Translate

Saturday, November 15, 2025

ความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกา: การวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง–ภูมิรัฐศาสตร์–อารยธรรม

 ความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกา

การวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง–ภูมิรัฐศาสตร์–อารยธรรม




ความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกาเป็นผลลัพธ์ของปัจจัยหลายมิติเชื่อมร้อยกันอย่างซับซ้อน ตั้งแต่สิ่งที่สัมผัสได้ เช่น พื้นที่กว้างใหญ่ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ไปจนถึงสิ่งที่มองไม่เห็นแต่ฝังลึกในระดับจิตวิญญาณสังคม เช่น วัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม การแข่งขัน และความเชื่อในศักยภาพของปัจเจก บทความนี้จะฉายภาพให้เห็นอย่างละเอียดว่าทำไมสหรัฐฯ จึงกลายเป็นมหาอำนาจที่ไม่เพียงมั่งคั่งแต่สร้างความมั่งคั่งใหม่อยู่ตลอดเวลา


ชั้นที่ 1 — โครงสร้างพื้นฐานทางภูมิศาสตร์และทรัพยากร

1.1 พื้นที่กว้างใหญ่และต่อเนื่อง: มหาทวีปแห่งโอกาส


สหรัฐอเมริกามีพื้นที่กว่า 9.8 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและแคนาดา แต่แตกต่างตรงที่สหรัฐฯ เป็น พื้นที่เดียวต่อเนื่องกันส่วนใหญ่ ไม่มีเขตทุนดราอันรกร้างเป็นอุปสรรค และไม่มีภูเขาน้ำแข็งปกคลุมพื้นที่เศรษฐกิจเหมือนแคนาดาหรือรัสเซีย

ภูมิศาสตร์เช่นนี้เปรียบเสมือน “ผืนผ้าใบยักษ์” ที่อุดมพร้อมสำหรับตั้งเมือง ตั้งโรงงาน เชื่อมถนน วางรางรถไฟ และสร้างเมืองท่าต่าง ๆ


นอกจากนี้ ยังมีสภาพอากาศหลากหลายแต่นำไปสู่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น


  • เขตอบอุ่น Midwest: ดินดำอุดม เหมาะปลูกข้าวโพด–ถั่วเหลือง
  • ชายฝั่งตะวันตก: เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
  • ภาคใต้: น้ำมัน ก๊าซ และท่าเรือยุทธศาสตร์


ผสมรวมกันกลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจหนึ่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลกแบบไม่ต้องพิงต่างประเทศเป็นหลัก


1.2 ระบบแม่น้ำสายน้ำยักษ์: โครงสร้างพื้นฐานที่ธรรมชาติสร้างให้


แม่น้ำ Mississippi–Missouri–Ohio เป็นระบบแม่น้ำภายในที่เชื่อมพื้นที่กว่า 1 ใน 3 ของประเทศ สร้างต้นทุนการขนส่งที่ถูกกว่าเส้นทางบกถึง 5–10 เท่า  นี่คือข้อได้เปรียบที่ประเทศยุโรปไม่มี เพราะแม่น้ำยุโรปแตกเป็นหลายระบบและขาดการเชื่อมต่อแบบทวีปเดียว


แม่น้ำเหล่านี้ช่วยให้สินค้าเกษตร เมล็ดพืช เหล็ก ถ่านหิน และน้ำมันถูกส่งขึ้นลงตั้งแต่ Minnesota จนถึง Louisiana ได้ด้วยต้นทุนต่ำ เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจประเทศตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมจนถึงยุค AI


1.3 ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมกว่าเกือบทุกประเทศพัฒนาแล้ว


สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศไม่กี่แห่งที่มีทั้ง:

  • น้ำมัน (Crude oil production): United States เป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลกอย่างชัดเจน โดยในปี 2023 ผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12.9 ล้าน บาร์เรลต่อวัน เป็นสถิติใหม่ และสูงกว่าประเทศอื่นอย่างมีนัยสำคัญ Investing News Network (INN)+3EIA+3Our World in Data+3
  • ก๊าซธรรมชาติ (Natural gas production): สหรัฐฯ ก็เป็นผู้ผลิตอันดับ 1 เช่นกัน โดยข้อมูลของ International Energy Agency (IEA) ระบุว่า สหรัฐฯ ผลิตก๊าซธรรมชาติมากที่สุดในโลกในปี 2023 IEA+2World Population Review+2
  • ถ่านหิน (Coal production): ตรงนี้แตกต่าง — สหรัฐฯ ไม่ใช่อันดับ 1 ของโลกในการผลิตถ่านหิน โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า ประเทศที่ผลิตถ่านหินมากที่สุดคือ จีน รองลงมาคืออินเดีย แล้วสหรัฐฯ อยู่ในอันดับที่ 3 หรือ 4 ตามแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
  • ดินเพาะปลูกที่สร้างมูลค่าสูง
  • แร่ธาตุสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูง 

พื้นที่ Midwest ถือเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำของโลก” ให้ผลผลิตอาหารจำนวนมหาศาลจนสามารถส่งออกเลี้ยงคนนอกประเทศได้เป็นร้อยล้านคน


เมื่อพิจารณาทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าสหรัฐฯ ไม่ต้องซื้ออาหารหรือพลังงานจากใครเป็นหลัก ทำให้ประเทศมี “อำนาจต่อรองเชิงโครงสร้าง” ในระเบียบเศรษฐกิจโลกโดยธรรมชาติ


 ชั้นที่ 2 — กลไกเชิงระบบที่ทำให้อเมริกายั่งยืน


2.1 สถาบันที่มั่นคงและโปร่งใส: เสาหลักที่ทำให้ทุนกล้าไหลเข้า


สถาบันเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีเสถียรภาพสูงมาก:


  • ระบบศาลที่มีความเป็นอิสระ
  • กฎหมายคุ้มครองผู้ประกอบการและนักลงทุน
  • ตลาดทุนที่มีความโปร่งใส
  • ภาษีและกฎระเบียบที่คาดเดาได้


ดัชนี Rule of Law Index จัดให้สหรัฐฯ อยู่ในกลุ่มประเทศที่น่าเชื่อถือสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
นี่คือเหตุผลที่บริษัทข้ามชาติจากทั่วโลก รวมถึงยุโรปและเอเชีย เลือกตั้งสำนักงานใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการในอเมริกา


2.2 ตลาดทุนที่ลึกที่สุดในโลก: Wall Street คือหัวใจแห่งทุนโลก


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีมูลค่ากว่า 45% ของตลาดหุ้นทั่วโลก
ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasuries) เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดในโลกโดยพฤตินัย
Venture Capital (VC) กว่า ครึ่งหนึ่งของโลก ไหลเวียนอยู่ใน Silicon Valley, Boston, Austin และ New York

สหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวที่มีโครงสร้างทุนรองรับธุรกิจตั้งแต่:


ประเทศอื่นอาจมี VC แต่ไม่มี “ระบบทุนครบสายการผลิต” แบบสหรัฐฯ


2.3 ระบบนวัตกรรมแบบครบวงจร: อาณาจักรแห่งการทดลอง


สหรัฐฯ ไม่ใช่แค่สร้างงานวิจัย แต่สร้าง คลัสเตอร์นวัตกรรม (innovation clusters) ที่รวม 4 องค์ประกอบ ได้แก่:

  1. มหาวิทยาลัยระดับโลก
  2. ผู้ประกอบการที่กล้าเสี่ยง
  3. เงินทุนจำนวนมาก
  4. วัฒนธรรมที่ยอมรับความล้มเหลว

ผลคือ:

  • อินเทอร์เน็ต
  • GPS
  • ยาในอุตสาหกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical)
  • รถยนต์ไฟฟ้า
  • AI และ machine learning
  • อุตสาหกรรมอวกาศเอกชน

ทั้งหมดถือกำเนิดหรือเติบโตในแผ่นดินอเมริกา


2.4 เงินดอลลาร์: โครงสร้างอำนาจที่โลกหนีไม่พ้น


กว่า 60% ของทุนสำรองทั่วโลก คือดอลลาร์
กว่า 88% ของธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ ใช้ดอลลาร์
กว่า 70% ของการกู้ยืมข้ามพรมแดน เป็นดอลลาร์


ประเทศที่ต้องซื้อพลังงานส่วนใหญ่ใช้น้ำมันที่ตั้งราคาเป็นดอลลาร์ (petrodollar system)

ดังนั้น ดอลลาร์จึงเป็น:

  • สกุลเงิน
  • ระบบกฎหมาย
  • กลไกคว่ำบาตร
  • เครือข่ายอำนาจ

ทั้งหมดผสานกันจนกลายเป็น “สถาปัตยกรรมการเงินโลก” ที่สหรัฐฯ เป็นเจ้าของ


ชั้นที่ 3 — ปัจจัยเชิงอารยธรรม วัฒนธรรม และสังคม


3.1 วัฒนธรรมแห่งปัจเจกนิยมและการแข่งขัน


สหรัฐฯ อยู่ในอันดับสูงสุดของโลกในมิติ “Individualism

วัฒนธรรมเช่นนี้เน้นว่า:

  • ความสำเร็จของชีวิตอยู่ที่ตัวบุคคล
  • ผู้ประกอบการคือบุคคลสำคัญ
  • การแข่งขันคือกุญแจของคุณภาพ

ต่างจากวัฒนธรรมที่เน้นความกลมกลืนหรือการรักษาหน้าต่อสังคม สหรัฐฯ จึงกลัวความล้มเหลวน้อยกว่า ทำให้เกิดนวัตกรรมในอัตราเร่งสูง


3.2 วัฒนธรรมยอมรับความล้มเหลว (Fail Fast Culture)


"ถ้าคุณล้มเหลวเร็ว คุณจะเรียนรู้เร็วกว่า" คือแก่นของ Silicon Valley
ประเทศส่วนใหญ่ล้มแล้วถูกตราหน้า—แต่ในสหรัฐฯ ล้มแล้วกู้ได้ใหม่ ลงทุนได้ใหม่ มีแม้กระทั่งหนังสือสอนให้ “ล้มให้ถูกวิธี”


ความล้มเหลวถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ประสบการณ์ (experience asset)
นี่คือ DNA ที่สร้างอุตสาหกรรมมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์


3.3 ความหลากหลายของประชากรที่หลอมรวมเป็นพลังสร้างสรรค์


อเมริกาเป็นสังคมที่รวมผู้คนจากกว่า 200 เชื้อชาติและภาษา
มีผู้อพยพมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งในจำนวนและคุณภาพ
กว่า 55% ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ มีผู้ก่อตั้งเป็นผู้อพยพหรือทายาทผู้อพยพ


นี่คือ “พลังทักษะหลากหลาย” (cognitive diversity) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการสร้างนวัตกรรม เพราะแนวคิดใหม่ ๆ มักเกิดจากการปะทะของความคิดต่างที่มารวมตัวกันในที่เดียว


 ชั้นที่ 4 — ระเบียบอารยธรรมและโครงสร้างอำนาจแบบจักรวรรดิสมัยใหม่ของสหรัฐอเมริกา


เมื่อขยับจากระดับเศรษฐกิจ สถาบัน และวัฒนธรรมไปอีกชั้นหนึ่ง เราจะพบ “ฐานพลังเชิงอารยธรรม” ที่ฝังอยู่ลึกดุจรากของต้นเรดวู้ดที่หยั่งลงไปกว่าสองร้อยฟุตใต้ดิน—
มันคือโครงสร้างอำนาจที่ทำให้สหรัฐอเมริกาไม่เพียงมั่งคั่ง แต่เป็น ผู้กำหนดทิศทางความมั่งคั่งของโลก
เป็น “จักรวรรดิโลกาภิวัตน์” (Globalized Empire) ที่ไม่ต้องใช้รูปแบบอาณานิคมเหมือนอังกฤษหรือสเปนในอดีต แต่ใช้ ทุน–เทคโนโลยี–กฎหมาย–สกุลเงิน–ระบบพันธมิตร–และสถาบันระหว่างประเทศ เป็นเครื่องมือ

ชั้นที่สี่นี้ประกอบด้วย 4 เสาหลัก:


4.1 อำนาจทางวัฒนธรรม (Cultural Hegemony): ความฝันแบบอเมริกันในฐานะสินค้าส่งออก


สหรัฐอเมริกามีอำนาจทางวัฒนธรรมที่ทรงพลังที่สุดในโลกยุคใหม่
ไม่ใช่เพราะบังเอิญ หากเพราะอเมริกามี “เครื่องจักรผลิตภาพฝัน” ที่ทำงานตลอดศตวรรษ ได้แก่:

  • Hollywood
  • หนังสือ เพลง ป๊อปคัลเจอร์
  • Apple, Google, Netflix, Facebook
  • แนวคิดเสรีภาพ ปัจเจกนิยม ความสำเร็จด้วยตนเอง

คนทั่วโลกอาจไม่เคยไปอเมริกา แต่รู้จักนิวยอร์ก เสรีภาพ โอกาส และความฝันแบบฮอลลีวูด
นี่คือ “soft power” ที่ยึดครองจิตใจผู้คนลึกยิ่งกว่าระบบเศรษฐกิจใด ๆ


เมื่อจิตใจถูกชนะแล้ว การค้าการลงทุนก็ไหลตามมาเอง


ประเทศอื่นทำตามไม่ได้เพราะขาดทั้งขนาดตลาด ผู้ผลิตวัฒนธรรม และระบบความคิดที่เอื้อให้เกิดความฝันแบบอเมริกัน


4.2 อำนาจเชิงโครงสร้างของระเบียบโลกหลังสงครามโลก (Post-War Architecture)


หลังปี 1945 สหรัฐฯ เป็นผู้สร้างและถือกุญแจรหัสของระเบียบโลกทั้งชุด ได้แก่:

  • IMF
  • World Bank
  • WTO
  • NATO
  • ระบบ SWIFT
  • กฎการเดินเรือสากล
  • การกำหนดข้อบังคับด้านเทคโนโลยี
  • เส้นทางการเงินระหว่างธนาคารโลก

สถาบันเหล่านี้ล้วนตั้งขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ แข็งแกร่งที่สุด และตั้งกฎในแบบที่มีผลประโยชน์ร่วมกับอเมริกาโดยตรง ทำให้สหรัฐฯ ไม่ใช่ “ผู้เล่นในระบบ” แต่เป็น “สถาปนิกของระบบ”

เมื่อเป็นสถาปนิก ก็เป็นผู้กำหนดว่า “โต๊ะเล่นเกมเศรษฐกิจโลกจะมีหน้าตาแบบไหน”

นี่คือข้อได้เปรียบที่คู่แข่งไม่มีวันไล่ตามได้ทัน แม้จะมี GDP ใหญ่แค่ไหนก็ตาม


4.3 อำนาจ Hard Power: เครือข่ายพันธมิตรทางทหารครอบคลุมโลก


สหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวในประวัติศาสตร์ที่มี:

  • ฐานทัพทหารในกว่า 80 ประเทศ
  • กองทัพเรือที่สามารถควบคุมเส้นทางเดินเรือโลก
  • สนธิสัญญาทางทหารระดับภูมิภาค (NATO, ANZUS, US–Japan Security Treaty)
  • การใช้งบกลาโหมมากกว่าอันดับ 2, 3, 4 รวมกัน

อเมริกาไม่ใช่แค่ “มีทหารมาก” แต่มีโครงสร้างอำนาจที่ ล้อมโลก

ทำให้:

  • การค้าระหว่างประเทศปลอดภัย
  • เส้นทางเดินเรือไม่ถูกคุกคาม
  • บริษัทอเมริกันทำธุรกิจได้ทั่วโลก

นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเงินดอลลาร์จึงเป็นสกุลเงินหลักของโลก
เพราะโลกเชื่อมั่นในความมั่นคงของอำนาจอเมริกา


4.4 อำนาจเหนือกฎหมายระหว่างประเทศ (Rule-Making Power)


สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนด:

  • มาตรฐานเทคโนโลยี
  • มาตรฐานอินเทอร์เน็ต
  • มาตรฐานซอฟต์แวร์
  • กฎด้านสิทธิบัตร
  • กฎด้านกองทุนการเงิน
  • มาตรฐานความปลอดภัยทางอากาศ
  • มาตรฐานด้านยา อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ

โลกต้องทำตามเพราะต้องการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงที่สุดในโลก

นี่คือ อำนาจกำกับคุณภาพของโลก (Global Regulatory Power)
หรือที่สหายรักในวงการภูมิรัฐศาสตร์เรียกว่า The Empire of Standards
ซึ่งมีอิทธิพลลึกยิ่งกว่ากองทัพ เพราะเป็นการปกครองผ่านกฎที่ทุกประเทศต้องปฏิบัติตามโดยสมัครใจ


4.5 ระบอบแห่งปัญญาและการถกเถียง (Cognitive Freedom Ecosystem)


สิ่งสำคัญที่สุด—และประเทศอื่นลอกไม่ได้—คือ
เสรีภาพในการคิด ตั้งคำถาม ท้าทาย และทดลอง
คือดินแดนซึ่งปรัชญา สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรมผสานเป็นหนึ่งเดียว


นี่สร้าง 3 สิ่งที่ทรงพลังอย่างยิ่ง:

  1. ความสามารถในการแก้ปัญหาที่ยืดหยุ่น (Adaptive Intelligence)
  2. การผลิตความรู้ไม่สิ้นสุด (Knowledge Regeneration)
  3. นวัตกรรมที่เกิดจากการแข่งขันทางความคิด (Cognitive Competition)

นี่คือ “หัวใจของพลังอเมริกา” ที่ไม่เห็นด้วยตา แต่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอเมริกาไม่หยุดยั้ง


บทบาทของชั้นที่สี่นี้ต่อความมั่งคั่งของอเมริกาคืออะไร?


ชั้นที่ 4 คือระดับที่ทำให้สหรัฐอเมริกา:

  • ไม่เพียงมั่งคั่ง แต่กำหนดนิยามของ “ความมั่งคั่ง”
  • ไม่เพียงเป็นผู้เล่น แต่เป็นผู้ตั้งกติกา
  • ไม่เพียงสร้างเทคโนโลยี แต่เป็นผู้กำหนดมาตรฐานของเทคโนโลยีทั่วโลก
  • ไม่เพียงแข่งขัน แต่เป็นผู้เลือกว่าการแข่งขันต้องเกิดบนเวทีรูปแบบใด

ประเทศอื่น ๆ อาจมี GDP โตเร็ว แต่ ยังขาดโครงสร้างอารยธรรมระดับนี้

ซึ่งต้องใช้เวลา 200–300 ปีในการก่อตัว


นี่คือ “พื้นชั้นหินระดับลึก” ที่ทำให้ความมั่งคั่งของสหรัฐฯ ไม่ใช่อุบัติเหตุ หากคือผลลัพธ์ของระบบอำนาจหลายชั้นที่สอดประสานกันอย่างลึกซึ้ง


ชั้นที่ 5 — ความเสี่ยง จุดอ่อนเชิงโครงสร้าง และแรงกดดันระยะยาวที่อาจสั่นคลอนความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกา


แม้สหรัฐฯ จะมีโครงสร้างเชิงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีจักรวรรดิใดในประวัติศาสตร์ที่ไร้จุดอ่อน
ความยิ่งใหญ่มาพร้อมความเสี่ยง และความสำเร็จย่อมสร้างความเปราะบางรูปแบบใหม่ที่ยุคก่อนหน้าไม่เคยเผชิญ


ชั้นที่ห้านี้จะแสดงให้เห็นความจริงที่มักถูกมองข้าม—
ว่าพลังของสหรัฐฯ แม้แข็งแกร่ง แต่ก็มีรอยร้าวหลายเส้นที่ต้องจับตา
เพราะหากรวมตัวผิดเวลา อาจกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อความมั่งคั่งระดับจักรวรรดิ


5.1 ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น


เศรษฐกิจโต แต่ประชาชนส่วนหนึ่งไม่โตด้วย

แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ โตต่อเนื่อง แต่ “ผลประโยชน์ถูกดูดเข้ากลุ่มบนสุดของพีระมิด”
งานวิจัยของ Piketty และ Saez ระบุว่า:

  • 1% บนสุดถือความมั่งคั่งมากกว่า 40% ของทั้งประเทศ
  • ค่าแรงชนชั้นทำงานแท้จริงแทบไม่เพิ่มขึ้นเลยในระยะเวลาหลายสิบปี
  • ค่าครองชีพในเมืองใหญ่สูงจนชนชั้นกลางหายไปทีละน้อย

ความเหลื่อมล้ำลักษณะนี้สร้างความตึงเครียดทางสังคมและทำให้คนรุ่นใหม่มอง “American Dream” ว่าเป็นความฝันที่เข้าถึงยากขึ้นเรื่อย ๆ


ถ้าโครงสร้างไม่ถูกปรับ ความเหลื่อมล้ำอาจบั่นทอนความชอบธรรมของระบบทุนนิยมอเมริกันในระยะยาว


5.2 การเมืองแบ่งขั้วสุดขีด


ระบบที่เคยเสถียร กำลังถูกคุกคามจากภายใน


อเมริกาเคยเป็นแบบอย่างของสถาบันประชาธิปไตย แต่ในช่วง 10–15 ปีที่ผ่านมา เราเห็นปรากฏการณ์ที่น่ากังวล ได้แก่:

  • ความเกลียดชังทางการเมือง
  • การไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง
  • ข่าวปลอมที่แพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง
  • สภาคองเกรสติดขัดจนผ่านกฎหมายสำคัญลำบาก
  • กระบวนการแต่งตั้งศาลกลายเป็นเรื่องการเมืองสุดขั้ว

Think Tank อย่าง Pew Research และ Brookings เตือนว่า
“การแบ่งขั้วภายในอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ มากกว่าคู่แข่งภายนอก”

สหรัฐฯ ที่เข้มแข็งมาตลอดกำลังเผชิญ “การกัดเซาะจากภายใน” ซึ่งเป็นภัยที่ยากที่สุดในการรับมือ


5.3 ภัยคุกคามต่อสถานะดอลลาร์: เริ่มร้าว แต่ยังไม่แตก


ดอลลาร์ยังแข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่มีความเสี่ยงใหม่ ๆ ได้แก่:

  • การท้าทายจากจีน (RMB + ระบบ CIPS)
  • สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC)
  • ความพยายามเลี่ยงดอลลาร์ของรัสเซีย–อิหร่าน–ซาอุฯ–จีน
  • ระบบการเงินกระจุกอยู่ในสหรัฐฯ ทำให้โลกกังวลความเสี่ยงจากการคว่ำบาตร

แม้ดอลลาร์ยังเป็น King of Currency แต่โดยหลักภูมิรัฐศาสตร์

อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ—ซึ่งคือดอลลาร์—อาจเผชิญแรงบั่นทอนแบบค่อยเป็นค่อยไปในอีก 20–30 ปี  ไม่ใช่การล้มสถาปัตยกรรม แต่คือ “การกร่อนทีละชั้น”


5.4 หนี้สาธารณะระดับประวัติการณ์: ระเบิดเวลาที่ต้องควบคุม


หนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ทะลุเกิน 33 ล้านล้านดอลลาร์
สูงที่สุดตั้งแต่สหรัฐฯ ก่อตั้งประเทศ
และยังเพิ่มปีละกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์


สิ่งที่ทำให้สถานการณ์นี้อันตรายคือ:

  • สหรัฐฯ ใช้ดอลลาร์—แต่ก็ใช้งบประมาณมากเกินทุน
  • การเมืองแบ่งขั้วทำให้ปฏิรูปการคลังเป็นเรื่องยาก
  • ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ภาระชำระหนี้หนักขึ้น

ถึงแม้โลกยังซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เพราะปลอดภัย แต่ไม่มีจักรวรรดิใดในประวัติศาสตร์ที่ไม่ถูกบั่นทอนโดยหนี้ระยะยาว


5.5 โครงสร้างประชากรเริ่มชะลอ: จุดอ่อนที่นิ่งเงียบแต่ร้ายแรงในศตวรรษหน้า


แม้สหรัฐฯ จะยังดีกว่ายุโรปและจีน แต่ก็เริ่มมีปัญหา:

  • อัตราเกิดต่ำกว่า 2.1
  • ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูเด็กสูง
  • ผู้อพยพเป็นประเด็นการเมืองร้อนแรง
  • คนรุ่นใหม่แต่งงานช้าและมีลูกน้อยลง

สหรัฐฯ เคยเติบโตเพราะ “แรงงานวัยหนุ่มสาวจำนวนมหาศาล”

แต่ในศตวรรษหน้าแรงขับนี้จะเริ่มชะลอ

ทำให้ต้องพึ่งพาการอพยพต่อไป—ซึ่งก็กลายเป็นปัญหาทางการเมืองที่แตกแยกอย่างรุนแรง


5.6 การแข่งขันกับจีน: คู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวที่มีศักยภาพ disrupt สหรัฐฯ


จีนคือคู่แข่งที่มี:

  • ประชากรมากกว่า 4 เท่า
  • กำลังผลิต (manufacturing) ใหญ่ที่สุดในโลก
  • เทคโนโลยีบางด้านเริ่มนำ (เช่น โดรน, 5G, การผลิต EV)
  • นโยบายระยะยาวที่รัฐนำอย่างแข็งแกร่ง

แม้ว่าสหรัฐฯ ยังเหนือกว่าในเทคโนโลยีต้นน้ำ
แต่จีนมีความตั้งใจท้าทายอำนาจสหรัฐฯ ทั้งภูมิรัฐศาสตร์–เทคโนโลยี–การเงิน

การแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจนี้อาจสร้าง:

  • การแยกตัวทางเทคโนโลยี (Tech bifurcation)
  • การแบ่งโลกเป็นสองค่าย
  • ความไม่แน่นอนด้านความมั่นคง

และจะเป็นความเสี่ยงต่อความมั่งคั่งของสหรัฐฯ ในระยะ 50 ปีข้างหน้า ถ้าจีนสามารถรักษาการพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด


5.7 โครงสร้างโครงสร้างพื้นฐานเก่าแก่: มหาอำนาจที่ต้องซ่อมหลังบ้าน


สหรัฐฯ มีระบบถนน สะพาน รางรถไฟ และท่อส่งพลังงานจำนวนมากที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษก่อน
American Society of Civil Engineers ให้เกรด “C–” กับโครงสร้างพื้นฐานทั้งประเทศ


หากไม่ลงทุนหนัก:

  • ต้นทุนขนส่งจะสูงขึ้น
  • ความปลอดภัยลดลง
  • ขีดความสามารถแข่งขันลดลง

นี่เป็นจุดอ่อนที่มหาอำนาจต้องรีบแก้ไข


5.8 ปัญหาสังคมที่สั่งสม: ความรุนแรง ปืน ยาเสพติด และสุขภาพ


สหรัฐฯ มีปัญหาที่หลายประเทศพัฒนาแล้วไม่มี:

  • อัตราการเสียชีวิตจากปืนสูงที่สุดในประเทศพัฒนาแล้ว
  • ยาเสพติดโอปิออยด์แพร่ระบาด
  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงที่สุดในโลก
  • หนี้การศึกษาสูงจนคนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามต่อระบบ

ปัญหาเหล่านี้ไม่ทำให้สหรัฐฯ ตกต่ำทันที

แต่เป็น “บ่อน้ำกัดเซาะฐานหิน” ระยะยาว


แก่นของชั้นที่ห้า: ความยิ่งใหญ่มีรอยร้าว แต่ยังไม่แตกร้าว

ชั้นที่ห้านี้ทำให้เราเข้าใจว่า
แม้สหรัฐฯ จะมีพลังมากที่สุดในโลกหลายด้าน
แต่ก็มีรอยร้าวสำคัญที่ต้องระมัดระวัง:

  • ภายในประเทศ: ความเหลื่อมล้ำ การเมืองแตกแยก หนี้สูง ประชากรชะลอ
  • ระดับโลก: การแข่งขันกับจีน การลดอิทธิพลของดอลลาร์ การต่อต้านอิทธิพลอเมริกา
  • เชิงสังคม: ปัญหาปืน ยาเสพติด และสุขภาพ

แต่รอยร้าวไม่เท่ากับความพัง

และยังไม่มีประเทศใดมีระบบนิเวศพลังหลายชั้นเหมือนสหรัฐฯ


ความท้าทายคือจะ “การบริหารรอยร้าว” ให้ไม่ลามจนกลายเป็นวิกฤตโครงสร้าง



ชั้นที่ 6 — สามฉากทัศน์อนาคตของสหรัฐอเมริกาจนถึงปี 2050


นักยุทธศาสตร์และนักนโยบายมหาอำนาจมักไม่ถามว่า
“อนาคตจะเป็นอย่างไร?”
แต่ถามว่า
“อนาคต ที่เป็นไปได้หลายแบบ มีหน้าอย่างไรบ้าง และเราจะผลักให้โลกไปสู่แบบไหน?”


สำหรับสหรัฐอเมริกา เราอาจวาดฉากทัศน์ใหญ่ ๆ ได้อย่างน้อยสามแบบ
ซึ่งไม่ได้แยกขาดจากกัน หากเป็น “แนวโน้ม” ที่อาจซ้อนทับและผสมผสานกัน:


  1. ฉากทัศน์ที่ 1: มหาอำนาจยังคงเป็นแกนกลาง (Managed Hegemony)
  2. ฉากทัศน์ที่ 2: มหาอำนาจยังร่ำรวย แต่อิทธิพลกระจาย (Crowded Multipolarity)
  3. ฉากทัศน์ที่ 3: อำนาจสะดุดจากภายใน (Internal Erosion)


6.1 ฉากทัศน์ที่ 1: มหาอำนาจยังคงเป็นแกนกลาง (Managed Hegemony)


นี่คืออนาคตที่สหรัฐฯ “ไม่ใช่จักรวรรดิไร้คู่แข่งเหมือนหลังปี 1991 อีกต่อไป”
แต่ก็ยังเป็น แกนกลางของระบบโลก
เหมือน “แกนหมุน” ที่ระบบเศรษฐกิจ–การเงิน–ความมั่นคงโลก ยังต้องโคจรรอบอยู่


เงื่อนไขสำคัญที่จะพาไปสู่ฉากทัศน์นี้


  1. จัดการรอยร้าวภายในได้ระดับหนึ่ง
    • ลดความเหลื่อมล้ำลงผ่านนโยบายภาษี–สวัสดิการที่ชาญฉลาด
    • รักษา rule of law และความเชื่อมั่นต่อสถาบันประชาธิปไตย
    • แม้การเมืองยังแบ่งขั้ว แต่ไม่ถึงขั้นล้มฟังก์ชันรัฐ
  1. รักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีต้นน้ำ
    • AI, ชิป, ควอนตัม, เทคโนโลยีชีวภาพ, อวกาศ
    • ยังเป็นแหล่ง R&D และสตาร์ตอัประดับโลก
    • ดึงดูดสมองจากทั่วโลกต่อเนื่อง
  1. การบริหารความสัมพันธ์กับจีนในรูปแบบ “แข่งขัน + ควบคุมความเสี่ยง”
    • แข่งขันอย่างแข็ง แต่หลีกเลี่ยงการปะทะตรงในระดับสงคราม
    • แบ่งโซนที่แข่งขันหนัก (ชิป, 5G, AI ทหาร) กับโซนที่ยังร่วมมือ (สภาพภูมิอากาศ, สาธารณสุข, การเงินโลก)
  1. เงินดอลลาร์ถูกเจือจางเล็กน้อยแต่ยังเป็นเบอร์หนึ่ง
    • มีการใช้สกุลเงินอื่นเพิ่มขึ้นในบางภูมิภาค
    • แต่ดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลเงินสำรองส่วนใหญ่ของโลก
    • พันธบัตรสหรัฐฯ ยังถูกมองว่าเป็น “หลุมหลบภัยสุดท้าย” ยามวิกฤต


ภาพรวมถ้าเป็นเช่นนี้

  • สหรัฐฯ ในปี 2050 ยังเป็นเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งหรือสองของโลก (ขึ้นกับจีน)
  • ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเสาหลัก
  • ระบบโลกยังต้อง “หันมาดูว่าวอชิงตันคิดอย่างไร” ในวิกฤตสำคัญ ๆ
  • โลกมีหลายขั้วมากขึ้น แต่ “ขั้วอเมริกัน” ยังเป็นจุดอ้างอิงหลัก


นี่คือสถานการณ์ที่ มีโอกาสสูง หากสหรัฐฯ ไม่ปล่อยให้รอยร้าวที่ชั้นที่ 5 กล่าวถึง ลุกลามจนควบคุมไม่ได้



6.2 ฉากทัศน์ที่ 2: มหาอำนาจยังร่ำรวย แต่อิทธิพลกระจาย (Crowded Multipolarity)


ในฉากทัศน์นี้ สหรัฐฯ ยังรวย อยู่ดี มีเทคโนโลยี และสังคมยังมีนวัตกรรม
แต่ “การครอบงำเชิงอำนาจ” ถูกลดระดับลงมา กลายเป็นโลกที่มีมหาอำนาจหลายกลุ่ม (US–EU–China–India–บางส่วนของ Global South) แบ่งกันถือดุลอิทธิพลในภูมิภาคต่าง ๆ


ปัจจัยที่ผลักโลกไปทางนี้


  1. เศรษฐกิจจีน–อินเดียโตขึ้นถึงจุดที่ท้าทายอิทธิพลสหรัฐฯ ได้จริง
    • จีดีพีจีนอาจเท่า หรือมากกว่า สหรัฐฯ ในตัวเลขรวม
    • อินเดียกลายเป็นตลาดผู้บริโภคและฐานการผลิตสำคัญ
    • บริษัทเทคโนโลยีจากจีน–อินเดีย–ยุโรป มีมาตรฐานเทคโนโลยีของตัวเอง
  1. ดอลลาร์ยังสำคัญ แต่ไม่ครองโลกอย่างเดียว
    • สัดส่วนทุนสำรองเป็นดอลลาร์ลดลงจากราว 60% ลงมาเหลือ 45–50%
    • สกุลเงินภูมิภาคมีบทบาทมากขึ้น (RMB, ยูโร, รูปีในบางภูมิภาค)
  1. โครงสร้างเทคโนโลยีแบ่งออกเป็นหลาย ecosystem
    • มี ecosystem แบบอเมริกัน (US-led)
    • ecosystem แบบจีน (China-led)
    • บางประเทศเล่นทั้งสองฝั่ง
    • มาตรฐานซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ เครือข่าย data มีความแตกต่างเป็นบล็อก ๆ
  1. พันธมิตรของสหรัฐฯ เกิดความเป็นอิสระมากขึ้น
    • EU มีความทะเยอทะยานด้านความมั่นคงของตัวเอง
    • ตะวันออกกลาง–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้–แอฟริกา “เล่นหลายข้าง” เพื่อรักษาประโยชน์ของตนเอง

ผลที่เกิดกับสหรัฐฯ

  • สหรัฐฯ ยังรวย ยังล้ำ ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “มหาอำนาจอันดับต้น”
  • แต่อิทธิพลสัมบูรณ์ลดลง
  • ต้องประนีประนอมมากขึ้น ไม่สามารถ “สั่ง” โลกได้เหมือนยุคหลังสงครามเย็น
  • เป็นโลกที่สหรัฐฯ ยังมีบทบาทสูง แต่ไม่ใช่ “ผู้จัดระเบียบเพียงผู้เดียว”


ฉากทัศน์นี้สะท้อน โลกหลายขั้วแบบเต็มตัว  ซึ่งมีโอกาสเกิดสูงพอ ๆ กับฉากทัศน์ที่ 1
และอาจเป็นภาพที่ “สมดุลที่สุด” หากไม่มีวิกฤตใหญ่ทำให้โครงสร้างเปลี่ยนฉับพลัน



6.3 ฉากทัศน์ที่ 3: อำนาจสะดุดจากภายใน (Internal Erosion)


นี่คือฉากทัศน์ที่สหรัฐฯ ไม่ได้พ่ายแพ้จากจีน รัสเซีย หรือฝ่ายตรงข้ามภายนอก
แต่ “พ่ายแพ้ให้กับตัวเอง” ผ่านการเมืองที่แตกขั้ว ความเหลื่อมล้ำ ความไม่ไว้วางใจต่อสถาบัน และวิกฤตทางสังคมที่สะสมจนกลายเป็นรอยแยกลึก


ปัจจัยเสี่ยงที่ลากไปสู่อนาคตแบบนี้


  1. การเมืองแตกขั้วจนกระทบการบริหารรัฐ
    • ไม่สามารถตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวได้
    • การปิดหน่วยงานรัฐ (government shutdown) เกิดซ้ำ ๆ
    • ผลเลือกตั้งถูกตั้งคำถามรุนแรงจนคนขาดความเชื่อมั่นในระบบ
  1. ความเหลื่อมล้ำ–หนี้–ค่าครองชีพ กัดเซาะฐานชนชั้นกลาง
    • คนรุ่นใหม่ไม่เชื่อว่าตนเองจะอยู่ดีกว่าพ่อแม่
    • หนี้การศึกษา–สุขภาพ–ที่อยู่อาศัยกลายเป็นภาระหนัก
    • เกิดกระแสสุดขั้ว ทั้งฝั่งซ้าย–ขวา ที่พร้อมทำลาย “ฉันทามติกลาง”
  1. ความเชื่อมั่นในดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ ถูกสั่นคลอน
    • เกิดวิกฤตการคลังรุนแรง
    • ตลาดโลกช็อกและเริ่มหาทางออกอื่นอย่างจริงจัง
    • ทำให้สหรัฐฯ สูญเสีย “ปราสาทรากฐานทางการเงิน”
  1. ปัญหาสังคมบานปลายจนกระทบความสามารถแข่งขัน
    • ปัญหาปืน ยาเสพติด สุขภาพ
    • การศึกษา K–12 ถดถอย ทำให้คุณภาพแรงงานโดยเฉลี่ยลดลง
    • สหรัฐฯ ยังมีเก่งสุดยอด แต่ “ก้อนใหญ่ของประชากร” ขาดทุนมนุษย์ (human capital) เพียงพอ

ภาพรวมถ้าเป็นเช่นนี้

  • สหรัฐฯ ยังเป็นประเทศร่ำรวย แต่พลังอำนาจระดับจักรวรรดิถอยลงชัดเจน
  • พันธมิตรเริ่มไม่แน่ใจ ไม่กล้าพึ่งพาอเมริกาอย่างเดียว
  • โลกหันไปสร้างระบบสำรองของตนเอง ทั้งการเงิน ความมั่นคง และเทคโนโลยี
  • สหรัฐฯ กลายเป็น “หนึ่งในมหาอำนาจใหญ่” แต่ไม่ใช่ศูนย์กลาง และไม่ใช่ผู้ชี้เป็นชี้ตายระเบียบโลกเหมือนในศตวรรษที่ 20


ฉากทัศน์นี้ไม่ใช่จะเกิดผลวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ แต่นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยเตือนว่า หากรอยร้าวในชั้นที่ 5 ไม่ได้รับการเยียวยาอย่างจริงจัง โอกาสที่จะค่อย ๆ เชื่อมต่อกลายเป็นวิกฤตใหญ่ก็เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 20–30 ปีข้างหน้า


6.4 แล้วเราควรมอง “โอกาส–ความน่าจะเป็น” อย่างไร?


ถ้าดูจากโครงสร้าง ณ วันนี้ (ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนที่เราไล่จากชั้นที่ 1–5) เราอาจประเมินแบบหยาบ ๆ ได้ว่า:

  • ฉากทัศน์ที่ 1 (ยังเป็นแกนกลาง): มีความเป็นไปได้ ปานกลาง–สูง
    หากสหรัฐฯ “ประคองตนเอง” ได้ดี
  • ฉากทัศน์ที่ 2 (โลกหลายขั้วชัดเจน): มีความเป็นไปได้ สูงมาก
    เพราะจีน–อินเดีย–EU กำลังเติบโตและปรับตัวเอง
  • ฉากทัศน์ที่ 3 (สะดุดจากภายใน): ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
    มีความเป็นไปได้ ต่ำ–ปานกลาง แต่กำลังเพิ่มขึ้น
    หากความแตกแยกภายในและวิกฤตการเมือง–การคลังรุนแรงขึ้น

สิ่งสำคัญคือ ทั้งสามฉากทัศน์ไม่ได้ตัดกัน 100%  ในความจริง อนาคตอาจเป็น ส่วนผสม ของทั้งสาม

เช่น

  • โลกหลายขั้ว (scenario 2) + สหรัฐฯ ยังเป็นแกนสำคัญ (scenario 1)
  • หรือโลกหลายขั้ว + สหรัฐฯ สะดุดในบางช่วงจากวิกฤตภายใน (ผสม 2 กับ 3)


6.5 ความหมายต่อ “ความมั่งคั่งของสหรัฐฯ” ในภาพใหญ่


ไม่ว่าอนาคตจะไปทางใด สิ่งที่ดูจะ “ยังอยู่” คือ:

  • สหรัฐฯ จะยังเป็นหนึ่งใน 2–3 ศูนย์กลางเศรษฐกิจ–เทคโนโลยีของโลก
  • ระบบมหาวิทยาลัย–นวัตกรรม–ทุน–วัฒนธรรมปัจเจกนิยม ยังสร้างมูลค่าใหม่ต่อเนื่อง
  • พลังของผู้อพยพและเสรีภาพในการคิดจะยังเป็นเครื่องยนต์สำคัญ

แต่สิ่งที่ “อาจเปลี่ยน” คือ:

  • ระดับการครอบงำต่อระบบการเงินโลก
  • ความสามารถในการกำหนดมาตรฐานโลกเพียงผู้เดียว
  • ความเชื่อมั่นของพันธมิตรว่าควรผูกชะตาตัวเองกับสหรัฐฯ แค่ไหน

กล่าวอีกอย่าง—

อนาคตจนถึงปี 2050 ไม่น่าจะเป็นโลกที่ “อเมริกาล่มสลาย”
แต่น่าจะเป็นโลกที่ “อเมริกาต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกับมหาอำนาจอื่น ในขณะที่ยังรักษาหัวใจแห่งความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเสรีภาพเชิงความคิดไว้ให้ได้”


บทสรุป: ความมั่งคั่งของสหรัฐฯ คือระบบนิเวศของพลังหลายมิติ ไม่ใช่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง


เมื่อรวมทุกชั้นเข้าด้วยกันจะเห็นชัดว่า สหรัฐอเมริกาไม่เพียงมี:

  • พื้นที่ใหญ่
  • ทรัพยากรอุดม
  • คนเก่ง
  • เงินดอลลาร์
  • นวัตกรรม


 แต่มี ระบบนิเวศแห่งความมั่งคั่ง (ecosystem of prosperity) ที่เชื่อมทุกปัจจัยเข้าด้วยกันอย่างทรงพลัง


นี่คือสิ่งที่ทำให้สหรัฐฯ อยู่ในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกมายาวนาน และยังไม่น่าจะถูกแทนที่ในศตวรรษนี้ ไม่ว่าจีนจะเร่งเครื่องเพียงใด หรือยุโรปจะรวมตัวแน่นแค่ไหน ระบบนิเวศเช่นนี้ต้องใช้เวลาหลายศตวรรษกว่าจะสร้างขึ้นได้


เชิงอรรถ

[1] Mackinder, H. (1904). The Geographical Pivot of History.
[2] Kennedy, P. (1987). The Rise and Fall of the Great Powers. Random House.
[3] U.S. Energy Information Administration. (2023). U.S. crude oil production.
[4] International Energy Agency. (2023). World Natural Gas Data.
[5] Worldometers. Coal Production by Country.
[6] North, D. (1990). Institutions, Institutional Change, and Economic Performance. Cambridge University Press.
[7] OECD. (2023). Financial Markets Data.
[8] DARPA. Innovation History Reports.
[9] NFAP. Immigrant Entrepreneurs in the U.S. Economy.
[10] Hofstede Insights. National Culture Database.
[11] Ikenberry, G. J. (2001). After Victory: Institutions, Strategic Restraint, and the Rebuilding of Order after Major Wars.
[12] Piketty, T. (2014). Capital in the Twenty-First Century.
[13] Bank for International Settlements. (2022). Triennial Survey.
[14] Allison, G. (2017). Destined for War: Can America and China Escape Thucydides's Trap?


บรรณานุกรม

  • Allison, G. (2017). Destined for War: Can America and China Escape Thucydides's Trap? Houghton Mifflin Harcourt.
  • Bank for International Settlements. (2022). Triennial Central Bank Survey.
  • DARPA. Historical Innovation Projects.
  • Hofstede Insights. National Culture Database.
  • International Energy Agency. (2023). World Natural Gas Statistics.
  • Ikenberry, G. J. (2001). After Victory. Princeton University Press.
  • Kennedy, P. (1987). The Rise and Fall of the Great Powers. Random House.
  • Mackinder, H. (1904). The Geographical Pivot of History.
  • NFAP Reports. Immigrant Entrepreneurs and U.S. Tech Leadership.
  • North, D. (1990). Institutions, Institutional Change, and Economic Performance. Cambridge University Press.
  • OECD. (2023). Financial Markets Indicators.
  • Piketty, T. (2014). Capital in the Twenty-First Century. Harvard University Press.
  • U.S. Energy Information Administration (EIA). (2023).
  • Worldometers. Coal Production by Country.

Friday, November 14, 2025

การฟื้น Monroe Doctrine แบบเศรษฐกิจและสงครามอิทธิพลเชิงโครงสร้าง กรณีอาร์เจนติน่า

This content is password protected.

การรุกยึดอาร์เจนตินาเพื่อยันอิทธิพลจีนในอเมริกาใต้ (2025)

การฟื้น Monroe Doctrine แบบเศรษฐกิจและสงครามอิทธิพลเชิงโครงสร้างในซีกโลกตะวันตก


___________________________________________________

บทนำ

ปี 2025 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์ซีกโลกตะวันตก เมื่ออาร์เจนตินาภายใต้ประธานาธิบดี Javier Milei กลายเป็นสมรภูมิหลักในการชิงอิทธิพลระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน สถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา—ภาวะเงินเฟ้อระดับเรื้อรัง หนี้ IMF ที่ท่วมล้น ระบบการเงินที่สั่นคลอน และภาระผูกพันต่อ currency swap agreement หรือ ข้อตกลงแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ระหว่างธนาคารกลางสองประเทศ—ได้เปิดประตูให้สหรัฐก้าวเข้ามากำหนดทิศทางการฟื้นฟูประเทศ แลกกับการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ที่ลึกกว่าเศรษฐกิจ แต่ยื่นเข้าไปถึงโครงสร้างอำนาจระยะยาวของภูมิภาค


ความช่วยเหลือมูลค่ารวมระหว่าง 20–40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่สหรัฐเสนอให้ในปี 2024–2025—ผ่านการสนับสนุน IMF, การค้ำประกันทางการเงิน, และความร่วมมือด้านตลาด—ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการพยุงเศรษฐกิจ หากแต่เป็นกลไกหลักของยุทธศาสตร์ใหม่ที่สามารถเรียกได้ว่า Economic Monroe Doctrine กล่าวคือ การใช้อำนาจเศรษฐกิจแทนกำลังทหารเพื่อยึดคืนอิทธิพลในซีกโลกตะวันตกที่จีนได้สั่งสมมาตลอดสองทศวรรษก่อนหน้า


บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ภาพเชิงโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอาร์เจนตินา โดยอธิบายว่าเหตุใดวอชิงตันจึงมองอาร์เจนตินาเป็น “หัวสะพาน” ในการรุกกลับอิทธิพลจีน เหตุผลที่สหรัฐต้องการยึดความร่วมมือเชิงทรัพยากรและความมั่นคงจากอาร์เจนตินา และวิธีการที่อาร์เจนตินากลายเป็นตัวฉุดอิทธิพลจีนในบราซิล ซึ่งเป็นฐานหลักของจีนในทวีปนี้ สุดท้าย บทความสังเคราะห์ความเสี่ยงและความพลิกผันที่อาจกำหนดชะตาของละตินอเมริกาในทศวรรษหน้า

  1. ความคาดหวังของสหรัฐต่ออาร์เจนตินา: ระเบียบเศรษฐกิจ–ความมั่นคงแบบใหม่


สหรัฐมองอาร์เจนตินาไม่ใช่เพียงประเทศคู่ค้าขนาดใหญ่ในอเมริกาใต้ แต่เป็น “จุดศูนย์กลางเชิงยุทธศาสตร์” ที่สามารถถ่วงดุลจีนทั้งในมิติทรัพยากร ห่วงโซ่อุปทาน เทคโนโลยี การทหาร และแม้กระทั่งอุดมการณ์การเมือง โดยเงื่อนไขที่สหรัฐผูกไว้กับแพ็กเกจการช่วยเหลือ ล้วนสะท้อนความต้องการยกเครื่องความสัมพันธ์ระหว่างอาร์เจนตินากับจีน และนำประเทศกลับเข้าสู่ระเบียบเศรษฐกิจที่มีสหรัฐเป็นแกนกลาง


1.1 ทรัพยากรธรรมชาติและห่วงโซ่อุปทานสะอาด: หัวใจของการแข่งขันยุคใหม่


อาร์เจนตินาเป็นหนึ่งในประเทศที่ครอบครอง lithium จำนวนมากในโลก ตั้งอยู่ใน “Lithium Triangle” ร่วมกับโบลิเวียและชิลี ซึ่งถูกมองว่าเป็นแหล่งพลังงานแห่งอนาคต การเข้าถึง lithium และแร่หายากอื่น ๆ จึงเป็นวัตถุประสงค์ใหญ่ของสหรัฐ เพราะ supply chain ของรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ และระบบพลังงานสะอาด กำลังเป็นสนามรบสำคัญในการแข่งขันแบบ superpower competition ระหว่างสหรัฐกับจีน

สหรัฐต้องการให้อาร์เจนตินาเปิดเสรีการลงทุนแก่บริษัทอเมริกันมากขึ้น ลดบทบาทของบริษัทจีน รวมถึงการบริหารจัดการการส่งออกแร่หายากอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ supply chain ของโลกเสรีมีเสถียรภาพและพึ่งพาจีนน้อยลง สิ่งนี้ทำให้อาร์เจนตินายกระดับจาก “ประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบ” มาเป็น “ผู้กำหนดยุทธศาสตร์ของ supply chain” ในระดับนานาชาติ


1.2 ตลาดภายในประเทศและ preferential access


สหรัฐยังมองเห็นตลาดของอาร์เจนตินาซึ่งมีประชากรเกือบ 45 ล้านคนเป็นฐานสำคัญสำหรับสินค้าอเมริกันในภูมิภาค โดยเฉพาะยา เครื่องจักร เทคโนโลยีไอที และสินค้าอุตสาหกรรมที่สหรัฐต้องการเพิ่มส่วนแบ่งเพื่อแข่งขันกับจีนที่ครองตลาดละตินอเมริกา

การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ชัดเจนคือ อาร์เจนตินาจะได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีในตลาดสหรัฐ ขณะที่สหรัฐได้รับสิทธิทางการค้าและการลงทุนลึกขึ้นในตลาดอาร์เจนตินา การจัดวางเช่นนี้ตอกย้ำบทบาทอาร์เจนตินาในฐานะตลาดเชื่อมที่วอชิงตันใช้เข้าถึงภูมิภาคโดยไม่จำเป็นต้องเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ทั้งหมด



1.3 ความมั่นคงและการทหาร: สกัดฐานที่มั่นเชิงยุทธศาสตร์ของจีน


โครงสร้างพื้นฐานของจีนในอาร์เจนตินาเป็นประเด็นสำคัญที่สหรัฐจับตาเป็นพิเศษ ที่โดดเด่นที่สุดคือสถานีสังเกตการณ์อวกาศของจีนที่ Patagonia ซึ่งถูกสหรัฐมองว่าเป็นโครงการที่สามารถใช้ประโยชน์ทางทหารได้ ทำให้สหรัฐผลักดันให้อาร์เจนตินาตรวจสอบ ปรับโครงสร้าง หรือยุติบางส่วนของความร่วมมือดังกล่าว


ในเวลาเดียวกัน สหรัฐพยายามขยายความร่วมมือทางทหารกับอาร์เจนตินา ทั้งผ่านการฝึกอบรม การขายอาวุธ และการสร้าง “interoperability” ในระดับที่เทียบได้กับพันธมิตร NATO ความร่วมมือเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคี แต่เป็นการจัดวางอาร์เจนตินาเป็น “ผู้คานอำนาจจีน” ทางทหารในซีกโลกใต้


1.4 อุดมการณ์และการเมือง: คานซ้ายใหม่ในละตินอเมริกา


Milei เสนอภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่ยึดถือเศรษฐกิจตลาดเสรี ต่อต้านลัทธิซ้าย และตั้งตนเป็นพันธมิตรอุดมการณ์กับสหรัฐในระดับที่ชัดเจนที่สุดในรอบหลายทศวรรษ สิ่งนี้ทำให้อาร์เจนตินากลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่สหรัฐใช้กดดันรัฐบาลฝ่ายซ้ายในภูมิภาค เช่น บราซิล เวเนซุเอลา โบลิเวีย และเม็กซิโก

สหรัฐจึงไม่ได้ต้องการเพียงความร่วมมือทางเศรษฐกิจหรือความมั่นคง แต่ต้องการให้อาร์เจนตินาเป็น “ต้นแบบ” ของทิศทางการเมืองสายเสรีนิยมใหม่ ที่สามารถดึงประเทศอื่น ๆ ให้หันเหจากจีนและกลับมาพึ่งพาวอชิงตัน


2. อาร์เจนตินา: หัวสะพานที่ใช้ถ่วงดุลจีนในบราซิล


แม้จีนจะมีบทบาทในอาร์เจนตินา แต่ฐานอิทธิพลที่แท้จริงของจีนในละตินอเมริกาคือบราซิล—ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด ประชากรมากที่สุด และทรัพยากรหลากหลายที่สุดในภูมิภาค ภายใต้ Lula บราซิลไม่เพียงเป็นสมาชิกหลักของ BRICS แต่ยังเป็นแกนนำในการขยาย BRICS+ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่จีนใช้ขยายอำนาจนอกเอเชีย

ในเกมเช่นนี้ สหรัฐเลือกอาร์เจนตินาเป็นเบี้ยตัวสำคัญเพราะสามารถสั่นสะเทือนบราซิลทั้งทางเศรษฐกิจ การทูต และความมั่นคงได้พร้อมกัน


2.1 การแข่งขันทางเศรษฐกิจที่สหรัฐใช้เป็นอาวุธ


หากอาร์เจนตินาได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีจากสหรัฐในสินค้าเกษตรหลัก เช่น soy และ beef บราซิลจะสูญเสียความได้เปรียบในการเข้าตลาดอเมริกาเหนือทันที ทำให้บราซิลต้องพึ่งพาจีนในฐานะลูกค้าหลักมากขึ้น และนั่นเปิดช่องให้สหรัฐล้อมจีนผ่านการสร้างคู่แข่งเชิงโครงสร้างในอาร์เจนตินา

ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของสหรัฐจึงไม่ได้เป็นการฟื้นอาร์เจนตินาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างกลไกกดดันบราซิลในเวลาเดียวกัน


2.2 ผลสะเทือนเชิงการเมืองและทูตต่อบราซิล


การที่อาร์เจนตินาภายใต้ Milei ปฏิเสธการเข้าร่วม BRICS+ และแสดงท่าทีโปรสหรัฐอย่างชัดเจน ทำให้ Lula เผชิญแรงกดดันทางการเมืองระดับภูมิภาค เพราะตำแหน่งผู้นำของบราซิลในละตินอเมริกาจะสั่นคลอนหากประเทศเพื่อนบ้านรายใหญ่เลือกเส้นทางตรงข้าม

สหรัฐจึงใช้ “อาร์เจนตินา” เป็นเครื่องมือทูตเพื่อลดบทบาทจีนในสถาบันภูมิภาค เช่น CELAC และ UNASUR ซึ่งจีนมีบทบาททางเศรษฐกิจสูงมาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา


2.3 ความมั่นคงและอวกาศ: ล้อมจีนผ่านโครงสร้างพื้นฐาน


ในระดับความมั่นคง สหรัฐต้องการใช้อาร์เจนตินาเป็นฐานตรวจสอบกิจกรรมด้านอวกาศของจีนในบราซิล รวมถึงโครงการดาวเทียม การขุดเจาะแร่ และโครงการ infrastructure linkages ที่จีนใช้เชื่อมแอตแลนติก–แปซิฟิก เพื่อสร้าง corridor เชิงยุทธศาสตร์ สหรัฐไม่อาจรอให้จีนสร้างพื้นที่ยุทธศาสตร์ในซีกโลกตะวันตกได้จึงเลือกดึงอาร์เจนตินาเข้าร่วมในแนวร่วมด้านความมั่นคง


3. สรุป: ชะตาของทวีป และสมรภูมิพลิกโฉมระเบียบโลก


ภาพรวมทั้งหมดบ่งชี้ว่าการรุกของสหรัฐในอาร์เจนตินาปี 2025 ไม่ใช่เพียงความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ แต่เป็นความพยายามยกเครื่องภูมิรัฐศาสตร์ของทวีปอเมริกาใต้ จุดศูนย์กลางคือการสกัดอิทธิพลจีนผ่านอาร์เจนตินา และใช้ประเทศนี้เป็นแรงกดดันเชิงโครงสร้างต่อบราซิล ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การทูต และความมั่นคง


หากอาร์เจนตินาสามารถรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและดำเนินนโยบายตามกรอบสหรัฐได้สำเร็จ ทวีปอเมริกาใต้อาจเปลี่ยนเส้นทางจากระบอบพหุขั้วของ BRICS+ กลับเข้าสู่โครงสร้างโลกแบบ U.S.-led order อีกครั้ง แต่หาก Milei ล้มเหลว อาร์เจนตินาอาจกลายเป็น vacuum ขนาดใหญ่ที่เปิดพื้นที่ให้จีนเข้ามาฝังรากลึกหนักกว่าเดิม และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของระบอบพหุขั้วที่เข้มข้นยิ่งขึ้น


อนาคตละตินอเมริกาจึงขึ้นอยู่กับสมรภูมิระหว่างสหรัฐ จีน และอาร์เจนตินาในช่วงเวลาที่เปราะบางนี้ ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของระเบียบโลกในทศวรรษต่อไป

บรรณานุกรม


แหล่งข้อมูลเศรษฐกิจ–การทูต


International Monetary Fund. (2024). Argentina: 2024 Article IV Consultation and Request for Extended Fund Facility. IMF.


U.S. Department of State. (2024). Bureau of Western Hemisphere Affairs: U.S.–Argentina Relations.


Economic Commission for Latin America and the Caribbean (ECLAC). (2024). Foreign Direct Investment in Latin America and the Caribbean.


U.S. International Trade Administration. (2024). Argentina – Country Commercial Guide.


Ministry of Economy of Argentina. (2024). Boletín Estadístico del Comercio Exterior.


แหล่งข้อมูลภูมิรัฐศาสตร์


Council on Foreign Relations. (2023). China’s Influence in Latin America.


Congressional Research Service. (2024). China’s Engagement with Latin America and the Caribbean.


Gallagher, K. (2023). China’s Global Energy Finance. Boston University Global Development Policy Center.


Atlantic Council. (2024). The U.S. Strategy in the Western Hemisphere.


Ellis, E. (2024). China in Latin America: The Geopolitical and Economic Battle for Influence. National Defense University Press.


แหล่งข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติและ lithium


U.S. Geological Survey. (2024). Mineral Commodity Summary: Lithium.

International Energy Agency. (2024). Global Critical Minerals Outlook.


Kuss, M. (2023). The Lithium Triangle: Geopolitics of the Energy Transition. Journal of Latin American Studies.


แหล่งข้อมูลการทหารและความมั่นคง


U.S. Southern Command (SOUTHCOM). (2024). Posture Statement to the U.S. Congress.


RAND Corporation. (2023). China’s Security Activities in Latin America.

This is the content that will only be visible after entering the correct password.

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา

สงครามชายแดนไทย–กัมพูชา 2025: เกมภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายสแกมข้ามชาติ และความเสี่ยงจากการท้าทายสหรัฐอเมริกา สงครามชายแดน...