ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.
เปิดหรือปิดเสียงเพลงและหิมะจากปุ่มขวาล่าง
❄️🌸 Toggle Sakura & Snow

Wednesday, November 26, 2025

อำนาจที่ใหญ่กว่าบารมี: น้ำท่วม ภาคใต้ และกฎแห่งกรรม

อำนาจที่ใหญ่กว่าบารมี: น้ำท่วม ภาคใต้ และกฎแห่งกรรม
คันฉ่องส่องไทย · บทเตือนใจด้วยแสงจากกรรมและสติ

อำนาจที่ใหญ่กว่าบารมี: น้ำท่วม ภาคใต้ และกฎแห่งกรรม

บทความนี้มิได้เขียนขึ้นเพื่อสาปแช่งใคร หรือโยนบาปให้น้ำฟ้าอากาศ หรือกล่าวโทษบุคคลใด หากแต่เขียนขึ้นเพื่อชวนคนไทยมอง อำนาจ – กรรม – และความรับผิดชอบ ผ่านสายตาของพุทธศาสนา ภูมิปัญญาชาวบ้าน และบทเรียนการเมืองร่วมสมัย

“อำนาจไม่ใช่รางวัลของบุญ แต่เป็นข้อสอบของบุญ ผู้ใดบารมีไม่ถึงอำนาจของตน อำนาจนั้นย่อมกลายเป็นไฟเผาเจ้าของ”
คันฉ่องส่องไทย – เรียบเรียงจากหลักกรรมในพระพุทธศาสนา

1. เมื่อน้ำท่วมไม่ใช่แค่เรื่องฝนตก แต่เป็นกระจกสะท้อนการเมือง

ก่อนอื่นขอแสดงความห่วงใยต่อพี่น้องที่ประสพภัยพิบัติอันร้ายแรงทุกท่าน
น้ำท่วมครั้งใหญ่ในภาคใต้ช่วงปลายปีครั้งนี้ ผู้คนสูญเสียบ้าน ชีวิต ทรัพย์สิน หลายจังหวัดกลายเป็นทะเลน้ำโคลน ถนนขาด โรงพยาบาลถูกล้อมรอบ และคนทั้งประเทศจับตาดูว่ารัฐบาลและผู้มีอำนาจจะทำอะไร จะ “อยู่กับน้ำ” อย่างรับผิดชอบ หรือจะ “ปล่อยให้คนจมน้ำ” ทั้งกายและใจ

ตามหลักวิทยาศาสตร์ น้ำท่วมเกิดจากฝนหนัก ภูมิประเทศ ระบบระบายน้ำล้มเหลว และการจัดการเมืองที่ผิดพลาดสะสมมานานหลายสิบปี แต่ในสายตาของชาวบ้านจำนวนไม่น้อย เหตุการณ์เช่นนี้มักถูกตีความว่าเป็น “กรรมตามทัน” ของผู้นำที่ได้อำนาจมา ทั้งด้วยวิธีเทา ๆ หรือดำ ๆ

เมื่อคนที่เคยถูกตั้งคำถามเรื่องคุณธรรมและความโปร่งใสก้าวขึ้นสู่อำนาจใหญ่ แล้วไม่นานประเทศต้องเผชิญวิกฤตครั้งประวัติศาสตร์ ประโยคที่ลอยอยู่ในใจผู้คนคือ “ได้อำนาจแต่บารมีไม่ถึง กรรมเลยตามทันเร็วขึ้น”

2. หลักพุทธว่าด้วยอำนาจและบารมี: ไม่ใช่คำคม แต่เป็นกฎของเหตุปัจจัย

แม้ในพระไตรปิฎกจะไม่มีประโยคตรง ๆ ว่า “ถ้าคนมีบารมีไม่ถึงอำนาจที่ได้รับ ความวิบัติมักมาเยือน” แต่ เนื้อหา ในพระสูตรและชาดกมากมายกลับบอกเรื่องนี้อย่างชัดเจน ผ่านภาพกษัตริย์ ขุนนาง และผู้นำที่ได้อำนาจโดยขาดศีลและปัญญา แล้วชีวิต การเมือง และบ้านเมืองก็พังทลายตามมา

2.1 อำนาจคือข้อสอบของใจ ไม่ใช่การันตีว่าคนนั้นดี

  • คนมีบุญ ได้อำนาจ → จะถูกทดสอบว่ารักษาศีล เมตตา และปัญญาไว้ได้หรือไม่
  • คนบุญไม่ถึง ได้อำนาจ → กิเลสจะโตเร็ว เหมือนโยนปุ๋ยให้หญ้าแฝก กลายเป็นไฟเผาตัวเองและผู้อื่น
  • พุทธศาสนาสอนว่า “อกุศลกรรม” ย่อมให้ผลทั้งในรูปของ ทุกขลาภ นินทา เสื่อมยศ เสื่อมสุข

ดังนั้น เมื่อคนที่ใจยังเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ได้กุมทรัพยากร งบประมาณ ระบบราชการ และเครื่องมือรัฐ กรรมที่เคยซ่อนอยู่เล็ก ๆ ย่อมมีพื้นที่ให้ขยายตัวเต็มที่และย้อนทำร้ายทั้งเจ้าของและประชาชนที่ต้องอยู่ใต้ปกครองนั้น

2.2 กรรมให้ผลไม่เลือกพรรค ไม่เลือกสี

กรรมในทางพุทธไม่ใช่คำสาปหรือเวทมนตร์ แต่คือ รูปแบบพฤติกรรมที่ทำซ้ำ จนสร้างผลระยะยาว ทั้งในระดับบุคคลและระดับโครงสร้าง

  • กรรมส่วนตัว – การคดโกง โกหก เอาเปรียบ ไปทำร้ายใครไว้ ย่อมส่งผลเป็นความไม่ไว้วางใจ ความขัดแย้ง และความทุกข์ใจ
  • กรรมส่วนรวม – การปล่อยปละละเลยระบบทุจริต การเมืองแบบเงินนำหน้า การยอมจำนนต่อ “ระบบเส้นสาย” ทำให้สังคมอ่อนแอและรับมือวิกฤตไม่ได้
  • กรรมของผู้นำ – เมื่อได้อำนาจจากเกมการเมืองที่สกปรก หรือจากการทรยศอุดมการณ์ กรรมย่อมตามมาด้วยภาระหนักและเสียงด่าที่หนีไม่พ้น
“กฎแห่งกรรมไม่เลือกคนดีหรือคนเลว แต่เลือกเหตุและปัจจัยที่เราสร้างขึ้นเอง เมื่อใจต่ำกว่าอำนาจที่ถืออยู่ กรรมก็ง่ายที่จะใช้ ‘อำนาจนั้น’ เป็นช่องทางให้ผล”
คันฉ่องส่องไทย – ว่าด้วยอำนาจและวิบาก

3. น้ำท่วม ภาคใต้ กับคำถามเรื่องบารมีของผู้นำ

น้ำท่วมภาคใต้ครั้งใหญ่ เป็นภัยธรรมชาติที่มีเหตุจากฝน ปริมาณน้ำ ภูมิประเทศ และการวางผังเมือง–โครงสร้างพื้นฐานที่ล้มเหลวมายาวนาน ไม่ใช่ “ฟ้าด่าคนใดคนหนึ่ง” แต่ในเวลาเดียวกัน ชะตากรรมของผู้มีอำนาจ ก็ถูกลากเข้ามาในกระแสน้ำนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะทันทีที่เกิดวิกฤต สังคมจะไม่ถามแค่ “ฝนตกเท่าไร” แต่จะถามต่อว่า “ใครเป็นรัฐบาล ใครเคยสัญญาอะไรไว้ ใครเคยเล่นเกมอำนาจจนได้ตำแหน่งมา แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่?”

เมื่อผู้นำที่เคยมีประวัติด้านเทา ๆ ในสายตาสังคม กลายเป็นผู้ต้องรับผิดชอบวิกฤตที่กระทบชีวิตคนเป็นล้าน น้ำที่ท่วมนั้นจึงไม่ใช่แค่น้ำฝน แต่กลายเป็น กระจกที่สะท้อนให้เห็นทั้ง “บาปกรรมในอดีต” และ “ความสามารถจริงปัจจุบัน”

3.1 ทุกขลาภ นินทา เสื่อมยศ: วิบากของอำนาจที่บุญไม่ถึง

ในมุมพุทธ เราอาจตีความได้ว่า ผู้นำที่บารมีไม่ถึงอำนาจที่ถืออยู่ จะเจออย่างน้อยสามชั้นของวิบาก:

  • ทุกขลาภ – ได้ตำแหน่ง ได้เก้าอี้ ได้รถประจำตำแหน่ง แต่มีแต่ความลำบาก งานหนัก แก้ไม่ทัน โดนด่าทุกวัน
  • นินทา–เสื่อมยศ – เสียงสรรเสริญหายไป เหลือแต่การตั้งคำถาม ประณาม แฉ และความไม่ไว้วางใจ
  • เสื่อมสุขภายในใจ – อยู่ในวังวนความกลัว การปกป้องภาพลักษณ์ และความระแวงต่อทุกคนรอบตัว

ทั้งหมดนี้คือ “ผลกรรม” ที่ไม่ได้ลอยมาจากฟ้า แต่เกิดจากรูปแบบชีวิต การเมือง และการตัดสินใจ ที่บุคคลนั้นสร้างมาตลอดหลายปี เมื่อมีอำนาจมากขึ้น วิบากก็มีเวทีใหญ่พอให้แสดงตัวได้ชัดขึ้นเช่นกัน

4. บารมีที่แท้จริง: ไม่ใช่เสียงเชียร์ แต่คือศีล–เมตตา–ปัญญา

ในสายตาของพุทธศาสนา “บารมี” ไม่ใช่จำนวนกองเชียร์ ไม่ใช่จำนวน ส.ส. หรือคะแนนเลือกตั้ง แต่คือคุณสมบัติของใจที่สั่งสมมานาน เช่น ทาน ศีล เมตตา สัจจะ ขันติ ปัญญา และการยอมเสียสละความสบายส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ผู้นำที่บารมีถึงอำนาจ จะมีลักษณะบางอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่:

  • กล้ายอมรับความจริง ไม่ปกปิด ไม่สร้างภาพ เมื่อเกิดวิกฤต
  • ใช้ทรัพยากรเพื่อช่วยคนเดือดร้อนก่อน ไม่ใช่เพื่อปกป้องคะแนนเสียงของตัวเอง
  • เปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญและข้าราชการมืออาชีพทำงาน แทนการสั่งบนลงล่างเพราะต้องการเครดิตทางการเมือง
  • พูดด้วยเมตตาและสติ แม้ถูกด่า ไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธหรือการใช้อำนาจกดทับ

ตรงกันข้าม ผู้นำที่บุญไม่ถึงอำนาจจะวนอยู่กับการ “เซฟหน้า” แก้รูปมากกว่าแก้ราก ปิดข้อมูลมากกว่าเปิดความจริง และใช้กลไกรัฐกดเสียงวิจารณ์ มากกว่าจะใช้ปัญญารับมือวิกฤต

“ยิ่งมียศ ยิ่งต้องมีเมตตา ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งต้องเพิ่มศีล ถ้าอำนาจโตแต่ศีลไม่โต นั่นคือสูตรผสมของหายนะ”
คันฉ่องส่องไทย – บทเรียนจากการเมืองไทยร่วมสมัย

5. จากการด่าผู้นำ สู่การสร้างบารมีของพลเมือง

ง่ายที่สุดคือ การด่านักการเมืองที่เราไม่ชอบ ยากกว่ามากคือ การถามตัวเองว่า “แล้วเราจะสร้างบารมีของพลเมืองอย่างไร เพื่อไม่ให้วงจรแบบนี้เกิดซ้ำ?”

หากผู้นำจำนวนหนึ่งได้อำนาจจากเงิน จากระบบอุปถัมภ์ จากความไม่รู้ของประชาชน ก็แปลว่า กรรมส่วนหนึ่งของเราทุกคน มีส่วนร่วมอยู่ในนั้น ไม่มากก็น้อย

ทางออกจึงไม่ใช่แค่การสาปแช่งผู้นำ แต่คือการที่ประชาชนจำนวนมากเริ่มถือเอา สัจจะ ความจริง พรหมวิหาร ๔ มรรคมีองค์ ๘ ปัญญา เป็นหลักในการดำรงชีวิต การเสพข่าว การเลือกข้าง การกาบัตรเลือกตั้ง และการใช้สิทธิ–หน้าที่

เมื่อพลเมืองจำนวนมากเริ่มยืนอยู่บนฐานเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และใช้ปัญญาในการมองการเมืองมากกว่าใช้อารมณ์ เราจึงจะเริ่มสร้าง “บารมีใหม่ของสังคม” ที่ไม่เปิดทางให้อำนาจแบบเทา–ดำขึ้นมาง่าย ๆ อีกต่อไป

6. บทเตือนใจ: อำนาจที่เกินบารมี คือประตูให้กรรมเร่งผล

  • อำนาจไม่ได้บอกว่า “เรามีบุญมาก” แต่อาจบอกว่า “ถึงเวลาที่กรรมเก่าและกรรมใหม่จะถูกทดสอบบนเวทีใหญ่”
  • ผู้ที่ได้อำนาจโดยไม่ซื่อสัตย์ต่อสัจจะ ความจริง และความเป็นธรรม ย่อมหนีไม่พ้นทุกขลาภ นินทา เสื่อมยศ และทุกข์ใจ
  • วิกฤตเช่นน้ำท่วมใหญ่ ทำหน้าที่เป็น “คันฉ่องของชาติ” สะท้อนทั้งฝีมือผู้นำ และระดับสติ–ปัญญาของประชาชน
  • ถ้าเราอยากเห็นผู้นำที่มีบารมีถึงอำนาจ เราต้องเริ่มจากการเป็น “พลเมืองที่มีบารมีทางศีลและปัญญา” เสียก่อน
“เราทุกคนกำลังสร้างบารมีร่วมกัน ไม่ใช่แค่ด้วยการวิจารณ์การเมือง แต่อยู่ที่ว่า เราถือเอาสัจจะ ความจริง พรหมวิหารสี่ และมรรคมีองค์แปด มาใช้ในชีวิตประจำวันจริงหรือไม่”

เชิงอรรถและแหล่งอ้างอิง

  • หลักกรรมและวิบากในพระพุทธศาสนา – ดูได้จากพระไตรปิฎกหมวดชาดก และพระสูตรที่กล่าวถึงผลของความโลภ โกรธ หลง ของผู้มีอำนาจ
  • แนวคิดเรื่องทุกขลาภ–นินทา–เสื่อมยศ – ปรากฏในคำสอนไตรลักษณ์และหลักอิฏฐารมณ์–อนิฏฐารมณ์ ที่ย้ำว่าไม่มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขใด เที่ยงแท้ถาวร
  • ข้อมูลเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ – อ้างอิงจากรายงานข่าวและประกาศทางการของหน่วยงานรัฐและสื่อมวลชนในช่วงน้ำท่วมครั้งใหญ่ ซึ่งระบุยอดผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับผลกระทบ และการประกาศเขตภัยพิบัติ
  • ข้อเสนอเรื่อง “บารมีของพลเมือง” – พัฒนาจากแนวคิดพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ผสานกับหลักศีล–สมาธิ–ปัญญาในพุทธศาสนา

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.