คันฉ่องส่องไทย: เมื่อการบูชาบุคคลบดบังความจริงของโครงสร้าง
ในสังคมไทยมักเกิดวลีที่ฟังเหมือนจริง แต่ลับคมจนบาดความคิด เช่น “เกลียดทักษิณ แปลว่าไม่รักประชาชน” แต่ถ้าพลเมืองคิดอย่างเป็นธรรม จะพบว่าวาทะนี้ไม่ใช่คำตอบ — มันเป็นคำถามใหญ่ที่ซ่อนโครงสร้างทั้งประเทศไว้ข้างหลัง
1) บูชาคน กับ บูชาหลักการ คือสองเส้นทางที่นำประเทศไปคนละทาง
ทักษิณทำประโยชน์มาก — นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่ต้องหลบตาใคร ผู้คนจำนวนมากรู้สึกขอบคุณเขา เพราะนโยบายเข้าถึงชีวิตจริง และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนลุกขึ้นยืนเป็น “ผู้มีศักดิ์ศรี” ไม่ใช่ผู้อยู่ใต้เท้า
แต่การยืนอยู่บนหลักการ ต้องยอมรับพร้อมกันว่า ประโยชน์ของประเทศไม่ควรถูกปะปนกับการสร้างเครือข่ายอำนาจของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ได้ประโยชน์จากการบริหาร — ใช่ ได้อำนาจและผลประโยชน์กลับไปมาก — ก็ใช่
นี่ไม่ใช่ข้อกล่าวหา แต่เป็นธรรมชาติของ “การเมืองแบบผู้นำศูนย์กลาง” ซึ่งในทุกประเทศทั่วโลกเกิดปัญหาเดียวกัน เพราะฉะนั้น การรักผลงานของทักษิณ และการตรวจสอบเขา — สามารถเกิดพร้อมกันได้ ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นศัตรูกับประชาชนเลย
2) พลเมืองที่วิจารณ์ ไม่ใช่ผู้ไม่รักประชาชน แต่คือผู้รักประชาธิปไตยที่ไม่อยากผูกชะตากับคนคนเดียว
คนที่ไม่เห็นด้วยกับทักษิณ ไม่จำเป็นต้อง “เกลียดประชาชน” หลายคนเพียงกลัวระบบอุปถัมภ์ใหม่ กลัวอำนาจรัฐรวมศูนย์ในมือคนไม่กี่กลุ่ม กลัวว่าประเทศจะผูกติดกับบุคคล จนประชาชนไม่เติบโตเป็นผู้นำเอง
3) อดีตที่งดงามไม่ควรถูกใช้เหมารวมเป็นคำตอบปัจจุบัน
ความรุ่งเรืองยุคทักษิณมีอยู่จริง แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังอยู่ก็มีอยู่จริงเช่นกัน
- นโยบายหลายด้านดีมาก และตอบโจทย์ประชาชนระดับล่างอย่างเป็นรูปธรรม
- แต่ในขณะเดียวกัน อำนาจในสภาเริ่มรวมศูนย์
- เครือข่ายทุนบางกลุ่มเติบโตผิดสัดส่วน
- และประชาชนถูกแบ่งขั้วอย่างไม่เคยเกิดมาก่อนในยุคใหม่
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของประชาชน แต่เป็นธรรมชาติของการเมืองแบบ “บุคคลนำระบบ” ซึ่งสุดท้ายทำให้ประเทศเดินผิดทิศได้ทั้งทางเจตนาดีและเจตนาร้าย
4) การลงโทษทักษิณ: บางส่วนคือการเมืองเล่นงาน แต่บางส่วนก็คือบทเรียนของระบบที่ไร้หลักนิติรัฐ
ทักษิณถูกใช้กฎหมายเล่นงาน ถูกบังคับให้ยอมแพ้ต่อรัฐประหาร ถูกยึดทรัพย์ และถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังอย่างผิดอารยธรรม นี่คือรอยอัปยศของรัฐไทยที่ประชาธิปไตยถอยหลังอย่างชัดเจน
แต่การจะกล่าวว่า “ใครวิจารณ์ทักษิณ = ไม่รักประชาชน” เท่ากับบิดความเป็นจริงไปอีกด้าน เพราะระบบที่กดขี่ผู้นำหนึ่งคน สามารถกดขี่ประชาชนได้พันเท่า
ผู้ที่พยายามเตือนถึงอำนาจผูกขาดทุกชนิด — ไม่ว่าจะของทหาร หรือของนักการเมืองใหญ่ — เขาคือผู้รักประชาชนเช่นกัน เพียงแต่ใช้ “วิธีคิดคนละแบบ”
5) โครงสร้างที่ต้องถูกพูดถึง ไม่ใช่ชื่อของบุคคล แต่คือระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้เราติดอยู่ที่เดิม
กรงขังที่แท้จริงของประเทศไทย ไม่ใช่กรงขังของทักษิณ แต่คือกรงขังของความเชื่อว่า “ต้องมีผู้นำที่ช่วยเรา” แทนที่จะคิดว่า “เราต้องเป็นเจ้าของประเทศเอง”
ตราบใดที่คนไทยยังผูกชะตากับบุคคล — ไม่ว่าท่านนั้นจะเป็นทักษิณ ประยุทธ์ หรือใคร — เราทุกคนก็ยังเป็น “ราษฎรผู้รอคอย” ไม่ใช่ “พลเมืองผู้ลุกขึ้นสร้าง”
6) การยกทักษิณให้เป็นสัญลักษณ์ “ความหวังของชาติ” ทำให้เรามองไม่เห็นว่า ประเทศต้องมีระบบ มากกว่าคน
เราต้องกล้าพูดด้วยเมตตา:
ทักษิณเคยเป็นพลังขับเคลื่อน แต่ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เพราะประชาชนที่เข้มแข็ง คือคำตอบที่แท้จริงของประเทศ
ถ้าเราจะปลดปล่อยอนาคตไทย ต้องปลดปล่อยประชาชนให้คิดเป็น ทำเป็น ตรวจสอบเป็น และบริหารประเทศร่วมกันได้ ไม่ใช่ปลดปล่อยผู้นำเพียงคนเดียว
7) ทางออกของประเทศไม่ใช่การเลือกข้างบุคคล แต่คือการเลือกข้างหลักการ
ประชาชนไทยต้องได้เรียนรู้ว่า “การวิจารณ์ผู้นำ” คือสิทธิ “การขอบคุณผู้นำ” คือมารยาท “การฝากอนาคตไว้กับผู้นำ” คือความเสี่ยง และ “การสร้างระบบที่ใครก็ตรวจสอบได้” คือประชาธิปไตยจริง
เมื่อเราเข้าใจจุดนี้ เราก็จะไม่เกลียด ไม่บูชา แต่จะเติบโตเป็นพลเมืองที่มีศักดิ์ศรี
สรุป: ไม่ใช่การเกลียดทักษิณ ไม่ใช่การรักทักษิณ แต่คือการเลิกบูชาทุกคน — เพื่อบูชาหลักการ
คันฉ่องส่องไทย – บันทึกว่าด้วยพลเมืองอภิวัฒน์มดแดงล้มช้าง (เผยแพร่เพื่อชวนคิด ไม่ใช่เพื่อสร้างศัตรู)

No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.