าทายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการเล่นกับไฟสงครามชายแดนในเวลาที่เศรษฐกิจโลกเปราะบาง จึงแทบไม่อาจถือว่า “คุ้ม” สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งในไทยและกัมพูชา หากมีกลุ่มใดที่ “ได้ประโยชน์” จากความเสี่ยงนี้ ก็น่าจะเป็นกลุ่มผู้นำทางการเมืองและเครือข่ายผลประโยชน์ที่ต้องการใช้สงคราม เป็นฉากหลังปกป้องหรือเสริมสร้างอำนาจของตนเองมากกว่าจะเป็นประโยชน์ของชาติ
-
10. บทเรียนเชิงโครงสร้าง: สำหรับประชาชนไทย–กัมพูชา และผู้กำหนดนโยบายสหรัฐฯ
10.1 สำหรับประชาชนไทยและกัมพูชา
สงครามชายแดนปี 2025 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อรัฐมีความเปราะบางเชิงสถาบัน และประชาธิปไตยไม่สามารถตรวจสอบผู้นำได้อย่างแท้จริง “ชายแดน” จะถูกใช้เป็นทั้งสนามรบทางทหาร สนามรบทางการเมือง และสนามรบของอาชญากรรมข้ามชาติในเวลาเดียวกัน
ประชาชนสองประเทศจึงต้องตั้งคำถามต่อไปอย่างไม่ลดละว่า “การตัดสินใจใช้กำลังของรัฐบาลครั้งใด ทำไปเพื่อปกป้องชีวิตและศักดิ์ศรีของประชาชนจริง ๆ หรือเพื่อปกป้องสถานะของผู้นำและเครือข่ายผลประโยชน์ของพวกเขา?”
10.2 สำหรับผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐฯ และประชาคมโลก
จากมุมมองของสหรัฐฯ และประชาคมโลก สถานการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนว่า การผูก ข้อตกลงหยุดยิง เข้ากับ มาตรการทางการค้า อาจสร้างแรงจูงใจให้ผู้นำประเทศคู่ขัดแย้ง “ยอมรับเงื่อนไขในรูปแบบเอกสาร” เพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมเชิงโครงสร้างของรัฐเหล่านั้นอย่างแท้จริง เมื่อมีปัจจัยอื่นเข้ามา เช่น ผลประโยชน์จากจีนหรือแรงกดดันจากการเปิดโปงเครือข่ายอาชญากรรม ข้อตกลงที่ยึดโยงด้วย “หลักประกันทางเศรษฐกิจ” เพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ
หากประชาคมโลกต้องการสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้ จำเป็นต้องมองลึกกว่า “เส้นเขตแดน” ไปยังโครงสร้างของทุนผูกขาด เครือข่ายสแกมข้ามชาติ การผูกขาดอำนาจทางการเมือง และความเปราะบางทางประชาธิปไตยที่ทำให้ผู้นำสามารถใช้สงครามเป็นฉากหลังกลบปัญหาภายในได้อย่างแทบไม่ต้องรับผิด
ในสายตา “คันฉ่องส่องไทย” สงครามนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของปืนใหญ่และ F-16 แต่คือการสะท้อนว่า โลกกำลังอยู่ในยุคที่ เส้นแบ่งระหว่างรัฐ ทุน และอาชญากรรม เลือนรางลงมากขึ้นเรื่อย ๆ และหากประชาชนไม่หวงแหนสิทธิในการตรวจสอบอำนาจรัฐอย่างจริงจัง ชีวิตของพวกเขาอาจถูกนำไปเดิมพันบนโต๊ะเจรจาที่พวกเขาไม่เคยได้มีที่นั่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว
บรรณานุกรม (คัดเลือก)
- Ratcliffe, R. “Why are Thailand and Cambodia engaged in a border conflict?” The Guardian, 24 กรกฎาคม 2025.
- Ciorciari, J.D. “Thailand and Cambodia: The Battle for Preah Vihear.” Stanford University, 2009.
- “Trump’s call broke deadlock in Thailand-Cambodia border crisis.” Reuters, 31 กรกฎาคม 2025.
- “US pressures Thailand to recommit to Cambodia ceasefire with threat of tariffs.” The Guardian, 15 พฤศจิกายน 2025.
- “China-made rocket among triggers for Thai airstrikes into Cambodia.” Reuters, 8 ธันวาคม 2025.
- “Thailand launches airstrikes along disputed border with Cambodia as tensions flare.” The Guardian, 8 ธันวาคม 2025.
- “Thailand the new eye of SE Asia’s scam center storm.” Asia Times, ธันวาคม 2025.
- “Thailand Seizes $300M in Assets as Scam Crackdown Deepens.” The Diplomat, ธันวาคม 2025.
- “Thailand Seizes Over $300M from Transnational Scam Ring.” Khaosod English, 3 ธันวาคม 2025.
- “PM admits having merely met Ben Smith as ‘acquaintance’.” Thai Newsroom, 4 ธันวาคม 2025.
- “Anutin admits knowing but not being close to ‘Ben Smith’.” Nation Thailand, ธันวาคม 2025.
- “Thai PM, Finance Minister Address Photos With Alleged Scam Figure Ben Smith.” Khaosod English, 4 ธันวาคม 2025.
- Lowy Institute. “Partnership of Convenience? Ream Naval Base and the Cambodia–China Convergence.” รายงาน, 2024.
- CSIS AMTI. “A Tale of Two Reams: Questions Remain at Cambodia’s Growing Naval Base.” รายงาน, 2025.
- “Thailand adds last piece in China rail link as bilateral ties get back on track.” South China Morning Post, 6 กุมภาพันธ์ 2025.
- “China and Thailand to be linked via high-speed rail.” Newsweek, 29 มกราคม 2025.
- Carnegie Endowment. “How Has China’s Belt and Road Initiative Impacted Southeast Asian Countries?” บทวิเคราะห์, 2023.
- “Thailand and Cambodia reaffirm ceasefire after China-brokered talks.” AP News, 30 กรกฎาคม 2025.
