อำนาจที่ใหญ่กว่าบารมี: น้ำท่วม ภาคใต้ และกฎแห่งกรรม
บทความนี้มิได้เขียนขึ้นเพื่อสาปแช่งใคร หรือโยนบาปให้น้ำฟ้าอากาศ หรือกล่าวโทษบุคคลใด หากแต่เขียนขึ้นเพื่อชวนคนไทยมอง อำนาจ – กรรม – และความรับผิดชอบ ผ่านสายตาของพุทธศาสนา ภูมิปัญญาชาวบ้าน และบทเรียนการเมืองร่วมสมัย
1. เมื่อน้ำท่วมไม่ใช่แค่เรื่องฝนตก แต่เป็นกระจกสะท้อนการเมือง
ก่อนอื่นขอแสดงความห่วงใยต่อพี่น้องที่ประสพภัยพิบัติอันร้ายแรงทุกท่าน
น้ำท่วมครั้งใหญ่ในภาคใต้ช่วงปลายปีครั้งนี้ ผู้คนสูญเสียบ้าน ชีวิต ทรัพย์สิน
หลายจังหวัดกลายเป็นทะเลน้ำโคลน ถนนขาด โรงพยาบาลถูกล้อมรอบ
และคนทั้งประเทศจับตาดูว่ารัฐบาลและผู้มีอำนาจจะทำอะไร
จะ “อยู่กับน้ำ” อย่างรับผิดชอบ หรือจะ “ปล่อยให้คนจมน้ำ” ทั้งกายและใจ
ตามหลักวิทยาศาสตร์ น้ำท่วมเกิดจากฝนหนัก ภูมิประเทศ ระบบระบายน้ำล้มเหลว และการจัดการเมืองที่ผิดพลาดสะสมมานานหลายสิบปี แต่ในสายตาของชาวบ้านจำนวนไม่น้อย เหตุการณ์เช่นนี้มักถูกตีความว่าเป็น “กรรมตามทัน” ของผู้นำที่ได้อำนาจมา ทั้งด้วยวิธีเทา ๆ หรือดำ ๆ
เมื่อคนที่เคยถูกตั้งคำถามเรื่องคุณธรรมและความโปร่งใสก้าวขึ้นสู่อำนาจใหญ่ แล้วไม่นานประเทศต้องเผชิญวิกฤตครั้งประวัติศาสตร์ ประโยคที่ลอยอยู่ในใจผู้คนคือ “ได้อำนาจแต่บารมีไม่ถึง กรรมเลยตามทันเร็วขึ้น”
2. หลักพุทธว่าด้วยอำนาจและบารมี: ไม่ใช่คำคม แต่เป็นกฎของเหตุปัจจัย
แม้ในพระไตรปิฎกจะไม่มีประโยคตรง ๆ ว่า “ถ้าคนมีบารมีไม่ถึงอำนาจที่ได้รับ ความวิบัติมักมาเยือน” แต่ เนื้อหา ในพระสูตรและชาดกมากมายกลับบอกเรื่องนี้อย่างชัดเจน ผ่านภาพกษัตริย์ ขุนนาง และผู้นำที่ได้อำนาจโดยขาดศีลและปัญญา แล้วชีวิต การเมือง และบ้านเมืองก็พังทลายตามมา
2.1 อำนาจคือข้อสอบของใจ ไม่ใช่การันตีว่าคนนั้นดี
- คนมีบุญ ได้อำนาจ → จะถูกทดสอบว่ารักษาศีล เมตตา และปัญญาไว้ได้หรือไม่
- คนบุญไม่ถึง ได้อำนาจ → กิเลสจะโตเร็ว เหมือนโยนปุ๋ยให้หญ้าแฝก กลายเป็นไฟเผาตัวเองและผู้อื่น
- พุทธศาสนาสอนว่า “อกุศลกรรม” ย่อมให้ผลทั้งในรูปของ ทุกขลาภ นินทา เสื่อมยศ เสื่อมสุข
ดังนั้น เมื่อคนที่ใจยังเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ได้กุมทรัพยากร งบประมาณ ระบบราชการ และเครื่องมือรัฐ กรรมที่เคยซ่อนอยู่เล็ก ๆ ย่อมมีพื้นที่ให้ขยายตัวเต็มที่และย้อนทำร้ายทั้งเจ้าของและประชาชนที่ต้องอยู่ใต้ปกครองนั้น
2.2 กรรมให้ผลไม่เลือกพรรค ไม่เลือกสี
กรรมในทางพุทธไม่ใช่คำสาปหรือเวทมนตร์ แต่คือ รูปแบบพฤติกรรมที่ทำซ้ำ จนสร้างผลระยะยาว ทั้งในระดับบุคคลและระดับโครงสร้าง
- กรรมส่วนตัว – การคดโกง โกหก เอาเปรียบ ไปทำร้ายใครไว้ ย่อมส่งผลเป็นความไม่ไว้วางใจ ความขัดแย้ง และความทุกข์ใจ
- กรรมส่วนรวม – การปล่อยปละละเลยระบบทุจริต การเมืองแบบเงินนำหน้า การยอมจำนนต่อ “ระบบเส้นสาย” ทำให้สังคมอ่อนแอและรับมือวิกฤตไม่ได้
- กรรมของผู้นำ – เมื่อได้อำนาจจากเกมการเมืองที่สกปรก หรือจากการทรยศอุดมการณ์ กรรมย่อมตามมาด้วยภาระหนักและเสียงด่าที่หนีไม่พ้น
3. น้ำท่วม ภาคใต้ กับคำถามเรื่องบารมีของผู้นำ
น้ำท่วมภาคใต้ครั้งใหญ่ เป็นภัยธรรมชาติที่มีเหตุจากฝน ปริมาณน้ำ ภูมิประเทศ และการวางผังเมือง–โครงสร้างพื้นฐานที่ล้มเหลวมายาวนาน ไม่ใช่ “ฟ้าด่าคนใดคนหนึ่ง” แต่ในเวลาเดียวกัน ชะตากรรมของผู้มีอำนาจ ก็ถูกลากเข้ามาในกระแสน้ำนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะทันทีที่เกิดวิกฤต สังคมจะไม่ถามแค่ “ฝนตกเท่าไร” แต่จะถามต่อว่า “ใครเป็นรัฐบาล ใครเคยสัญญาอะไรไว้ ใครเคยเล่นเกมอำนาจจนได้ตำแหน่งมา แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่?”
เมื่อผู้นำที่เคยมีประวัติด้านเทา ๆ ในสายตาสังคม กลายเป็นผู้ต้องรับผิดชอบวิกฤตที่กระทบชีวิตคนเป็นล้าน น้ำที่ท่วมนั้นจึงไม่ใช่แค่น้ำฝน แต่กลายเป็น กระจกที่สะท้อนให้เห็นทั้ง “บาปกรรมในอดีต” และ “ความสามารถจริงปัจจุบัน”
3.1 ทุกขลาภ นินทา เสื่อมยศ: วิบากของอำนาจที่บุญไม่ถึง
ในมุมพุทธ เราอาจตีความได้ว่า ผู้นำที่บารมีไม่ถึงอำนาจที่ถืออยู่ จะเจออย่างน้อยสามชั้นของวิบาก:
- ทุกขลาภ – ได้ตำแหน่ง ได้เก้าอี้ ได้รถประจำตำแหน่ง แต่มีแต่ความลำบาก งานหนัก แก้ไม่ทัน โดนด่าทุกวัน
- นินทา–เสื่อมยศ – เสียงสรรเสริญหายไป เหลือแต่การตั้งคำถาม ประณาม แฉ และความไม่ไว้วางใจ
- เสื่อมสุขภายในใจ – อยู่ในวังวนความกลัว การปกป้องภาพลักษณ์ และความระแวงต่อทุกคนรอบตัว
ทั้งหมดนี้คือ “ผลกรรม” ที่ไม่ได้ลอยมาจากฟ้า แต่เกิดจากรูปแบบชีวิต การเมือง และการตัดสินใจ ที่บุคคลนั้นสร้างมาตลอดหลายปี เมื่อมีอำนาจมากขึ้น วิบากก็มีเวทีใหญ่พอให้แสดงตัวได้ชัดขึ้นเช่นกัน
4. บารมีที่แท้จริง: ไม่ใช่เสียงเชียร์ แต่คือศีล–เมตตา–ปัญญา
ในสายตาของพุทธศาสนา “บารมี” ไม่ใช่จำนวนกองเชียร์ ไม่ใช่จำนวน ส.ส. หรือคะแนนเลือกตั้ง แต่คือคุณสมบัติของใจที่สั่งสมมานาน เช่น ทาน ศีล เมตตา สัจจะ ขันติ ปัญญา และการยอมเสียสละความสบายส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ผู้นำที่บารมีถึงอำนาจ จะมีลักษณะบางอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่:
- กล้ายอมรับความจริง ไม่ปกปิด ไม่สร้างภาพ เมื่อเกิดวิกฤต
- ใช้ทรัพยากรเพื่อช่วยคนเดือดร้อนก่อน ไม่ใช่เพื่อปกป้องคะแนนเสียงของตัวเอง
- เปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญและข้าราชการมืออาชีพทำงาน แทนการสั่งบนลงล่างเพราะต้องการเครดิตทางการเมือง
- พูดด้วยเมตตาและสติ แม้ถูกด่า ไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธหรือการใช้อำนาจกดทับ
ตรงกันข้าม ผู้นำที่บุญไม่ถึงอำนาจจะวนอยู่กับการ “เซฟหน้า” แก้รูปมากกว่าแก้ราก ปิดข้อมูลมากกว่าเปิดความจริง และใช้กลไกรัฐกดเสียงวิจารณ์ มากกว่าจะใช้ปัญญารับมือวิกฤต
5. จากการด่าผู้นำ สู่การสร้างบารมีของพลเมือง
ง่ายที่สุดคือ การด่านักการเมืองที่เราไม่ชอบ ยากกว่ามากคือ การถามตัวเองว่า “แล้วเราจะสร้างบารมีของพลเมืองอย่างไร เพื่อไม่ให้วงจรแบบนี้เกิดซ้ำ?”
หากผู้นำจำนวนหนึ่งได้อำนาจจากเงิน จากระบบอุปถัมภ์ จากความไม่รู้ของประชาชน ก็แปลว่า กรรมส่วนหนึ่งของเราทุกคน มีส่วนร่วมอยู่ในนั้น ไม่มากก็น้อย
ทางออกจึงไม่ใช่แค่การสาปแช่งผู้นำ แต่คือการที่ประชาชนจำนวนมากเริ่มถือเอา สัจจะ ความจริง พรหมวิหาร ๔ มรรคมีองค์ ๘ ปัญญา เป็นหลักในการดำรงชีวิต การเสพข่าว การเลือกข้าง การกาบัตรเลือกตั้ง และการใช้สิทธิ–หน้าที่
เมื่อพลเมืองจำนวนมากเริ่มยืนอยู่บนฐานเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และใช้ปัญญาในการมองการเมืองมากกว่าใช้อารมณ์ เราจึงจะเริ่มสร้าง “บารมีใหม่ของสังคม” ที่ไม่เปิดทางให้อำนาจแบบเทา–ดำขึ้นมาง่าย ๆ อีกต่อไป
6. บทเตือนใจ: อำนาจที่เกินบารมี คือประตูให้กรรมเร่งผล
- อำนาจไม่ได้บอกว่า “เรามีบุญมาก” แต่อาจบอกว่า “ถึงเวลาที่กรรมเก่าและกรรมใหม่จะถูกทดสอบบนเวทีใหญ่”
- ผู้ที่ได้อำนาจโดยไม่ซื่อสัตย์ต่อสัจจะ ความจริง และความเป็นธรรม ย่อมหนีไม่พ้นทุกขลาภ นินทา เสื่อมยศ และทุกข์ใจ
- วิกฤตเช่นน้ำท่วมใหญ่ ทำหน้าที่เป็น “คันฉ่องของชาติ” สะท้อนทั้งฝีมือผู้นำ และระดับสติ–ปัญญาของประชาชน
- ถ้าเราอยากเห็นผู้นำที่มีบารมีถึงอำนาจ เราต้องเริ่มจากการเป็น “พลเมืองที่มีบารมีทางศีลและปัญญา” เสียก่อน
เชิงอรรถและแหล่งอ้างอิง
- หลักกรรมและวิบากในพระพุทธศาสนา – ดูได้จากพระไตรปิฎกหมวดชาดก และพระสูตรที่กล่าวถึงผลของความโลภ โกรธ หลง ของผู้มีอำนาจ
- แนวคิดเรื่องทุกขลาภ–นินทา–เสื่อมยศ – ปรากฏในคำสอนไตรลักษณ์และหลักอิฏฐารมณ์–อนิฏฐารมณ์ ที่ย้ำว่าไม่มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขใด เที่ยงแท้ถาวร
- ข้อมูลเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ – อ้างอิงจากรายงานข่าวและประกาศทางการของหน่วยงานรัฐและสื่อมวลชนในช่วงน้ำท่วมครั้งใหญ่ ซึ่งระบุยอดผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับผลกระทบ และการประกาศเขตภัยพิบัติ
- ข้อเสนอเรื่อง “บารมีของพลเมือง” – พัฒนาจากแนวคิดพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ผสานกับหลักศีล–สมาธิ–ปัญญาในพุทธศาสนา

No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.