จากปากกระบอกปืนสู่รัฐธรรมนูญ 2560: การสถาปนาระบอบกึ่งเผด็จการในนามของ ‘ความมั่นคง’
การรัฐประหารไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ยึดอำนาจในช่วงเวลาหนึ่ง แต่คือการประกาศว่ากระบวนการทางการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชน ถูก “พัก” ไว้โดยผู้มีอำนาจนอกระบบในนามของการแก้ไขวิกฤต การเคลื่อนอำนาจเช่นนี้ส่งผลให้สถาบันที่เคยอยู่บนฐานของฉันทามติสาธารณะ ถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างที่ยึดโยงกับอำนาจแบบรวมศูนย์ การจัดวางเช่นนี้ปรากฏให้เห็นชัดในช่วงเปลี่ยนผ่านรัชกาล ซึ่งต้องการเสถียรภาพทางการเมืองอย่างยิ่งยวด และทำให้การรัฐประหารทำหน้าที่เป็น “สะพานเฉพาะกิจ” ที่ขยายตัวเป็นระบอบยาวนานเกินกว่าที่มีการประกาศไว้ในตอนต้น.
1. ปากกระบอกปืนในฐานะจุดเริ่มต้นของระเบียบอำนาจใหม่
รัฐประหารทำหน้าที่มากกว่าการเปลี่ยนรัฐบาล เนื่องจากเป็นกระบวนการที่สลับศูนย์อำนาจจากระบบที่มีตัวแทนประชาชน ไปสู่ระบบที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือของคณะบุคคลกลุ่มเล็ก การถือครองอำนาจโดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง ทำให้รัฐสามารถบริหารประเทศได้โดยไม่ต้องอ้างอิงต่อฉันทามติของสังคมหรือกระบวนการถ่วงดุลเชิงสถาบัน.
บริบททางการเมืองในปี 2557 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งยืดเยื้อและสภาวะเปลี่ยนผ่านรัชกาล ทำให้การใช้อำนาจพิเศษกลายเป็นคำตอบที่กลุ่มผู้ถืออำนาจมองว่า “เหมาะสมที่สุดในเชิงยุทธศาสตร์” แม้จะลดทอนความยึดโยงทางประชาธิปไตยลงโดยสิ้นเชิง.
ผลลัพธ์ไม่ใช่เพียงการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ แต่คือการรีเซตระบบนิติบัญญัติ การกำกับราชการแผ่นดิน และการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจในรัฐไทยใหม่ทั้งหมด ทำให้สถาบันประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภา ไม่สามารถทำหน้าที่ตามปกติได้.
2. มาตรา 44: กลไกกฎหมายที่ทำหน้าที่แทนอำนาจเบ็ดเสร็จ
มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ทำหน้าที่เป็น “สภานิติบัญญัติ ศาล และฝ่ายบริหารรวมอยู่ในคนเดียว” เพราะให้อำนาจหัวหน้า คสช. ตัดสินใจทุกประเด็นว่าจำเป็นเพื่อความมั่นคงหรือไม่ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบเชิงสถาบันที่รัฐสมัยใหม่พึงมี.
เครื่องมือเช่นนี้ทำให้การออกนโยบายเป็นเรื่องของดุลยพินิจส่วนบุคคล มากกว่ากระบวนการทางเหตุผลสาธารณะ (public reason) ซึ่งลดทอนความโปร่งใสและเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดพลาดเชิงนโยบายในระดับโครงสร้าง.
มาตรา 44 ยังสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้สังคมไทยที่อันตรายในเชิงหลักการ คือความคิดที่ว่า “ความรวดเร็วเหนือเหตุผล” เป็นข้ออ้างที่เพียงพอในการหลีกเลี่ยงกระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมทางการปกครองไปสู่โมเดลอำนาจนิยมภายใต้กฎหมาย.
3. การจำกัดสิทธิมนุษยชนและการสร้างวัฒนธรรมแห่งความเงียบ
ยุคหลังรัฐประหารถูกบันทึกโดยนักวิจัยด้านสิทธิมนุษยชนว่าเป็นช่วงเวลาที่กลไกรัฐถูกใช้เพื่อควบคุมพื้นที่สาธารณะอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการเชิญตัวบุคคล การดำเนินคดีทางการเมือง การใช้ศาลทหารกับพลเรือน หรือการจำกัดเสรีภาพการชุมนุมอย่างกว้างขวาง.
บรรยากาศเช่นนี้ไม่ได้สร้างผลกระทบเฉพาะรายบุคคล แต่ทำให้สังคมเกิด “self-censorship” ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการลดทอนเสรีภาพที่ทรงพลังที่สุด เพราะการจำกัดตนเองนั้นฝังลึกและยากต่อการคลี่คลาย.
ผลในระยะยาวคือความเสื่อมถอยของความสามารถในการตรวจสอบอำนาจรัฐโดยสื่อ นักวิชาการ และภาคประชาชน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของประชาธิปไตยที่ทำงานอย่างมีคุณภาพ.
4. เศรษฐกิจภายใต้ความไม่แน่นอนของอำนาจรวมศูนย์
อำนาจที่รวมศูนย์มากเกินไปทำให้เกิดสภาวะ “policy unpredictability” หรือความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักเศรษฐศาสตร์การเมืองยืนยันว่า มีผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจลงทุนของเอกชนทั้งในและต่างประเทศ.
การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงหลังรัฐประหารที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากเป็นผลสะท้อนของโครงสร้างที่ไม่เปิดให้การแข่งขันเกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรม รวมถึงการเอื้อประโยชน์แก่ทุนบางกลุ่มที่มีสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ.
ความเหลื่อมล้ำระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่และผู้ประกอบการรายย่อยยังเพิ่มขึ้น เพราะระบบที่ขาดการตรวจสอบทำให้กลไกตลาดไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ และส่งผลให้ผลิตภาพของเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว.
5. รัฐธรรมนูญ 2560: สถาปัตยกรรมของการสืบทอดอำนาจทางกฎหมาย
รัฐธรรมนูญ 2560 ได้จัดวาง “จุดยุทธศาสตร์” หลายจุดที่ทำให้กลไกประชาธิปไตยอ่อนแอลงอย่างถาวร แม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในภายหลัง เช่น ระบบวุฒิสภาแต่งตั้ง การคิดคะแนนแบบลดทอนความได้เปรียบของพรรคใหญ่ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ผูกมัดการตัดสินใจของรัฐบาลทุกชุด.
นักรัฐศาสตร์จำนวนมากจัดระบอบประเภทนี้ไว้ในหมวดหมู่ hybrid regime หรือ competitive authoritarianism เพราะมีการเลือกตั้ง แต่กลไกการใช้อำนาจจริงถูกกำกับโดยผู้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง.
ผลที่เกิดขึ้นคือการเมืองแบบที่ประชาชนมีสิทธิเพียงบางชั้น แต่ไม่สามารถกำหนดทิศทางรัฐได้อย่างแท้จริง เนื่องจากโครงสร้างทางกฎหมายถูกออกแบบให้คุมทิศไว้แล้วล่วงหน้า.
6. บทสรุป: ความมั่นคงที่กันประชาชนออกจากศูนย์กลางของรัฐ
เมื่อพิจารณาผลรวมทั้งหมด เราพบรูปแบบร่วมกันอย่างหนึ่ง คือการตีความ “ความมั่นคง” ในแบบที่ทำให้ประชาชนห่างจากการมีส่วนร่วมในรัฐมากขึ้น ขณะที่กลุ่มอำนาจที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง มีบทบาทกำกับประเทศมากขึ้น.
ผลสะสมคือความเสื่อมถอยของกลไกตรวจสอบ การล่มสลายของพื้นที่สาธารณะสำหรับการอภิปรายเหตุผล และการคงอยู่อย่างยืดเยื้อของโครงสร้างอำนาจแบบรวมศูนย์ ซึ่งขัดต่อหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยสมัยใหม่.
