ประมาณหนึ่งเดือน ก่อนการสลายการชุมนุม แบบมีรายงานคนตายหลายสิบแต่หาศพไม่เจอ เพราะทหารเก็บศพไปด้วย พร้อมกับมีข่าวคนหายนับร้อย แต่ไม่มีญาติกล้ารายงาน เพราะกลัวตกเป็นเป้าไปด้วยนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ไปพูดที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ยืนยันตอบโต้ อาจารย์ใจ อึ้งภากรณ์อย่างภูมิใจในฐานะนายกที่จงรักภักดีและเห็นด้วยกับมาตรา 112 โดยกล่าวว่า กษัตริย์ภูมิพลไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง ปกป้องตัวเองไม่ได้ ดังนั้น หากใครมีปัญหาอยากจะดีเบต ให้เผชิญหน้ากับเขา อย่าดึงกษัตริย์ภูมิพลผู้บริสุทธิ์และสูงส่งไปเกี่ยวด้วย การสลายการชุมนุม เมื่อสงกรานต์ ปี 2552 ทำให้คนเสื้อแดงที่คาดไม่ถึงว่าจะโดนหนักขนาดนั้น ต้องกลับมาอีกครั้งในปี 2553 และนายกผู้จงรักภักดีเหนือสิ่งอื่นใด และได้เข้าเฝ้าถี่ ๆ ในช่วงก่อนหน้าและระหว่างการสลายการชุมนุม ก็เป็นผู้เห็นชอบให้ทหารใช้กำลังและกระสุนจริงกับมวลชนได้ แม้ว่าจะมีการกำหนดเงื่อนไข (ตามสไตล์นักกฎหมายประชาธิปัตย์ ว่าต้องเป็นไปตามเงื่อนไขต่าง ๆ สอดคล้องกับหลักสากล) แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นโยบายที่แข็งกร้าว ชิงชัง และเคียดแค้นมวลชนเสื้อแดง นั้น ได้นำไปสู่การสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด ในบรรดาการสังหารหมู่ประชาชนในประวัติศาสตร์ไทย
และประวัติศาสตร์ต้องบันทึกว่า ผ่านมานับห้าหกปีแล้ว แต่นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และบรรดานายหทารใหญ่ใน คสช.วันนี้ ที่ได้ร่วมกันก่ออาชญากรรมนั้น ยังไม่มีใครเข้าสู่การพิจารณาในขั้นศาลชั้นตนเลย แม้แต่คนเดียว!!
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.