Tuesday, December 9, 2025

ศึกไทย–กัมพูชา : เตือนสตินายกอนุทิน และคนไทยทั้งชาติ อย่าเกินบทจนพลาด

ศึกไทย–กัมพูชา : เตือนสติผู้นำไทยและคนไทยทั้งชาติ
ศึกไทย–กัมพูชา : เตือนสติผู้นำไทยและคนไทยทั้งชาติ
เมื่อสงครามชายแดนไม่ใช่แค่เรื่องกระสุนและปืนใหญ่ แต่คือเกมมหาอำนาจและวาทกรรมรักชาติที่อาจกลับมาทำร้ายเราเอง
1. ศึกชายแดนที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงซ่อนเร้น

การปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชารอบล่าสุด ไม่ได้เป็นเพียงอุบัติเหตุของทหารหน้าด่าน แต่เป็นผลรวมของ ความขัดแย้งเก่า–ผลประโยชน์ใหม่–และเกมของมหาอำนาจ ที่ซ้อนทับกันอยู่เบื้องหลังแนวป่า แนวเขา และแนวรั้วลวดหนามตลอดแนวชายแดน

เป็นไปได้สูงว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดเกมก่อน และไทยจึงตอบโต้กลับในเชิงยุทธศาสตร์ หากมองในมุม “การใช้กำลังอย่างได้สัดส่วน” เพื่อป้องกันภัยต่อประชาชนและพื้นที่ฝั่งไทย การเน้นโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารที่เป็นภัย นับว่าเป็นจุดยืนที่ พอจะอธิบายได้ในกรอบความมั่นคง แม้จะมีพื้นที่ให้ถกเถียงเรื่องความเหมาะสมของเครื่องมือที่ใช้ก็ตาม

แต่ในขณะที่กระสุนวิ่งอยู่บนฟ้า อีกสนามหนึ่งที่เดือดไม่แพ้กัน คือสนามของ ภาพลักษณ์–โพสต์–คำแถลง–และการสร้าง “ตัวตนทางการเมือง” ของผู้นำรัฐบาลไทย ในสายตาคนไทยเอง และในสายตาของมหาอำนาจที่กำลังจับตาเราอยู่เงียบ ๆ

2. การทหารพออธิบายได้ แต่การเมืองกำลังพาเราออกนอกลู่

หากดูเฉพาะในมิติความมั่นคง การป้องกันชายแดนและตอบโต้เมื่อถูกล้ำเส้น เป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของรัฐไทย การทำลายเป้าหมายที่ถูกระบุว่าเป็น ภัยคุกคามทางทหาร ย่อมถูกใช้เป็นเหตุผลในการอธิบายต่อประชาชนได้ ว่าเป็นการรักษาชีวิตทหารและพลเรือนของเราเอง

แต่สิ่งที่ต้องแยกให้ชัดคือ อย่างหนึ่งคือ “การใช้กำลังเพื่อป้องกันประเทศ” อีกอย่างคือ “การฉวยจังหวะสงครามเพื่อสร้างคะแนนนิยม” ซึ่งสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน และอาจนำพาประเทศไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ในฐานะนายกรัฐมนตรี คุณอนุทินย่อมต้องแสดงออกว่า รักชาติ–ปกป้องแผ่นดิน–ห่วงประชาชน โดยเฉพาะเมื่อใกล้ฤดูเลือกตั้ง และต้องรับมือกับแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งคดีที่ถูกตั้งคำถามจากสังคม เรื่องการฮั้ว ส.ว. ที่ดินเขากระโดง การจัดการน้ำท่วมที่สะท้อนการบริหารจัดการเชิงโครงสร้างที่ล้มเหลว และเศรษฐกิจที่คนส่วนใหญ่ยังไม่สัมผัสได้ว่าดีขึ้นจริง

การแสดงภาพ “นายกชาติ ๆ” จึงแทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทางการเมือง แต่ การโพสต์–การให้สัมภาษณ์–และการใช้ถ้อยคำที่กร่างเกินจำเป็น โดยเฉพาะถ้อยคำที่ทำให้ต่างชาติอ่านได้ว่า เรากำลัง “ยืนข้างหนึ่งข้างใด” ของเกมมหาอำนาจ นั่นไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่เรื่องฉลาดในระยะยาวสำหรับประเทศ

3. เกมมหาอำนาจ : เมื่อวาทกรรมในประเทศสะเทือนไปถึงวอชิงตันและปักกิ่ง

วันนี้ไทยไม่ได้อยู่ในโลกสองขั้วแบบสงครามเย็น แต่เราอยู่ในโลกที่ จีน–สหรัฐ–และพันธมิตรเก่า–ใหม่ ต่างแข่งขันกันสร้างอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไทยคือ รัฐแกนกลาง ที่ทั้งสองฝั่งไม่อยากผลักให้หลุดมือ

ในบริบทที่โดนัลด์ ทรัมพ์ ออกมาประกาศว่าเขามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการหยุดยิง หรือกดให้คู่ขัดแย้งไม่ลุกลาม การที่ผู้นำไทยออกมาส่งสัญญาณสาธารณะในทำนองว่า “พร้อมเดินเกมของตัวเอง ไม่แคร์ใคร” ย่อมถูกตีความได้หลายทาง ทั้งในวอชิงตันและในปักกิ่ง

หากมหาอำนาจอ่านสัญญาณของเราแล้วรู้สึกว่า ไทยกำลังยืนในจุดที่ช่วยลดราคาอิทธิพลของสหรัฐ และทำให้จีนได้ประโยชน์เชิงภาพลักษณ์มากขึ้น นั่นไม่ใช่แค่การเมืองของ “โพสต์หนึ่งโพสต์” แต่คือการส่งสารที่อาจมีราคาแพงในเกมระยะยาว

ไทยไม่ควรถูกมองว่าเป็น “ตัวแทนของจีนพูดใส่หน้าสหรัฐ” แม้ความตั้งใจจริงของผู้นำอาจเป็นแค่การเรียกคะแนนนิยมในประเทศ แต่ในเวทีโลก ไม่มีใครแยก “วาทกรรมหาเสียง” ออกจาก “จุดยืนเชิงยุทธศาสตร์” ได้ชัดเจนเหมือนในหัวของเราเอง

ในโลกของมหาอำนาจ ผู้นำประเทศเล็ก ๆ ไม่มีสิทธิ์ “พูดเล่น” เพราะทุกคำพูดอาจถูกตีความว่าเป็น “การวางหมาก” บนกระดานใหญ่โดยอัตโนมัติ

4. เตือนคนไทย : รักชาติให้เป็น ไม่ใช่รักชาติจนถูกใช้เป็นฉากหลัง

ความรักชาติไม่ใช่ปัญหา แท้จริงแล้วความรักชาติคือพลังสำคัญที่ทำให้ประชาชนยืนหยัดปกป้องบ้านเมือง แต่ “รักชาติแบบไร้เบรก ไร้วิจารณญาณ” คือเครื่องมือชั้นดีของผู้มีอำนาจที่ต้องการหลบเลี่ยงความรับผิดชอบในเรื่องอื่น

ทุกครั้งที่มีการปะทะชายแดน เราจะเห็นวาทกรรม “ห้ามถามมาก เดี๋ยวเสียขวัญทหาร”, “อย่าตำหนิผู้นำในยามศึก”, หรือ “ถ้าคุณถามมาก คุณไม่รักชาติ” ทั้งหมดนี้คือรูปแบบหนึ่งของการใช้ “ความรักชาติ” ไปปิดปากประชาชนจากการตั้งคำถามต่อการบริหารประเทศ

ในขณะเดียวกัน เรื่องที่กระทบชีวิตเราโดยตรงอย่าง เศรษฐกิจที่ฝืด, หนี้สินที่ท่วมครัวเรือน, ความไม่เป็นธรรมในระบบภาษี, ปัญหาทุนมืดและสแกมเมอร์ที่โยงกับผู้มีอิทธิพลสามสัญชาติ ก็จะถูกดันออกไปอยู่ชั้นหลังของความสนใจอย่างรวดเร็ว

การรักชาติที่ไม่มีสติ จึงอาจกลายเป็น “ของขวัญ” ให้กับผู้มีอำนาจ ที่กำลังต้องการพื้นที่หายใจจากแรงกดดันของสังคม ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากอาจกำลังเผชิญปัญหาในชีวิตประจำวันอย่างหนักหน่วงมากกว่าเสียงปืนที่ชายแดนด้วยซ้ำ

ถ้าเรารักชาติจริง เราจำเป็นต้องกล้าถามว่า “การตัดสินใจเชิงความมั่นคงครั้งนี้ ช่วยชีวิตคนไทยส่วนใหญ่ หรือช่วยยืดอำนาจให้ใคร?”
และต้องกล้ารักชาติในแบบที่ไม่ยอมให้ใครใช้คำว่ารักชาติ มาเป็นข้ออ้างปิดปากประชาชน

รักชาติอย่างมีสติ คือการเฝ้าระวังทั้งศัตรูที่ชายแดน และศัตรูของความจริงภายในประเทศไปพร้อมกัน

ศึกไทย–กัมพูชา : เตือนสตินายกอนุทิน และคนไทยทั้งชาติ อย่าเกินบทจนพลาด

ศึกไทย–กัมพูชา : เตือนสติผู้นำไทยและคนไทยทั้งชาติ ศึกไทย–กัมพูชา : เตือนสติผู้นำไทยและคนไทยท...