“โลกที่สาม” กับรัฐอ่อนแอ: เมื่อโครงสร้างที่ล้มเหลวเดินทางข้ามพรมแดน
1. จากวาทะ “Third World” ของทรัมป์ สู่คำถามเชิงโครงสร้างที่ต้องกล้าพูด
เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้คำพูดแรง ๆ ต่อประเทศที่เขามองว่าเป็น “Third World countries” และไม่อยากให้คนจากประเทศเหล่านี้อพยพเข้าสหรัฐอเมริกา กระแสหลักทั่วโลกย่อมโจมตีว่าเป็นถ้อยคำเหยียดหยาม ดูถูก เหยียดผิว หรือเหยียดเชื้อชาติ — และในเชิงวาทกรรม หลายส่วนก็สมควรถูกวิจารณ์อย่างถึงแก่น
แต่หากเรากล้าถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วถามอย่างซื่อสัตย์ว่า “จริงหรือไม่ที่มีบางประเทศซึ่งโครงสร้างภายในของเขา เละเทะ จนกลายเป็นแหล่งส่งออกปัญหา มากกว่าส่งออกมนุษย์คุณภาพ?” คำถามนี้ ไม่ใช่คำถามเหยียดชนชาติ แต่เป็นคำถามเชิงโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมสาธารณะ
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “การมีคนจน” หากแต่อยู่ที่ รัฐและสังคมปล่อยให้ความอยุติธรรม ความรุนแรง การคอร์รัปชัน และวัฒนธรรมไม่รับผิดชอบ กลายเป็นเรื่องปกติ จนคนดีจำนวนมากต้องหนีเอาชีวิตรอดออกมา และคนไม่ดีจำนวนไม่น้อยใช้โอกาสเดียวกันเคลื่อนย้ายตัวเองและเครือข่ายอาชญากรรมไปด้วย
2. คำว่า “Third World” กับปัญหาการมองโลกแบบเหมารวม
เดิมทีคำว่า “โลกที่หนึ่ง–โลกที่สอง–โลกที่สาม” เกิดขึ้นในบริบทสงครามเย็น เพื่อแบ่งโลกเป็น “ฝ่ายเสรีนิยม”, “ฝ่ายคอมมิวนิสต์”, และ “ประเทศที่ไม่อยู่ในสองค่ายนั้น” แต่เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า Third World ถูกใช้ปนเปไปกับภาพเหมารวมว่า “ยากจน–ล้าหลัง–สกปรก–ป่าเถื่อน” ซึ่งเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีมนุษย์อย่างชัดเจน
ในแวดวงวิชาการและนโยบายสมัยใหม่ เราจึงนิยมใช้คำอย่าง “fragile states” (รัฐเปราะบาง) หรือ “failed states” (รัฐล้มเหลว) เพื่อเน้นที่ คุณภาพของโครงสร้างรัฐและระบบ ไม่ใช่ตัดสินคุณค่ามนุษย์ทั้งชาติ เพราะในประเทศที่ล้มเหลวที่สุด เราก็มักพบ “คนที่พยายามยืนหยัดด้วยคุณธรรมและความกล้าหาญ” อยู่เสมอ
3. ลักษณะร่วมของ “รัฐอ่อนแอ/รัฐล้มเหลว” ที่กลายเป็นต้นตอปัญหา
หากเรามองอย่างเยือกเย็น จะพบว่า “รัฐอ่อนแอ/รัฐล้มเหลว” มักมีลักษณะร่วมกันหลายประการ เช่น
- กฎหมายอ่อนแอ และบังคับใช้แบบเลือกปฏิบัติ – คนมีเงิน มีอำนาจ หรือใกล้ศูนย์กลางอำนาจ อยู่เหนือกฎหมายได้ง่าย ขณะที่คนธรรมดาถูกกด–ถูกกลั่นแกล้งได้โดยแทบไม่มีที่พึ่ง
- กองทัพ กลุ่มอาวุธ หรือมาเฟียการเมือง ครองเกม – การใช้อำนาจอาวุธแทนเสียงประชาชนเป็นเรื่องธรรมดา รัฐประหารหรือความรุนแรงทางการเมืองเกิดซ้ำซาก ประชาชนคุ้นชินกับการ “อยู่ใต้กระบอง” มากกว่าอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
- คอร์รัปชันฝังลึกเป็นระบบ – การซื้อขายใบอนุญาต การซื้อเสียง การฟอกเงิน และการฮั้วประมูล กลายเป็น “น้ำมันหล่อเลี้ยงระบบ” มากกว่าจะถูกดูเป็นมะเร็งที่ต้องรักษา
- เศรษฐกิจผูกขาดในมือไม่กี่ตระกูลหรือกลุ่มทุน – โอกาสทางเศรษฐกิจของคนส่วนใหญ่ถูกจำกัด เกิดชนชั้นคนจนจำนวนมากที่มองไม่เห็นทางลัดใด ๆ นอกจากการลักลอบ ย้ายถิ่น หรือเข้าร่วมเครือข่ายผิดกฎหมาย
- ระบบการศึกษาและสื่อไม่ปลูกฝัง “พลเมือง” แต่ผลิต “ผู้ใต้ปกครอง” – คนถูกฝึกให้เชื่อฟัง มากกว่าตั้งคำถาม ถูกฝึกให้ท่องจำ มากกว่าคิดวิเคราะห์ เมื่อออกไปสู่โลกภายนอก เขาจึงขาดทักษะเป็นเจ้าของชีวิตและสังคมอย่างมีสติ
- วัฒนธรรมสาธารณะที่ยอมรับความรุนแรงและการละเมิดสิทธิ – การตีลูก การข่มเหง การล่วงละเมิดทางเพศ การเหยียดเพศและชาติพันธุ์ ถูกทำให้เป็นเรื่อง “ธรรมดา” หรือ “ตลก” มากกว่าจะถูกตั้งคำถามอย่างจริงจัง
ประเทศที่มีส่วนผสมแบบนี้เข้มข้น ย่อมเป็นเหมือน “ถังหมักปัญหา” ที่สุดท้ายล้นออกมานอกพรมแดน ทั้งในรูปแรงงานผิดกฎหมาย แก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ เครือข่ายยาเสพติด หรือแม้แต่กระแสกลุ่มหัวรุนแรงทางการเมืองและศาสนา
4. เมื่อโครงสร้างที่บิดเบี้ยวเดินทางมาพร้อมการอพยพ
การอพยพของมนุษย์เป็นเรื่องปกติในประวัติศาสตร์โลก และหลายสังคมก็เติบโตจากการรับผู้อพยพที่มีความสามารถและความมุ่งมั่น อย่างไรก็ตาม ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “การมีผู้อพยพ” แต่อยู่ที่ “คุณภาพของกระบวนการอพยพ และมาตรฐานการตรวจกรอง (vetting) ของรัฐปลายทาง”
เมื่อรัฐเปิดด่านรับผู้คนจากรัฐอ่อนแอ/รัฐล้มเหลวจำนวนมาก “โดยแทบไม่ตรวจกรอง” ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ได้แก่:
- การนำเข้าเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ – กลุ่มค้ามนุษย์ ยาเสพติด ฟอกเงิน สามารถใช้ช่องว่างนโยบายเพื่อย้ายฐานปฏิบัติการไปยังประเทศที่มั่นคงกว่า
- ความตึงเครียดทางวัฒนธรรมและค่านิยม – หากคนกลุ่มใหญ่จากสังคมที่ normalize ความรุนแรง คอร์รัปชัน หรือการเหยียดเพศ/ศาสนา ถูกนำเข้าไปโดยไม่มีนโยบายกลั่นกรองและกล่อมเกลาทางพลเมือง (civic integration) สังคมปลายทางย่อมเผชิญแรงเสียดทานสูง
- ภาระต่อระบบรัฐสวัสดิการและความไว้วางใจทางสังคม – หากผู้อพยพไม่มีทักษะ ไม่มีความพร้อมในการทำงาน หรือเข้าร่วมระบบภาษี–กติกาสังคม แต่คาดหวังรับประโยชน์จากรัฐสวัสดิการทั้งหมด ความรู้สึก “ไม่เป็นธรรม” ย่อมเกิดขึ้นในหมู่พลเมืองเดิมได้ง่าย
ที่สำคัญคือ ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าคนจากประเทศเหล่านั้น “ชั่วทั้งหมด” แต่มันหมายความว่า รัฐปลายทางมีหน้าที่ต้องรอบคอบอย่างยิ่ง ในการคัดเลือก ใครควรได้รับโอกาสเริ่มต้นใหม่ และภายใต้เงื่อนไขอย่างไร จึงจะปลอดภัยและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
5. สิทธิของรัฐเจ้าบ้าน กับเส้นบาง ๆ ระหว่าง “การปกป้องสังคม” กับ “การเหยียดมนุษย์”
ปกติแล้ว รัฐทุกแห่งมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศในการ:
- กำหนดกติกาการเข้า–ออกประเทศ
- ตรวจสอบประวัติอาชญากรรม การเกี่ยวข้องกับเครือข่ายรุนแรง หรือความเสี่ยงด้านความมั่นคง
- ออกแบบนโยบายผู้อพยพ–แรงงาน–ผู้อยู่อาศัยถาวร โดยคำนึงถึงความมั่นคงของสังคมและวัฒนธรรมพลเมือง
การกล่าวว่า “รัฐมีสิทธิคัดกรองผู้อพยพจากรัฐอ่อนแอ/รัฐล้มเหลวอย่างเข้มงวด” จึงไม่ใช่การเหยียดเชื้อชาติ แต่เป็นการยอมรับความจริงว่า โครงสร้างที่ล้มเหลวสามารถเดินทางมาพร้อมผู้คน หากไม่มีระบบกรองที่ดี
เส้นที่เราต้องระวังคือ:
- ห้าม “เหมารวม” ว่ามนุษย์ทุกคนจากประเทศหนึ่งเป็นแบบเดียวกัน – ต้องเปิดพื้นที่สำหรับผู้ลี้ภัยจริง เหยื่อความรุนแรง และคนที่มีศักยภาพจะเป็นคุณต่อสังคมใหม่
- ห้ามใช้ภาษาที่ลดทอนศักดิ์ศรีมนุษย์ เช่น เปรียบคนเป็น “ขยะ” หรือ “สัตว์” แต่เราสามารถวิจารณ์โครงสร้างรัฐหรือชนชั้นนำที่ทำให้ประชาชนตกอยู่ในสภาพเลวร้ายได้อย่างเต็มที่
กล่าวอีกแบบหนึ่งคือ: เรามีสิทธิ “ไม่รับโครงสร้างเละเทะ” เข้าสู่ประเทศ แต่เราไม่มีสิทธิ “พรากความเป็นคน” ของผู้ที่เกิดในโครงสร้างนั้น
6. “น้ำไม่สะอาด” กับ “การกลั่นกรอง” – เปรียบเทียบแบบรับผิดชอบ
ภาพเปรียบเทียบว่า “การเอาน้ำที่ไม่สะอาดไปใส่รวมกับน้ำกลั่น” อาจเป็นภาพที่อธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจง่ายว่า ถ้ารับคนจากรัฐที่มีวัฒนธรรมการเมือง–เศรษฐกิจที่บิดเบี้ยวเข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ โดยไม่กลั่นกรอง คุณภาพโดยรวมของ “โอ่งน้ำ” (สังคมเจ้าบ้าน) ย่อมเปลี่ยนไป
แต่หากจะใช้ภาพเปรียบนี้อย่างมีความรับผิดชอบ เราควรแยกชัด ๆ ว่า:
- “น้ำไม่สะอาด” = โครงสร้างรัฐ วัฒนธรรมการเมือง และระบบที่ผลิตความอยุติธรรม
- ไม่ใช่การเปรียบ “มนุษย์จากประเทศนั้นทุกคน” เป็นน้ำสกปรก
หน้าที่ของรัฐปลายทาง จึงไม่ใช่การปิดโอ่งและป้ายปิดว่า “น้ำจากทุกที่คือสกปรก” แต่คือการมี ระบบกรอง ที่ดีพอจะปล่อยให้ “หยดน้ำใส” จากที่อื่น เข้ามาผสมผสานได้โดยไม่ทำลายคุณภาพรวมของน้ำในโอ่ง
7. คันฉ่องส่องไทย: หากวันหนึ่งไทยเป็นประเทศที่คนอื่นไม่อยากรับผู้อพยพจากไทย?
คำถามที่ช่วยให้เราถ่อมตนและมองปัญหาอย่างเที่ยงธรรมคือ: “ถ้าวันหนึ่ง ไทยถูกมองว่าเป็นรัฐอ่อนแอ/รัฐล้มเหลว ที่คนจากประเทศอื่นไม่อยากรับเข้าประเทศตน เราจะรู้สึกอย่างไร?”
เราก็จะพบว่า:
- คนไทยจำนวนมากเป็นคนขยัน ซื่อสัตย์ มีเมตตา และพยายามเอาตัวรอดอย่างตรงไปตรงมา
- แต่ระบบการเมือง–เศรษฐกิจ–กระบวนการยุติธรรม–การศึกษา ฯลฯ อาจมีองค์ประกอบแบบ “รัฐอ่อนแอ” อยู่ไม่น้อย และสร้างภาพรวมที่คนภายนอก “ไม่ไว้ใจ”
ดังนั้น การวิจารณ์รัฐอื่นในฐานะ “fragile/failed states” ควรทำควบคู่ไปกับการมองย้อนเข้ามาในบ้านตัวเองด้วย ว่าเราจะทำอย่างไรให้ไทยไม่กลายเป็นประเทศที่คนอื่นมองว่า “ส่งออกปัญหา” มากกว่าส่งออกมนุษย์คุณภาพ
8. บทสรุป: ความกล้าพูดความจริง โดยไม่เหยียบศักดิ์ศรีมนุษย์
โลกเสรีไม่ได้ต้องการให้เราพูดแต่ถ้อยคำไพเราะ จนหลอกตัวเองว่าปัญหาไม่เคยมี แต่โลกที่มีศักดิ์ศรีมนุษย์เป็นฐาน ก็ไม่ยอมรับการใช้ถ้อยคำที่ทำลายความเป็นคนของผู้อื่นเช่นกัน
เราจึงจำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับคำพูดที่ว่า:
- ใช่ – มีรัฐอ่อนแอ/รัฐล้มเหลว ที่โครงสร้างภายในส่งออกปัญหามากกว่าส่งออกโอกาส
- ใช่ – รัฐปลายทางมีสิทธิวางนโยบายอพยพและตรวจกรองอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องมาตรฐานของสังคมตน
- แต่ก็ใช่ – ว่าเราต้องไม่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของปัจเจกชนจากประเทศเหล่านั้น และต้องไม่ปิดประตูต่อผู้ลี้ภัยหรือผู้มีคุณธรรมและศักยภาพที่จะเป็นพลังบวกต่อสังคมใหม่
การพูดถึง “Third World countries” หรือ “fragile/failed states” อย่างซื่อสัตย์ จึงไม่ใช่การกดคนอื่นลง แต่คือการมองเห็นโครงสร้างที่ผิดเพี้ยนอย่างชัดเจน เพื่อที่เราจะไม่ยอมให้โครงสร้างนั้นเดินข้ามพรมแดนมาโดยไร้การกลั่นกรอง ในขณะเดียวกัน ก็ยังรักษาสายตาที่มองเห็นความเป็นคนและความหวังในหัวใจของผู้หนีออกมาจากความล้มเหลวเหล่านั้น

No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.