Translate

Wednesday, November 19, 2025

"จุดจบอันวิบัติ" ของผู้ฝากกายถวายชีวิตด้วยความจงรักภักดี

 


ความภักดีต่อกษัตริย์และทรราชในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

ความภักดีต่อกษัตริย์และทรราชในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ:

บทสังเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและกรณีศึกษาของประเทศไทย

บทคัดย่อ

งานศึกษานี้วิเคราะห์รูปแบบซ้ำของประวัติศาสตร์โลกที่สะท้อนให้เห็นว่า “ความจงรักภักดีต่อกษัตริย์หรือผู้นำเผด็จการ” มิได้เป็นหลักประกันความปลอดภัยของผู้รับใช้ แต่อาจกลับกลายเป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกกำจัด เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ หรือเมื่อผู้ปกครองเกิดความหวาดระแวง ข้อเขียนนี้วิเคราะห์กรณีศึกษาสำคัญจากจีน ญี่ปุ่น ยุโรป และตะวันออกกลาง ก่อนเปรียบเทียบกับกรณีในประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่อยุธยา ธนบุรี จนถึงยุครัตนโกสินทร์ เพื่อชี้ให้เห็น “กฎเหล็กของระบอบอำนาจส่วนบุคคล” ที่ปรากฏอย่างต่อเนื่องและไร้ข้อยกเว้น

1. บทนำ

ปรากฏการณ์ที่มนุษย์มอบความภักดีอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูให้กษัตริย์หรือผู้นำอำนาจนิยม ปรากฏตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ทว่า “ความภักดี” ในโครงสร้างอำนาจที่อาศัยบุคคลเป็นศูนย์กลาง (personalist authority) กลับมักไร้หลักประกัน เพราะระบอบเช่นนี้มีลักษณะสำคัญคือ ความไม่แน่นอนของอำนาจ การเปลี่ยนขั้วรวดเร็ว และความหวาดระแวงภายในราชสำนัก [1] ผู้รับใช้ใกล้ชิดจึงกลายเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่สุดต่อการถูกกำจัด หายไปจากประวัติศาสตร์ หรือถูกลบล้างความดีความชอบเมื่อผู้นำเปลี่ยนใจ

2. ประวัติศาสตร์โลก: ผู้ภักดีที่จบไม่สวย

2.1 จีน: ความหวาดระแวงในราชสำนักและการทำลายผู้รู้ความลับ

จีนเป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนของปรากฏการณ์นี้ กรณีของ หลี่ซือ (Li Si) อัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ฉิน ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างจักรวรรดิให้ฉินสื่อหวงตี้ แต่หลังจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ กลุ่มอำนาจใหม่ได้ใส่ร้ายและลงโทษเขาอย่างโหดร้าย จนถูกทรมานและประหารในที่สุด [2] เหตุการณ์นี้สะท้อนโครงสร้างการเมืองที่ผู้รับใช้ใกล้ตัวมีค่าเฉพาะเมื่อผู้นำเดิมยังมีอำนาจอยู่เท่านั้น

อีกกรณีหนึ่งคือ เว่ยเจิง (Wei Zheng) ขุนนางผู้ตักเตือนจักรพรรดิไท่จงอย่างตรงไปตรงมา งานศึกษาหลายชิ้นชี้ว่า แม้เขาจะได้รับการยกย่องในฐานะ “ขุนนางสัตย์ซื่อ” แต่ก็เผชิญแรงต่อต้านจากฝ่ายใน เพราะความซื่อตรงที่แตะต้องอำนาจโดยตรง กลายเป็นสิ่งที่ราชสำนักไม่อาจควบคุมได้ [3]

2.2 ญี่ปุ่น: ซามูไรผู้ภักดีแต่ถูกใช้แล้วทอดทิ้ง

ในบริบทของญี่ปุ่น ศักดินานิยมทหารได้สร้างโครงสร้างความภักดีแบบสุดขั้วเช่นเดียวกัน กรณีของ อาเคจิ มิตสึฮิเดะ ซึ่งรับใช้โอดะ โนบุนากะอย่างซื่อสัตย์ แต่ถูกดูหมิ่นและทำลายศักดิ์ศรีซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนำไปสู่การก่อกบฏในเหตุการณ์ที่รู้จักในชื่อว่า “เหตุการณ์ฮนโนจิ” (Honnō-ji Incident) ก่อนที่เขาจะถูกกำจัดภายในเวลาไม่กี่วัน [4] กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า “ความภักดี” เพียงลำพังไม่อาจหยุดความโหดร้ายของโครงสร้างอำนาจที่ขึ้นกับอารมณ์ของผู้ปกครอง

2.3 ยุโรป: ราชสำนักอังกฤษและการม้วนพรมทิ้งผู้รับใช้

โธมัส ครอมเวลล์ (Thomas Cromwell) เป็นแบบอย่างระดับโลกของผู้รับใช้ที่ถูกทิ้งอย่างไร้เยื่อใย เขารับใช้พระเจ้าเฮนรีที่ 8 อย่างสุดกำลัง จัดการการสมรส การหย่าร้าง และการประหารพระมเหสีตามพระประสงค์ แต่เมื่อความไว้วางใจลดลงเพียงเล็กน้อย พระองค์ก็มีรับสั่งให้ตัดศีรษะเขาอย่างรวดเร็ว [5] กรณีนี้สะท้อน “กฎแห่งบัลลังก์อังกฤษ” ที่ว่า ผู้รับใช้ที่รู้ความลับของพระราชา หรือเป็นผู้สร้างบัลลังก์ให้มั่นคง คือคนที่ถูกกำจัดก่อนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

2.4 โซเวียต: ทรราชที่กลืนลูกน้องตนเอง

ในยุคของ โจเซฟ สตาลิน ตำแหน่งหัวหน้าตำรวจลับ NKVD เป็นหนึ่งในตำแหน่งที่อันตรายที่สุดในระบบการเมืองโซเวียต นิโคไล เยโซฟ (Nikolai Yezhov) ผู้บังคับบัญชาการกวาดล้างใหญ่ (Great Purge) ที่มีผู้เสียชีวิตและถูกจำคุกจำนวนมหาศาล ถูกสตาลินสั่งจับ ทรมาน และประหารในเวลาต่อมา [6] กรณีนี้ตอกย้ำว่า ในระบอบทรราช ผู้รับใช้ยิ่งฆ่าเพื่อระบอบมากเท่าไร ยิ่งใกล้ความตายของตนเองมากเท่านั้น

2.5 ตะวันออกกลาง: ผู้ภักดีที่ถูกสังหารเพียงเพราะวิจารณ์

กรณีของ จามาล กอชอกกี (Jamal Khashoggi) ผู้สื่อข่าวและที่ปรึกษาราชสำนักซาอุฯ เป็นตัวอย่างร่วมสมัยของการที่ผู้รับใช้ยาวนานกว่า 30 ปี ถูกล่อให้เข้าสถานทูตและถูกสังหารอย่างโหดร้าย เพียงเพราะวิจารณ์อำนาจและแนวทางการปฏิรูปของผู้นำ [7] กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า ระบอบที่ยึด “ความจงรักภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข” เป็นหัวใจ สามารถลงมือทำลายชีวิตผู้เคยรับใช้ได้ทันทีที่เห็นว่าบุคคลนั้นไม่ภักดี 100%

3. กฎเหล็กสากล: โครงสร้างอำนาจแบบราชสำนักและทรราช

จากกรณีศึกษาทั้งหมด สามารถสังเคราะห์เป็น “กฎเหล็กของประวัติศาสตร์อำนาจส่วนบุคคล” ได้ดังนี้

1) อำนาจส่วนบุคคลผลิต ความหวาดระแวงเป็นระบบ;

2) ผู้ใกล้ชิดที่สุดคือผู้ที่ เสี่ยงที่สุด;

3) ความภักดีไม่มีค่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจ;

4) ผู้รู้ความลับของราชสำนักมักถูกทำลายก่อนเสมอ;

5) ระบอบที่ไม่ยืนบนหลักนิติรัฐ ใช้อารมณ์และความกลัวเป็นกลไกหลักในการควบคุม.

กฎเหล่านี้ปรากฏร่วมกันเกือบทุกวัฒนธรรมและทุกยุคสมัย ไม่ว่าระบบการปกครองจะอ้างศาสนา ประเพณี หรืออุดมการณ์การเมืองรูปแบบใดก็ตาม

4. กรณีศึกษาในประวัติศาสตร์ไทย: จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์

4.1 คอนสแตนติน ฟอลคอน (เจ้าพระยาวิชาเยนทร์)

ฟอลคอนเป็นหนึ่งในขุนนางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มีบทบาทสำคัญด้านการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แต่เมื่อพระองค์ประชวรและเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจอย่างฉับพลันในราชสำนักอยุธยา ฟอลคอนถูกจับ ทรมาน และประหารชีวิตในปี พ.ศ. 2231 [8] กรณีนี้เป็นแบบอย่างชัดเจนของการที่ผู้รับใช้สูญชีวิตทันทีเมื่อ “ร่มเงาของกษัตริย์” หายไป

4.2 แม่ทัพและขุนนางในยุคสมเด็จพระเจ้าตากสิน

หลังการสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสิน บุคคลใกล้ชิดหลายคนถูกลงโทษ ประหาร หรือหายไปจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ ส่วนหนึ่งเนื่องจากการจัดระเบียบความชอบธรรมของอำนาจใหม่ [9] นักประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งอภิปรายว่า โครงสร้างอำนาจในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทำให้การลบความทรงจำและการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง [10]

4.3 ขุนนางและตระกูลใหญ่ในรัตนโกสินทร์ตอนต้น–กลาง

พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ระบุกรณีของขุนนางจำนวนหนึ่งที่ถูกริบทรัพย์ โบย หรือประหารเพียงเพราะถูกกล่าวหาว่าไม่ซื่อ หรือทำการผิดพระราชอัธยาศัย แม้มิใช่ความผิดร้ายแรง [11] กรณีเหล่านี้สะท้อนโครงสร้างอำนาจที่ความปลอดภัยของผู้รับใช้ขึ้นอยู่กับความโปรดปรานจากเบื้องบน มากกว่าหลักกฎหมายที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร

4.4 บุคคลใกล้ชิดที่ถูกถอด ย้าย หรือยึดตำแหน่งในยุคปัจจุบัน

เอกสารข่าวร่วมสมัยในไทย เช่น ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ระบุชัดถึงหลายกรณีของบุคคลใกล้ชิดราชสำนักที่ถูกถอดยศ ถอนเบี้ยหวัด ปลดจากตำแหน่งทหาร–ตำรวจ หรือถูกดำเนินคดีอาญา โดยมีการให้เหตุผลในเชิง “ประพฤติตนไม่สมควร” หรือ “กระทำผิดวินัยร้ายแรง” ในลักษณะที่ตีความได้กว้าง [12]

แม้รายละเอียดเชิงลึกของแต่ละกรณีจะต้องวิเคราะห์อย่างระมัดระวัง แต่รูปแบบที่เกิดซ้ำคือ “ความโปรด–ไม่โปรด” ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้อย่างฉับพลัน สอดคล้องกับกฎเหล็กที่พบในประวัติศาสตร์โลกว่าระบอบบุคคลนิยมไม่อาจรับประกันความปลอดภัยให้ผู้รับใช้ใด ๆ แม้จะมีประวัติการภักดีมาอย่างยาวนานก็ตาม

5. วิเคราะห์เชิงสังเคราะห์: เหตุใดผู้ภักดีจึงเสี่ยงที่สุด

จากทั้งโลกและไทย สามารถสรุปเป็นสมมติฐานเชิงโครงสร้างได้ว่า:

1) ระบอบบุคคลนิยมมีศูนย์กลางเดียว ความปลอดภัยของผู้คนขึ้นอยู่กับอารมณ์และการประเมินของผู้นำ มากกว่าหลักกฎหมาย;

2) ความภักดีที่แรงเกินไปสามารถกลับกลายเป็นภัย เพราะผู้ปกครองอาจหวาดระแวงว่าผู้ภักดีกำลังสะสมอำนาจหรืออิทธิพลมากเกินรับได้;

3) เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ ผู้ภักดีของคนเก่ามักถูกมองว่าเป็นศัตรูของคนใหม่ จึงตกเป็นเป้าของการกำจัดเพื่อลดความเสี่ยงทางการเมือง;

4) ยิ่งใกล้บัลลังก์ ยิ่งรู้ความลับ การกำจัดผู้รับใช้ใกล้ชิดจึงเป็นวิธีปิดปากและปิดประวัติศาสตร์ที่ง่ายที่สุด.

ประวัติศาสตร์ทั้งใบให้บทเรียนเดียวกันว่า ระบอบที่ไม่มีหลักนิติรัฐและสถาบันตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็ง ย่อมไม่สามารถคุ้มครองผู้รับใช้ใด ๆ ได้ แม้จะภักดีเพียงใด

6. บทสรุป

งานศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ความภักดีต่อกษัตริย์หรือทรราชเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงบุคคล โครงสร้างอำนาจแบบส่วนบุคคลหรือราชสำนัก สร้างความหวาดระแวงเป็นระบบ และผู้ใกล้ชิดที่สุดมักเป็นผู้ที่จบไม่สวยที่สุด ไม่ว่าจะในจีน ญี่ปุ่น ยุโรป โซเวียต ตะวันออกกลาง หรือประเทศไทย

7. บุคคลสำคัญในสังคมไทยที่ยืนอยู่ใต้โครงสร้าง “ชาติ–ศาสน์–กษัตริย์” แต่จบไม่สวย

ปรีดี พนมยงค์ คือกรณีคลาสสิกของปัญญาชนผู้ก่อตั้งระบอบใหม่ให้ราชวงศ์ แต่กลับถูกผลักออกจากชาติในฐานะ “ราชาศัตรู” เขาเป็นผู้นำคณะราษฎรคนสำคัญ ผู้ทำให้สยามเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และยังทำหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8 ขณะพระมหากษัตริย์เสด็จไปศึกษาในยุโรป ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์อย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม หลังเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่ 8 เมื่อ พ.ศ. 2489 กระแสทางการเมืองและชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษนิยมได้ผลักดันให้ปรีดีถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ แม้จะไม่มีหลักฐานพิสูจน์อย่างเป็นทางการก็ตาม การรัฐประหาร พ.ศ. 2490 และความล้มเหลวของความพยายาม “กู้ชาติ” ในปี 2492 ส่งผลให้ปรีดีต้องลี้ภัยต่างประเทศและไม่เคยได้กลับมาตายในผืนแผ่นดินไทย ชีวิตของเขาจึงสะท้อนโครงสร้างอำนาจที่สามารถเปลี่ยน “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ให้กลายเป็น “ผู้ต้องสงสัย” และ “ผู้ลี้ภัยทางการเมือง” ได้ในชั่วเวลาไม่กี่ปี[13]

ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นตัวอย่างของข้าราชการเทคนิคที่จงรักภักดีต่อระบอบ “ชาติ–ศาสน์–กษัตริย์” อย่างเปิดเผย เขาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่อายุน้อยที่สุดและนั่งรับผิดชอบยาวนานที่สุด วางรากฐานเสถียรภาพการเงินและงบประมาณรัฐจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ พร้อมทั้งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แม้ป๋วยจะยืนบนหลักสันติประชาธรรม ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงของทั้งรัฐและฝ่ายนักศึกษา แต่หลังการสังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์ เขากลับถูกฝ่ายขวาและกระแสชาตินิยมจัดวางให้เป็น “ตัวการเบื้องหลัง” ของขบวนการนักศึกษา ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และ “ทำลายเอกภาพของชาติ” จนต้องขึ้นเครื่องลี้ภัยออกนอกประเทศในวันเดียวกับที่เหตุการณ์ยังร้อนระอุ แล้วใช้ชีวิตบั้นปลายในอังกฤษพร้อมสภาพร่างกายที่อ่อนแรงจากโรคหลอดเลือดสมอง กรณีของป๋วยจึงสะท้อนว่า แม้จะเป็น “ข้าราชการพระราชทานเครื่องราชย์” และเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ ก็ไม่อาจรอดพ้นจากการถูกทำให้เป็น “คนชายขอบของชาติ” ได้ เมื่อโครงสร้างอำนาจและวาทกรรมชาตินิยมเปลี่ยนเป้า[14]

จอมพล ป. พิบูลสงคราม แม้มักถูกจดจำในฐานะผู้นำทหารที่ท้าทายและลดบทบาทสถาบันกษัตริย์ในยุคแรก แต่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาพยายามปรับตัวเข้าหาอุดมการณ์ “ชาติ–ศาสน์–กษัตริย์” และผูกสายสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาในบริบทสงครามเย็น ระบอบของจอมพล ป. เต็มไปด้วยการใช้สถาบันกษัตริย์เป็นหนึ่งในเสาหลักความชอบธรรมใหม่ ทว่ารัฐประหาร พ.ศ. 2500 ที่นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมีฐานสนับสนุนฝั่งราชสำนักอย่างเข้มแข็ง กลับโค่นอำนาจของเขาลงอย่างสิ้นเชิง จอมพล ป. ถูกบังคับให้ลี้ภัยออกนอกประเทศ และไปเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในญี่ปุ่น ก่อนที่อัฐิของเขาจะถูกนำกลับประเทศไทยภายหลัง จบชีวิตจากผู้นำสูงสุดของชาติและผู้เคยควบคุมเครื่องมือรัฐ กลายเป็น “อดีตผู้นำที่ตายต่างแดน” แสดงให้เห็นว่าการเล่นเกมอำนาจกับสถาบันกษัตริย์และกองทัพนั้น ไม่ได้มีหลักประกันใด ๆ แม้สำหรับผู้นำเผด็จการเอง[15]

ควง อภัยวงศ์ เป็นนักการเมืองสายราชวงศ์และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในยุคต้น เขาเป็นที่รู้กันว่ามีความใกล้ชิดกับชนชั้นนำและสถาบันกษัตริย์ รัฐประหาร พ.ศ. 2490 ที่โค่นกลุ่มของปรีดีและเปิดทางให้ฝ่ายนิยมเจ้า กลับดึงควงขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เพียงปีถัดมา กลุ่มรัฐประหาร 2490 เดิมเองก็หันมาโค่นรัฐบาลควงในการรัฐประหาร พ.ศ. 2491 บีบให้ต้องลาออกจากตำแหน่ง กรณีนี้สะท้อนว่า แม้จะอยู่ “ข้างราชสำนัก” ในเชิงอุดมการณ์ แต่เมื่อกลไกอำนาจทหาร–ราชสำนักต้องการจัดระเบียบใหม่ นักการเมืองก็สามารถถูกใช้เป็นสะพานชั่วคราวแล้วผลักตกน้ำในเวลาอันสั้น[16]

หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นเชื้อพระวงศ์นักกฎหมายและนักการทูต มีบทบาทสำคัญในขบวนการเสรีไทยฝ่ายสหรัฐฯ เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง โดยปฏิเสธไม่ยื่นคำประกาศสงครามต่อสหรัฐฯ ตามคำสั่งรัฐบาลจอมพล ป. ภายหลังสงคราม เขาเป็นนายกรัฐมนตรีหลายสมัยในฐานะผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ และวางตัวเป็นฝ่ายราชนิยมชัดเจน ทว่าหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รัฐบาลเสนีย์ก็ถูกกองทัพโค่นลงอย่างรวดเร็ว และแทนที่ด้วยรัฐบาลสายขวาจัดของธานินทร์ กรัยวิเชียร ชะตากรรมทางการเมืองของเสนีย์จึงชี้ให้เห็นว่า แม้จะเป็น “คนของระบอบเก่า” หรืออยู่ใกล้สถาบันเพียงใด ก็สามารถถูกโค่นเพื่อเปิดทางให้ระบอบเผด็จการทางการเมืองที่แข็งกว่ายึดอำนาจได้เสมอ[17]

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นตัวอย่างร่วมสมัยของปัญญาชนที่นิยามตนเองว่าเป็น “มิตรแท้ของสถาบันกษัตริย์” วิพากษ์เพื่อให้สถาบันปรับตัวและอยู่ได้ในระยะยาว แต่กลับถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) หลายครั้ง ตั้งแต่ทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา รวมถึงกรณีการตั้งคำถามต่อพระราชพงศาวดารว่าด้วยการชนช้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งเป็นข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ล้วน ๆ การที่ปัญญาชนซึ่งยืนยันว่าตนจงรักภักดีต่อสถาบัน ยังถูกใช้กฎหมายพิเศษเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนโครงสร้างที่ไม่สามารถรองรับ “มิตรที่พูดความจริง” ได้ และตอกย้ำว่าในระบบที่ใช้สถาบันกษัตริย์เป็นแกนหลักของความชอบธรรม แม้แต่ผู้ปรารถนาดีต่อสถาบัน ก็อาจพบจุดจบทางกฎหมายและชื่อเสียงที่ไม่งดงามนัก[18]

อัญชัน ปรีเลิศ ข้าราชการบำนาญสตรีวัยชราเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ “ผู้รับใช้รัฐ” ที่ถูกกระบวนการยุติธรรมบดขยี้ แม้จะมิได้มีบทบาทระดับผู้นำเหมือนบุคคลข้างต้น เธอถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลารวม 87 ปี (ลดเหลือ 43 ปีจากการรับสารภาพ) จากการแชร์คลิปเสียงที่ถูกมองว่าหมิ่นสถาบันกษัตริย์ผ่านอินเทอร์เน็ต และต้องรับโทษจำคุกจริงกว่า 8 ปี ก่อนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษและพ้นโทษ ชะตากรรมของอัญชันชี้ให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ผู้นำหรือปัญญาชนเท่านั้น หากแต่ข้าราชการระดับล่างและประชาชนที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในระบบราชการเอง ก็อาจตกเป็น “เหยื่อประกอบสร้าง” เพื่อแสดงให้สังคมเห็นอำนาจของกฎหมายที่ใช้ปกป้องสถาบันกษัตริย์เช่นกัน[19]

ประวัติศาสตร์ไทยมิใช่ข้อยกเว้น และรูปแบบดังกล่าวยังปรากฏในยุคปัจจุบันผ่านประกาศของรัฐอย่างเป็นทางการ ในมิติของสังคมประชาธิปไตยปัจจุบัน กรอบความคิดนี้เป็นบทเตือนให้ประชาชนเข้าใจว่า

“อำนาจที่รวมศูนย์ย่อมทำลายคนใกล้อำนาจก่อนเสมอ และสุดท้ายทำลายสังคมทั้งระบบ”
และถ้าจะให้ทุกท่านนึกถึงรายชื่ออื่น ๆ ที่ีชะตากรรมอันหนักหนาไม่แพ้ผู้ที่กล้าลุกขึ้นท้าทายอำนาจเยี่ยงนี้ ที่อยู่ในคุก ถูกทำให้ตาย หรือต้องลี้ภัย ท่านคงบอกว่า ก็ดร. ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของเขาอย่างไรเล่า คือตัวอย่างร่วมสมัยที่สะท้อนว่าสิ่งที่กล่าวในบทความนี้ จริงทั้งในอดีตและปัจจุบัน แล้วก็คงเป็นไปอีกในอนาคต

เชิงอรรถ

  1. Finer, S. The History of Government. Oxford University Press, 1997.
  2. Loewe, M. The Cambridge History of China, Vol. 1. Cambridge University Press, 1986.
  3. Wright, A. The Sui and T’ang Dynasties. Routledge, 1990.
  4. Turnbull, S. The Samurai: A Military History. Macmillan, 1977.
  5. Loades, D. Thomas Cromwell. Amberley Publishing, 2013.
  6. Conquest, R. The Great Terror. Oxford University Press, 1990.
  7. United Nations Human Rights Council Report, 2019.
  8. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง. มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2544.
  9. นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระเจ้าตาก. มติชน, 2545.
  10. Baker, C. & Phongpaichit, P. A History of Thailand. Cambridge University Press, 2014.
  11. พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1–3.
  12. ราชกิจจานุเบกษา และประกาศทางการอื่น ๆ ระหว่าง พ.ศ. 2557–2566 (ข้อมูลสาธารณะ).

คันฉ่องส่องไทย: ยึดทรัพย์ชินวัตร—ความจริงที่แยกไม่ออกจากอำนาจ

 

1. การยึดทรัพย์ไม่ใช่แค่คดี แต่เป็นสงครามทางชนชั้นการเมือง

สิ่งที่ถูกยึดไปไม่ใช่แค่ “ทรัพย์” แต่คือ อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ–การเมือง ของเครือข่ายนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งขึ้นมาท้าทายระเบียบเดิมที่ผูกขาดประเทศมานานหลายทศวรรษ
เมื่อรัฐประหาร 2549 – 2557 ใช้กลไก “สอบ–ฟ้อง–ยึด–ล่า” เพื่อตัดขาดกำลังทุนของอีกฝ่าย นั่นคือสัญญาณว่าในไทย กฎหมายเป็นสนามรบ ไม่ใช่เครื่องทำความยุติธรรม

2. คตส. คือศาลเตี้ยเชิงสถาบันในนามของรัฐ

องค์กรที่ตั้งโดยคณะรัฐประหารย่อมสะท้อนเจตนารมณ์ของผู้ปฏิวัติ ไม่ใช่ประชาชน
คตส. ถูกออกแบบเพื่อ จัดการ” เครือข่ายทักษิณ โดยเฉพาะ
การไต่สวน–ยึดทรัพย์ 46,000 ล้าน จึงต้องมองว่าเป็นกระบวนการที่เกิดในสภาพแวดล้อมที่ขาดดุลประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง ผิดมีจริงก็ส่วนหนึ่ง แต่การเลือกเป้าเพียงฝ่ายเดียวคือ รอยด่างของกระบวนการยุติธรรมไทยทั้งระบบ

3. ไทยใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐานมานาน—ยึดเฉพาะคู่อำนาจ ไม่กล้ายึดพวกเดียวกัน

ในยุโรปหรืออเมริกา ผู้มีอำนาจใดก็ตาม หากใช้นโยบายเอื้อประโยชน์ตัวเอง ก็ต้องพบกับคดีอาญา–คดีแพ่ง–คดีอัยการอิสระ
แต่ในไทย

  • นักการเมืองฝ่ายทหาร–อนุรักษ์นิยม
  • ข้าราชการระดับสูง
  • กลุ่มทุนที่แนบชิดอำนาจ
  • ล้วน “รอดทุกคดี” แม้มีหลักฐานเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทตัวเองชัดเจน เพราะกระบวนการตรวจสอบ “ไม่เคยเริ่มต้น”

ขณะที่กรณีทักษิณ–ยิ่งลักษณ์ ถูกเล่นงานทุกช่องทาง ทั้งคดีอาญา คดีแพ่ง คดีภาษี การยึดทรัพย์ การยึดหนังสือเดินทาง การตัดสิทธิ
ทั้งหมดสะท้อนว่าไทย มีรัฐ แต่ไม่ค่อยมีนิติรัฐ

4. เงินที่ยึดแม้ไม่ได้ไปเข้ากระเป๋ากษัตริย์—แต่เสริมเกราะให้ระบอบที่ปกป้องสถาบัน

ตามตัวบทกฎหมาย เงินที่ยึดจากชินวัตรกลายเป็นทรัพย์ของ “รัฐไทย”
ไม่ได้เข้ากองทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
แต่…
เมื่ออำนาจของเครือข่ายทักษิณถูกทำลายลง ระบอบที่มีสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางก็ แข็งแรงขึ้น เพราะผู้ท้าทายอำนาจถูกปราบแล้ว
นี่คือผลประโยชน์เชิงโครงสร้าง—ไม่ใช่เชิงบัญชี
เงินอาจไม่ไปเข้าพระคลัง
แต่ “อำนาจต่อรอง” กลับเข้ามือระบอบเดิมอย่างเต็มรูปแบบ

5. คดีจำนำข้าว: บทเรียนของการใช้กฎหมายเป็นอาวุธ

ความเสียหายระดับนโยบายมีจริง นโยบายมีช่องโหว่จริง
แต่วิธีลงโทษยิ่งลักษณ์ในยุค คสช. คือการ “สั่งชดใช้ก่อน–พิสูจน์ภายหลัง”
ค่าชดใช้ 35,000 ล้านถูกวิจารณ์หนักจนศาลปกครองสูงสุดต้องลดลงเหลือ 10,000 ล้าน
นี่คือหลักฐานว่าระบบตรวจสอบไทย ขาดความยับยั้งชั่งใจ และถูกครอบงำด้วยความแค้นทางการเมืองมากกว่าความยุติธรรม
จุดประสงค์ไม่ใช่ “ทำให้รัฐได้เงินคืน”
แต่คือ “ทำลายตระกูลทางการเมืองให้สิ้นซาก”

6. กระบวนการยุติธรรมที่ดีต้อง “ไม่เลือกศัตรู” แต่ของไทยเลือกชัดเจน

มาตรฐานสิทธิมนุษยชนตะวันตกเรียกร้องให้รัฐ

  • ไม่เลือกปฏิบัติ
  • ไม่ใช้ศาลพิเศษจากรัฐประหาร
  • ไม่ใช้กฎหมายย้อนหลัง
  • ไม่ทำลายฝ่ายตรงข้ามเกินสัดส่วน

แต่ไทยทำครบทุกข้อในทางตรงกันข้าม
เมื่อรัฐประหารเข้ามาเป็น “ผู้พิทักษ์กฎหมาย” จะหวังความเป็นกลางได้อย่างไร?
ประเทศไทยจึงสร้าง ภาพลวงตาแห่งนิติรัฐ แต่จริง ๆ แล้วคือ “กฎหมายที่ต่อต้านอีกฝั่ง แต่ปกป้องพวกตัวเอง”

7. การยึดทรัพย์ชินวัตรคือสัญลักษณ์ของการต่อสู้ระหว่าง ‘รัฐประชาชน’ กับ ‘รัฐอำนาจเก่า’

ทักษิณ–ยิ่งลักษณ์ผิดบางอย่างจริง ไม่สมบูรณ์แบบจริง
แต่ระบอบอำนาจเก่ากลับผิดมากกว่า—เพราะ

  1. ใช้กำลังยึดอำนาจ
  2. แต่งตั้งองค์กรมาไต่สวนเฉพาะฝ่ายที่ตนต้องการล้ม
  3. สร้างกลไกตุลาการภิวัตน์
  4. ใช้กฎหมายเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจ ไม่ใช่เพื่อความยุติธรรม

ไทยจึงไม่เคย “ชนะการคอร์รัปชัน”
แต่ไทย “ชนะศัตรูทางการเมือง” ด้วยการใช้ข้อหาคอร์รัปชันต่างหาก

8. ท้ายที่สุด… การยึดทรัพย์ไม่เคยแก้ปัญหาประเทศ—แต่ทำให้ประเทศกลับหลัง

หลังยึด 46,000 ล้าน
หลังตัดสิทธิ
หลังประหารทางการเมืองโดยกฎหมาย
ไทยได้อะไรกลับมา?

  • เศรษฐกิจล้มเหลว
  • เสรีภาพถดถอย
  • ความเชื่อมั่นต่างชาติหาย
  • ความแตกแยกขยาย
  • วงจรอำนาจเก่ากลับมาครองประเทศ

แต่สิ่งที่ไทย “ไม่ได้” คือ
กระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลาง และประเทศที่ก้าวไปข้างหน้า

9. ความจริงสุดท้าย: ไทยไม่ได้ขาดกฎหมาย—แต่ขาดความซื่อสัตย์ต่อการใช้กฎหมาย

ถ้าไทยใช้กฎหมายเพื่อประเทศ
เราคงมีศาลอิสระ อัยการอิสระ องค์กรตรวจสอบที่ไม่ใช่แขนของรัฐประหาร
แต่ไทยใช้กฎหมายเป็นเหมือน “ดาบ”
ฝ่ายที่ถือดาบปลอดภัย
ฝ่ายถูกฟันต้องตาย
นี่คือปัญหาที่ลึกกว่าคดีทักษิณหรือยิ่งลักษณ์มากนัก
ลึกถึง รากของรัฐไทยเอง

10. คันฉ่องส่องไทยที่แท้จริงจึงสะท้อนว่า:

“สิ่งที่ควรยึดไม่ใช่ทรัพย์ของนักการเมือง แต่คืออำนาจอันไม่อาจตรวจสอบได้ของระบอบเก่า และสิ่งที่ควรคืนให้ประชาชน ไม่ใช่เงิน แต่คือความยุติธรรมที่ถูกปล้นไปพร้อมกับรัฐประหาร.”

Monday, November 17, 2025

ประเทศไทยไม่ได้ติดหล่ม — แต่ถูก ตรึง

 


ภาพประกอบ : การรัฐประหาร 2549

มันไม่ใช่อุบัติเหตุ

มันไม่ใช่ความบังเอิญ


แต่มันคือการปฏิบัติการที่ยืดยาวกว่า 20 ปีเพื่อให้ประเทศนี้


เดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ให้ แต่ต้องยืนคาอยู่ตรงจุดที่ชนชั้นนำสั่งไว้

ใครก้าวออกนอกเส้น—ถูก “ผ่าออกจากเกม”

1) ประชาชนคือปัญหาในสายตาชนชั้นนำ

อำนาจเก่ามองประชาชนแบบเดียวกับที่ศาสตราจารย์มองเฟรชแมนที่เพิ่งเปิดเทอม
— “ยังโง่ ยังไม่พร้อมใช้สิทธิ ยังต้องถูกคุม”

ทันทีที่มีนักการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงเกินไป
ระบบจะเปิดโหมดป้องกันตัวทันที

ไม่ใช่เพราะเขากลัวนักการเมือง
แต่เพราะเขากลัว ประชาชนที่เริ่มคิดเองเป็น

ประเทศไทยเลยได้ประชาธิปไตยที่หมกไว้ในตู้กระจก
—แตะได้ แต่มือจะถูกตี

2) ทำลายทักษิณ = ทำลายเสียงของประชาชน

การทำลายทักษิณไม่ใช่เพราะเขาโกงมากกว่าใคร
แต่เพราะเขา “ได้รับความรักจากคนจนมากเกินไป”
มากจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อชนชั้นนำที่เคยผูกขาดการตัดสินใจของประเทศ

พรรคไหนชนะเลือกตั้งด้วยเสียงคนส่วนใหญ่
—สั่งยุบ
ผู้นำพรรคไหนมีเสน่ห์
—สั่งตัดสิทธิ
ขยับอะไรที่ประชาชนชอบแต่ชนชั้นนำไม่ชอบ
—สั่งฟันด้วยกฎหมายแบบเลือกเป้า

นี่ไม่ใช่การจัดระเบียบ
นี่คือ การผ่าตัดล้างความปรารถนาทางการเมืองของประชาชน

3) การดึงทักษิณกลับมา คือการใช้ศัตรูเก่ามาเป็น “เครื่องมือ”

ทักษิณไม่ได้กลับมาเพราะเขาได้รับการยกโทษ
แต่เพราะผู้มีอำนาจต้องการ “ไม้กันหมา”
เพื่อกันไม่ให้กระแสก้าวหน้ากลายเป็นพายุ

เขาไม่ได้กลับมาเดินอย่างสง่างาม
เขากลับมาแบบคนที่ถูกคล้องปลอกคอ
—อยู่ในคอกเมื่อถึงเวลา
—ออกมาขู่เมื่อถูกสั่ง
—ถูกยึดทรัพย์เมื่อจำเป็นต้องถูกเตือนว่าใครใหญ่กว่า

นี่คือการคุมตัวประกันทางการเมือง ไม่ใช่ "ปรองดอง" แม้แต่นิดเดียว

4) ประเทศที่มีเลือกตั้ง แต่ห้ามเปลี่ยนอำนาจจริง

ประเทศไทยกลายเป็นสนามที่เล่นละครเลือกตั้ง
แต่บทจะจบแบบไหน ผู้ชมไม่มีสิทธิตัดสิน
เพราะตอนจบถูกเขียนไว้แล้วหลังเวที

ประชาชนเลือกได้
แต่ถ้าผลที่เลือก “ไม่ถูกใจบนเขา”
—จะมีคดี
—จะมีมติ
—จะมีองค์กรอิสระ
—จะมีตีความกฎหมายแบบเฉพาะกิจ

ใช้ทุกอย่างทำได้
ยกเว้น “การยอมรับความจริงว่าประชาชนคือเจ้าของประเทศ”

5) สุดท้ายแล้ว… ประเทศถูกแช่แข็งด้วยความจงใจ

นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เติบโตช้า
นี่คือประชาธิปไตยที่ถูก จับโยกใส่ตู้แช่แข็ง -18°C

ขยับไม่ได้
โตไม่ได้
เลือกได้ แต่ใช้ไม่ได้
ชนะได้ แต่ปกครองไม่ได้

และเมื่อใดที่ประชาชนเริ่มรู้สึกตัวว่า “ประเทศนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”
ก็จะมีสื่อบางสำนัก องค์กรบางกลุ่ม อำนาจบางชุด
ออกมาบอกว่า


“อย่าคิดมาก ประเทศไทยดีอยู่แล้ว 

ประชาชนแค่ต้องเชื่อฟัง”

Sunday, November 16, 2025

ความสัมพันธ์การค้าไทย-สหรัฐ: ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย โดยสหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นกว่า 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยในปี 2025 สินค้าส่งออกหลักจากสหรัฐมายังไทย ได้แก่ เชื้อเพลิงแร่ธาตุ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักร ขณะที่สินค้านำเข้าหลักจากไทยไปสหรัฐคือ สินค้าทุน (เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์) สินค้าอุปโภคบริโภค (เช่น โทรศัพท์มือถือและเสื้อผ้า) และยานยนต์กับชิ้นส่วน การค้านี้ส่งผลให้ไทยมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐสูงถึง 45.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ซึ่งคิดเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยการค้าทั้งหมด (ส่งออกและนำเข้ากับทุกคู่ค้า) คิดเป็นประมาณ 137% ของ GDP ไทยในปี 2024 แสดงให้เห็นว่าการค้าต่างประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของไทย

ในทางตรงกันข้าม การค้าของสหรัฐกับไทยคิดเป็นสัดส่วนน้อยมาก น้อยกว่า 1% ของ GDP สหรัฐ โดยการค้ากับกลุ่มอาเซียนทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 571.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ซึ่งเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น สำนักสำมะโนประชากรสหรัฐและตัวแทนการค้าสหรัฐ
เมื่อมองไปยังความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดโดยรวมของไทย จีนครองสัดส่วนนำเข้าถึง 26.2% ของนำเข้าทั้งหมดในปี 2024 โดยไทยนำเข้าจากจีนสูงถึง 69.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ส่งออกไปจีนอยู่ที่ 35.2-44.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การพึ่งพาจีนที่เพิ่มขึ้นนี้ (นำเข้าเติบโต 29.98% ในช่วงล่าสุด) ทำให้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงต่อความผันผวนจากจีน เช่น การแข่งขันจากสินค้าจีนราคาถูกที่คุกคามอุตสาหกรรมไทย
ในบริบทของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐ-จีน คนไทยควรตระหนักว่าการรักษาสัมพันธภาพอันดีกับสหรัฐเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพื่อกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ สร้างสมดุลการค้า และรักษาตำแหน่งของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก หากละเลย ไทยอาจตกอยู่ในภาวะพึ่งพาจีนมากเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

Saturday, November 15, 2025

ทรัมพ์ ลดภาษีสินค้าจำเป็นด่วน เพื่อลดปัญหาค่าครองชีพของคนอเมริกัน


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษเพื่อลดหรือยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นหลายรายการ โดยมุ่งหวังที่จะช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นของชาวอเมริกัน 

จากการตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม พบว่า โดนัลด์ ทรัมพ์ ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษเพื่อลดหรือยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 200 รายการ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 
รายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้ามีดังนี้: 
  • เนื้อสัตว์: เนื้อวัวบางประเภท รวมถึงเนื้อรมควันและเนื้อแห้ง
  • ผักและผลไม้: มะเขือเทศ อะโวคาโด กล้วย สับปะรด มะพร้าว มะม่วง และพืชตระกูลส้ม
  • เครื่องดื่ม: กาแฟ ชาเขียว ชาดำ น้ำผลไม้
  • เครื่องเทศ: อบเชย ลูกจันทน์เทศ ขมิ้น และอื่นๆ
  • ถั่วและเมล็ดพืช: ถั่วบราซิล ถั่วแมคาเดเมีย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดงา เมล็ดฝิ่น และอื่นๆ
  • ผลิตภัณฑ์อื่นๆ: โกโก้ ปุ๋ยบางชนิด และไม้ 
การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันจากปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นของชาวอเมริกัน แม้ว่าทรัมพ์จะเคยยืนยันก่อนหน้านี้ว่านโยบายภาษีนำเข้าของเขาไม่ได้เป็นสาเหตุของเงินเฟ้อ นักวิเคราะห์บางคนมองว่าการลดภาษีในครั้งนี้อาจช่วยบรรเทาภาระของผู้บริโภคได้บ้าง แต่ก็อาจไม่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ 

นอกจากนี้ การลดภาษียังเกิดขึ้นหลังจากการเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับหลายประเทศในลาตินอเมริกา เช่น อาร์เจนตินา เอกวาดอร์ และกัวเตมาลา ซึ่งช่วยเปิดทางให้สินค้าบางรายการจากประเทศเหล่านี้ได้รับการยกเว้นภาษีด้วยเช่นกัน 
การยกเว้นภาษีนำเข้าในครั้งนี้ส่งผลดีต่อหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บริโภคชาวอเมริกัน และ ธุรกิจผู้นำเข้า 
กลุ่มที่ได้รับประโยชน์หลักๆ มีดังนี้:
  • ผู้บริโภคชาวอเมริกัน: เป้าหมายหลักของการลดภาษีคือการลดภาระค่าครองชีพ การยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่น เนื้อวัว กาแฟ และผลไม้เมืองร้อน คาดว่าจะช่วยชะลอหรือย้อนกลับการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเหล่านี้ในร้านขายของชำ ทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือนถูกลง
  • ธุรกิจผู้นำเข้าและผู้ค้าปลีก: บริษัทที่นำเข้าสินค้าเหล่านี้ เช่น ผู้ผลิตอาหารที่ใช้เมล็ดกาแฟหรือโกโก้เป็นวัตถุดิบ จะมีต้นทุนการนำเข้าที่ต่ำลง ซึ่งช่วยลดแรงกดดันต่อกำไรของธุรกิจ หรือทำให้สามารถตรึงราคาขายปลีกได้ดีขึ้น
  • ประเทศผู้ส่งออก: ประเทศในลาตินอเมริกาและที่อื่นๆ ที่ส่งออกสินค้าเหล่านี้มายังสหรัฐฯ เช่น อาร์เจนตินา เอกวาดอร์ และกัวเตมาลา จะได้รับประโยชน์จากการที่สินค้าของตนสามารถเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้นและมีราคาที่สามารถแข่งขันได้มากขึ้น
  • อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง: อุตสาหกรรมอื่นๆ ในห่วงโซ่อุปทาน เช่น บริษัทขนส่ง หรือผู้ผลิตปุ๋ยบางชนิดที่ได้รับการยกเว้นภาษี ก็จะได้รับอานิสงส์จากปริมาณการค้าที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนที่ลดลง 
โดยสรุป การยกเว้นภาษีนี้เป็นการผ่อนปรนนโยบายภาษีนำเข้าในภาพรวมของทรัมพ์ เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันทางการเมืองเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และเป็นการยอมรับโดยปริยายว่าภาษีนำเข้าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น 

China and “Unrestricted Warfare” Against the the United States: A Scholarly Analysis of Long-Term Erosion Strategies Targeting the Liberal World Order

อ่านภาคภาษาไทยที่นี่

Introduction

Over the past two decades, the concept of “Unrestricted Warfare” (超限战) developed by Chinese military officers has been repeatedly invoked to explain the strategic relationship between the People’s Republic of China (PRC) and the United States. In particular, it is used by strategists and policymakers in liberal democracies to interpret how China seeks advantage over a militarily superior rival. The concept suggests that a weaker power can defeat or weaken a stronger adversary if it is willing to expand the notion of “war” beyond the battlefield into non-military domains such as finance, technology, cyber operations, information, lawfare, and other tools that traditionally were not treated as acts of war.

This article aims to (1) summarize the core ideas of Unrestricted Warfare as put forward by Qiao Liang and Wang Xiangsui; (2) review how contemporary scholars interpret the concept; (3) present empirical evidence that China has adopted practices consistent with this framework to weaken U.S. structural advantages; and (4) highlight important scholarly caveats, so that the argument does not collapse into one-sided propaganda but remains grounded, balanced, and evidence-based.

1. Origins of the “Unrestricted Warfare” Concept

1.1 Qiao Liang and Wang Xiangsui’s 1999 Book

The book Unrestricted Warfare was written by two officers of the People’s Liberation Army (PLA) Air Force, Qiao Liang and Wang Xiangsui, and first published in 1999 by a PLA publishing house. Its publication by a military press indicates that it was not merely a fringe personal essay, but at least a tolerated and influential piece of strategic thinking within the PLA discourse.

The starting question of the book is straightforward: when global warfare is shaped and dominated by a superpower such as the United States—which holds overwhelming advantages in conventional military power, technology, and economic reach—how can a weaker state such as China compete? The authors propose to “unrestrict” warfare from the purely military domain and instead mobilize all available instruments of national power. This includes financial warfare, trade warfare, legal warfare, media and information warfare, attacks on critical infrastructure, and other methods that exploit systemic vulnerabilities of the adversary.

1.2 Contemporary Scholarly Readings

Wójtowicz and Król (2021) provide a systematic account of the concept, arguing that “unrestricted warfare” should be understood as a framework that views war as “the use of all resources of the state” to achieve political objectives, rather than restricting war to kinetic operations. In their reading, the book highlights the importance of attacking the structural vulnerabilities of an opponent—such as financial fragility, dependencies in supply chains, technological chokepoints, and asymmetric legal regimes—rather than confronting superior military power head-on.

Military journals and analyses in the United States, such as those published in Military Review, confirm that the book has had enduring influence in global strategic debates. It has been used to reframe modern warfare as “the coordinated use of military and non-military means” to coerce an adversary, thus blurring traditional boundaries between war and peace.

2. Not an Official “Master Plan”, But a Highly Influential Frame

A major debate in Western scholarship is whether Unrestricted Warfare should be treated as a formal top-down blueprint for Chinese national strategy. Analysts at the U.S. Air Force’s China Aerospace Studies Institute (CASI), including Josh Baughman, warn that elevating a single book to the status of “China’s master plan” is an over-reading that risks misinforming policy.

At the same time, Baughman and others acknowledge that the book reflects a significant current of PLA thinking about expanding the use of non-military tools in strategic competition with the United States. Similar ideas appear in numerous PLA writings and Chinese security publications post-1999, indicating that elements of the concept have been absorbed into a broader strategic culture, even if not codified in a single “official doctrine” document.

In other words, Unrestricted Warfare is best understood as a conceptual lens that enlarges the strategic imagination of Chinese planners. Western analysts have found that this lens is useful—indeed, often necessary—for making sense of China’s observed behavior across cyber, economic, technological, and information domains in its rivalry with the United States.

3. Key Characteristics of “Unrestricted Warfare”

Across the original text and later academic analyses, at least four core characteristics can be distilled:

  1. Integration of military and non-military instruments. War is no longer separable from peace. Every domain of interstate interaction—financial markets, technology supply chains, media systems, digital platforms—can become a “battlefield.” Unrestricted warfare thus legitimizes the use of non-military means as primary tools of conflict.
  2. Targeting structural vulnerabilities. Rather than challenging U.S. military power directly, the framework emphasizes exploiting systemic weak points: public debt, dependence on open information environments, critical infrastructure interdependence, and reliance on digital systems that can be exploited through cyber operations or information manipulation.
  3. Protracted “war of attrition” over decisive short wars. The objective is not a quick, decisive victory, but long-term erosion of the adversary’s economic health, social cohesion, public trust in institutions, and alliance networks, until it loses the ability or will to maintain leadership of the international order.
  4. Blurring lines between state, private sector, and organized crime. Tools of unrestricted warfare do not need to be wielded by uniformed military units. State-owned enterprises, nominally private firms, overseas networks, and even criminal organizations can be leveraged—directly or indirectly—to advance state objectives, creating layers of plausible deniability.

4. Empirical Evidence: How Has China Applied “Unrestricted Warfare” Against the U.S.?

The key question is whether China’s actual behavior toward the United States aligns with the logic of unrestricted warfare. While motives are hard to prove definitively, a growing body of empirical evidence strongly supports the view that the PRC has systematically employed economic espionage, cyber operations, information manipulation, United Front work, and transnational networks in ways that map closely onto this conceptual framework.

4.1 Economic Espionage and Technology Theft

In 2020 the U.S. Department of Justice (DoJ) unsealed an indictment against four officers of the PLA for hacking Equifax, one of the largest credit reporting agencies in the United States. The breach compromised sensitive personal data of approximately 145–148 million Americans, including names, Social Security numbers, dates of birth, and addresses, and was explicitly framed as both a cybercrime and an act of economic espionage.

U.S. government sources estimate that roughly 80% of federal economic espionage cases have links to the Chinese state or Chinese actors. A comprehensive CSIS survey of Chinese espionage cases in the United States since 2000 documents more than 200 publicly known incidents involving theft of trade secrets and sensitive technologies, from semiconductors and advanced materials to aerospace and biotechnology.

These are not random acts by isolated individuals. They reflect a pattern consistent with “technology warfare” as envisioned by Unrestricted Warfare, in which acquiring U.S. core technologies—legally or illegally—is a central means of rapidly closing or leapfrogging capability gaps across both civilian and military sectors.

4.2 Cyber Attacks on U.S. Government Data and Infrastructure

The 2015 breach of the U.S. Office of Personnel Management (OPM) is widely regarded as one of the most damaging cyber intrusions ever suffered by the U.S. government. The personal records of roughly 22 million current, former, and prospective federal employees and contractors were stolen, including highly detailed security clearance forms. Multiple U.S. intelligence assessments attributed the attack to Chinese state-linked actors.

The strategic value of this data is enormous: it allows Chinese intelligence to map the U.S. national security ecosystem, identify individuals who may be susceptible to recruitment or coercion, and understand networks of relationships across agencies. The OPM hack alone could support long-term influence, blackmail, and counter-intelligence operations against U.S. personnel.

In addition, the CSIS database of significant cyber incidents records numerous cases where Chinese state-sponsored groups infiltrated telecom providers, cloud services, and infrastructure entities in the U.S. and allied countries. For example, the group sometimes called “Salt Typhoon” has been reported targeting telecommunications networks in more than 20 countries, including the United States, to gain persistent access to communications data—precisely the kind of preparatory work envisaged under a long-term unrestricted warfare strategy.

4.3 Information Warfare and Disinformation

A 2021 RAND study documents that the PLA and Chinese party-state organs have been developing social media operations aimed at U.S. audiences and U.S. allies. These operations include the creation of fake accounts, amplification of divisive narratives, and targeted campaigns undermining trust in the U.S. military and political institutions.

A more recent RAND report (2024) describes how Chinese strategists explore the use of AI-driven tools—such as large language models—to generate tailored disinformation at scale, thereby enhancing the precision and plausible deniability of such campaigns. This marks an escalation from rudimentary troll farms to algorithmically enhanced cognitive warfare.

Public disclosures by major U.S. tech platforms in 2024–2025 corroborate these concerns: several have taken down coordinated inauthentic networks linked to China that were pushing politically divisive content, sometimes impersonating U.S. citizens, and leveraging AI to craft messages about U.S. elections and domestic controversies.

4.4 United Front Work and Political Influence Operations

The U.S.–China Economic and Security Review Commission (USCC) has described the Chinese Communist Party’s United Front Work Department as a key instrument for influencing—and in many cases co-opting—overseas organizations, Chinese diaspora communities, business networks, academic institutions, and local politicians. The objective is to shape foreign discourses and decision-making in ways favourable to Beijing while marginalizing critics.

Cases involving former senior officials at U.S. institutions—including a former Federal Reserve economist alleged to have passed sensitive information to Chinese contacts—illustrate how financial incentives, talent programs, and other “soft” mechanisms can be deployed to gain access to strategic insights and policy debates from within.

4.5 Transnational Crime, Fentanyl, and Online Scams as Tools of Erosion

A 2025 USCC report on cross-border crime notes that PRC-linked networks have played a central role in online scam operations targeting Americans, with estimated losses of over US$5 billion in a single year. Many of these scam hubs are located in or near regions where China has significant economic or political leverage, including Belt and Road–connected zones in Southeast Asia. The report raises the concern that China can selectively tolerate or crack down on these networks as a form of bargaining leverage with foreign governments.

Alongside this, U.S. congressional and law-enforcement reports highlight that chemical precursors manufactured in China are a primary source for Mexican cartels producing fentanyl destined for the U.S. market, fueling an opioid crisis that kills tens of thousands of Americans annually. While direct state intent is difficult to prove, the net effect is social and public health devastation inside the United States—a result consistent with the “indirect, deniable attack on societal resilience” envisioned in unrestricted warfare.

5. Strategic Interpretation: Does China View the U.S. as a Competitor or as an Adversary to Be Undermined?

Most of the evidence above does not come from explicit public statements by the Chinese government announcing an objective to “destroy” the United States. Rather, it emerges from patterns of behaviour over time. When interpreted through the lens of unrestricted warfare, these patterns strongly suggest that the CCP does not see the U.S. as just another economic competitor “playing by the same rules,” but as a structural rival whose power and legitimacy must be weakened across multiple domains.

Dallas Tueller, writing in Small Wars Journal (2024), argues that the critical issue is not the 1999 text itself, but the convergence between that conceptual framework and contemporary PRC behaviour: cyber theft of critical data, persistent economic espionage, information operations targeting U.S. domestic cohesion, and exploitation of criminal or grey-zone actors. Taken together, these actions amount to a practical implementation of unrestricted warfare—even if Beijing never labels it as such.

6. Scholarly Caveats and Limitations

To maintain academic integrity, several important caveats must be clearly stated:

  • Intent is inherently difficult to prove. Most of the evidence concerns actions linked to Chinese state or state-adjacent actors. It supports the claim that China seeks to weaken U.S. advantages and exploit vulnerabilities. But it does not conclusively prove that Beijing’s ultimate aim is “total destruction” of the United States. The more cautious conclusion is that China sees the U.S. as its principal strategic rival and is willing to use many non-military tools to erode U.S. power and the liberal order it underpins.
  • Great powers on all sides use covert and influence operations. The U.S. itself has a long history of intelligence activities, information operations, and political meddling abroad. Focusing solely on Chinese behaviour without situating it in the broader context of great-power competition may distort the analytical picture. What is distinctive in the PRC case, however, is the combination of authoritarian governance, tight party control, and willingness to exploit the openness of liberal societies.
  • Distinguishing the CCP from the Chinese people. Critique of CCP and PLA strategy must be carefully distinguished from attitudes toward ordinary Chinese citizens, who are often themselves victims of the same authoritarian system. Responsible scholarship should avoid conflating “China” as a civilization with “the CCP” as a ruling party.

7. Conclusion

When the conceptual framework of Unrestricted Warfare is viewed alongside a growing body of empirical evidence—economic espionage, major cyber intrusions, influence operations, United Front activities, and PRC-linked criminal networks—it becomes increasingly difficult to sustain the narrative that China is merely a benign competitor operating within the same liberal rules as the United States.

A more precise, academically defensible conclusion is that the Chinese party-state regards the United States as a structural and long-term strategic adversary whose power, cohesion, and normative influence must be eroded. It seeks to do so by mobilizing all available instruments of national power, many of them non-military, and by weaponizing the very openness of liberal societies—free flows of information, open markets, and transparent institutions—against them. This approach maps closely onto the logic of unrestricted warfare.

For U.S. and allied policymakers, recognizing this reality is not an invitation to xenophobia, nor a call for blind confrontation. Rather, it is a call for strategic clarity. The “battlefield” between China and the United States is not limited to the South China Sea or the Taiwan Strait; it extends into data centers, financial markets, research labs, social media feeds, and local communities. Defending the liberal order in the 21st century therefore requires moving beyond a narrow focus on traditional military deterrence and developing robust defenses against unrestricted warfare in all domains of public life.

Selected References

  • Air University, China Aerospace Studies Institute. (2022). Unrestricted Warfare Is Not China’s Master Plan.
  • Baughman, J. (2022). “Unrestricted Warfare” Is Not China’s Master Plan. China Aerospace Studies Institute.
  • CSIS. (2023). Survey of Chinese Espionage in the United States Since 2000.
  • CSIS. (2023). How the Chinese Communist Party Uses Cyber Espionage to Undermine the American Economy.
  • Department of Justice. (2020). Chinese Military Personnel Charged with Computer Fraud, Economic Espionage, and Wire Fraud for Hacking into Equifax.
  • Harold, S. W., et al. (2021). Chinese Disinformation Efforts on Social Media. RAND Corporation.
  • Liang, Q., & Wang, X. (1999). Unrestricted Warfare. Beijing: PLA Literature and Arts Publishing House. (English translation via C4I.org and archive.org.)
  • Military Review. (2019). Précis: Unrestricted Warfare.
  • Office of Personnel Management Data Breach (2015). U.S. congressional and media reports on the OPM hack attributed to Chinese actors.
  • RAND Corporation. (2024). Dr. Li Bicheng, or How China Learned to Stop Worrying and Love Social Media Manipulation.
  • Tueller, D. (2024). The Invisible Frontline: The Nature of China’s Unrestricted Warfare and Why the US Needs a Strategic Wake-Up Call. Small Wars Journal.
  • U.S.–China Economic and Security Review Commission. (2025). Report on PRC-linked scam networks targeting U.S. citizens and associated economic security risks.
  • Wójtowicz, T., & Król, D. (2021). Chinese Concept of Unrestricted Warfare – Characteristics and Contemporary Use. Humanities & Social Sciences, 28(4), 165–176.

จีนกับ “สงครามไร้ขีดจำกัด” ต่อสหรัฐอเมริกา

จีนกับ “สงครามไร้ขีดจำกัด” ต่อสหรัฐอเมริกา: การวิเคราะห์เชิงวิชาการว่าด้วยยุทธศาสตร์บ่อนเซาะระยะยาวต่อโลกเสรี

บทนำ

ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา แนวคิด “สงครามไร้ขีดจำกัด” (Unrestricted Warfare – 超限战) ของทหารจีนถูกหยิบยกขึ้นมาอธิบายความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมู่นักยุทธศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายของโลกเสรี แนวคิดนี้เสนอว่าประเทศที่ด้อยกว่าทางการทหารแบบดั้งเดิมสามารถเอาชนะคู่แข่งที่เหนือกว่าได้ หากกล้า “ขยายสนามรบ” ออกจากกรอบการรบทางทหาร ไปสู่อาวุธรูปแบบใหม่ เช่น การเงิน เทคโนโลยี ไซเบอร์ ข้อมูล การก่อการร้าย การกดดันทางกฎหมาย และอื่น ๆ ที่ไม่เคยถูกนับเป็นสงครามในความหมายแบบเดิม

บทความนี้มีเป้าหมายเพื่อ (1) สรุปสาระสำคัญของแนวคิด Unrestricted Warfare ตามต้นฉบับของ Qiao Liang และ Wang Xiangsui, (2) วิเคราะห์การตีความและการใช้งานในมุมมองนักวิชาการร่วมสมัย, (3) แสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่ารัฐจีนได้นำหลักคิดใกล้เคียงนี้ไปใช้ในการบ่อนเซาะและทำให้สหรัฐฯ เปราะบางลงในหลายมิติ และ (4) สะท้อนข้อจำกัดเชิงวิชาการเพื่อไม่ให้การวิเคราะห์กลายเป็นเพียงวาทกรรมโฆษณาชวนเชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

1. ที่มาของแนวคิด “สงครามไร้ขีดจำกัด”

1.1 หนังสือของ Qiao Liang และ Wang Xiangsui (1999)

หนังสือ Unrestricted Warfare แต่งโดยนายทหารอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) สองนาย คือ Qiao Liang และ Wang Xiangsui ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1999 โดยสำนักพิมพ์ของกองทัพเอง ซึ่งสะท้อนว่ามิใช่งานส่วนตัวไร้น้ำหนัก แต่เป็นงานความคิดทางทหารที่ได้รับการยอมรับระดับหนึ่งในโครงสร้างของ PLA

จุดตั้งต้นของหนังสือคือคำถามว่า เมื่อสงครามสมัยใหม่ถูกกำหนดโดยมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ซึ่งมีอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจ การทหาร และเทคโนโลยี ประเทศที่อ่อนแอกว่าจะ “ต่อสู้” อย่างไร โดยผู้เขียนเสนอให้ “ไม่จำกัดการทำสงครามไว้แต่ในกรอบทหาร” แต่ให้ใช้เครื่องมือทุกชนิดที่สร้างแรงกดดันทางยุทธศาสตร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการเงิน (financial war), สงครามการค้า (trade war), สงครามกฎหมาย (legal war), สงครามสื่อและข้อมูล (media & information war) รวมถึงการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนในเชิงไซเบอร์และเศรษฐกิจ

1.2 มุมมองของนักวิชาการร่วมสมัย

งานของ Wójtowicz และ Król (2021) ได้สังเคราะห์แนวคิดนี้อย่างเป็นระบบว่า “สงครามไร้ขีดจำกัด” คือกรอบคิดที่มองสงครามในฐานะ “การใช้ทุกทรัพยากรของรัฐ” เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง โดยไม่จำกัดที่เครื่องมือทางทหารอีกต่อไป และเน้นการโจมตี “จุดอ่อนโครงสร้าง” ของศัตรู เช่น ความเปราะบางทางการเงิน การพึ่งพาซัพพลายเชน เทคโนโลยี หรือการใช้กฎหมายระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือบิดเบือนผลประโยชน์ของคู่แข่ง

งานศึกษาทางทหารของสหรัฐฯ เช่น Military Review ก็ยืนยันว่าหนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลในหมู่นักคิดด้านความมั่นคงทั่วโลก และฉายภาพสงครามยุคใหม่ว่าเป็นการใช้ “ทุกวิธีการ ทั้งทางทหารและไม่ใช่ทหาร” เพื่อบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามยอมตามเจตจำนงของรัฐผู้รุกราน

2. “สงครามไร้ขีดจำกัด” ไม่ใช่แผนแม่บททางการอย่างเป็นทางการ – แต่เป็นกรอบคิดที่ทรงอิทธิพล

มีข้อถกเถียงสำคัญในหมู่นักวิจัยตะวันตกว่า ไม่ควร “ยกหนังสือเล่มเดียว” ไปเท่ากับ “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ของจีนทั้งหมด Josh Baughman แห่ง China Aerospace Studies Institute (CASI) ของกองทัพอากาศสหรัฐชี้ว่า การมอง Unrestricted Warfare เป็น “master plan” ของจีนทั้งประเทศเป็นการอ่านเกินจริง และอาจทำให้ตัดสินใจเชิงนโยบายผิดพลาด

อย่างไรก็ตาม Baughman ก็ยอมรับว่า หนังสือเล่มนี้สะท้อน “วิธีคิดแบบหนึ่ง” ภายใน PLA ว่าด้วยการขยายขอบเขตการใช้เครื่องมือไม่ใช่ทหาร เพื่อได้เปรียบในความขัดแย้งกับสหรัฐฯ และแนวคิดลักษณะเดียวกันนี้ก็พบได้ในเอกสารทางทหารและงานวิชาการจีนจำนวนมากหลังจากนั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ Unrestricted Warfare จะไม่ใช่ “ประกาศนโยบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีน” แต่ก็ทำหน้าที่เป็น “กรอบคิดเชิงแนวคิด (conceptual frame)” ที่ขยายขอบเขตจินตนาการเชิงยุทธศาสตร์ของจีน และถูกใช้โดยนักวิเคราะห์ตะวันตกเป็นเลนส์สำคัญในการอ่านพฤติกรรมจริงของจีนต่อสหรัฐฯ

3. ลักษณะสำคัญของ “สงครามไร้ขีดจำกัด”

จากการสังเคราะห์ทั้งจากต้นฉบับและงานวิชาการร่วมสมัย สามารถสรุปลักษณะของ Unrestricted Warfare ได้อย่างน้อย 4 ประการ:

  1. การผสมเครื่องมือทางทหารและไม่ใช่ทหาร – ไม่แยก “สงคราม” ออกจาก “สันติภาพ” อย่างชัดเจน แต่ถือว่าทุกมิติของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐสามารถกลายเป็น “สนามรบ” ได้ เช่น ตลาดทุน เทคโนโลยี เครือข่ายสังคมออนไลน์ การพึ่งพาห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น
  2. การโจมตีจุดอ่อนเชิงโครงสร้าง (systemic vulnerabilities) – แทนที่จะเผชิญหน้ากองทัพสหรัฐโดยตรง จีนเลือกโจมตีความเปราะบางของสหรัฐในมิติอื่น เช่น หนี้สาธารณะ การพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบสื่อเสรีที่เปิดให้ข้อมูลเท็จแทรกซึมได้ง่าย เป็นต้น
  3. การยืดเวลาความขัดแย้งแบบ “ศึกยืดเยื้อ” – เป้าหมายไม่ใช่ชัยชนะฉับพลัน แต่คือการกัดเซาะระยะยาวให้คู่แข่งอ่อนแรง สูญเสียทรัพยากร สูญเสียความเชื่อมั่นจากประชาชนและพันธมิตร จนขาดศักยภาพในการรักษาระเบียบโลกที่ตนเคยเป็นแกนกลางอยู่
  4. การพร่าเลือนเส้นแบ่งระหว่างรัฐ–เอกชน–อาชญากรรม – เครื่องมือที่ใช้ไม่จำเป็นต้องมาจากรัฐโดยตรง แต่อาจเป็นบริษัท รัฐวิสาหกิจ เครือข่ายอาชญากรรม หรือ “ตัวแสดง” ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับรัฐในระดับต่าง ๆ ซึ่งทำให้ยากต่อการระบุความรับผิดชอบ

4. หลักฐานเชิงประจักษ์: จีนใช้ “สงครามไร้ขีดจำกัด” ต่อสหรัฐฯ อย่างไร

ส่วนนี้จะชี้ให้เห็นว่า การมองจีนว่า “เพียงแค่คู่แข่งทางเศรษฐกิจที่เล่นอยู่ในกติกาเดียวกัน” ไม่สอดคล้องกับหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ว่ารัฐจีนใช้เครื่องมือหลากหลายเพื่อบ่อนเซาะความได้เปรียบของสหรัฐฯ ในระดับโครงสร้าง

4.1 จารกรรมเศรษฐกิจและการขโมยเทคโนโลยี

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DoJ) ประกาศอย่างเป็นทางการในปี 2020 ว่าได้ฟ้องนายทหารสี่นายจากกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้แฮ็กบริษัทเครดิตรายใหญ่ Equifax ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกันราว 145–148 ล้านคนรั่วไหล และเชื่อมโยงกับข้อหาจารกรรมทางเศรษฐกิจและขโมยความลับทางการค้า

รายงานของรัฐสภาสหรัฐชี้ด้วยว่า ประมาณ 80% ของคดีจารกรรมเศรษฐกิจของรัฐบาลกลางมีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน หรือผู้กระทำที่เชื่อมโยงกับจีน ข้อมูลจาก CSIS ซึ่งรวบรวมคดีจารกรรมจีนในสหรัฐระหว่างปี 2000 เป็นต้นมาระบุว่ามีกรณีที่เปิดเผยต่อสาธารณะแล้วกว่า 200 คดี ตั้งแต่ด้านชิป วัสดุขั้นสูง การบินอวกาศ ไปจนถึงไบโอเทคและปัญญาประดิษฐ์

สิ่งเหล่านี้สะท้อน “สงครามเทคโนโลยี” ตามแนวคิด Unrestricted Warfare อย่างชัดเจน คือ ใช้การขโมยเทคโนโลยีพื้นฐานของสหรัฐเพื่อลดช่องว่างทางยุทธศาสตร์ ทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ โดยไม่ต้องลงทุนวิจัยจากศูนย์ในระดับเดียวกัน

4.2 การโจมตีไซเบอร์ต่อโครงสร้างข้อมูลของรัฐสหรัฐ

กรณีการแฮ็กสำนักงานบริหารบุคคล (OPM) ของรัฐบาลสหรัฐในปี 2015 ซึ่งข้อมูลบุคลากรและผู้ที่เคยผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยของรัฐกว่า 22 ล้านรายการถูกขโมยไป ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ถูกเชื่อมโยงกับจีนอย่างหนัก รัฐบาลสหรัฐและสื่อกระแสหลักหลายแห่งรายงานตรงกันว่า การโจมตีนี้มาจากกลุ่มที่เชื่อมโยงกับหน่วยข่าวกรองจีน และถูกมองว่าเป็น “ขุมทรัพย์ข้อมูลเชิงข่าวกรอง” สำหรับการระบุตัว เป้าหมาย และการแบล็กเมลในอนาคต

นอกจากนี้ ฐานข้อมูลเหตุการณ์ไซเบอร์สำคัญของ CSIS ยังบันทึกเหตุการณ์ล่าสุดหลายกรณีที่เชื่อมโยงกับจีน เช่น กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ถูกเรียกว่า “Salt Typhoon” เจาะระบบผู้ให้บริการโทรคมนาคมในสหรัฐและอีกกว่า 20 ประเทศ เพื่อเก็บข้อมูลการสื่อสารในระดับโครงสร้าง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การสอดแนมและเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ความขัดแย้งระดับสูงในอนาคต

4.3 การปฏิบัติการข่าวสารและข้อมูลเท็จ (Information / Disinformation Operations)

รายงานของ RAND ปี 2021 ระบุอย่างชัดเจนว่า PLA กำลังพัฒนาและทดลองใช้ปฏิบัติการสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศเพื่อโจมตีภาพลักษณ์กองทัพและรัฐบาลสหรัฐ โดยใช้บัญชีปลอม ปั่นข่าวบิดเบือน และเนื้อหาที่ออกแบบมาเพื่อทำให้ความเชื่อมั่นภายในสังคมอเมริกันอ่อนแอลง

รายงาน RAND ปี 2024 อีกฉบับหนึ่งยังเตือนว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังศึกษาและทดลองใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบงการสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ ทำให้ปฏิบัติการข้อมูลเท็จมีความเนียนและยากแก่การตรวจจับมากขึ้น ซึ่งถือเป็น “การยกระดับอาวุธในสนามรบเชิงข้อมูล” อย่างเป็นรูปธรรม

ข้อมูลล่าสุดจากบริษัทเทคโนโลยีและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในสหรัฐ—includingรายงานปี 2025 ที่พบปฏิบัติการจากกลุ่มที่เชื่อมโยงกับจีนใช้โมเดล AI เพื่อสร้างเนื้อหาการเมืองแบบแตกแยกในสื่อสังคมออนไลน์สหรัฐ—ยิ่งตอกย้ำว่า ปฏิบัติการแบบนี้ไม่ได้อยู่แค่ในทฤษฎี แต่กำลังเดินอยู่ในสนามจริงแล้ว

4.4 ปฏิบัติการ “แนวร่วม” (United Front) และอิทธิพลทางการเมือง

รายงานของ U.S.–China Economic and Security Review Commission (USCC) อธิบายว่า “งานแนวร่วม” (United Front Work) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างอิทธิพลและบ่อนเซาะในต่างประเทศ ผ่านการเจาะเครือข่ายองค์กรจีนโพ้นทะเล สมาคมการค้า สถาบันการศึกษา และนักการเมืองท้องถิ่น เพื่อดึงให้โครงสร้างเหล่านั้นโน้มเอียงไปตามผลประโยชน์ของปักกิ่ง และลดทอนเสียงวิจารณ์ต่อจีน

กรณีการว่าจ้าง ผู้เชี่ยวชาญ หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสถาบันการเงินและมหาวิทยาลัยสหรัฐ โดยมีการจ่ายค่าตอบแทนแฝงจากสถาบันในจีน (เช่น คดีอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Federal Reserve ที่ถูกกล่าวหาว่าถ่ายทอดข้อมูลลับให้จีน) เป็นตัวอย่างที่สะท้อนการใช้ “soft penetration” เพื่อเข้าถึงข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐอย่างค่อยเป็นค่อยไป

4.5 เครือข่ายอาชญากรรม–ยาเสพติด–สแกมออนไลน์ในฐานะส่วนหนึ่งของการกัดเซาะสังคมสหรัฐ

รายงานของ USCC ปี 2025 ระบุว่า เครือข่ายอาชญากรรมที่เชื่อมโยงกับจีนมีบทบาทสำคัญในการหลอกลวงชาวอเมริกันผ่านสแกมออนไลน์ประเภทต่าง ๆ ทำให้ชาวอเมริกันสูญเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในปีเดียว และส่วนหนึ่งของเครือข่ายเหล่านี้เชื่อมโยงกับโซนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับโครงการ Belt and Road ซึ่งรัฐจีนมีอิทธิพลสูง ตัวรายงานตั้งข้อกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้การบังคับใช้กฎหมายต่อสแกมเหล่านี้เป็น “ข้อแลกเปลี่ยนทางการเมืองและข่าวกรอง” ต่อสหรัฐและประเทศอื่น ๆ

เมื่อมองร่วมกับข้อมูลการไหลของสารตั้งต้นยาเสพติดสังเคราะห์จากจีนสู่เครือข่ายผลิตเฟนทานิลในเม็กซิโกที่ส่งผลให้วิกฤตยาเสพติดในสหรัฐรุนแรงขึ้น นักวิเคราะห์บางส่วนเสนอว่า แม้จะไม่อาจพิสูจน์เจตนา “สงครามยาเสพติด” ของรัฐจีนได้โดยตรง แต่ผลลัพธ์เชิงโครงสร้างก็สอดคล้องกับตรรกะของ Unrestricted Warfare นั่นคือ การปล่อยให้ปัญหาสังคม–สุขภาพสหรัฐลุกลามจนกลายเป็นแรงกัดเซาะจากภายใน

5. การตีความเชิงยุทธศาสตร์: จีนมองสหรัฐเป็น “คู่แข่ง” หรือ “ศัตรูที่ต้องบั่นทอน”?

หลักฐานส่วนใหญ่ที่ยกมาข้างต้นไม่ได้มาจากถ้อยแถลงแบบเปิดเผยของรัฐบาลจีนว่า “ต้องล้มสหรัฐให้ได้” หากแต่มาจากพฤติกรรมที่สอดคล้องกันอย่างยาวนาน ทั้งในระดับไซเบอร์ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และข้อมูล เมื่ออ่านภายใต้กรอบคิดของ Unrestricted Warfare จึงทำให้หลายสำนักคิดในฝั่งสหรัฐตีความว่า CCP ไม่ได้มองสหรัฐเพียงแค่ “คู่แข่ง” แต่เป็น “อุปสรรคเชิงโครงสร้าง” ที่ต้องทำให้อ่อนแรงลงในทุกมิติ เพื่อเปิดทางให้จีนขึ้นมาอยู่ในจุดที่ไม่ถูกกดด้วยระเบียบโลกภายใต้การนำของอเมริกา

Dallas Tueller เขียนใน Small Wars Journal ปี 2024 ว่า สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่เนื้อหาในหนังสือปี 1999 แต่คือ “หลักฐานร่วมสมัย” ว่าจีนกำลังปฏิบัติการในหลายสนามพร้อมกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเจาะข้อมูลโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงการปั่นข่าวปลอมและการสร้างความแตกแยกในสังคมสหรัฐ ซึ่งทั้งหมดนี้ควรถูกเข้าใจในฐานะ “สงครามไร้ขีดจำกัด” ที่กำลังดำเนินอยู่จริง ไม่ใช่เพียงแนวคิดบนกระดาษ

6. ข้อถกเถียงและข้อจำกัดเชิงวิชาการ

เพื่อรักษาความเป็นวิชาการ บทความนี้จำเป็นต้องยอมรับข้อจำกัดสำคัญหลายประการ:

  • การพิสูจน์ “เจตนา” โดยตรงเป็นเรื่องยาก – หลักฐานส่วนใหญ่เป็นพฤติกรรมและคดีที่เชื่อมโยงกับรัฐจีนหรือผู้ปฏิบัติการที่รัฐให้การสนับสนุน แต่การระบุว่า “รัฐบาลจีนตั้งใจจะล้มสหรัฐให้สิ้นซาก” ในฐานะวัตถุประสงค์สูงสุดยังเป็นการตีความที่เกินจากเอกสารทางการที่เปิดเผยอยู่ในปัจจุบัน
  • มหาอำนาจทุกฝ่ายต่างก็ใช้ปฏิบัติการลับและปฏิบัติการข้อมูล – สหรัฐเองก็มีประวัติการปฏิบัติการข่าวกรอง ปฏิบัติการข้อมูล และการแทรกแซงการเมืองในประเทศอื่นเช่นกัน การชี้เพียงจีนฝ่ายเดียวโดยไม่มองโครงสร้างอำนาจโลกทั้งหมด อาจทำให้การวิเคราะห์ไม่สมดุล
  • ความเสี่ยงของการเหมารวม – การวิจารณ์ CCP และ PLA ต้องระวังไม่เหมารวมไปถึง “ชาวจีนทุกคน” ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีส่วนรู้เห็นกับยุทธศาสตร์ระดับรัฐ การรักษาภาษาที่แยก “รัฐบาล/พรรค/กองทัพ” ออกจาก “ประชาชนจีน” จึงเป็นความรับผิดชอบเชิงจริยธรรมของนักวิชาการ

7. บทสรุป

เมื่อพิจารณาร่วมกันทั้ง (1) แนวคิด Unrestricted Warfare ซึ่งเสนอให้ใช้เครื่องมือทุกชนิดเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง, (2) งานวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่ากรอบคิดนี้ยังมีอิทธิพลต่อการคิดเชิงยุทธศาสตร์ของจีน, และ (3) หลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากเกี่ยวกับการจารกรรมเศรษฐกิจ การโจมตีไซเบอร์ ปฏิบัติการข้อมูลเท็จ และการใช้เครือข่ายแนวร่วมในต่างประเทศ ย่อมยากที่จะปฏิเสธว่า จีนกำลังใช้อย่างน้อย “ส่วนหนึ่ง” ของแนวคิดสงครามไร้ขีดจำกัดในการบ่อนเซาะความได้เปรียบของสหรัฐอเมริกาและระเบียบโลกเสรีในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การตีความว่า “จีนตั้งใจจะทำลายล้างสหรัฐฯ แบบสิ้นซาก” ยังเกินจากหลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน หากจะกล่าวอย่างระมัดระวังในเชิงวิชาการ อาจสรุปได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนมองสหรัฐฯ เป็น “คู่แข่งเชิงโครงสร้างและคู่ต่อสู้หลักทางยุทธศาสตร์” ที่ต้องถูกทำให้เปราะบางลงในทุกมิติเท่าที่ทำได้ โดยใช้เครื่องมือที่ไม่จำกัดเฉพาะการทหาร และพร้อมจะใช้ช่องว่างของโลกเสรี (เสรีภาพข้อมูล เสรีภาพเศรษฐกิจ ระบบเปิด) เป็นอาวุธย้อนกลับมาทำให้โลกเสรีอ่อนแอลงเอง ซึ่งสอดคล้องกับหัวใจของแนวคิด Unrestricted Warfare อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับผู้กำหนดนโยบายในสหรัฐและโลกเสรี การยอมรับข้อเท็จจริงเชิงโครงสร้างนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อปลุกปั่นความเกลียดชังต่อจีนหรือชาวจีน แต่เพื่อให้ตระหนักว่า “สนามรบ” ระหว่างจีนกับสหรัฐไม่ได้อยู่แค่ในทะเลจีนใต้หรือไต้หวัน หากแผ่ขยายไปถึงข้อมูลในโทรศัพท์ของประชาชน ตลาดหุ้น มหาวิทยาลัย ห้องวิจัย และแม้กระทั่งการสนทนาบนสื่อสังคมออนไลน์ของพลเมืองธรรมดาทั่วไป การป้องกันตนเองของโลกเสรีจึงต้องยกระดับจากการป้องกันทางทหาร ไปสู่การป้องกัน “สงครามไร้ขีดจำกัด” ในทุกมิติของชีวิตสาธารณะ

บรรณานุกรม (คัดสรร)

  • Air University, China Aerospace Studies Institute. (2022). Unrestricted Warfare Is Not China’s Master Plan.
  • Baughman, J. (2022). “Unrestricted Warfare” is Not China’s Master Plan. China Aerospace Studies Institute.
  • CSIS. (2023). Survey of Chinese Espionage in the United States Since 2000.
  • CSIS. (2023). How the Chinese Communist Party Uses Cyber Espionage to Undermine the American Economy.
  • Department of Justice. (2020). Chinese Military Personnel Charged with Computer Fraud, Economic Espionage, and Wire Fraud for Hacking into Equifax.
  • Harold, S. W. et al. (2021). Chinese Disinformation Efforts on Social Media. RAND.
  • Liang, Q., & Wang, X. (1999). Unrestricted Warfare. Beijing: PLA Literature and Arts Publishing House. (ฉบับแปลภาษาอังกฤษเผยแพร่ผ่าน C4I.org และ archive.org)
  • Military Review. (2019). Précis: Unrestricted Warfare.
  • Office of Personnel Management Data Breach (2015). รายงานของคณะกรรมาธิการตรวจสอบของสภาคองเกรสสหรัฐและสื่อกระแสหลักเกี่ยวกับการแฮ็ก OPM ที่เชื่อมโยงกับจีน.
  • RAND. (2024). Dr. Li Bicheng, or How China Learned to Stop Worrying and Love Social Media Manipulation.
  • Tueller, D. (2024). The Invisible Frontline: The Nature of China’s Unrestricted Warfare and Why the US Needs a Strategic Wake-Up Call. Small Wars Journal.
  • U.S.–China Economic and Security Review Commission. (2025). รายงานเกี่ยวกับเครือข่ายสแกมข้ามชาติที่เชื่อมโยงจีนและการคุกคามต่อความมั่นคงเศรษฐกิจของสหรัฐ.
  • Wójtowicz, T., & Król, D. (2021). Chinese Concept of Unrestricted Warfare – Characteristics and Contemporary Use. Humanities & Social Sciences, 28(4), 165–176.

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา สงครามชายแดน...