แผ่นดินแห่งความจริงและความหวัง
๑. มองความจริงโดยไม่สิ้นหวัง
เมื่อมองการเมืองไทยร่วมสมัย เราแทบเห็นแต่ข่าวลบ: การเมืองติดหล่ม, ทหารแทรกแซง, นักการเมืองพูดอย่างทำอีกอย่าง, ข้าราชการทุจริต, วัดวาเสื่อม, ระบบการศึกษาล้าหลัง, เจ้าสัวผูกขาด, และประชาชนที่เหนื่อยจนไม่อยากสนใจการเมืองอีกต่อไป ภาพทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวง — มันคือความจริงส่วนหนึ่งของสังคมไทย
แต่ความจริงอีกส่วนหนึ่งที่มักไม่ถูกพูดถึง คือ ประเทศนี้ยังไม่ถึงขั้นล่มสลาย เรายังมีคนดีจำนวนมากที่ทำงานเงียบ ๆ ยังมีระบบรูปแบบประชาธิปไตยที่ยังไม่ถูกทำลายหมด ยังมีสื่อ ยังมีศาล ยังมีการเลือกตั้ง และยังมีประชาชนที่ไม่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรม การมองเห็นทั้งสองด้านพร้อมกัน คือสภาวะของจิตที่เป็นธรรม
๒. กาลามสูตร: เครื่องมือของพลเมืองตื่นรู้
พุทธธรรมให้ของขวัญอันล้ำค่าแก่คนไทย คือกาลามสูตร — “อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเขาพูดกันมา อย่าเพิ่งเชื่อเพราะตำราว่า อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้ใหญ่สั่ง แต่ให้พิจารณาเองว่าดีจริงไหม ถูกต้องไหม ไม่เบียดเบียนใครไหม” นี่คือหลักเดียวกับประชาธิปไตยที่แท้: ให้ปัญญาประชาชนตัดสิน ไม่ใช่อำนาจบังคับ
ถ้าคนไทยใช้กาลามสูตรกับข่าวการเมือง เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของวาทกรรมสร้างศัตรู เราจะไม่ถูกลากให้เกลียดคนต่างฝ่ายแบบเบ็ดเสร็จ และเราจะไม่ถูกหลอกให้รับใช้กลุ่มผลประโยชน์ใด ๆ ในฐานะ “ทาสไพร่ยุคใหม่” ที่แค่เปลี่ยนเครื่องแบบเท่านั้น
๓. สิ่งดีงามที่ยังเป็นทุนอยู่
แม้สังคมไทยมีความเสื่อม แต่ “น้ำใจไทย” ยังมีให้เห็นในยามภัยพิบัติ ยามคนเดือดร้อน ยามมีคนป่วย ยามเพื่อนบ้านตกงาน — คนไทยยังยื่นมือช่วย แม้รัฐไม่ช่วย นี่คือทุนทางสังคมที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง
นักการเมืองเอง แม้จะอนุรักษ์นิยม หลอกลวง หรือรับใช้ระบอบ แต่ก็ยังต้องอาศัยเสียงประชาชน ต้องทำทีว่าอยู่ข้างประชาชน ต้องประกาศนโยบายที่จับต้องได้ นี่หมายความว่า “อำนาจเสียงประชาชนยังมีอยู่” เพียงแต่เรายังใช้มันไม่เต็มที่
เสรีภาพก็เช่นกัน แม้พูดถึงเจ้าไม่ได้เต็มปาก แต่เรายังพูดเรื่องปากท้อง ความเหลื่อมล้ำ คุณภาพการศึกษา การผูกขาด การเลือกตั้ง ได้มากกว่าหลายประเทศที่ปิดกั้นสิ้นเชิง ตรงนี้คือพื้นที่ให้เราขยายปัญญา
๔. กลไกประชาธิปไตยที่ยังไม่ตาย
หลายคนบอกว่า “ประชาธิปไตยไทยตายแล้ว” ซึ่งในเชิงสาระก็จริงอยู่มาก แต่ในเชิงโครงสร้าง เรายังมีโครงให้ต่อเติมได้ คือมีรัฐสภา มีการเลือกตั้ง มีพรรคการเมือง มีสื่อประชาชน มีศาล มีองค์กรอิสระ แม้หลายอย่างถูกยึด function ไป แต่การที่มันยังมี “รูปแบบ” อยู่ เท่ากับยังมีเสาให้ยึด เพื่อดึงกลับเข้าสู่หลักการได้ในวันหนึ่ง
ประเทศที่เผด็จการเบ็ดเสร็จจะไม่เหลือแม้แต่รูปแบบ แต่ไทยยังเหลือ นี่คือต้นทุนที่ไม่ควรมองข้าม
๕. ทำสิ่งเล็ก ๆ ให้ถูกต้อง เพื่อทำสิ่งใหญ่ร่วมกัน
ถ้าประชาชนรอแต่ “ผู้นำที่ดี” ประเทศก็จะเดินช้า เพราะผู้นำที่ดีต้องเกิดบนฐานประชาชนที่เข้มแข็ง ถ้าฐานยังไม่เข้ม ผู้นำก็จะอ่อนแรงและถูกกลืนในระบบ การเปลี่ยนแปลงจึงต้องเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ทุกคนทำได้: ไม่โกงในระดับตน ไม่ผลิตข่าวปลอม ไม่ด่าทอไร้เหตุผล ไม่ยอมให้ลูกหลานโตมาด้วยความคิดเลือกปฏิบัติ และร่วมกันปกป้องพื้นที่สาธารณะให้เป็นของทุกคน
“มดแดงล้มช้าง” ไม่ใช่คำเปรียบเทียบสวย ๆ แต่คือทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่แท้จริง — เมื่อสิ่งเล็ก ๆ จำนวนมากถาโถมไปในทิศเดียวกัน แม้โครงสร้างใหญ่ก็ต้องขยับ
๖. ความหวังที่ตั้งอยู่บนปัญญา ไม่ใช่การปลอบใจ
ความหวังแบบหลับตา มันอันตราย — เพราะจะถูกคนมีอำนาจใช้ปลอบให้เรานิ่ง แต่ความหวังแบบลืมตา คือการเห็นว่าประเทศนี้มีปัญหาเชิงโครงสร้าง มีการผูกขาดอำนาจ มีวาทกรรมราชาชาตินิยมค้ำยันความเหลื่อมล้ำ แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าประชาชนไทยมีศักยภาพ มีเมตตา และมีเครื่องมือบางอย่างอยู่แล้ว เราเพียงต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างมีสติและร่วมมือกัน
ประเทศไทยยังมีความหวัง — ไม่ใช่เพราะผู้ปกครองดีขึ้นทันที แต่เพราะประชาชนเริ่มตาสว่างมากขึ้น เห็นกลเกมมากขึ้น และเริ่มมองข้ามการแบ่งฝักฝ่ายที่ชนชั้นนำใช้แบ่งเรา
๗. ไม่ให้ใครใช้ความแตกแยกมาปกครองเราได้อีก
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเต็มไปด้วย “การปกครองด้วยความแตกแยก” (divide and rule) ทั้งระดับรัฐ–ประชาชน และระดับประชาชน–ประชาชน คนเสื้อสีต่าง ๆ ถูกทำให้เกลียดกันจนลืมว่าเราถูกเอาเปรียบจากโครงสร้างเดียวกัน บทเรียนนี้ควรจบได้แล้ว
ทางออกคือให้เราตั้งหลักร่วมกันที่ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ + ประชาธิปไตย + การไม่เบียดเบียน” ใครเสนออะไรที่ทำลายสามอย่างนี้ เราควรเห็นว่าเป็นกลยุทธ์ของอำนาจ ไม่ใช่เสียงจากสวรรค์
อย่าปล่อยให้ความเสื่อมของคนบางกลุ่ม ทำให้เราสิ้นศรัทธาต่ออนาคตของชาติทั้งหมด อย่าปล่อยให้ความโกรธชั่วคราว ทำลายความร่วมมือระยะยาว และอย่าปล่อยให้ใครใช้ความรักชาติแบบผิด ๆ มาบังคับให้เรายอมเป็นไพร่
